วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

กรรมการสรรหา ผอ.พอช. ลาออกทั้งคณะ หลังบอร์ด พอช. พยายามแทรกแซงการทำงาน


สำนักข่าวชายขอบ รายงาน คณะกรรมการสรรหา ผอ.พอช. ประกาศลาออกทั้งคณะ หลังบอร์ด พอช. ส่งสัญญาณให้ชะลอการพิจารณาออกไปก่อน และทบทวนรายชื่อผู้สมัครอีกครั้ง ขณะที่คณะกรรมการสรรหายัน ดำเนินการตามระเบียบทุกขั้นตอน
30 มิ.ย. 2560 สำนักข่าวชายขอบ (TransborderNEWS) รายงานว่า มีรายงานข่าวจากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ว่า ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นในการสรรหาผู้อำนวยการ(ผอ.)สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือพอช. จนทำให้คณะกรรมการสรรหา ผอ.พอช. ที่มีประสิทธิ์ ตันสุวรรณ เป็นประธาน ต้องประกาศลาออกกันทั้งคณะ เนื่องจากไม่สามารถทนแรงกดดันได้ ทั้งนี้การประกาศลาออกดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมา ภายหลังจากที่ได้ประชุมกันเครียดหลายชั่วโมง
รายงานข่าวแจ้งว่า ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากภายหลังที่ได้มีการเปิดรับสมัคร ผอ.พอช. มาตั้งแต่กลางเดือน พ.ค. โดยมีผู้สมัครทั้งสิ้น 10 ราย ซึ่งเป็นบุคคลภายในพอช. 2 คน ที่เหลือเป็นคนภายนอก อย่างไรก็ตามในการพิจารณาของคณะกรรมการสรรหาเพื่อพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครในนัดแรกๆ พบว่า มีผู้สมัคร 5 คนมีคุณสมบัติ และเอกสารไม่ครบ โดยในจำนวนนี้เป็นคนภายในพอช.ทั้ง 2 คนโดยพบว่าทั้งคู่ไม่มีเอกสารรับรองจากองค์กรเนื่องจากเข้าใจว่าเป็นบุคคลภายในพอช.แล้วไม่ต้องใช้เอกสารรับรอง และบางคนก็ลงชื่อในเอกสารไม่ครบ ดังนั้นทั้ง 5 คนจึงไม่ผ่านการพิจารณาในเบื้องต้น ทำให้เหลือเพียงผู้สมัครที่เป็นบุคคลจากนอกองค์กร 5 คน
รายงานข่าวแจ้งว่า การที่ผู้สมัครที่เป็นบุคคลภายในพอช.สอบตกทั้ง 2 คน โดย 1 ในนั้นเป็นบุคคลที่ผู้มากบารมีในพอช.รายหนึ่งต้องการให้ดำรงตำแหน่งผอ.พอช.คนต่อไป แต่เมื่อเกิดความผิดพลาดในเรื่องเอกสาร ทำให้รู้สึกไม่พอใจมาก ขณะเดียวกันผู้ที่สมัครและสอบตกของ พอช. ได้ทำหนังสือขออุทธรณ์เพื่อให้ตีความเรื่องการส่งเอกสารไม่ครบ แต่คณะกรรมการสรรหายังยืนยันความเห็นเดิม
ข่าวแจ้งว่าสุดท้าย ได้มีบุคลากรในพอช. และชาวบ้านที่เป็นสมาชิกซึ่งพอช. ให้งบประมาณสนับสนุนจำนวนหนึ่งร่วมกันลงชื่อทำหนังสือร้องเรียนถึงพลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีพม. ซึ่งต่อมาพลตำรวจเอกอดุลย์ได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(บอร์ด)พิจารณา และบอร์ดได้พยายามส่งสัญญาณให้คณะกรรมการสรรหาชะลอการพิจารณาออกไปก่อนและทบทวนรายชื่อผู้สมัครอีกครั้ง แต่คณะกรรมการสรรหายืนยันว่าได้ดำเนินการถูกต้องตามระเบียบของพอช. ทุกประการ
โดยเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ได้มีการประชุมคณะกรรมการสรรหาอีกครั้ง เพื่อพิจารณาผู้สมัครที่เหลือก่อนที่จะเปิดโอกาสให้มีการแสดงวิสัยทัศน์ในวันที่ 5 ก.ค. ทั้งนี้เสียงส่วนใหญ่ของกรรมการฯ ยังยืนยันมติเดิมคือเดินหน้าพิจารณาจากบุคคลทั้ง 5 ที่ผ่านการพิจารณาในรอบแรกแม้จะถูกกดดันอย่างหนักจากหลายด้าน อย่างไรก็ตามท้ายสุดที่ประชุมได้รับแจ้งว่า ขณะนี้บอร์ดได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกชุดหนึ่งเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่ผู้สมัครที่มาจากพอช. ร้องเรียนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการถูกตัดชื่อออกไปเนื่องจากเอกสารไม่ครบ ทำให้กรรมการสรรหาส่วนใหญ่รู้สึกว่าเป็นการประวิงเวลาเพื่อไม่ให้คณะกรรมการสรรหาได้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ในที่สุดส่วนใหญ่จึงเห็นว่าในเมื่อทำหน้าที่ต่อไปไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อ จึงเห็นว่าควรลาออก
ข่าวแจ้งว่า ในแวดวงนักพัฒนาสังคมได้วิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่บอร์ดพอช. ในครั้งนี้กันอย่างกว้างขวางเนื่องจากกำลังหมดวาระลงในเดือน ก.ย. นี้ ซึ่งปัจจุบันได้มีสรรหาบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนบอร์ดชุดเก่าครบทุกคนแล้วและอยู่ในขั้นตอนเสนอชื่อให้ผู้บริหารกระทรวงนำเสนอตามลำดับ ดังนั้นจึงควรให้คณะกรรมการสรรหาทำงานอย่างเป็นอิสระและปล่อยให้บอร์ดชุดใหม่เป็นผู้พิจารณาอีกชั้นหนึ่ง แต่บอร์ดชุดที่กำลังหมดวาระนี้กลับเข้ามาแทรกแซงการทำหน้าที่ของคณะกรรมการสรรหาจนในที่สุดคณะกรรมการสรรหาต้องลาออก

ประยุทธ์ ปัดตอบจะลงเลือกตั้งหรือไม่ ชี้ตอบแล้วมีปัญหาเยอะและไม่ใช่เวลาที่จะมาตอบตอนนี้


ประยุทธ์ ปัดตอบจะลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ ชี้ตอบแล้วมีปัญหาเยอะ และไม่ใช่เวลาที่จะมาตอบตอนนี้ ระบุบางปัญหาจำเป็นต้องใช้กม.พิเศษแก้ไข ผู้ร่วมโหวตกับประชาไทส่วนใหญ่กังวลว่าประยุทธ์จะอยู่ต่อหรือตั้งพรรคการเมือง
30 มิ.ย. 2560 จากกรณีนักการเมืองขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. แสดงความชัดเจนว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่นั้น ล่าสุดวันนี้ (30 มิ.ย.60) พล.อ.ประยุทธ์  ว่า ไม่ตอบ ขี้เกียจตอบ เป็นเรื่องไร้สาระ และไม่ใช่เวลาที่จะมาตอบตอนนี้
ต่อกรณีคำถามว่าเมื่อถึงเวลาแล้วจะตอบหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า ไม่ตอบ และว่า “ตอบแล้วมีปัญหาเยอะ ทำไมไม่สนใจการแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชบ้าง มาสนใจแต่เรื่องการเมือง”
เมื่อถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้เห็นเพจที่ใช้ชื่อว่า “เปรี้ยง” หรือไม่ เพราะเพจดังกล่าวมีการเผยแพร่กลอนของนายกรัฐมนตรีก่อนที่จะเป็นข่าว พล.อ.ประยุทธ์  กล่าวว่า ไม่เห็น และที่มีกลอนออกมาก่อน อาจเป็นคนหวังดีทำให้
โดยเมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงผลโพลที่ประชาชนสนับสนุนให้มีการตั้งพรรคการเมือง เพื่อสนับสนุนงานของรัฐบาลชุดปัจุบันว่า ส่วนตัวยังไม่คิดถึงตรงนั้น แต่คิดเพียงว่าวันนี้จะแก้ไขปัญหาราชการแผ่นดินอย่างไร เรามีรัฐธรรมนูญประกาศใช้แล้ว วันนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ และคิดว่าหลายอย่างจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องการเมืองไม่ได้ เพราะการเมืองเป็นเรื่องของแม่น้ำ 5 สายที่จะต้องช่วยกันทำออกมา ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายลูกและกฎหมายต่างๆ และมีองค์กรอิสระอีกมากมาย ในเรื่องของการเปลี่ยนผ่าน ที่จะทำให้ได้รัฐบาลมีธรรมาภิบาลเป็นเรื่องของกฎหมาย
“อย่ามากังวลกับผมว่าผมจะอยู่ต่อหรือเปล่า หรือตั้งพรรคการเมืองหรือเปล่า แต่จะทำวันนี้ให้ผ่านไปก่อน สถานการณ์จะเป็นตัวชี้ชัดต่อไปเอง ว่าเราควรจะทำอย่างไรในอนาคต โดยเราจะต้องคาดหวังแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่ทำได้ ทำสำเร็จ อย่าไปคิดว่าจะต้องทำโน่นทำนี่ให้สมาธิเสีย วันหน้าก็อยู่ที่ประชาชนนั่นแหละ เรื่องโพลก็ขอบคุณผู้สนับสนุน ส่วนผู้ไม่สนับสนุนผมก็ขอบคุณเช่นกัน โดยจะมีการรับฟังความคิดเห็นทั้งสองทาง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ผู้ร่วมโหวตกับประชาไทส่วนใหญ่กังวลว่าประยุทธ์จะอยู่ต่อหรือตั้งพรรคการเมือง

จากนั้นวานนี้ (29 มิ.ย.60) ประชาไท ได้ทำโหวตเพื่อสอบถามถึงความกังวลต่อผู้อ่านในเฟซบุ๊กแฟนเพจ กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะอยู่ต่อหรือตั้งพรรคการเมือง? มีผู้ร่วมโหวต 2.6 พันคน โดย 22 พันระบุว่ากังวล ขณะที่ 93 คนระบุไม่กังวล โดยมีผู้แสดงความเห็นประกอบการโหวตครั้งนี้ 400 กว่าความคิดเห็น

ระบุบางปัญหาจำเป็นต้องใช้กม.พิเศษแก้ไข

วันเดียวกัน(30 มิ.ย.60) พล.อ.ประยุทธ์ นำคณะเยี่ยมชมศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบกรุงเทพ (TCDC) ที่อาคารไปรษณีย์กลาง บางรัก ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมาให้แยกออกจากสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ เพื่อเตรียมยกระดับเป็นสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ องค์การมหาชน ซึ่งเปิดทดลองให้บริการมาตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดย TCDC ได้ย้ายมาจากศูนย์การค้าเอมโพเรียมและ พื้นที่บริการที่เพิ่มขึ้นเป็น 9000 ตารางเมตร เน้นการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ให้เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจ เป็นแหล่งบ่มเพาะนักสร้างสรรค์และธุรกิจสร้างสรรค์ ให้สอดรับกับห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ หรือ Gov Lab เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและผู้ประกอบการไทย ภายใต้โมเดลประเทศไทย 4.0 สู่อุตสาหกรรม
สำหรับ TCDC มีพื้นที่บริการ 5 ชั้น แบ่งเป็นพื้นที่สำหรับการให้บริการด้านธุรกิจและพื้นที่ส่วนกลาง สำหรับการทำงานเรียนรู้และสันทนาการ  พื้นที่อเนกประสงค์ สำหรับการจัดนิทรรศการ การบรรยายและประชุมเชิงปฏิบัติการ  ทั้งยังเป็นแหล่งรวบรวมหนังสือ วารสาร และสิ่งพิมพ์ด้านความคิดสร้างสรรค์และออกแบบ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่สำหรับการจัดการประชุมและห้องปฏิบัติการพร้อมเครื่องมือและผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการเปลี่ยนไอดีให้กลายเป็นงานต้นแบบ มีศูนย์รวมวัสดุและนวัตกรรมการออกแบบจากไทยและต่างประเทศ และ ร้านค้าจำหน่ายสินค้าจากไอเดียของผู้ที่มารับคำปรึกษากับทางTCDC ด้วยขณะเดียวกันอยากให้จดทะเบียนวนัตกรรม และทำให้ได้มาตรฐานผ่านการรับรอง เพื่อที่จะให้รัฐบาลได้สนับสนุนนำไปใช้ในหน่วยงานของรัฐได้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวขอบคุณ TCDC ที่ช่วยให้การเดินหน้าสู่ประเทศไทย 4.0 มีความชัดเจนและรัดกุม เพราะ TCDC คือผู้ประสานเชื่อมต่อระหว่าง ผู้ประกอบการและภาครัฐ ช่วยเติมปัญญาและเพิ่มวิธีให้ประชาชน ที่ผ่านมาไทยมีจิ๊กซอว์พร้อม แต่ไม่เคยต่อภาพให้สมบูรณ์  จึงขอให้ขยายแนวทางของ TCDC ไปยังภูมิภาคให้ครอบคลุมทั้ง 6 ภาค และกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน ประเมินการทำงานในรอบ 1 ปี เพื่อปรับแก้ไขข้อบกพร่องให้ทันต่อเหตุการณ์ 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทุกวันนี้ประเทศไทยกำลังขับเคลื่อนแนวใหม่ โดยใช้ศาสตร์พระราชาคือการเข้าใจประชาชนและพื้นที่ เข้าถึงปัญหาของประชาชน และพัฒนาประชาชนตามยุทธศาสตร์ชาติ แต่ยังมีนักการเมืองที่ไม่เข้าใจคำว่ายุทธศาสตร์ และพยายามต่อต้าน ทั้งที่เป็นสิ่งที่สามารถปรับแก้ได้ แต่หากไม่ทำตามยุทธศาสตร์จะเกิดปัญหาดังเช่นที่ผ่านมา คอยแต่จะคำนึงถึงแต่คะแนนนิยม จึง ขอให้ทุกคนตระหนักว่าประเทศชาติและประชาชนต้องมาก่อน
“นักออกแบบของ TCDC ได้ออกแบบเก้าอี้สำหรับนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเก้าอี้ที่นั่งไม่สบายนัก ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นก็อยากจะเป็นกันแต่นายกรัฐมนตรี หากนั่งสบายมากไปก็จะขี้เกียจ  ส่วนผม แม้ทำเนียบรัฐบาลจะมีเก้าอี้ให้ แต่ก็จัดหามาเอง เป็นเก้าอี้ตัวเล็กที่ไม่สบายมากนัก เพื่อจะได้ลุกไปทำงานอื่นได้ง่าย ทุกวันนี้นายกรัฐมนตรียังต้องเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งที่ยังมีอยู่ โดยเฉพาะการไม่ยอมรับกฎหมาย หรือบางครั้งเป็นปัญหาจากการบังคับใช้ ล่าสุด กฎหมายเกี่ยวกับแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเป็นปัญหาที่จะต้องแก้ไข เนื่องจากในช่วงเปลี่ยนผ่านยังส่งผลกระทบมากกับรายย่อย จึงอาจต้องใช้กฎหมายพิเศษบ้าง แต่เพื่อให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี จึงต้องขอความร่วมมือและความเข้าใจจากทุกคนด้วย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

iLaw จัดทำการ์ตูนชุดแก้ กม.บัตรทอง สื่อสาร ปชช.เข้าใจง่าย


iLaw จัดทำการ์ตูนชุด “4 ข้อเห็นด้วย 5 ข้อเห็นต่าง 7 ข้อเสนอเพิ่ม แก้ไข กม.บัตรทอง” สื่อสาร ปชช.เข้าใจง่ายต่อผลกระทบร่าง กม.บัตรทอง พร้อมห่วงทิศทางการออก/แก้ กม.ไทย ร้อยละ 90 ร่างโดยภาครัฐและหน่วยงานราชการ มุ่งแก้ปัญหาหน่วยงาน รวบอำนาจสู่ศูนย์กลาง ขาดการมีส่วนร่วมของ ปชช.
 
 
นายยิ่งชีพ อัชชานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) กล่าวถึงการจัดทำการ์ตูนชุด “4 ข้อเห็นด้วย 5 ข้อเห็นต่าง 7 ข้อเสนอเพิ่ม ต่อการแก้ไข กม.บัตรทอง” โดยเผยแพร่ผ่านเฟสบุ๊ค iLaw ว่า การแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือกฎหมายบัตรทอง ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนขณะนี้ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะสนใจเนื้อหาของการแก้ไขกฎหมายนี้ แต่ด้วยเนื้อหาที่เข้าใจยาก ถึงจะอ่านร่างกฎหมายก็ยังอาจไม่เข้าใจว่า การแก้ไขนี้จะดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร ซึ่งเราเองได้เคยผ่านสถานการณ์นี้มาก่อน และจากที่ได้ติดตามการแก้ไขกฎหมายบัตรทองที่ผ่านมาก็พอเข้าใจถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนในระดับหนึ่ง ซึ่งเมื่อกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพได้มีการจัดทำคำชี้แจงความเห็นต่อการแก้ไขกฎหมายบัตรทองนี้ ใน 4 ข้อเห็นด้วย 5 ข้อเห็นต่าง 7 ข้อเสนอเพิ่มที่มีความชัดเจน ถึงจะเข้าใจได้ง่าย แต่มองว่ายังเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยากสำหรับคนที่ไม่เคยติดตามกฎหมายบัตรทองมาก่อน ดังนั้นจึงได้หยิบยกจัดทำเป็นการ์ตูน พร้อมอธิบายด้วยถ้อยคำง่ายที่ทำให้เกิดความเข้าใจ 
 
นายยิ่งชีพ กล่าวว่า การ์ตูนชุดการแก้ไขกฎหมายบัตรทองที่ทำนี้ จะประกอบด้วย 2 ส่วน คือ รูปภาพการ์ตูนที่เป็นตัวแทนของประชาชน และถ้อยคำประกอบด้วยคำพูดที่ง่ายๆ แต่สื่อสารได้ชัดเจนถึงเนื้อหาที่จะมีการแก้ไข และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการแก้ไขกฎหมายบัตรทองนี้ โดยจัดทำในรูปแบบการ์ตูนเช่นเดียวกับการแก้ไขกฎหมาย 3-4 ฉบับก่อนหน้านี้ พร้อมกับการศึกษาเพิ่มเติม 
 
ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่า พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นกฎหมายที่ดี เพราะเป็นการนำงบประมาณมาดูแลรักษาพยาบาลคนไทย ช่วยให้เข้าถึงการรักษาโดยไม่ต้องกังวลต่อค่าใช้จ่ายที่แต่เดิมเป็นอุปสรรค และเชื่อว่าคงไม่มีใครค้านเพราะป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพียงแต่การบริหารจัดการคงเป็นเรื่องลำบาก ทั้งมีความเห็นว่าต้องมองในเรื่องค่าใช้จ่ายประเทศและความมั่นคงของภาครัฐด้วย แต่ทั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรการแก้ไขกฎหมายใดๆ ที่กระทบต่อคนส่วนใหญ่ ควรเปิดให้ผู้มีส่วนได้เสียโดยเฉพาะประชาชนมีส่วนร่วมกับการแก้ไขกฎหมาย ไม่ใช่เป็นการแก้ไขโดยภาครัฐเป็นหลักแต่เพียงฝ่ายเดียว และต้องสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ
 
“กฎหมายบัตรทองดำเนินมา 15 ปีแล้ว นับเป็นเวลาไม่มากไม่น้อย เนื้อหาของกฎหมายและร่างกฎหมายที่มีการแก้ไขเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจว่าจะมีผลกระทบกับเขาอย่างไร มีกลุ่มคนที่เข้าใจอยู่ไม่มาก และการทำความเข้าใจกับคน 48 ล้านคนถือเป็นงานใหญ่ ดังนั้นทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าใจได้ง่าย จึงได้จัดทำเป็นชุดการ์ตูนเพื่อสื่อสาร ซึ่งที่ผ่านมา iLaw เป็นการทำงานที่เกียวข้องกับการออกกฎหมายที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วม และ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติก็เป็นหนึ่งในนั้น” ผู้จัดการ iLaw กล่าว   
 
นายยิ่งชีพ กล่าวว่า กฎหมายที่ดีควรมาจากการเรียนรู้ปัญหาร่วมกัน เมื่อมีกฎหมายแล้วและมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอย่างไร คนที่มีส่วนได้เสียกับกฎหมายก็ควรที่จะได้มีส่วนในการคิดและร่างกฎหมายด้วย แต่ที่ผ่านมาการออกกฎหมายร้อยละ 90 ของประเทศไทยเป็นการร่างโดยภาครัฐและข้าราชการที่เป็นผู้ปฏิบัติ ยึดหลักการว่าหน่วยงานอยากมีอำนาจอะไรและต้องการทำอะไร โดยไม่ได้ร่างเนื้อหาจากผู้ที่ประสบปัญหาจริงๆ ซึ่งบ้านเรามีระบบการออกกฎหมายที่อันตราย เพราะป็นการออกกฎหมายโดยผู้มีอำนาจบังคับใช้ ไม่ใช่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของปัญหา
              
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองอย่างไรต่อเหตุผลของกระทรวงสาธารณสุขในการผลักดันแก้ไขกฎหมาย เพราะโรงพยาบาลประสบปัญหา นายยิ่งชีพ กล่าวว่า ภาพรวมการออกกฎหมายเราเข้าใจว่าหน่วยงานราชการว่าไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแต่มีเจตนาต้องการแก้ไขกฎหมายในปัญหาที่เขากำลังเผชิญอยู่ แต่แนวโน้มการแก้ไขกฎหมายขณะนี้มีทิศทางที่หน่วยงานราชการเป็นหลักทั้งการร่างและเสนอกฎหมาย ซึ่งเป็นการออกกฎหมายที่มุ่งรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง เพิ่มอำนาจให้หน่วยงานราชการ ตัดการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นทิศทางประเทศที่น่ากังวล

ปลดพันเอกปลอมเอกสารขายรถยนต์ทหาร 1,136 คัน


ทบ.ปลดทหารกรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) ยศพันเอก ฐานปลอมเอกสารขายรถยนต์ทหารกว่า 1,136 คัน
 
1 ก.ค. 2560 สำนักข่าวไทย รายงานว่า พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงกรณีกรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) ตรวจพบบัญชีแจ้งการประมูลขายทอดตลาดรถยนต์ทหารโดย ขส.ทบ. จำนวน 9 ฉบับ เป็นรถรวมทั้งสิ้น 1,136 คัน โดยมีนายทหารยศ “พันเอก” เป็นผู้ดำเนินการ ว่าจากการตรวจสอบรายละเอียดแล้วพบว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารเท็จทั้งหมด รายละเอียดที่ระบุไว้ในเอกสาร เช่น หมายเลขเครื่อง หมายเลขตัวถัง ก็ไม่ใช่รถในอัตราของกองทัพบก การลงนามของผู้มีอำนาจตามหน้าที่ในเอกสารก็เป็นการปลอมแปลงขึ้นมาเอง ที่สำคัญในห้วงระยะเวลาดังกล่าวกองทัพบก โดย ขส.ทบ.ไม่ได้มีการประมูลรถขายทอดตลาดออกไปแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นเอกสารดังกล่าวทั้งหมดจึงเป็นเอกสารปลอมที่จัดทำขึ้นมาเอง
 
พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ขณะนี้ ขส.ทบ.ได้ดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ผู้ที่เกี่ยวข้องในทางวินัยขั้นร้ายแรงแล้ว โดยการเสนอให้ปลดออกจากราชการ ส่วนการนำเอกสารปลอมดังกล่าวไปเป็นองค์ประกอบเพื่อใช้ยื่นขอจดทะเบียนให้กับรถยนต์คันใดที่อาจมีที่มาไม่ถูกต้องนั้นทางกรมขนส่งทางบกจะติดตามเพื่อขอเพิกถอนทะเบียนต่อไป

จรัลแจงขอสัญชาติฝรั่งเศสเพราะเป็นนักสากลนิยม ชี้ 'ชาติไทย' ถูกผูกขาดโดยผู้ปกครอง


จรัล ดิษฐาอภิชัย เผยเหตุขอสัญชาติฝรั่งเศส คาดจะต้องอยู่นาน บวกกับเป็นนักสากลนิยมไม่ยึดติดชาติ และฝรั่งเศสเป็นสาธารณรัฐที่เน้นคุณค่าความเป็นพลเมือง สามารถเคลื่อนไหวทางสากลง่ายขึ้น ชี้ชาติไทยที่ผ่านมาไม่ได้เป็นของปชช.แต่เป็นของผู้ปกครอง 

 
1 มิ.ย. 2560 จากกรณีที่ จรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนชุดแรก นักกิจกรรมฝ่ายซ้าย แกนนำเสื้อแดง ผู้มีประสบการณ์ด้านกิจกรรมทางการเมืองกว่า 50 ปี จนกระทั่งหลังรัฐประหาร พ.ค.2557 ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ เนื่องจากถูกดำเนินดคีทางการเมืองและความคิด ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมา จรัล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งต่อมา คมชัดลึกออนไลน์ได้รายงานข่าวว่า เขา ได้สัญชาติฝรั่งเศส เป็นพลเมืองของสาธารณรัฐฝรั่งเศสอย่างสมบูรณ์ 
 
และต่อมา เปลว สีเงิน คอลัมนิสต์ เขียนบทความลงไทยโพสต์วิพากษ์วิจารณ์ จรัล ว่า ทราบข่าวคราว จรัล นอกคอกเป็น "เมอซิเยอร์จรัล" ก็ดีแล้ว ใต้เงาไตรรงค์ร่วมผืน ให้เลือดอื่น ที่ต่างดีเอ็นเอ อยู่ร่วมยืน ไม่เกิดประโยชน์หรอก ไปแล้ว ก็ขอให้ไปลับ อย่ากลับมาอีกเลย
 
จรัล เปิดเผยถึงการขอสัญชาติฝรั่งเศสกับประชาไทว่า ประการแรก คาดว่าจะต้องอยู่นาน และการอยู่ในประเทศไหนนานๆ สถานะผู้ลี้ภัยแม้ว่ามีสิทธิอะไรมาก แต่ก็ไม่เท่าพลเมือง ตนเป็นนักสากลนิยม ตั้งแต่เป็นนักศึกษา ไม่ยึดติดกับชาติ และเป็นสากลมากยิ่งขึ้น ดังนั้นตนจึงไปสนัสนุนการต่อสู้ของประเทศต่างๆ เช่น พม่า ก็เคยไปถูกจับระหว่างการสนับสนุนต่อสู้มาแล้ว หรือแม้กระทั้งประเทศอื่นๆ เช่น อินโดนีเซีย ติมอร์ เลสเต มาเลเซีย จนถึงยุโรป แม้กระทั่งชิลี เพราะฉะนั้นการเป็นนักสากลนิยมไม่ยิดติดชาติ ทำให้ตน สามารถขอสัญญาชาติได้ง่าย
จรัลแปะรูปนักโทษมาตรา 112 ที่อนุสาวรีย์สาธารณรัฐ ที่ จตุรัสสาธารณรัฐ ปารีส วันที่ 22 พ.ค. 58 ภาพโดย ดิน บัวแดง
จรัล อธิบายเพิ่มเติมว่าตนยังมีเชื้อชาติไทย แต่สัญชาติเป็นเรื่องรัฐ และชาติไทยที่ผ่านมาไม่ได้เป็นของประชาชนแต่เป็นของผู้ปกครอง เพราะฉะนั้นมีหรือไม่มีไม่ได้หมายความว่าเราเสียชาติ
ประการที่สอง ฝรั่งเศสเป็นสาธารณรัฐที่เน้นคุณค่าความเป็นพลเมือง ตอนมีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยก็ได้รับการอบรมคุณค่าและหลักการดังกล่าว ประการที่สาม ตนลี้ภัยมา ก็เพราะว่ารัฐบาลเผด็จการมีหมายจับ มีคดีทั้งหมด 6 คดี และเมื่อก่อนตนนักปฏิวัติในเมื่อก่อน ปัจจุบันเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ถ้าอยู่เมืองไทยก็คงติดคุกแล้ว แม้สมัยก่อนติดคุกจะเป็นการต่อสู้อย่างหนึ่ง แต่สมัยนี้มันไม่เข้มข้นขนาดนั้นแล้ว ดังนั้นการอยู่ต่างประเทศก็สามารถเคลื่อนไหวทางสากลง่ายขึ้น ไปไหนมาไหนไม่ต้องขอวีซ่า
สำหรับกรณีถูกโจมตีว่าตนไม่รักชาติไทยนั้น จรัล กล่าวว่า ตนเป็นนักสากลนิยม ความสำนึกเป็นนักสากลนิยม ตอนอยู่ในป่าต่อสู้ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย มีสหายหลายคนถามถามกับตน ซึ่งขณะนั้นใช้ชื่อ สหายชัย ว่า ถ้าการปฏิวัติชนะแล้วจะทำอะไร ตนก็ยืนยันมาตลอดว่าจะไปปฏิวัติประเทศอื่น คือไม่ได้ผูกพันกับชาติ
จรัล เล่าถึงสถานการณ์การเมืองในไทยให้นักศึกษาฝรั่งเศสที่มาสังเกตการณ์การชุมนุม ที่ จตุรัสสาธารณรัฐ ปารีส 22 พ.ค. 58 ภาพโดย ดิน บัวแดง
จรัล อธิบายกระบวนการขอสัญชาติเบื้องต้นด้วยว่า การขอสัญชาติสำหรับผู้ลี้ภัยสามารถขอได้ทันที ถ้าเป็นคนทั่วไปถ้าแต่งงานกับคนฝรั่งเศส ต้องใช้เวลา 3 ปีขึ้นไป และถ้าเป็นคนธรรมดาต้องอยู่มากกว่า 5 ปี อย่างไรก็ตามการเป็นผู้ลี้ภัยกระบวนการยาวนานมาก โดยทั่วไป 2 ปี แต่ตน 1 ปี 9 เดือน เพราะว่ามันขาดเอกสารที่เป็นต้นฉบับ รวมทั้งการทดสอบด้านภาษาที่ตนมีความรู้ด้านนี้อยู่แล้วเนื่องจากเคยเรียนที่นี่ สำหรับสถานะผู้ลี้ภัยเขาให้ 10 ปี สำหรับการอยู่ แล้วก็ต้องต่อสถานะผู้ลี้ภัยไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเป็นสัญชาตินั้นจะได้รับการคุ้มครองจากรัฐที่นี่ดีกว่า แต่ถ้าเป็นการคุ้มครองสากลการเป็นผู้ลี้ภัยจะดีกว่าเพราะจะได้รับการคุ้มครองจากประเทศที่ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย

ประยุทธ์ยันดูแลแรงงานไทย-ต่างด้าวเท่าเทียม วอนอย่าหลงเชื่อวาทกรรมโจมตีรัฐ


ประยุทธ์แจงการบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารจัดการของคนต่างด้าว และการใช้ ม.44 ชะลอหรือเลื่อนการบังคับใช้บางมาตราที่มีบทลงโทษรุนแรงไปก่อน ยันดูแลแรงงานไทย-ต่างด้าวเท่าเทียม วอนอย่าหลงเชื่อวาทกรรมโจมตีรัฐ
เมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อกังวลของภาคเอกชนเกี่ยวกับการบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารจัดการของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ว่า รัฐบาลรับทราบปัญหาและเข้าใจถึงความเดือดร้อนของผู้ประกอบการที่จำเป็นต้องใช้แรงงานต่างด้าว โดยจะใช้ ม.44 ชะลอหรือเลื่อนการบังคับใช้บางมาตราที่มีบทลงโทษรุนแรงไปก่อน เพราะนายจ้างและลูกจ้างเตรียมตัวไม่ทัน แต่มาตราที่เหลือยังคงบังคับใช้อยู่ โดยในสัปดาห์นี้ทุกอย่างจะเรียบร้อย ขอให้ทุกฝ่ายอย่าได้กังวล แรงงานต่างด้าวยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวยืนยันว่า รัฐบาลเคารพในพันธะกรณีที่ทำไว้กับประเทศต่าง ๆ และให้ความสำคัญกับการต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยจะไม่ให้การใช้หรือไม่ใช้ พ.ร.ก.คนต่างด้าว เป็นอุปสรรคในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม การออกกฎหมายดังกล่าวนั้นถือเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อสร้างมาตรฐานของการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในไทย ซึ่งสอดคล้องกับกฎกติกาและการยอมรับของต่างประเทศ
นอกจากนี้  พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้เน้นย้ำว่า รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลแรงงานทุกคนที่อยู่ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแรงงานไทยหรือแรงงานต่างด้าว ภายใต้หลักมนุษยธรรมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จึงฝากให้สติแก่สังคมว่าอย่าหลงเชื่อวาทกรรมที่กล่าวอ้างว่ารัฐบาลเอาใจแรงงานต่างด้าว ไม่สนใจแรงงานไทย เพราะต้องยอมรับความจริงว่า แรงงานไทยราว 38.3 ล้านคน ทั้งที่เป็นแรงงานในระบบ 17 ล้านคน และแรงงานนอกระบบ 21.3 ล้านคน ไม่นิยมทำงานบางอย่าง ทำให้แรงงานขาดแคลน เช่น งานกรรมกร ก่อสร้าง ประมง เกษตร คนรับใช้ในบ้าน ฯลฯ จึงจำเป็นต้องอาศัยแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทำแทน ซึ่งเป็นผลดีต่อทั้ง 2 ฝ่าย
“ไม่อยากให้มองการแก้ปัญหาเป็นเรื่องการเมือง แต่ทุกคนควรมองถึงกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น กฎหมายต่อต้านการค้ามนุษย์ พันธะสัญญาต่าง ๆ ที่แต่ละประเทศมีร่วมกัน และเราจะต้องเดินหน้าแก้ไขข้อบกพร่องที่มีอยู่ทั้งระบบเพื่อให้เกิดความยั่งยืน รัฐบาลนี้จึงต้องหามาตรการที่เหมาะสมเข้ามาดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎหมายและบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งการดูแลสวัสดิการและคุณภาพชีวิตของแรงงานต่างด้าวและแรงงานไทยอย่างเท่าเทียมกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ ยังขอให้ทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชน หันมาร่วมกันแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง เพราะเป็นปัญหาระดับประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจได้ หากแต่ละคนละเลย เพิกเฉย ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือมองแต่เพียงประโยชน์ของตนเองฝ่ายเดียว