วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ประวิตร ชี้ผลซุปเปอร์โพลประชาชนเชื่อมั่นรัฐบาล เหตุต้องการความสงบสุข


ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายผู้บริหาร ก.แรงงาน ประวิตร เผย ตั้งเป้าปีหน้าอันดับค้ามนุษย์ดีขึ้น ปลด Watch List เหลือเฉพาะ Tier 2 กำชับ ก.แรงงานรับรองอนุสัญญา 3 ฉบับ 'สมคิด' ติดตามการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนากำลังคนระยะ 20 ปีเพื่อสนับสนุนงบประมาณรองรับประเทศไทย 4.0
 
14 พ.ย. 2559 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงซุปเปอร์โพลที่สำรวจพบประชาชนเชื่อมั่นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า ขณะนี้ตนและนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ไหน ก็พบว่าประชาชนต้อนรับดี ประชาชนต้องการความสงบสุข อยากให้บ้านเมืองสงบ จึงอยากให้ทุกฝ่ายร่วมกันทำให้บ้านเมืองสงบ ต่างคนต่างทำหน้าที่เพื่อบ้านเมือง
สำหรับวันนี้ซึ่งเป็นวันลอยกระทง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ด้านความมั่นคงกำชับเจ้าหน้าที่ดูแลทุกพื้นที่ให้ปลอดภัย ให้ประชาชนได้ลอยกระทงตามประเพณีอย่างเหมาะสมในบรรยากาศความโศกเศร้าของประเทศ ส่วนที่ข้าราชการเข้าไปถ่ายเซลฟี่ในพระบรมมหาราชวัง นายกรัฐมนตรี กำชับแล้ว ต้องสำรวมและต้องปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม

ตั้งเป้าปีหน้าอันดับค้ามนุษย์ดีขึ้น 

พล.อ.ประวิตร ยังได้ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายผู้บริหารกระทรวงแรงงาน พร้อมกล่าวด้วยว่า กระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพเรือ กรมประมง และกรมเจ้าท่า ได้ดำเนินการอย่างจริงจังในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ขณะเดียวกันในเรื่องนี้ทาง EU พึงพอใจที่ประเทศไทยมีความก้าวหน้าในทำงานทั้งการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และการทำประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU ซึ่งได้มีความตั้งใจที่จะให้การดำเนินการทุกอย่างทัดเทียมกันและเป็นไปตามหลักสากล ทั้งการดูแลแรงงานต่างด้าวให้มีความปลอดภัย รวมทั้งดูแลด้านการศึกษา สาธารณสุข ซึ่งกระทรวงแรงงานได้ดำเนินการอยู่แล้ว
 
พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ได้กำชับให้กระทรวงแรงงานป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์อย่างจริงจังต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าว่าปีหน้าจะต้องปลด Watch List ออกไป โดยให้เหลือเพียงเฉพาะ Tier 2 สำหรับผลการดำเนินการของประเทศในเรื่องนี้ จะมีความเกี่ยวข้องทั้งสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป หรือ EU โดยสหรัฐอเมริกาได้ชื่นชมและพอใจการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทย แต่จะมีความเกี่ยวพันกับเรื่องการทำประมงผิดกฎหมายด้วย ซึ่ง EU จะต้องดูว่ามีการจัดที่พัก การดูแลแรงงานในภาคประมงอย่างไร ซึ่งกระทรวงแรงงานได้ดำเนินการอยู่แล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการเพิ่มพนักงานตรวจแรงงานให้เพียงพอมากขึ้น นอกจากนี้ ยังกำชับให้กระทรวงแรงงานดูแลแรงงานต่างด้าว เพื่อให้ต่างประเทศเห็นว่าประเทศไทยมีการดูแลแรงงานต่างด้าวอย่างจริงจัง
 
พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังการรับมอบนโยบาย ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำและให้คำแนะนำเรื่องแรงงานต่างด้าวเพื่อความมั่นคงในอนาคต ตั้งแต่การรับเข้ามาจะต้องจัดระเบียบให้เรียบร้อย รวมถึงการดูแลสวัสดิการความมั่นคงในการทำงาน ที่อยู่อาศัย สาธารณสุขให้กับแรงงาน ซึ่งเป็นกรอบที่กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการอยู่แล้ว โดยได้ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านที่ส่งแรงงานเข้ามา
 
“ท่านรองนายกฯ สมคิด ได้มาติดตามแผนยุทธศาสตร์ในระยะ 20 ปีของกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาคนให้มีขีดความสามารถที่สูงขึ้น ในการเปลี่ยนผ่านจากปัจจุบันไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 โดยได้ให้คำแนะนำว่าจะต้องพัฒนาในแต่ละขั้นตอนอย่างไร โดยจะพิจารณาเรื่องงบประมาณเพื่อนำมาสนับสนุน ” พล.อ.ศิริชัย กล่าว

อภิสิทธิ์รับมอบข้าวชาวนาพิจิตร เล็งขายโลละ 25 บ. ยิ่งลัษณ์ยันไม่คิดกดราคาอย่างที่ถูกโจมตี

15 พ.ย. 2559 เมื่อเวลา 09.30 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) รายงานข่าวระบุว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคปชป. เป็นตัวแทนรับมอบข้าวหอมมะลิของชาวนา จากโรงสีชุมชน ต.เนินปอ อ.สามง่าม จ.พิจิตร เพื่อจำหน่ายให้กับผู้บริโภคโดยตรง ในราคากิโลกรัมละ 25 บาท โดยการช่วยเหลือชาวนาครั้งนี้ ได้รับการประสานจาก นราพัฒน์ แก้วทอง อดีต ส.ส. พิจิตร พรรคปชป. ซึ่งเป็น ส.ส. ในพื้นที่ ร่วมกับ สามารถ มะลูลีม อดีต ส.ส. กทม. พรรคปชป. ในการจัดหาผู้ซื้อข้าว และผู้ขายข้าว ทั้งนี้ มีประชาชนแสดงความประสงค์ครั้งนี้ กว่า 4,000 ราย ประกอบด้วย โรงเรียนในพื้นที กทม. หน่วยงานราชการ และ ประชาชนทั่วไป
โดย สามารถ กล่าวว่า เป็นข้าวที่รับซื้อโดยตรงจากชาวนา จ.พิจิตรโดยตรงผ่านการประสานงานของ นราพัฒน์ ซึ่งรวบรวมคำสั่งซื้อจากชาวนาโดยตรงและได้ทำการสีข้าวเองโดยใช้โรงสีของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง โดยรับซื้อมาทั้งสิ้นจำนวน 12 ตัน ในราคากิโลกรัมละ 25 บาท ซึ่งทางสมาชิกกลุ่มเพื่อนสามารถ แจ้งความประสงค์ขอรับซื้อข้าวตรงจากชาวนาเพื่อช่วยเหลือชาวนาในสถานการณ์ปัจจุบันที่ราคาข้าวตกต่ำ อย่างไรก็ตาม จะขยายพื้นที่การรับซื้อข้าวโดยตรงจากชาวนาในจังหวัดร้อยเอ็ดและจังหวัดอุบลราชธานี รวมถึงจังหวัดอื่นๆด้วย เนื่องจากโครงการนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะยังมีผู้ต้องการซื้อข้าวโดยตรงจากชาวนาอีกเป็นจำนวนมากทำให้ชาวนาได้รับเงินจากการขายข้าวเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งจะดำเนินการโครงการนี้จนถึงสิ้นปีนี้
ชนินทร์ รุ่งแสง อดีต ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นอกจากนี้ได้มีการเตรียมนำข้าวสารจำนวน 9,000 ถุง ไปแจกให้กับพนักงานทำความสะอาดของ กทม. ที่บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวงเพื่อเป็นกำลังใจให้กับพนักงานรักษาความสะอาด กทม. สำหรับการรับซื้อข้าวโดยตรงจากชาวนา ซึ่งจะขยายพื้นที่การรับซื้อตรงกับชาวนาใน จ.ร้อยเอ็ด และอุบลราชธานี รวมถึงจังหวัดอื่นๆ เนื่องจากโครงการดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีผู้ต้องการซื้อข้าวโดยตรงจากชาวนาอีกเป็นจำนวนมาก เพราะชาวนาได้รับเงินจากการขายข้าวอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย คาดว่าจะดำเนินโครงการดังกล่าวไปจนถึงสิ้นปีนี้

ยิ่งลักษณ์ โพสต์ไม่เคยคิดที่กดราคาหรือเอาเปรียบชาวนา

ขณะที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ 'Yingluck Shinawatra' ระบุว่า ดีใจและภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการริเริ่มช่วยชาวนาขายข้าว 2 ครั้งที่ผ่านมาซึ่งเป็นการช่วยให้ชาวนามีทางเลือกหากไม่ได้รับราคาที่เป็นธรรม และเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ชาวนาสามารถขายข้าวเองได้โดยตรงก็จะทำให้คุ้มกับต้นทุน หรือเหลือกำไรบ้าง ซึ่งตนไม่เคยคิดที่จะกดราคาหรือเอาเปรียบชาวนา ตามที่มีใครพยายามกล่าวอ้างแต่อย่างใด ดิฉันซื้อข้าวเปลือกในราคา 12 บาท หรือ ข้าวสาร 20 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ชาวนามีกำไรและพออยู่ได้ ตนลดต้นทุนด้วยการไม่ใช้บรรจุภัณฑ์ที่สวยงามขายข้าวตามสภาพ และ รับผิดชอบขนส่ง ซึ่งหากตนคิดเอากำไร หรือผลักภาระ ส่วนนี้ไปยังผู้ซื้อก็ต้องขายด้วยราคา 25 บาท แต่ไม่ต้องการเช่นนั้น เพื่อให้ผู้ซื้อได้ซื้อข้าวราคาเดียวกับที่ชาวนาขายที่ต่างจังหวัด
ยิ่งลักษณ์ โพสต์ด้วยว่า การช่วยกันคนละไม้ละมือในยามที่ชาวนาเดือดร้อน ตนคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนพึงกระทำ แม้ปัจจุบันตนไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้วก็ช่วยในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่พอสามารถช่วยเหลือกันได้ แต่กลับถูกตีเจตนาเป็นอย่างอื่น นับเป็นสิ่งที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง แทนที่จะตั้งคำถามว่าแม้ข้าวราคาถูกแค่ไหน เหตุใดราคาขายไปยังผู้บริโภคยังคงเป็นราคาเดิม ทำไมไม่เอากำไรส่วนนี้คืนให้กับชาวนา หรือผู้ซื้อบ้าง กลับมาช่วยกันซ้ำเติมและใช้หลักโทษคนนั้นโทษคนนี้ แล้วจะเกิดประโยชน์อย่างไร
 
เพราะการขายข้าวครั้งนี้ ถือเป็นการช่วยชาวนาขาย โดยไม่ผ่านคนกลาง ข้าวส่งตรงถึงมือผู้ซื้อ ซึ่งการซื้อโดยตรงนี้ ทำให้ลดต้นทุนในส่วนของคนกลาง และต้นทุนในแต่ละขั้นตอนเช่น ค่าบรรจุภัณฑ์ การคัดข้าว วิธีที่ดำเนินการเช่นนี้ทำให้ชาวนาสามารถขายข้าวเปลือกได้ในราคาสูงขึ้น มีกำไรและไม่ถูกกดราคา ส่วนผู้ซื้อก็สามารถซื้อข้าวได้ในราคาที่ถูกลง เพราะไม่มีการผลักภาระของคนกลางไปให้ผู้ซื้อ ก็จะเห็นได้จากหลายพื้นที่ ที่ชาวนาเริ่มที่จะสีข้าว ขายเองแล้ว เชื่อว่าในที่สุดกลไกนี้ก็จะค่อยๆปรับตัว ทั้งคนขาย ผู้ประกอบการ และ ผู้ซื้อ มากขึ้น จึงเป็นที่น่าดีใจนอกเหนือจากการช่วยชาวนาขายข้าว
 
"เพื่อให้ชาวนาขายข้าวได้มากขึ้น เราก็น่าจะร่วมกันสนับสนุนให้พี่น้องประชาชนบริโภคข้าวมากขึ้น ด้วยการช่วยกันคิดหาวิธีแปรรูปหรือทำอาหารเกี่ยวกับข้าว เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มความหลากหลายเป็นทางเลือกในการบริโภค ซึ่งจะทำให้การบริโภคข้าวที่ปัจจุบันมีอยู่เกือบ 10 ล้านตันนั้นเพิ่มขึ้น แค่นี้เราก็ถือว่าได้ช่วยชาวนาแล้วค่ะ จึงถือโอกาสเอามาแชร์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและช่วยกันแนะนำด้วยนะคะ" ยิ่งลักษณ์ โพสต์ 

วรงค์ค้านคนที่ซื้อข้าวสารโรงสีมากรอกถุงขาย

วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ Warong Dechgitvigrom เมื่อช่วงเช้าที่ผ่าานมาว่า "ผมคัดค้านคนที่ซื้อข้าวสารโรงสีมากรอกถุงขาย"
วรงค์ โพสต์ว่า ได้เห็นภาพในสังคมออนไลน์ พูดถึงกลุ่มชาวนาปลูกข้าวขายเอง ได้สีข้าวสารหอมมะลิมาขายที่โรงแรมเอเชีย กรุงเทพฯ ในราคากิโลละ 32บาท ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ประเด็นที่ต้องการให้ดูกันคือ ข้าวสารของโรงสีชุมชนที่ชาวนาเขาสีข้าวกัน เวลาเขาใช้บรรจุภัณฑ์ ก็จะเป็นถุงปุ๋ยหรือกระสอบป่านเก่าที่ใช้แล้วมัดด้วยเชือก แต่ดูข้าวสารหอมมะลิที่ยิ่งลักษณ์อ้างว่าซื้อจากชาวนา หรือให้โรงสีชุมชนของชาวนาสี ดูการบรรจุก็จะเห็นความแตกต่าง ถุงขาวเย็บปากถุงอย่างดีด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย โรงสีของพี่น้องชาวนาทำไม่ได้ครับ ต้องเป็นโรงสีใหญ่และมีเครื่องจักรที่ทันสมัยจึงไม่แปลกที่ การขายข้าวสารล่าสุดที่สำโรงของยิ่งลักษณ์ ทำไมต้องไปกรอกที่บ้าน ไม่มากรอกต่อหน้าประชาชน
 
"การที่ผมคัดค้านการซื้อข้าวสารโรงสีกรอกถุงขาย เพราะไม่ได้ช่วยพี่น้องชาวนาอย่างแท้จริง การซื้อข้าวสารโรงสีมานั้น ก็เป็นเพียงแค่พ่อค้าคนกลางเท่านั้นเอง ชาวนาไม่ได้ประโยชน์เพราะขายเป็นข้าวเปลือกไปแล้ว เราจึงต้องช่วยกันรณรงค์ให้ซื้อข้าวสาร จากกลุ่มชาวนา สหกรณ์หรือวิสาหกิจชุมชนที่สีกันเอง อย่างน้อยพี่น้องชาวนาก็จะได้กำไรเพิ่ม มีการแบ่งปันผลกำไรให้สมาชิก สามารถสร้างระบบการสั่งซื้อระยะยาว ไม่ใช่แค่ไฟไหม้ฟาง ต้องเก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางไว้สี นำไปสู่วิถียุ้งฉางเพื่อเก็บข้าวเปลือก และเมื่อมียุ้งฉาง พี่น้องชาวนาสามารถใช้เป็นเครื่องมือควบคุมปริมาณข้าวเปลือกออกสู่ตลาดได้ นี่คือเหตุผลในการคัดค้านการซื้อข้าวสารจากโรงสีมากรอกถุงขาย ที่สำคัญบางคนยังเอาบุญคุณอ้างว่าเป็นข้าวสารชาวนาอีกด้วย" วรงค์ โพสต์

ประยุทธ์มั่นใจทำตามกติกาและกฎหมายทุกประการ


ระบุการถวายพระราชสมัญญานาม 'มหาราช' และการสร้างพระราชานุสาวรี รัฐบาลจะดำเนินการในเวลาที่เหมาะสม คาดว่าวันสำคัญต่าง ๆ ของ ร.9 ยังจะคงมีอยู่ในปฏิทิน ขอให้ข้าราชการ และบุคคลทั่วไปสำรวมพฤติกรรม กรณีเข้ากราบพระบรมศพ

15 พ.ย. 2559 เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล รายงานว่า เมื่อเวลา 13.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงความคืบหน้า การถวายพระราชสมัญญานาม “มหาราช” ว่า ต้องรอเสร็จสิ้นพิธีการไปก่อน และต้องรอเวลาที่เหมาะสม แต่คิดไว้ก่อนได้ไม่ผิด ซึ่งรัฐบาลจะเป็นผู้นำในการดำเนินการ รวมทั้งการสร้างพระราชานุสาวรีย์จะต้องผ่านการขอมติจากคณะรัฐมนตรี ถึงจะขอความเห็นชอบจากสำนักพระราชวังตามขั้นตอนต่อไป ช่วงนี้ต้องทำให้ประเทศชาติ สงบปลอดภัย แล้วดำเนินพระราชพิธีให้ถูกต้องตามโบราณราชประเพณีอย่างเหมาะสมก่อน
ส่วนกรณี เปลี่ยนวันสำคัญต่าง ๆ ในปฏิทินนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะกำหนดได้เมื่อมีรัชกาลแล้ว ทุกอย่างเป็นเรื่องของสำนักพระราชวังเป็นผู้กำหนด และคิดว่าวันสำคัญต่าง ๆ ของรัชกาลที่ 9 ยังจะคงมีอยู่เพราะพระองค์ได้ทำแต่สิ่ง ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากมาย เพียงแต่จะต้องเรียกชื่อใหม่ ซึ่งทั้งหมดอยู่ในขั้นตอนของหารือ
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการแสดงออกถึงพฤติกรรมของข้าราชการบางคน กรณีเวรเฝ้าในพิธีบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมถวายพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทที่ไม่สำรวมว่า ได้มีการตักเตือนถึงการแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมไปแล้ว ซึ่งข้าราชการก็เป็นประชาชน โดยเฉพาะข้าราชการระดับล่าง ๆ ได้มีโอกาสเข้าพระราชวังก็ต้องการจะถ่ายรูป เพียงแต่เป็นการแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม พร้อมขอให้ข้าราชการ และบุคคลทั่วไปให้ความเคารพสถานที่ เพราะเป็นเขตพระราชฐาน จะต้องแสดงกิริยาที่สำรวม
 
ส่วนประเด็นการแสดงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับ Set Zero การเมืองนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของผู้ปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง และพร้อมรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย แต่เป็นเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึง โดยส่วนตัวยังไม่มีความคิดเห็นใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนกรณีการฟ้องกลับนั้น เป็นขั้นตอนที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย จะฟ้องใครก็ให้ดำเนินการตามกระบวน
“ผมเชื่อมั่นในสิ่งที่ผมทำ ผมทำตามกติกา ตามกฎหมายทุกประการนะครับ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
สำหรับการลงพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ในวันที่ 18 พ.ย.นี้  พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นการเยี่ยมเยียนเกษตรกร และเพื่อ ดูการบริหารจัดการน้ำในระดับพื้นที่ทั้งในส่วนของกรมชลประทาน เกษตรกร และส่วนท้องถิ่นเพื่อรับทราบความคืบหน้าในการดำเนินการของภาครัฐว่าได้ดำเนินการอะไรให้กับประชาชนไปบ้าง และประชาชนได้ช่วยเหลือตนเองอย่างไรบ้าง ที่ผ่านมามีหลายแห่งได้มีการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่โดยส่วนท้องถิ่น แต่ปัญหาคือจะหาน้ำให้ท้องถิ่นได้อย่างไร และเชื่อว่าท้องถิ่นทุกที่พร้อมจะบริหารจัดการน้ำ แต่ไม่มีน้ำไหลเข้าพื้นที่จึงไม่สามารถบริหารจัดการน้ำได้ สำหรับท้องถิ่นที่มีน้ำอยู่แล้วก็สามารถบริหารจัดการน้ำได้ เช่น รวบรวมเงินซื้อท่อส่งน้ำ แล้วต่อก็อกน้ำเพื่อเชื่อมโยงระบายน้ำเข้าพื้นที่ให้กับเกษตรกร แต่ปัญหาอยู่ในพื้นที่ที่น้ำไม่สามารถเข้าถึงได้ จึงต้องหาแหล่งน้ำเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์เพื่อการอุปโภค บริโภค และเพื่อการเกษตร รวมถึงเลี้ยงสัตว์ให้กับพื้นที่ตรงนี้ได้มีน้ำอย่างเพียงพอ โดยขอให้ทุกคนช่วยกันทำความเข้าใจกับเกษตรกรในพื้นที่ว่ารัฐบาลไม่ต้องการไปทำลายวงจรใด ๆ แต่ไม่ต้องการให้เป็นหนี้เพิ่มขึ้น จึงอยากให้ทุกคนช่วยกัน และอย่าท้อแท้ ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกว่าจะต้องอดทน