วันอังคารที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2560

ภาคประชาชนวอล์คเอาท์เวทีประชาพิจารณ์แก้ พ.ร.บ.สสส.


เวทีประชาพิจารณ์แก้ไขกฎหมาย สสส. ภาคประชาสังคมหลายคนร่วมเดินออกจากห้องประชุมระบุไม่ต้องการเป็นตรายางในกระบวนการที่รวบรัด ยืนยัน สสส.จำเป็นต้องใช้งบแบบตีความกว้างกว่า เหล้า บุหรี่ อุบัติเหตุ เพื่อสร้างสุขภาวะ ไม่เห็นด้วยแก้ไขปรับสัดส่วนกรรมการโดยตัดภาคสังคม ลดงบประมาณ
3 เม.ย. 2560  ในเวทีประชาพิจารณ์ ร่างพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (ฉบับที่...) พ.ศ. ... ฉบับที่ผ่านความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงยุติธรรม ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าผู้เข้าร่วมจากภาคประชาสังคมจำนวนมากตั้งคำถามกับกระบวนการร่าง พ.ร.บ.นี้ พร้อมเรียกร้องให้ยุติเวทีสัมมนาประชาพิจารณ์เพื่อทบทวนใหม่ และเริ่มมีการทยอยวอล์คเอาท์ (walk out) ออกจากห้องประชุม อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินการสัมมนาจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า การสัมมนาต้องดำเนินต่อไป หากไม่อ่านเนื้อหาในร่างก็จะเป็นการเสียสิทธิในเสนอเพื่อพิจารณาขั้นต่อไป ภาคประชาสังคมจึงมีข้อสรุปไม่เข้าร่วมการประชุมต่อในช่วงบ่าย ทำให้ในช่วงบ่ายมีผู้เข้าร่วมลดกว่าครึ่ง เหลือราว 100 คน
ผู้เข้าร่วมประชาพิจารณ์ที่วอล์คเอาท์คนแรกคนแรกคือ นางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก โดยให้เหตุผลว่า การแก้ไข พ.ร.บ.สสส. เป็นการตั้งโจทย์ผิดตั้งแต่เริ่ม เพราะการร่างกฎหมายนี้มีหลักการและเหตุผลว่า การดำเนินงานของ สสส.ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและไม่ความคุ้มค่าทางภารกิจ แต่ข้อเท็จจริงคือ ผลการตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ต่างก็ออกมาระบุว่าไม่มีการทุจริต แต่มีการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์หรือกว้างกว่ากรอบที่วางไว้เท่านั้น  
ทิชา ชี้ว่า ภายใต้การเกิดขึ้น สสส. เมื่อ 14 ปีที่แล้วที่มีเงื่อนไขทางสุขภาพคือ เหล้า บุหรี่ และอุบัติเหตุ เท่านั้น แต่เมื่อทำงานจริงทำให้พบว่าประเด็นที่เกี่ยวข้องกว้างไกลไปกว่าเรื่องเหล่านี้ เรื่องสุขภาพอาจเป็นเรื่องความมั่นคงทางอาหารหรืออื่นๆ ด้วยก็ได้ ซึ่งสอดคล้องกับนิยามสุขภาพของ WHO ที่รวมไปถึงด้านกาย ใจ ปัญญา และสิ่งแวดล้อม
“หากถามถึงความคุ้มค่า องค์กรรัฐที่มีหน้าที่โดยตรงทำอะไรคุ้มค่าบ้าง กระทรวงศึกษาธิการ ใช้งบ 4 แสนล้านบาท หรือปัญหาความมั่นคงที่ภาคใต้ใช้เงิน 2 แสนล้านบาท ถามว่าตอนนี้คุ้มค่าหรือยัง วันนี้เราไม่ได้เอาความชั่วมาถกเถียงกัน แต่ต้องการสร้างความยุติธรรมให้ทุกฝ่าย” นางทิชา กล่าว
นางทิชาย้ำว่า สสส.มีเรื่องต้องปรับปรุงเช่นกัน แต่การปรับปรุงที่เกิดขึ้นในเวลานี้ไม่ตรงไปตรงมา บิดเบือน และเป็นห่วงว่าเมื่อสิ้นสุดการประชาพิจารณ์ ตนเองจะกลายเป็นหนึ่งในการสร้างความชอบธรรมให้การประชาพิจารณ์ครั้งนี้
“เริ่มต้นก็ไม่เป็นธรรม มีเหตุผลอะไรที่ต้องสร้างความชอบธรรมให้” นางทิชากล่าวและวอล์กเอาท์ออกจากห้องประชุมทันที
ต่อมานายวันชัย บุญประชา กรรมการและเลขานุการมูลนิธิครอบครัวไทย ตั้งคำถามถึงการมีส่วนร่วมในการร่าง พ.ร.บ. สสส. โดยถามว่า มีตัวแทนจาก สสส.เข้าร่วมด้วยหรือไม่ หากเข้าร่วม เหตุใดจึงปล่อยให้มีร่างกฎหมายลักษณะแบบนี้ออกมา ส่วนตัวคิดว่าไม่มีความจำเป็นในการมีส่วนร่วมในการประชาพิจารณ์ครั้งนี้ เพราะเหมือนเป็นแค่ทำให้ครบไปตามกระบวนการเท่านั้น แต่ไม่ได้ฟังเสียงประชาชน ทั้งที่ควรฟังเสียงคนที่ทำงานกับ สสส.มา 10 ปี ไม่ใช่แค่คนจาก 3 กระทรวง
"ไม่เห็นด้วยกับการจัดสัมมนาแบบนี้ รวบรัดและสมคบคิด มันเหมือนเป็นพิธีกรรม พวกเราไม่สบายใจ" นายวันชัย กล่าว
เช่นเดียวกับ นายไพศาล ลิ้มสถิตย์ กรรมการบริหารศูนย์กฎหมาย สุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ที่กล่าวถึงกระบวนการรับฟังความคิดเห็นว่า อาจจะไม่สอดคล้องกับร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติไปในมาตรา 77 ที่บัญญัติว่า รัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นผู้เกี่ยวข้องอย่างรอบด้านและเป็นระบบ เปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นต่อประชาชนและนำมาปรับปรุงแก้ไข เพราะไม่แน่ใจว่ามีกระบวนการเหล่านี้ในการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้
นายวิษณุ ศรีทะวงศ์ ผู้จัดการแผนพัฒนานโยบายสาธารณะ สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) กล่าวว่า ประเทศไทยมีกองทุนจำนวนมาก แต่ที่เป็นกองทุนเชิงนวัตกรรมมีน้อย และบางกองทุนยังไม่มีประสิทธิภาพ อยากขอให้ใช้มาตรการเดียวกันในการตรวจสอบมาตรฐาน
"สังคมไทยไม่มีกลไกสร้างพลังร่วม สสส. ทำให้หลายหน่วยงานจับไม้จับมือร่วมกันทำงานได้" นายวิษณุกล่าวพร้อมเสนอว่า เมื่อผลสอบ คตร. ออกมาว่าเข้าใจผิดแล้ว ก็น่าจะมีวิธีเสริมพลัง ไม่ใช่เล่นบทลงโทษ
หลังจากนั้น คำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงานขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน (ขสช.) แถลงข่าวในนาม ขสช. หน้าห้องจัดสัมมนาประชาพิจารณ์ โดยแสดงจุดยืนคัดค้านการจัดเวทีดังกล่าว พร้อมขอให้ยุติวิธีการอันไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุผลว่ากระบวนการและขั้นตอนจัดทำร่างแก้ไข พ.ร.บ.สสส. ครั้งนี้ขาดการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน ไม่สอดคล้องกับมาตรา 77 ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติ ขณะที่ในหลักการและเหตุผลในการแก้ไข ไม่มีการศึกษาทางวิชาการอย่างเป็นระบบ และยังขัดแย้งกับข้อเท็จจริง เช่น กรณีที่อ้างว่า สสส.ใช้จ่ายเงินไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ทั้งที่ สสส. ได้รับผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในระดับสูงมาก จาก คตช. และ ป.ป.ท.นอกจากนี้ยังกังวลว่า การแก้ไขนี้จะทำให้ประสิทธิภาพในการสร้างเสริมสุขภาพลดลง เพราะมีการปรับลดงบประมาณ และดึงงบประมาณเข้าสู่ระบบราชการ 
“กระทรวงสาธารณสุขต้องจัดเวทีมากกว่านี้ ไม่ใช่แค่สองครั้งที่กรุงเทพฯ งานของ สสส.ครอบคลุมประชากรทั่วประเทศ อย่างน้อยต้องจัดเวทีกระจายทั้งสี่ภาค” นายคำรณกล่าวและว่า หลังสงกรานต์นี้จะยื่นคำถามและข้อเรียกร้องถึงนายกรัฐมนตรี เนื่องจากในการประชุมมีการระบุว่า นายกฯ เป็นคนสั่งการ
นายคำรณ กล่าวว่า นอกจากหลักการและเหตุผลแล้ว เนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.สสส. ยังมีปัญหา อาทิ การตัดรองประธานกรรมการคนที่ 2 ซึ่งมาจากภาคประชาสังคมออก และเพิ่มคณะกรรมการที่มาจากวิชาชีพแพทย์และพยาบาล ทำให้สัดส่วนของภาคราชการมากกว่าประชาสังคม ทั้งยังมีการปรับรูปแบบการเสนองบโครงการให้คล้ายกับรูปแบบของกระทรวง คือให้รัฐมนตรีกระทรวงการคลังพิจารณาและทำแผนตามกรอบเวลา ซึ่งไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของการก่อตั้ง สสส. นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนงบประมาณจาก 2% ของภาษีเหล้าและบุหรี่ เป็นไม่เกินกว่า 4 พันล้านบาท ซึ่งคิดเป็นเพียง 0.16% ของงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งไม่สอดคล้องกับปัญหาสุขภาพของประชาชน
“เงินตรงนี้เป็นเงินที่เก็บเพิ่มจากธุรกิจเหล้าและบุหรี่ ไม่ได้เบียดเบียนภาษีประชาชน ถึงไม่เก็บเพิ่มเงินก็ไม่ได้เข้าคลัง หากเป็นแบบนี้ธุรกิจก็ไม่ได้จ่าย” นายคำรณกล่าว

แถลงการณ์คัดค้านกระบวนการและขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็น
ร่างพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(ฉบับที่...) พ.ศ. ...

จากการจัดเวทีสัมมนาประชาพิจารณ์ ร่างพระราชาบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(ฉบับที่...) พ.ศ. ... วันที่ 3 เมษายน 2560โดยกระทรวงสาธารณสุข ณ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน(ขสช.) ซึ่งเป็นองค์กรภาคี 30 เครือข่าย ที่ขับเคลื่อนการปฏิรูประบบสุขภาพ และดำเนินงานการสร้างเสริมสุขภาพมาตลอดระยะเวลาหลาย 10 ปี มีความเห็นต่อการจัดเวทีสัมมนาประชาพิจารณ์ในครั้งนี้ ดังต่อไปนี้
1.    กระบวนการและขั้นตอนการจัดทำร่างแก้ไข พ.ร.บ. สสส. ขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ไม่สอดคล้องกับมาตรา 77 ของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ..... ที่ผ่านประชามติไปแล้ว โดยรัฐไม่ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่ารอบด้านและเป็นระบบ อีกทั้งไม่เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ.2548
2.    หลักการและเหตุผลในการขอแก้ไข พ.ร.บ. สสส. ไม่มีการศึกษาทางวิชาการอย่างเป็นระบบถึงวัตถุประสงค์ในการแก้ไขว่าจะเกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างไร นอกจากนี้ เหตุผลที่ขอแก้ไขยังขัดแย้งกับความเป็นจริง เช่น การอ้างว่า สสส. มีการจ่ายเงินงบประมาณไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ซึ่งขัดแย้งกับข้อเท็จจริง ที่คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ(คตช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(สำนักงาน ป.ป.ท.) ให้การรับรองและมอบเกียรติบัตรเชิดชูเกียรติแก่ สสส. ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่ได้รับผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในระดับสูงมาก ซึ่งลงนามโดยนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ การแก้ไขจะทำให้กระบวนการสร้างเสริมสุขภาพด้อยประสิทธิภาพลง  ด้วยการลดงบประมาณและดึงงบประมาณ สสส.เข้าสู่ระบบราชการ ที่สวนทางกับแนวทางขององค์การอนามัยโลกซึ่งให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมสุขภาพ และยกย่องให้ สสส. เป็นองค์กรนวัตกรรม และเป็นตัวอย่างของนานาชาติด้านการสร้างเสริมสุขภาพ
ขสช. ขอคัดค้านและขอให้ยุติวิธีการอันไม่ถูกต้อง ขสช.จึงมีความเห็นว่า กระบวนการการแก้ไขกฎหมายที่ดีจะต้องเริ่มต้นด้วยการให้มีคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง ประกอบด้วยผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทำหน้าที่ศึกษาและรวบรวมข้อมูลหลักฐาน รวมถึงการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ จากนั้นจึงนำไปสู่กระบวนการแก้ไขกฎหมาย และรับฟังความคิดเห็นอย่างครอบคลุมและทั่วถึง

ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน(ขสช.)
 

ผอ.ฝ่ายข่าว-รายการข่าว Voice TV แจงกลับมาอีกครั้ง ทำได้เพียงรายงานข่าวเท่านั้น


ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายข่าวและรายการข่าว Voice TV แจงการกลับมาของหลังจอดำ 7 วัน จะไม่ใช่ในรสชาติเดิม ประเด็นการเมืองที่พาดพิงกระทบกระเทือน ผู้มีอำนาจ ต้องหยุดนำเสนอชั่วคราว และยังไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่ จะนำเสนอแบบนั้นได้ ทำได้เพียง รายงานข่าว เท่านั้น 
4 เม.ย.2560  ตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. 2560 เวลา 00.01 น. คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ที่ให้พักใบอนุญาตสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี เป็นเวลา 7 วัน ล่าสุดเมื่อเวลา 00.01 น. วันนี้ (4 เม.ย.60) ซึ่งครบกับหนดมติพักใบอนุญาตของ  กสท. ดังกล่าว ประทีป คงสิบ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายข่าวและรายการข่าว Voice TV ได้เขียนบทความชื่อ "การกลับมาของ “วอยซ์ ทีวี” (อีกครั้ง)" ระบุว่า การเกิดใหม่คราวนี้ แม้ยังคงจิตวิญญานเดิม แต่จำเป็นต้องปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงบางอย่าง  ในรายการข่าวและวิเคราะห์ข่าว  เพื่อให้มีลมหายใจต่อไปในโลกที่ไม่ปกติ ทุกรายการและทุกผู้ดำเนินรายการ ที่เคยมีปัญหาในสายตา ของผู้มีอำนาจยังคงอยู่  ไม่ว่าจะเป็น wake up news,  tonight Thailand,  the daily dose,  voice news,  in her view, overview และ ใบตองแห้ง On Air
ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายข่าวและรายการข่าว Voice TV ระบุว่า ขอเรียนให้ทราบว่า จะไม่ใช่ในรสชาติเดิม ประเด็นการเมืองที่พาดพิงกระทบกระเทือน ผู้มีอำนาจ ที่เคยถูกมองว่าแหลมคม วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์อย่างรู้เท่าทัน  บนพื้นฐานของข้อมูลและข้อเท็จจริง  ภายใต้กรอบความเชื่อมั่นตามหลักการเสรีนิยม  ต้องหยุดนำเสนอชั่วคราว และยังไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่ จะนำเสนอแบบนั้นได้ ทำได้เพียง รายงานข่าว เท่านั้น ทั้งหมดนี้ เราไม่เรียกร้องขอความเห็นใจ จากใคร เพียงแต่อยากขอความ เข้าใจกับการกลับมาด้วยเนื้อหาและรสชาติใหม่ หวังว่าท่านผู้ชม จะไม่ด่วนปฏิเสธเรา
โดยมีรายละเอียดดังนี้

การกลับมาของ “วอยซ์ ทีวี” (อีกครั้ง)

ผ่านไปเกือบ 3 ปี  หลังถูกบังคับให้ “จอดำ” ครั้งแรก (20 พฤษภาคม 2557) ผมในฐานะผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายข่าวและรายการข่าว  วอยซ์ทีวี  ต้องกลับมาขออนุญาตส่งสารถึงท่านผู้ชม ในวาระที่ได้ “กลับมาเกิดใหม่”อีกครั้ง  ณ เวลา 00.01 วันอังคารที่ 4 เมษายน 2560
ย้อนไปดูต้นฉบับที่เคยเขียน   ในวันที่วอยซ์ทีวีกลับมาหลัง “จอดำ”ครั้งแรก ก็พบว่าแทบจะยกมาใช้ในการเขียนครั้งนี้ได้เกือบทั้งหมด  เพียงปรับเปลี่ยนรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเท่านั้น เพราะเหตุและผลไม่ต่างกันเลย แม้เวลาจะต่างกันเกือบ 3 ปี
ราวกับว่า  นอนหลับไปเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 (ที่จริงอาจกล่าวได้ด้วยซ้ำไปว่า หลับไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549)  ตื่นมาอีกทีวันที่ 4 เมษายน 2560  ภูมิทัศน์การเมืองในประเทศไทย ยังเหมือนเดิม
เมื่อครั้ง “จอดำ”ครั้งแรก ผู้ใหญ่ที่เคารพยกตัวอย่างวิถีชีวิต “หมีขั้วโลกเหนือ” ในช่วงเข้าฤดูหนาว ให้พวกเราชาววอยซ์ทีวี  ดูเป็นแบบอย่าง
“หมีขั้วโลกเหนือ” ในช่วงนั้น  จะจำศีลสงบนิ่งในโพรงน้ำแข็งหรือใต้ก้อนหิน รอวันเวลาอันหฤโหดของฤดูหนาวที่ยาวนานให้ผ่านพ้นไป  จนกว่าหิมะและน้ำแข็งเริ่มละลาย  แสงแดดกลับมาอีกครั้ง จึงจะเริ่มต้นชีวิตปกติใหม่ ซึ่งเราก็พยายามทำแบบนั้นอยู่ระยะหนึ่ง
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ผมนึกถึง “ฟีนิกซ์” สัตว์ที่ปรากฎในปกรณัมของอียิปต์โบราณ ที่บางครั้งหยิ่งผยอง บางครั้งเปี่ยมด้วยความเป็นมิตรและอ่อนโยน ตามตำนานฟินิกซ์มีชีวิตยั่งยืนนิรันดร์ เพราะสามารถฟื้นคืนชีพได้ด้วยตัวเอง เมื่อร่างกายสิ้นอายุขัย
ที่ผมนึกเปรียบฟีนิกซ์ ไม่ได้อาจหาญยกย่องตัวองค์กรอย่าง “วอยซ์ทีวี” แต่ผมหมายถึงจิตวิญญาณที่เชื่อมั่นใน “เสรีภาพ”ของการแสดงความเห็นในฐานะ “สื่อ” ของ “วอยซ์ทีวี” และสื่อในชื่อองค์กรต่างๆ  ที่ควรมีร่วมกัน
“ฟีนิกซ์”ในร่างของ "วอยซ์ทีวี'  ตายครั้งที่ 1 เมื่อค่ำวันอังคารที่ 20 พฤษภาคม 2557  ขณะที่รายการ “เดอะ เดลี่โดส” โดยม.ล.ณัฎฐกรณ์ เทวกุล  กำลังออกอากาศ
พร้อมเกิดใหม่เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2557
“ฟีนิกซ์” ตัวนี้ ตายเป็นครั้งที่ 2 เมื่อเวลา 00.01 วันที่ 28 มีนาคม 2560
และกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ณ เวลา 00.01 วันที่ 4 เมษายน 2560
การเกิดใหม่คราวนี้ แม้ยังคงจิตวิญญานเดิม แต่จำเป็นต้องปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงบางอย่าง  ในรายการข่าวและวิเคราะห์ข่าว  เพื่อให้มีลมหายใจต่อไปใน “โลกที่ไม่ปกติ”
ทุกรายการและทุกผู้ดำเนินรายการ ที่เคยมีปัญหาในสายตา ของผู้มีอำนาจยังคงอยู่  ไม่ว่าจะเป็น wake up news / tonight Thailand / the daily dose / voice news / in her view / overview / ใบตองแห้ง On Air
แต่ขอเรียนให้ทราบว่า จะไม่ใช่ในรสชาติเดิม ประเด็นการเมืองที่พาดพิงกระทบกระเทือน “ผู้มีอำนาจ”  ที่เคยถูกมองว่าแหลมคม  วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์อย่างรู้เท่าทัน  บนพื้นฐานของข้อมูลและข้อเท็จจริง  ภายใต้กรอบความเชื่อมั่นตามหลักการเสรีนิยม  ต้องหยุดนำเสนอชั่วคราว (และยังไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่ จะนำเสนอแบบนั้นได้) ทำได้เพียง “รายงานข่าว” เท่านั้น
ทั้งหมดนี้ เราไม่เรียกร้องขอความ “เห็นใจ” จากใคร เพียงแต่อยากขอความ “เข้าใจ”กับการกลับมาด้วยเนื้อหาและรสชาติใหม่ หวังว่าท่านผู้ชม  จะไม่ด่วนปฏิเสธเรา
ย้ำอีกที  “ฟินิกซ์” ในร่างเดิม ตายเป็นครั้งที่สองไปแล้ว เมื่อกลางดึกวันที่ 28 มีนาคม 2560
อย่างไรก็ดี  เรายังคงยืนหยัดความเป็น “สถานีข่าวปลุกความคิด” เพราะแก่นแกนสำคัญของเนื้อหาโดยรวม   ยังอยู่ที่จุดเดิม smart content “ฉลาดคิด ฉลาดใช้ชีวิต”
ขอบพระคุณทุกกำลังใจที่ส่งให้ “วอยซ์ทีวี” และหวังว่าทุกท่านจะยังคงเดินร่วมทางไปกับเรา จนกว่าจะถึง “โลกที่ปกติ”
ด้วยจิตคารวะ
ประทีป คงสิบ
ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายข่าวและรายการข่าว  วอยซ์ทีวี
4 เมษายน 2560

ประวิตร ดันรถถังจีนเข้าครม.


สื่อหลายสำนัก เผย พล.อ.ประวิตร เตรียมดัน 'รถถัง VT4' จากจีน วงเงิน 2,000 ล้านบาทเข้า ครม. แทนเรือดำน้ำ
3 เม.ย.2560 สื่อหลายสำนัก เช่น มติชนออนไลน์ คมชัดลึกออนไลน์และกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รายงานตรงกันว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 4 เม.ย.นี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังไม่นำโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำYuan Class S26T จากจีน ของกองทัพเรือจำนวน 3 ลำ วงเงิน 36,000 ล้านบาท เข้า ครม. เนื่องจากขณะนี้โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการตรวจความถูกต้องเรื่องสัญญาและรายละเอียดด้านอื่นๆ ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมยังไม่แล้วเสร็จ แต่จะมีการนำโครงการจัดซื้อรถถัง VT4 จากจีนของกองทัพบก ในระยะที่ 2 จำนวนเงินประมาณ 2,000 ล้านบาท เข้า ครม.แทน 
รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า โครงการจัดซื้อรถถัง VT4 ของกองทัพบก เพื่อทดแทนรถถังเบา M41 ของสหรัฐอเมริกา โดยก่อนหน้านี้กองทัพบกได้ลงนามซื้อรถถัง VT- 4 จากประเทศจีน ไปแล้ว 28 คัน ในสมัย พล.อ.ธีรชัย นาควานิช องคมนตรี เป็นผู้บัญชาการทหารบก และ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ได้พิจารณาจัดหาต่อในระยะ 2 เพื่อให้ครบ 1 กองพัน ในปีงบประมาณ 2560 โดยผูกพันงบประมาณ 3 ปี ซึ่งคาดว่า รถถัง VT- 4 จะกระจายไปอยู่ใน 3 กองพัน ประกอบด้วย กองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์(ม.พัน 4 รอ.)กองพันทหารม้าที่ 9 รักษาพระองค์(ม.พัน 9 รอ.)กองพันทหารม้าที่ 8 รักษาพระองค์(ม.พัน 8 รอ.) 

ครม.ไฟเขียว ช็อปรถถังจีน อีก 10 คัน กว่า 2 พันล้าน


พล.อ.ประวิตร เผย ครม.อนุมัติจัดซื้อรถถัง VT-4 จากจีน ระยะ 2 อีก 10 คัน หลังซื้อไปแล้ว 28 คัน
4 เม.ย.2560 จากรที่มีกระแสข่าวว่าการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้ (4 เม.ย.60)  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังไม่นำโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำYuan Class S26T จากจีน ของกองทัพเรือจำนวน 3 ลำ วงเงิน 36,000 ล้านบาท เข้า ครม.แต่จะมีการนำโครงการจัดซื้อรถถัง VT4 จากจีนของกองทัพบก ในระยะที่ 2 จำนวนเงินประมาณ 2,000 ล้านบาท เข้า ครม.แทน นั้น
ล่าสุด Voice TV และโพสต์ทูเดย์ รายงาน่า  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า วันนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติจัดซื้อรถถัง VT-4 จากจีน ในระยะที่ 2 อีก 10 คัน  รวมเป็นเงินกว่า 2 พันล้านบาท   เพื่อเข้าประจำการของกองทัพบก (ทบ.) หลังจัดซื้อไปก่อนหน้านี้สมัย
รายงานข่าวระบุอีกว่า ส่วนที่เหลืออีก 11 คัน จะแยกไปเป็นอีกกองพัน จะจัดซื้อในระยะที่ 3 รวมทั้งสิ้นที่สั่งซื้อจากจีน 49 คัน ผูกพันธ์งบประมาณ 3 ปีเพื่อทดแทนรถถังขนาดเบา M-41 ของสหรัฐฯ ที่ใช้งานมากว่า 40 ปี
สำหรับโครงการจัดซื้อรถถัง VT4 ของกองทัพบก นั้น เพื่อทดแทนรถถังเบา M41 ของสหรัฐอเมริกา โดยก่อนหน้านี้กองทัพบกได้ลงนามซื้อรถถัง VT- 4 จากประเทศจีน ไปแล้ว 28 คัน ในสมัย พล.อ.ธีรชัย นาควานิช องคมนตรี เป็นผู้บัญชาการทหารบก และ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ได้พิจารณาจัดหาต่อในระยะ 2 เพื่อให้ครบ 1 กองพัน ในปีงบประมาณ 2560 โดยผูกพันงบประมาณ 3 ปี ซึ่งคาดว่า รถถัง VT- 4 จะกระจายไปอยู่ใน 3 กองพัน ประกอบด้วย กองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์(ม.พัน 4 รอ.)กองพันทหารม้าที่ 9 รักษาพระองค์(ม.พัน 9 รอ.)กองพันทหารม้าที่ 8 รักษาพระองค์(ม.พัน 8 รอ.) 

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคดีระเบิดเวที กปปส.ตราด เหตุพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนัก


ศาลอุทธรณ์มีพิพากษาคดีเหตุกราดยิงเวที กปปส.จังหวัดตราดเมื่อก.พ.57 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 เหตุพยานโจทก์ให้การขัดแย้งกันจึงรับฟังไม่ได้ ส่วนจำเลยที่ 2และ 3 ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องตามศาลชั้นต้น ภายหลังอ่านคำพิพากษาศาลมีคำสั่งไม่ให้ขังจำเลยทั้งสามระหว่างฎีกา
4 เม.ย.2560 เว็บไซต์ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ศาลจังหวัดตราดมีนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดียิงและปาระเบิดเวทีการชุมนุมของ กปปส. ที่จังหวัดตราดเมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2557 จำเลยในคดีนี้ได้แก่ นายวัชระ กระจ่างกลาง จำเลยที่ 1 นายสมศักดิ์ พูลสวัสดิ์ จำเลยที่ 2 และนายสมศักดิ์ สุนันท์ จำเลยที่ 3 อัยการฟ้องทั้งสามคนในข้อหา ร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้, พาอาวุธไปในที่สาธารณะ, ร่วมกันใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ในการทำความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นและร่วมกันยิงปืนในที่สาธารณะ
ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแก้ในส่วนของนายวัชระ จำเลยที่ 1 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 5 ปี ในข้อหาครอบครองอาวุธที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ เนื่องจากศาลเห็นว่าคำให้การของพยานโจทก์ขัดแย้งกันจึงไม่สามารถรับฟังได้และการที่โจทก์นำสืบว่าอาวุธที่ตรวจยึดมาได้จากห้องพักของ น.ส.จันทนา วรากรณ์สกุลกิจน์ (อ่านเพิ่มเติม ที่นี่) เป็นอาวุธที่ใช้ในการก่อเหตุ แต่ก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าจำเลยทั้ง 3 คน ได้ครอบครองอาวุธเหล่านี้มาก่อน
ในส่วนข้อหาร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสามคนตามศาลชั้นต้น โดยศาลได้พิจารณาจากการที่จำเลยได้ต่อสู้ว่าคำรับสารภาพของจำเลยไม่ได้มาโดยสมัครใจอีกทั้ง พยานคนหนึ่งก็ได้ให้การมีพิรุธจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวงหรือโดยมิชอบประการอื่น ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 อีกทั้งพยานหลักฐานแวดล้อมที่มีการตรวจพิสูจน์ DNA ก็ไม่ได้ถูกตรวจยึดจากที่เกิดเหตุและโจทก์ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าพยานหลักฐานเหล่านี้เกี่ยวกับการก่อเหตุอย่างไร
ตามเหตุผลข้างต้นศาลอุทธรณ์จึงได้พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 3 ในทุกข้อหา ภายหลังอ่านคำพิพากษาศาลได้มีคำสั่งไม่ให้ขังจำเลยทั้ง 3 คนระหว่างรอการฎีกาคดี
คดีนี้อัยการได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้ง 3 คนได้แก่ นายวัชระ นายสมศักดิ์ พูลสวัสดิ์ และนายสมศักดิ์ สุนันท์ ได้ร่วมกันพาอาวุธไปบริเวณจัดชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) จังหวัดตราด และใช้อาวุธปืนยิงใส่เป็นจำนวนหลายนัดและขว้างระเบิด 2ลูกใส่พื้นที่การชุมนุมดังกล่าว ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 รายได้แก่ ด.ญ.ฬิฬาวัลย์ พรหมชัย นางพิศตะวัน อุ่นใจ และด.ญ.ณัฏฐ์ชยา รอสูงเนิน และผู้บาดเจ็บสาหัสอีกรวม 9ราย
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 26ม.ค.2559 ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษา ตัดสินจำคุก 5 ปี นายวัชระ กระจ่างกลาง จำเลยที่ 1 ในข้อหาครอบครองอาวุธที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ส่วนจำเลยที่ 2 สมศักดิ์ พูลสวัสดิ์ และจำเลยที่ 3 สมศักดิ์ สุนันท์ ศาลพิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา แต่ศาลได้มีคำสั่งให้ควบคุมตัวในเรือนจำระหว่างรออัยการพิจารณายื่นหรือไม่ยื่นอุทธรณ์ ส่วนอาวุธของกลางให้ยึดไว้ และยกคำร้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าสินไหมทดแทนของผู้เสียหายทั้ง 7 คนที่ได้ยื่นคำร้องต่อศาล
นอกจากคดีนี้แล้วนายสมศักดิ์ พูลสวัสดิ์ จำเลยที่ 2 ในคดียังถูกดำเนินคดีข้อหาครอบครองอาวุธสงครามอีกหนึ่งคดี เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีการครอบครองและเคลื่อนย้ายอาวุธที่เป็นของ น.ส.มนัญชยา เกตุแก้วและ น.ส.กริชสุดา คุนะแสน ไปส่งต่อให้ น.ส.จันทนา วรากรสกุลกิจ อีกทั้งคำฟ้องยังระบุอีกว่าอาวุธปืนของกลางในคดีได้ถูกนำไปใช้ในเหตุการณ์ของคดีร่วมกันก่อเหตุยิงเวที กปปส. จังหวัดตราดเมื่อกุมภาพันธ์ ปี 2557 ซึ่งเป็นคดีที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาในครั้งนี้ ทั้งนี้ศาลอาญาได้มีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่สองของนายสมศักดิ์ไปเมื่อ 27ธ.ค.2559 เนื่องจากศาลเห็นว่าฝ่ายโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานและหลักฐานยืนยันว่าสมศักดิ์เกี่ยวข้องกับของอาวุธกลางในคดี และคำให้การในชั้นสอบสวนมีการตกลงกับทหารมาก่อนถือเป็นการจูงใจโดยมีผลตอบแทน