วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

'สรรเสริญ' ชี้รัฐบาลนี้แจกเงิน 5.4 ล้านคน ต่างจากประชานิยมในอดีต ที่ทำแบบสะเปะสะปะ


โฆษกประจำสำนักนายกฯ แจงมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาล แตกต่างจากประชานิยมในอดีต ที่มุ่งให้ความช่วยเหลือประชาชนแบบสะเปะสะปะ ไม่มีการตรวจสอบรายได้ วันนี้รัฐบาลให้ประชาชนไปขึ้นทะเบียนด้วยตนเอง จึงทำให้มีฐานข้อมูลที่ถูกต้อง 

23 พ.ย. 2559 จากกรณีเมื่อวาน (22 พ.ย. 59) คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ คือ เห็นชอบในหลักการการดำเนินมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดยให้เพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยรายละ 1,500-3,000 บาท จำนวน 5.4 ล้านคน เริ่มจ่ายตั้งแต่ 1-30 ธ.ค. 2559 ซึ่งต่อมา วัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น 'ประชานิยมสิ้นคิด' (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม) นั้น 
ล่าสุด สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า รัฐบาลบริหารประเทศโดยมองทุกมิติอย่างรอบด้าน จึงออกมาตรการนี้ควบคู่ไปกับมาตรการทางเศรษฐกิจอื่น ที่จะช่วยปฏิรูปเศรษฐกิจทั้งระบบในระยะยาวซึ่งต้องใช้เวลา เช่น การลงทุน การเก็บภาษี ฯลฯ และแม้รัฐบาลจะดูแลเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจได้ แต่ก็ยังคงมีความเปราะบาง และอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้มีรายได้น้อย รัฐบาลจึงต้องการเพิ่มรายได้ให้ครอบคลุมผู้มีรายได้น้อยทั้งหมด ซึ่งรวมถึงผู้ที่อยู่นอกภาคการเกษตร หลังจากที่ได้ช่วยเหลือเกษตรกรไปแล้ว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี  ย้ำชัดเจนว่าเป็น มาตรการชั่วคราว ให้ครั้งเดียวแล้วจบ ไม่ใช่การให้เงินช่วยเหลือแบบรายเดือน ซึ่งมีผลดีคือจะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบ และประชาชนไม่เป็นหนี้เพิ่ม รัฐบาลต้องการให้ผู้มีรายได้น้อยไปขึ้นทะเบียน เพื่อต่อยอดไปสู่มาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ เช่น รถไฟฟรี รถเมล์ฟรี ให้ตรงจุดอย่างแท้จริง ระหว่างที่รัฐบาลกำลังสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศ ก็จำเป็นต้องมีหลายมาตรการออกมาสนับสนุนซึ่งกันและกัน
 
“มาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาล แตกต่างจากประชานิยมในอดีต ที่มุ่งให้ความช่วยเหลือประชาชนแบบสะเปะสะปะ ไม่มีการตรวจสอบรายได้ วันนี้รัฐบาลให้ประชาชนไปขึ้นทะเบียนด้วยตนเอง จึงทำให้มีฐานข้อมูลที่ถูกต้อง และเมื่อวันข้างหน้าเศรษฐกิจดีขึ้น รัฐบาลจะประหยัดงบประมาณในการช่วยเหลือ และสามารถนำเงินไปลงทุนพัฒนาประเทศในด้านอื่น ๆ ได้” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
 
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า หากรัฐบาลไม่ทำเช่นนี้ วงจรปัญหาแบบเดิมก็จะเกิดขึ้นวนเวียนซ้ำซาก ดังนั้นจึงไม่ควรนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่ดำเนินการมาก่อนหน้า ส่วนประชาชนผู้มีรายได้น้อยทั้งในและนอกภาคการเกษตรก็จำเป็นต้องปรับตัว ไม่รอคอยแต่เพียงการช่วยเหลือจากภาครัฐเท่านั้น รัฐบาลยินดีเป็นพี่เลี้ยงและให้การสนับสนุนให้ทุกคนสามารถยืนอยู่ได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืนด้วยตนเอง
 

ทรัมป์แถลงนโยบาย: ช่วงเปลี่ยนผ่าน 100 วันแรก จะตั้ง ครม.รักชาติ เลิก TPP

หลังจากชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ แถลงนโยบาย 100 วันแรก โดยเน้นการใช้คำว่า "การสร้างงาน" "รักชาติ" "อเมริกามาก่อน" จะคุมเข้มวีซ่าคนต่างชาติ ทั้งนี้ยังระบุด้วยว่าจะเสนอระงับ 'ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก' หรือ TPP ที่ทำไว้กับหลายประเทศเอเชีย-แปซิฟิก แล้วจะกลับไปใช้การเจรจาทวิภาคีแทน
23 พ.ย. 2559 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ เผยแพร่วิดีโอแถลงนโยบายของเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา (21 พ.ย.) โดยระบุว่านโยบายของเขาจะวางอยู่บนหลักการหลักที่ว่า "เอาอเมริกามาก่อน" รวมถึงจะมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีโดยอ้างว่าเป็นกลุ่มที่เป็น "คนรักชาติ"
ทรัมป์แถลงในวิดีโอว่าเขาจะพูดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในทำเนียบขาวและแผนการนโยบายของเขาเองในช่วง 100 วันแรก โดยบอกว่าการเปลี่ยนผ่านในทำเนียบเขาเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพจากการที่มี "ชายและหญิงที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง" และมีผู้รักชาติเข้ามามีส่วนร่วมในรัฐบาลของเขาเพื่อ "ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง" นอกจากนี้ทรัมป์ระบุด้วยว่าจะ "สร้างชนชั้นกลางของพวกเราให้กลับมาอีกครั้ง"

อเมริกาต้องมาก่อน เลิก TPP กลับมาใช้เจรจาสองฝ่าย


การแถลงผ่านวิดีโอของทรัมป์ระบุต่อไปว่าเขาจะเน้นหลักการ "เอาอเมริกามาก่อน" ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการผลิตหรือด้านนวัตกรรมให้เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ในยุคถัดไป ถ้อยแพลงของเขายังพูดถึงการพยายามสร้างงานและความมั่งคั่งให้กับคนทำงานอเมริกัน โดยอ้างว่าจะหาทางออกกฎหมายให้ "นำงานกลับมาสู่ชาวอเมริกัน" ทรัมป์ยังเปิดเผยอีกว่าเขาจะส่งคำร้องแสดงเจตนาให้มีการระงับความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership หรือ TPP)
ทรัมป์กล่าวต่อไปว่าแทนที่จะเป็นความตกลง TPP เขาจะเปิดให้มีการเจรจาข้อตกลงการค้าทวิภาคีเพื่อสร้างงานและนำอุตสาหกรรมกลับสู่ผืนแผ่นดินสหรัฐอเมริกา
ในด้านพลังงานทรัมป์กล่าวว่าเขาจะลดการกำกับดูแลในด้านพลังงานที่อ้างว่าเป็นการ "ทำให้งานลดลง" และบอกว่าจะหนุนพลังงานจากหินน้ำมันและถ่านหินโดยอ้างว่าพลังงานเหล่านี้จะ "สร้างงานที่จ่ายราคาสูง" ให้กับผู้คน นอกจากด้านพลังงานแล้วทรัมป์กล่าวว่าเขาจะกำจัดกฎหมายกำกับดูแลแบบเดิมและออกกฎหมายแบบใหม่มาแทน
ในด้านความมั่นคงทรัมป์เน้นพูดถึงการป้องกันไม่ให้เกิดการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานเช่นการโจมตีทางไซเบอร์ และบอกว่าจะให้เข้มงวดเรื่องการออกวีซ่ามากขึ้นโดยอ้างว่ามีการให้อำนาจออกวีซ่าแก่ต่างชาติจน "มาแย่งงาน" คนอเมริกัน รวมถึงจะมีการสั่งแบนเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารที่ "ยอมรับการล็อบบี้เพื่อหนุนต่างชาติ"
พีบีเอสตั้งข้อสังเกตว่าในการแถลงครั้งนี้ทรัมป์ไม่ได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสวัสดิการและไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เขาเคยสัญญาว่าจะสร้างกำแพงปิดกั้นพรมแดนเม็กซิโกเลย
โดยเมื่อสัปดาห์ก่อน ภายหลังการหารือ 'บารัก โอบามา' ทรัมป์ ได้ปรับท่าทีต่อ 'โอบามาแคร์' โดยเขาระบุว่าจะรักษาข้อดีของกฎหมายที่ระบุให้บริษัทประกันยอมให้ผู้มีปัญหาสุขภาพสามารถทำประกันได้ รวมถึงให้สิทธิผู้ปกครองใช้ประกันสุขภาพคุ้มครองบุตรได้ถึงอายุ 26 ปี ขณะที่ก่อนหน้านี้หลังทราบผลการเลือกตั้ง คนอเมริกันเป็นแสนรายรีบแห่ซื้อประกันสุขภาพ เพราะกลัวความเปลี่ยนแปลงนโยบายหลังยุคโอบามา 

ม.จ.จุลเจิม เข้าแจ้งความหลังมีผู้แอบอ้างราชสกุลใช้อภิสิทธิ์เข้าเบื้องหน้าพระบรมโกศ


เมื่อวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.ต.ม.จ.จุลเจิม ยุคล พร้อมด้วยพร้อม ม.ร.ว.แม้นนฤมาส ยุคล สวัสดิ์-ชูโต บุตรสาว ทรงเข้าพบ พ.ต.อ.ธนกฤต ไชยจารุวุฒิ ผู้กำกับการ สน.พระราชวัง เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน หลังมีผู้แอบอ้างเป็นราชสกุลยุคลและสวัสดิวัตน์ เพื่อเข้าไปในพระราชพิธีสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเป็นสถานที่ที่จัดไว้เฉพาะราชนิกุลเท่านั้น
พล.ต.ม.จ.จุลเจิม เล่าว่า เมื่อวานนี้(22 พ.ย.)เวลาประมาณ 20 นาฬิกา ได้รับแจ้งจากทางญาติราชสกุลสวัสดิวัตน์ว่า มีผู้แอบอ้างเป็นหม่อมราชวงศ์แม้นนฤมาส พาบุคคลอื่นอีก 4-5 คนเข้าไปร่วมในพระราชพิธีสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ ซึ่งทางสำนักพระราชวังเห็นว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวไม่คุ้นหน้าจึงขอตรวจสอบบัตรประชาชน ก็พบว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับราชสกุลยุคลแต่อย่างใด เบื้องต้นจึงว่ากล่าวตักเตือนและปล่อยตัวไป ซึ่ง ม.ร.ว.แม้นนฤมาสได้ยืนยันว่า เมื่อวาน(22 พ.ย.)ไม่ได้เข้าไปและไม่เคยพาบุคคลอื่นแทรกคิวประชาชนเข้าไปในพระบรมมหาราชวังแต่อย่างใด จึงพาบุตรสาวมาลงบันทึกประจำวันไว้กับพนักงานสอบสวนเพื่อป้องกันการถูกนำชื่อไปแอบอ้างและก่อให้เกิดความเสียหาย โดยได้นำใบลงลายมือชื่อที่ระบุว่าชื่อนางสาวแม้นนฤมาส ภาพถ่ายบัตรประชาชนของผู้ที่แอบอ้างรวมถึงภาพกล้องวงจรปิดที่เห็นใบหน้าของบุคคลดังกล่าวมอบให้ตำรวจไว้เป็นหลักฐาน
เบื้องต้นตำรวจรับเรื่องไว้พร้อมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานนำไปหารือกับทางสำนักพระราชวังเพื่อดำเนินการต่อไป
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รายงานด้วยว่า ล่าสุดเมื่อเวลา 19.30 น. วันเดียวกัน (23 พ.ย.59) พล.ต.ต.สุรชัย ควรเดชะคุปต์ รองผบช.น. ได้สั่งให้ทางชุดสืบสวนรับผิดชอบดำเนินการเร่งติดตามบุคคลที่มีการแอบอ้างชื่อดังกล่าว เข้ามาภายในพระบรมมหาราชวัง เพื่อนำตัวมาสอบข้อเท็จจริง ว่าดำเนินการไปเพื่อวัตถุประสงค์อะไร มีการได้รับผลประโยชน์ หรือเสียผลประโยชน์อะไรหรือไม่ ซึ่งถ้าหากพบว่าเข้าข่ายความผิด จะต้องถูกแจ้งข้อหา และดำเนินคดีต่อไป 
 
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าเมื่อเวลา 18.30 น.ที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สังเกตุการณ์ที่บริเวณพระบรมมหาราชวัง ได้สังเกตุเห็นรถตู้ ยี่ห้อโตโยต้า ทะเบียน ฮท 8746 กทม.ซึ่งมีทะเบียนและมีตำหนิลักษณะเดียวกับรถตู้ที่นำบุคคล 4-5 คนเข้าร่วมพระราชพิธีสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเป็นสถานที่ที่จัดไว้เฉพาะราชนิกุล เมื่อเวลา 19.00 น.วันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา จึงได้เชิญคนขับรถตู้คันดังกล่าวมาสอบสวนที่สน.พระราชวัง 
 
โดยคนขับรถตู้คันดังกล่าวทราบชื่อภายหลัง พงศ์ (นามสมมติ) ได้ระบุว่า ปกติ ตนขับรถรับส่งนักเรียนของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ย่านสายไหม โดยระบุว่า เมื่อวานนี้ตนได้รับการว่าจ้างให้พาบุคคล 5 รายในราคา 1,500 บาท ให้มาส่งที่บริเวณสนามหลวง ใกล้พระบรมมหาราชวังมากที่สุด โดยนัดรับทั้ง 5 คนจากพื้นที่ย่านวงเวียน พระราม 5 โดยตนไม่เคยรู้จักทั้ง 5 คนมาก่อน มีหน้าที่เพียงแค่รับจ้างเท่านั้น 

อ.รัฐศาสตร์ ม.สารคาม ชี้ไม่ควรฟ้อง 'เบส อรพิมพ์' แต่ควรฟ้องผู้จ้างคือกองทัพ


วินัย ผลเจริญ ชี้ไม่ควรฟ้อง 'เบส อรพิมพ์' แต่ควรจะฟ้องร้องเอาผิดกับ กองทัพ ที่ว่าจ้างไปบรรยายตามสถานที่ต่าง ๆ มากกว่าเพราะเท่ากับว่ากำลังดูถูกและไม่ไว้ใจประชาชนของตัวเอง

24 พ.ย. 2559 จากกรณีที่ คารม พลพรกลาง ทนายความ แจ้งความดำเนินคดีกับ อรพิมพ์ รักษาผล หรือเบส นักพูดชื่อดัง กล่าวหาว่าพูดในลักษณะหมิ่นประมาทคนอีสานนั้น (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม) ต่อมาวันที่ 22 พ.ย.59 สื่อหลายสำนัก เช่น มติชนออนไลน์  กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ และโพสต์ทูเดย์ รายงานตรงกันว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งพยาน หลักฐาน ว่าเข้าข่ายยุยงให้มีการแตกแยกหรือไม่ จากที่ดูคลิปวีดีโอคร่าวๆ ส่วนตัวก็มองว่าน่าจะเข้าข่ายความผิด แต่ต้องขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวนในการพิจารณา และยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน ส่วนตัวคิดว่าการพูดในที่สาธารณะต้องใช้วิจารญาณในการสื่อสารว่าสิ่งใดควรพูดหรือไม่ควรพูด ทั้งนี้ได้สั่งการให้ทุกพื้นที่เฝ้าติดตามในเรื่องการดูแลป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงกับกลุ่มที่เห็นต่าง อย่างไรก็ตามขอฝากไปถึงกลุ่มคนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านทางโซเชียลมีเดีย ไม่อยากให้คนกลุ่มนี้ออกมาโต้เถียงกัน เพราะอยากให้คนไทยรักและสามัคคีกัน 
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านั้น วินัย ผลเจริญ อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia กรณีดังกล่าวว่า ส่วนตัวไม่คิดว่าจะเป็นการดูถูกหรือกล่าวหา แต่เป็นการพูดแบบเหมารวมตามความเชื่อของตัวเอง และไม่เห็นด้วยที่จะมีการฟ้องร้องเอาผิดกับ เบส แต่ควรจะฟ้องร้องเอาผิดกับ กองทัพ ที่ว่าจ้างให้ เบสไปบรรยายตามสถานที่ต่าง ๆ มากกว่าเพราะเท่ากับว่า กองทัพ หรือรัฐบาลเองกำลังดูถูกและไม่ไว้ใจประชาชนของตัวเอง และกลายเป็นการสร้างเงื่อนไขให้ คสช. บริหารประเทศล้มเหลวในที่สุด

พล.ท.สรรเสริญ ขอความร่วมมือประชาชนจับตา เว็บไซต์ให้ร้าย-หมิ่นสถาบัน


อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ แนะคนไทยอย่าส่งต่อข้อมูลที่เป็นภัยต่อสังคม ขอให้จับตาหากพบเว็บไซต์ให้ข้อมูลเท็จ ให้ร้าย หรือหมิ่นสถาบัน ให้แจ้งสายด่วนทันที
24 พ.ย. 2559 สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะรักษาราชการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เปิดเผยว่า ขอเชิญชวนทุกคนในสังคมไทยเลือกเสพข้อมูลข่าวสารที่สร้างสรรค์ เลือกข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการยกระดับคุณภาพชีวิต การพัฒนาจิตใจ การปรับปรุงศักยภาพตนเองและประสิทธิภาพในการทำงานเพื่อความก้าวหน้าของตนเองและการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของประเทศชาติทั้งนี้หากพบเมื่อพบเจอข้อมูลที่ไม่เหมาะสม ข้อมูลเป็นภัยต่อสังคม ต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติ ก็ควรละเว้นที่จะส่งต่อ แม้จะมีเจตนาเพื่อบอกต่อว่ามีเรื่องไม่ดี เรื่องไม่ถูกต้องแพร่กระจายไปก็ตาม เพราะเท่ากับเราได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ช่วยขยายข้อมูลอันไม่เหมาะสมเหล่านั้นให้กว้างขวางออกไป
พล.ท.สรรเสริญกล่าวต่อว่า ขอความร่วมมือประชาชนว่าหากพบเว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ ให้ร้าย หรือหมิ่นประมาทสถาบันหลักของประเทศ ขอให้ช่วยกันแจ้งสายด่วน 1212 ศูนย์ประสานการปฏิบัติงานการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ กระทรวงดิจิตัลเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ให้ได้รับทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป ทั้งนี้เพื่อช่วยกันขจัดข่าวสารอันเป็นโทษ และสร้างพิษร้าย สร้างความวุ่นวายในสังคมให้หมดไป
มีการทำงานที่เป็นระบบ มีเจ้าหน้าที่ 90 นาย จับตาโลกออน์ไลน์ 24 ชั่วโมงตั้งแต่ 14 ต.ค. 2559
ผู้สื่อข่าวประชาไท รายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2559 พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่ากองป้องกันและปราบปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ปท. มีเจ้าหน้าที่กว่า 30 คน สนธิกำลังร่วมกับตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. อีกกว่า 60 นาย และเครือข่าย ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม ที่ผ่านมา ตรวจสอบการกระทำผิดทางเทคโนโลยี โดยใช้คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 26 เกี่ยวกับการกระทำความผิดด้านความมั่นคง สถาบันพระมหากษัตริย์และบิดเบือนข้อความให้เกิดความเสียหายในประเทศ ซึ่งสั่งปิดเว็บไซต์ไปแล้วบางส่วน และตรวจพบเว็บไซด์ประมาณ 50 ถึง 60 เว็บไซต์ ซึ่งติดตามอยู่ และยังพบเว็บไซต์ที่เป็นเครือข่ายอีก 5 ถึง 6 เท่า และอยู่ระหว่างรวบพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนกับเว็บไซต์ที่เข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ กรณีนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จ สร้างความตื่นตระหนก และลามกอนาจารที่ตรวจพบด้วย
ผบ.ทบ.เปิดศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก เน้นย้ำภารกิจตรวจตาเว็บไซต์เข้าค่าย ม.112
ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธานพิธีเปิดการแพรคลุมป้ายศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก ภายหลังดำเนินเปลี่ยนชื่อหน่วยจากศูนย์เทคโนโลยีทางทหาร เป็นศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก โดย พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวว่า กองทัพบกให้ความสำคัญเรื่องการดูแลภัยคุกคามด้านไซเบอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานพัฒนากองทัพบกให้ทันสมัยและสอดคล้องกับหน่วยอื่น อีกทั้งเป็นการปกป้องหน่วยงานโดยเฉพาะการถูกแฮกเกอร์ต่างๆ แทรกแซง รวมถึงเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกองอำนวยการข่าวสารที่มีการแต่งตั้งไว้แล้ว ซึ่งตอนนี้สิ่งที่เน้นย้ำคือเรื่องการพัฒนาคนและเครื่องมือ เพราะที่ผ่านมากองทัพบกมีศักยภาพในการดูแลเรื่องการคุกคามทางไซเบอร์ แต่ก็มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงคือการเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบกับความมั่นคง โดยเป็นลักษณะการประชาสัมพันธ์ของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นมีการนำไปสื่อสารกันต่อโดยขาดข้อเท็จจริง ซึ่งกระบวนการที่เกี่ยวข้องเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าห่วงและน่ากังวล
พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวถึงการติดตามกลุ่มคนที่โพสต์ข้อความเข้าข่ายผิดกฎหมายประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า เราจะใช้ศูนย์ไซเบอร์ของกองทัพบกติดตามการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของคนที่บิดเบือนทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งพบว่ายังมีอยู่มาก เพราะฉะนั้นต้องใช้กลไกดังกล่าวในการสร้างความเข้าใจให้พี่น้องประชาชน โดยแต่ละหน่วยก็มีศูนย์ไซเบอร์เป็นของตนเอง ทั้งนี้ อยากให้ประชาชนตระหนักเรื่องการรับฟังข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะการแชร์และส่งต่อข้อมูลบางครั้งอาจไม่ใช่ข้อเท็จจริงและจะไปสร้างความเสียหายให้กับบุคคลและประเทศชาติ โดยเฉพาะการใช้แอพพลิเคชั่นไลน์ที่ต้องใช้วิจารณญาณในการไตร่ตรอง
เมื่อถามต่อว่าการติดตามข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียจะครอบคลุมถึงงานวิชาการด้วยหรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวว่า “เรื่องใดที่มีการหมิ่นและไปกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ต้องดำเนินการ ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายมาตรา 112 ผมอยากบอกประชาชนว่าโลกไซเบอร์มีทั้งเรื่องจริงและเรื่องไม่จริง หากประชาชนไม่รู้ข้อเท็จจริงก็อย่าไปเผยแพร่ข้อมูลต่อ
พลอากาศเอกประจิน เผยประสานความร่วมมือกับเฟซบุ๊ก ติดตามการหมิ่นเบื้องสูง เผยข้อมูลพบเว็บหมิ่น 1,200 ยูอาร์แอล
ต่อมาเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2559 พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีความคืบหน้าการติดตามเว็บไซต์หมิ่นสถาบันเบื้องสูง ว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างประสานกับทางเฟซบุ๊ก ซึ่งเฟซบุ๊กได้มีหนังสือส่งกลับมา 2 ฉบับ ว่า พร้อมที่จะให้ความร่วมมือ และจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมถึงพร้อมที่จะตอบสนองต่อคำขอของไทยทันที เพราะเข้าใจสถานการณ์ และความรู้สึกของคนไทย อย่างไรก็ตาม เราก็ได้ประสานไปอีกครั้ง ว่า อยากพูดคุยกันต่อหน้า ซึ่งสถานที่จะเป็นไทยหรือสิงคโปร์นั้น อยู่กับประสานงานอยู่ โดยเราอยากพูดคุยภายในสัปดาห์นี้ แต่เฟซบุ๊กยังไม่พร้อม โดยจะไปคุยกับผู้บริหารระดับสูงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ส่วนไทยได้ตั้งศูนย์ประสานงานไซเบอร์ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา เพื่อประสานงานอยู่ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ทำหน้าที่ประสานงานกับชุดปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้รู้ว่า หากมอนิเตอร์เจอเรื่องหมิ่นสถาบัน จะต้องมีการดำเนินการอย่างไร โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. เป็นที่อยู่เว็บที่อยู่ไทย ก็ใช้คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สั่งปิดได้ทันที และ 2. ที่อยู่เว็บอยู่ในต่างประเทศก็ต้องออกคำสั่งศาลเพื่อขอให้ปิด รวมทั้งขณะนี้เราได้เชิญบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญทุกสายงานเข้ามาร่วมทำงานด้วย
พล.อ.อ.ประจิน กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ช่วงวันที่ 1 - 12 ต.ค. ที่ผ่านมา เราพบที่อยู่เว็บไซต์ (ยูอาร์แอล) ที่เข้าข่ายไม่เหมาะสมประมาณ 100 ยูอาร์แอล (ชื่อ) และช่วงวันที่ 13 - 31 ต.ค. ประมาณ 1,200 ยูอาร์แอล โดยเราได้ใช้อำนาจ คสช. ปิดไปแล้วทั้งสองช่วง 200 ยูอาร์แอล ส่วนที่เหลือใช้อำนาจศาล 700 ยูอาร์แอล จาก 1,150 คดี ถือว่าคิดเป็น 60 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยเราได้รับความร่วมมือจากศาลเป็นอย่างดีในการเร่งรัดการทำธุรการ รวมถึงผู้ให้บริการ ทั้งทางผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) ภายในประเทศ และบริษัทใหญ่ที่เป็นต้นทาง ซึ่งเว็บไซต์ที่มียูอาร์แอลหมิ่นสถาบันมากที่สุด คือ เว็บไซต์ยูทูป แต่อย่างไรก็ตาม ยูทูปได้มีเปอร์เซ็นต์ปิดมากที่สุด
“ยืนยันว่า เราพยายามทำทุกทางในการดำเนินการ เพื่อป้องกันและลดการโพสต์ข้อความ หรือคลิปภาพ เสียง ที่ไม่เหมาะสม โดยเราได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่ายด้วยดี ทั้งนี้ อยากให้ประชาสัมพันธ์ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ว่า ให้พิจารณาการกดไลก์กดแชร์ หากเห็นว่าไม่เหมาะสมก็ควรหลีกเลี่ยง หรือลบทิ้ง รวมถึงอย่าไปให้ค่ากับผู้ที่ดำเนินการลักษณะมากนัก” พล.อ.อ.ประจิน กล่าว
เมื่อถามว่า แอปพลิเคชันไลน์ เว็บไซต์เฟซบุ๊ก เว็บไซต์กูเกิล ยืนยันว่า ยังเคารพสิทธิของผู้ใช้งาน และไม่ได้ร่วมมือเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ กับรัฐบาลไทย พล.อ.อ.ประจิน กล่าวว่า ที่เขาร่วมมือกับเรา คือ ภายใต้กฎหมาย ซึ่งผู้ให้บริการก็มีกติกาในการรักษาความลับของผู้ลงทะเบียน รวมถึงไม่เปิดเผยสิ่งที่ผู้ลงทะเบียนไม่อนุญาต ขอยืนยันว่าเขาไม่ได้ร่วมมือกับเราเพื่อไปบล็อกเสรีภาพของผู้ใช้
ยูทูป ใต้ดินแถลงขอพักการกระจายเสียง หลัง พลเอกประวิตร ขอความร่วมมือจากรัฐบาลลาว
จากรณีเฟซบุ๊กแฟนเพจ 'วงไฟเย็น' ได้เผยแพร่ แถลงการณ์จากสถานีไทยเสรีเพื่อสาธารณรัฐไทย เมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา เรื่อง ขอพักการกระจายเสียง โดยระบุถึง สมาชิกผู้รับฟังรายการทั่วโลกทุกท่าน เนื่องจากสถานการณ์ภายในและภายนอกราชอาณาจักร ยังไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ ในการนี้ได้มีหลายฝ่ายหลายภาคส่วนขอให้ทางสถานีพิจารณายุติการกระจายเสียงไปก่อนจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงทางสถานีขอน้อมรับความปรารถนาดีจากทุกๆ ฝ่าย และต้องขอยุติการกระจายเสียงทั้งหมดไว้ก่อนจนกว่าสถานการณ์จะกลับเป็นปกติ ทั้งนี้เพื่อความมั่นคงปลอดภัย และเพื่อความสบายใจของทุกๆ ฝ่าย
ล่าสุดวันที่ 21 พ.ย.2559 วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร รายงานผ่านเฟซบุ๊ก 'Wassana Nanuam' ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมและขอบคุณรัฐบาลลาว ที่สั่งปิดรายการวิทยุโจมตีสถาบันฯ-รัฐบาล 
โดย พล.อ.ประวิตร คาดว่า เป็นเพราะตนเอง ขอกับกระทรวงกลาโหมของประเทศลาว ในการพบกันที่การประชุม รมว.กลาโหมอาเซี่ยน อย่างไม่เป็นทางการ ADMM retreat ที่เวียงจันทร์ ชี้เพื่อนบ้านร่วมมือดี
ส่วนจะสามารถส่งตัวให้ไทยได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่า อยู่ตรงไหนกัน แต่ได้บอกกับ กระทรวงกลาโหมลาวไปว่า ในประเทศลาวมี กลุ่มที่โจมตีรัฐบาล และสถาบันฯ อยู่ทุกวันนี้ จะทำยังไง เชื่อได้ว่า หากทางการลาวจับกุมตัวได้ ก็คงจะส่งให้เรา เพราะเรื่องนี้สำคัญที่ร่วมมือของเพื่อนบ้าน
ล่าสุดสั่งสอบคลิป ‘เทอดศักดิ์เจียม’ หากบิดเบือนข้อเท็จจริง ต้องดำเนินคดี
22 พ.ย. 2559 จากกรณี เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา อดีตแนวร่วมพันธมิตรฯ เชียงใหม่ และแกนนำสมาพันธ์วิทยุชุมชนภาคเหนือตอนบน ซึ่งปัจจุบันจัดรายการวิทยุผ่านทางยูทูบช่อง 'Vihok News' วิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ทางการเมืองที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก อย่างไรก็ตามขณะนี้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์กลับถึงความถูกต้องของข้อมูลที่เทอดศักดิ์นำเสนอ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เขาต้องดูแล ดูแลหมดแล้ว ต้องเข้าไปดูแล แต่ว่าเดี๋ยวดูให้เกิดความชัดเจนก่อน มีหน่วยงานที่เขาดูอยู่ ซึ่งเขาก็คงมาให้รายละเอียด และจะให้โฆษกแจ้งให้ทราบ
"ถ้าบิดเบือนก็ต้องผิด ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงนะ ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงก็ต้องดำเนินคดีนะ" พล.อ.ประวิตร กล่าว พร้อมระบุด้วยว่ามีเรื่องของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

'อภิสิทธิ์' หวังรบ.แจกเงิน เป็นจุดเริ่มต้นของสวัสดิการ ชี้มีฐานข้อมูลไม่ใช่ประชานิยม


 
24 พ.ย. 2559 จากกรณี เมื่อวันที่ 22 พ.ย. ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ คือ เห็นชอบในหลักการการดำเนินมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดยให้เพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยรายละ 1,500-3,000 บาท จำนวน 5.4 ล้านคน เริ่มจ่ายตั้งแต่ 1-30 ธ.ค. 2559
 
วันนี้ (24 พ.ย.59) อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มาตรการช่วยผู้มีรายได้น้อยนั้น รัฐบาลได้แสดงเจตนามาระยะหนึ่งแล้วด้วยการให้คนไปขึ้นทะเบียน ดังนั้นการที่จะเริ่มมีระบบสวัสดิการที่มีฐานข้อมูล ซึ่งจะต้องมีการปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันอยู่ตลอด เป็นเรื่องที่ในที่สุดก็จำเป็นอยู่แล้ว ดีกว่าการไล่ช่วยเหลือแบบเฉพาะกิจไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีฐานข้อมูล แล้วก็ไม่มีระบบ เพียงแต่ว่ามากน้อยแค่ไหนก็ต้องดูความเหมาะสมในแง่ของฐานะ กำลังทางด้านการเงินการคลัง 
 
อภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนค่าแรงนั้นค้างมาตั้งแต่ปี 2555 เพราะว่าตอนนั้นมีการทำนโยบายค่าแรง 300 บาท จึงเหมือนกับบอกว่าจะไม่ขึ้นอีกเป็นระยะเวลากี่ปี แต่เวลาก็ล่วงเลยมาพอสมควร เพราะฉะนั้นการที่ผู้ใช้แรงงานได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นก็มีเหตุมีผล เพราะค่าครองชีพก็เพิ่มขึ้น แต่ตัวระบบที่ยังเป็นปัญหา คือ ค่าแรง 300 บาท ส่งผลให้เกิดการโยกย้ายฐานการผลิตระดับหนึ่ง และการที่เป็นค่าแรงอัตราเดียวทั้งประเทศซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในหลายๆ เรื่อง ตรงนี้ยังไม่สามารถปรับให้กลับเข้าไปสู่ระบบคล้ายๆ แบบเดิมได้ นอกจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแล้ว ถ้าเราสามารถกำหนดค่าแรงตามทักษะได้แล้วคนเพิ่มพูนทักษะ เขาก็จะได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นไปเอง คุณภาพแรงงานเราก็ดีขึ้นด้วย
 
ต่อกรณีคำถามว่า มอง คสช. ใช้นโยบายประชานิยมเหมือนพรรคการเมืองหรือไม่ นั้น อภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าทำนโยบายเหล่านี้ให้เป็นสวัสดิการ ก็จะต่างจากประชานิยม ดังนั้นถ้าเกิดเราสามารถพัฒนาเรื่องของการมีฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อย และความช่วยเหลือเป็นระบบสวัสดิการ ทำให้การเข้าไปเกี่ยวข้องกับการยกระดับรายได้ของเกษตรกรให้มีความ ตนคิดว่าอย่างนี้ไม่ใช่ลักษณะของประชานิยมที่มาแข่งขันกัน ถ้าบอกว่าจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันผิดธรรมชาติ ไม่ยั่งยืน แล้วก็ทำลายวินัยทางการเงินการคลัง ก็คงต้องแยกกันระหว่างสวัสดิการกับประชานิยม ซึ่งกรณีนี้ ตนมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของสวัสดิการ แต่จะพัฒนาไปเป็นสวัสดิการจริง หรือจะเพี้ยนไปเป็นประชานิยมนั้น ยังเป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง