วันพุธที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2560

ประยุทธ์ ชี้เรือดำน้ำโปรจีน เด็ดสุด ซื้อ 2 แถม 1 ถูก-คุณภาพใช้ได้ พร้อมบริการเสริมแน่น


Tue, 2017-03-21 20:01
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ จากจีน ราคาถูกที่สุดและคุณภาพใช้ได้ แล้วก็มีการบริการต่างๆ ไม่ว่าจะระบบอาวุธ ระบบการซ่อม ซื้อ 2 ลำ ให้ 3 ลำ

21 มี.ค.2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ จากประเทศจีน จำนวน 3 ลำ ว่า เขาบอกแล้วไง เขาแถม ใช่เปล่าเรื่อดำน้ำใช่ไหม ที่เขาบอกว่าซื้อ 2 ลำ ให้ 3 ลำ ใช่ไหม มันประหยัดกว่า
"พวกเราต้องเข้าใจว่า อันแรก ทุกคนต้องเข้าใจในเหตุผลความจำเป็นในการที่ต้องมี อันที่หนึ่ง ถ้าเข้าใจตรงกันโอเค ต้องมี อันที่สอง คือ มีแล้วจะซื้อจากไหน เพราะเราผลิตเองไม่ได้ เราไม่มีเงินเพียงพอที่จะไปซื้อของแพงๆ  อันที่สาม คือ ไอ้ที่มันเป็นตัวเลือกนี่ ราคามันถูกกว่า แต่คุณสมบัติมันยังต่ำนี่รับได้ไหม ปลอดภัยไหม ซึ่งมันก็มีหลายอย่าง วันนี้กองทัพไทยก็ซื้อของแบบนี่ล่ะ เพราะเงินเรามีน้อยไง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ถ้าเปิดในเว็บไซต์ มันมีขายทุกอย่างทุกยี่ห้อ แล้วยี่ห้อที่ใช้แล้วดี นั่งแล้วดีปลอดภัย  ซึ่งความปลอดภัยมีเหมือนกัน เพียงแต่คุณภาพอาจจะเป็นประเทศที่มีชื่อเสียง เมื่อผลิตออกมาก็จะมีความเชื่อมั่นมากกว่า หรือแพงกว่า ดังนั้นเราต้องดูหลายอย่าง
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ราคาถูกที่สุดและคุณภาพใช้ได้ แล้วก็มีการบริการต่างๆ ไม่ว่าจะระบบอาวุธ ระบบการซ่อมการอะไรต่างๆ การช่วยกันสนับสนุนการก่อสร้างโรงเก็บเรือ มันเป็นข้อเสนอเพิ่มเติมขึ้นมา และโครงการนี้เป็นโครงการจีทูจี หรือ โครงการรัฐต่อรัฐ  ตนสอบถาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แล้ว ท่านก็บอกว่ายินดีให้ผู้ตรวจเงินแผนดิน (สตง.) เข้ามาตรวจสอบนะ จริงๆ แล้ว สตง. ตรวจสอบมาตลอด ไม่ใช่ไม่ตรวจสอบ การซื้ออาวุธของกองทัพนี่ตรวจ ตอนตนเป็น ผบ.ทบ.นั้น สตง.ก็เข้าไปตรวจ มีข้อสังเกตให้ทางกองทัพก็รับข้อสังเกตมาพร้อมชี้แจงตามข้อเท็จจริง เมื่อรับได้เขาก็ให้หน่วยงานดำเนินการต่อ ไม่ใช่ว่าเป็นรัฐบาลนี้แล้วไม่ตรวจสอบ เขาตรวจสอบทุกโครงการ 

รมว.ยุติธรรม จ่อโอนคดี 'โกตี๋' เข้าดีเอสไอ เหตุเกี่ยวก่อการร้าย พบ M16 ที่หายปี 53

Tue, 2017-03-21 23:35

ประยุทธ์ ยันประสานลาวตามตัว 'โกตี๋' มาโดยตลอด ขอสื่ออย่าประโคมข่าวการลอบทำร้ายผู้นำ-จับอาวุธสงคราม หวั่นกระทบความเชื่อมั่นการลงทุน ด้านกต.โยนฝ่ายความมั่นคงขอตัวง่ายกว่า 
21 มี.ค.2560 รายงานข่าวระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงความคืบหน้าการตรวจยึดอาวุธสงครามจำนวนมากจากบ้านพักของเครือข่าย วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ (โกตี๋) แกนนำเสื้อแดงปทุมธานี ภายในบริษัท ไทยแม็กซ์กรุ๊ป จำกัด จ.ปทุมธานี และบ้านปูน 2 ชั้น ซึ่งขณะนี้หลบหนีอยู่ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่า เป็นเรื่องของการติดตามอยู่แล้ว ซึ่งได้มีการประสานความร่วมมือในระดับรัฐบาล และฝ่ายความมั่นคงของทั้ง 2 ประเทศมาโดยตลอด ความร่วมมือต่าง ๆ ดีขึ้น ส่วนจะได้ตัวโกตี๋หรือไม่ ต้องใช้เวลาต่อไป ส่วนข่าวการลอบสังหารนายกรัฐมนตรีนั้น มีการระวังตัวอยู่แล้วเป็นปกติ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี ก็มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่แล้ว 
พล.อ.ประยุทธ์  กล่าวแสดงความเป็นห่วงต่อการนำเสนอข่าว กรณีเรื่องการลอบทำร้ายผู้นำ รวมถึงการจับอาวุธสงครามว่า ขอให้สื่ออย่าประโคมข่าวมากนัก เพราะจะส่งผลกับความเชื่อของนักลงทุนต่างประเทศ และผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย 

เตรียมโอนคดีให้ดีเอสไอ

สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีดังกล่าวด้วยว่า เบื้องต้นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้รายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังพิจารณาจะส่งคดีของโกตี๋มาให้ดีเอสไอ เนื่องจากมีอาวุธเอ็ม 16 หนึ่งกระบอกซึ่งเป็นปืนที่หายไปเมื่อช่วงการชุมนุมทางการเมืองปี 2553 คดีมีความเกี่ยวเนื่องกับเรื่องการก่อการร้าย จึงเตรียมโอนอย่างเป็นทางการให้กับดีเอสไอ 
สำหรับการตรวจค้นอาวุธที่ผ่านมา สุวพันธุ์ กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคง ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการตามข้อมูลที่ได้รับและเป็นผลจากการสืบสวนที่มีมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อตรวจค้นพบอาวุธ พบหลักฐานที่อาจจะพัวพันกับคดีพิเศษ จึงเห็นว่าควรโอนไปให้ดีเอสไอดำเนินการ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับผลการสอบสวนที่กำลังดำเนินการ
“ตอนนี้รอหนังสืออย่างเป็นทางการ ส่วนการประสานกับทางการลาวเพื่อขอตัวโกตี๋มาดำเนินคดี ต้องถามรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง”  สุวพันธุ์ กล่าว

กต.โยนฝ่ายความมั่นคงขอตัวง่ายกว่า 

ขณะที่ ดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ กล่าวภายหลังการประชุมร่วม ครม. ถึงกรณีนี้ด้วยว่า ที่ประชุม ครม.ไม่ได้สั่งการ หรือกำชับอะไรต่อกระทรวงการต่างประเทศ ในการประสานงานกับผู้ที่หลบหนีคดีในต่างประเทศ รวมถึงกรณี วุฒิพงศ์
ต่อกรณีคำถามจะมีการประสานงานกับทางการลาวเพื่อส่งตัววุฒิพงศ์หรือไม่ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ในเรื่องนี้มีการขอตัวในระดับความมั่นคง ไม่ได้ผ่านกระทรวงการต่างประเทศ เราได้รับเพียงข้อมูล ถ้าจะขอตัวผ่านกระทรวงจะมีขั้นตอนตามกฎหมายที่มาก โดยเรื่องนี้ทางฝ่ายความมั่นคงเขาคุยกันอยู่แล้ว

ประยุทธ์ ปัดใช้ ม.44 จัดการ 'อูเบอร์' แต่ยังผิดกฎหมายอยู่ ชี้ต้องคุ้มครองแท็กซี่


'ขนส่ง' ยัน จับ-ปรับอูเบอร์ทันที หากมีผู้แจ้งเบาะแส ด้านแท็กซี่ชี้ปฏิเสธผู้โดยสารเหตุไม่คุ้ม กองตรวจการขนส่งทางบกสั่งปรับแท็กซี่แซวผู้โดยสารหน้าตาขี้เหร่ อบรมระเบียบการให้บริการ

21 มี.ค. 2560 รายงานข่าวระบุว่า เมื่อเวลา 14.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีปัญหาการร้องเรียนขอให้มีการใช้ ม.44 จัดการแอพพลิเคชั่นอูเบอร์ ว่า ไม่มีแนวคิดที่จะใช้ มาตรา 44 จัดการแอพพลิเคชั่นอูเบอร์ ซึ่งต้องไปดูก่อนว่าแอพฯ อูเบอร์ทำถูกกฎหมายหรือไม่  ซึ่งตอนนี้กำลังให้กระทรวงคมนาคมพูดคุยหาทางออก ทั้งนี้กฎหมายการให้บริการ การขนรับส่งผู้โดยสารโดยมีค่าตอบแทน มีกฎระเบียบ ข้อบังคับอยู่แล้ว คือกฎหมาย ที่ควบคุมเรื่องแท็กซี่ มีป้ายเหลือง และป้ายต่าง ๆ ต้องดำเนินการตามข้อบังคับ
พล.อ.ปะยุทธ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับแอพพลิเคชั่นอูเบอร์ ที่เป็นปัญหาเพราะมีคนร้องเรียนมาว่าทำผิดกฎหมาย ก็จำเป็นต้องไปตรวจสอบ ต้องไปจับกุม แต่ในขณะเดียวกันแอพพลิเคชั่นดังกล่าวก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่ก็ต้องหากฎหมายที่เหมาะสมว่าจะทำอย่างไร ที่จะไม่สร้างปัญหาใหม่ขึ้นมา ต้องช่วยกันพัฒนา และหามาตรการใหม่ที่จะไปเสริม แต่ในวันนี้แอพฯ ยังผิดกฎหมายอยู่ ก็ต้องคุ้มครองให้คนที่ขับแท็กซี่ที่ถูกต้องกฎหมายด้วย

'ขนส่ง' ยัน จับ-ปรับอูเบอร์ทันที หากมีผู้แจ้งเบาะแส 

ขณะที่ สนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ระบุว่า หากอูเบอร์ ยืนยันที่จะให้บริการในช่วงที่มีการศึกษาร่วมกัน 6 เดือน - 1 ปี เมื่อกรมการขนส่งทางบก ได้รับการร้องเรียนและแจ้งเบาะแส จะดำเนินการจับและปรับทันที เนื่องจากได้ชี้แจงข้อกฎหมายว่า รถที่ให้บริการสาธารณะอย่างถูกต้อง ต้องเป็นรถป้ายเหลือง ต้องจดทะเบียนบันทึกประวัติ ตรวจสอบสภาพรถปีละ 2 ครั้ง และทำประกันภัยรถ คนขับและผู้ใช้บริการ  
ส่วนคณะกรรมการ ที่จะเข้ามาศึกษาแนวทางข้อกฎหมาย เพื่อรองรับการให้บริการรถในรูปแบบอูเบอร์นั้น อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ระบุว่า ต้องใช้เวลาอีกระยะ โดยขณะนี้ ได้ติดต่อไปยัง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ แล้ว น่าจะตั้งคณะกรรมการได้ภายในเดือนนี้  ขณะที่ การติดตั้งจีพีเอส ในรถตู้โดยสารสาธารณะหมวด 2 เส้นทางกรุงเทพ-ต่างจังหวัด ของ บขส. ขณะนี้คืบหน้าแล้วกว่าร้อยละ 80 จากจำนวนรถทั้งหมด 6,000 คัน เชื่อจะติดตั้งครบตามกำหนด 

ด้านแท็กซี่ชี้ปฏิเสธผู้โดยสารเหตุไม่คุ้ม

วิฑูรย์ แนวพานิช ประธานเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ในเขตกรุงเทพมหานคร ได้เปิดเผยถึงปัญหาที่แท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสารว่าต้องการให้กระทรวงคมนาคมทบทวนโครงสร้างค่าโดยสารในปัจจุบันให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เนื่องจากสาเหตุหลักของการปฏิเสธผู้โดยสาร เหตุเพราะไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงทำให้ไม่คุ้มค่าที่จะไปส่งผู้โดยสาร
ด้านการให้บริการแอพพลิเคชั่นต่างๆนั้น นายวิฑูรย์ มองว่าไม่ได้อยากมีเรื่องกระทบกระทั่งอยากให้มีบริการที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ยอมรับว่ารายได้ลดลงร้อยละ 30 ส่วนตัวสนับสนุนแนวทางที่กรมขนส่งทางบกจะทำแอพพลิเคชั่น Smart Taxi ที่พัฒนาโดยคนไทย ยกระดับแท็กซี่ไทยด้วยความปลอดภัยในการติดกล้องวงจรปิด และการใช้บัตรแสดงตัวตนผู้ขับขี่

ปรับแท็กซี่แซวผู้โดยสารหน้าตาขี้เหร่ อบรมระเบียบการให้บริการ

จากกรณีที่มีผู้โพสต์คลิปผ่าน Facebook ด้วยการถ่ายทอดสด เมื่อเวลา 01.00 น.ของคืนวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา ถึงพฤติกรรมคนขับรถแท็กซี่หมายเลขทะเบียน ทว 330 กรุงเทพมหานคร ใช้วาจาไม่สุภาพ โดยการแซวผู้โดยสารสาวว่าหน้าตาขี้เหร่ จึงไม่มีแท็กซี่จอดรับ ทำให้แฟนของหญิงสาวไม่พอใจ เกิดการโต้เถียงกัน ก่อนที่คนขับรถแท็กซี่จะให้ผู้โดยสารลงจากรถก่อนถึงที่หมาย พร้อมทั้งยังได้ตามลงไปหาเรื่องต่อ จนเกิดการชกต่อยกันขึ้น จากนั้นคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ สน.บางซื่อ และฝ่ายผู้โดยสารก็ได้เข้าร้องเรียนกับศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารด้วย
วานนี้ (20 มี.ค.60) กองตรวจการขนส่งทางบก (กตส.) ได้เรียก สมศักดิ์ แสนศักดิ์ คนขับรถแท็กซี่คันดังกล่าว มาสอบข้อเท็จจริง ซึ่งก็ให้การยอมรับว่าได้ใช้วาจาไม่สุภาพ เป็นเหตุให้ผู้โดยสารไม่พอใจ และมีการทะเลาะวิวาทกันจริง ทั้งนี้ กตส.เห็นว่าคนขับรถแท็กซี่ดังกล่าวกระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติรถยนต์ จึงลงโทษฐานความผิดแสดงกิริยาวาจาไม่สุภาพ และในฐานความผิดไม่ส่งผู้โดยสารถึงจุดหมายปลายทางตามที่ตกลง ด้วยการเปรียบเทียบปรับในอัตราสูงสุดเป็นเงิน 2,000 บาท และอบรมเรื่องกฎระเบียบในการให้บริการที่ดีเป็นเวลา 3 ชั่วโมง พร้อมทั้งบันทึกประวัติเพื่อติดตามพฤติกรรมต่อไป