วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

กสทช.แนะวิธีรายงานข้อความ 'ไม่บังควร' ในโซเชียลมีเดีย

20 ต.ค. 2559 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เผยแพร่ภาพในเพจเฟซบุ๊ก แนะนำช่องทางสำหรับแจ้งหน่วยงานรัฐ เมื่อพบข้อความ "ไม่บังควร" ในโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยแนะนำให้แจ้งลิงก์หรือยูอาร์แอลไปที่ 1212@mict.go.th, mm@rta.mi.th หรือ web_report@nbtc.go.th พร้อมแนะนำไม่ให้กดไลก์ กดแชร์ หรือแสดงความเห็น
นอกจากนี้ ยังมีการแนะนำวิธีรายงานเนื้อหาไม่เหมาะสมไปยังเฟซบุ๊กและยูทูบด้วย

ให้ไอเอสพีมอนิเตอร์เนื้อหาโลกออนไลน์ พบไม่เหมาะสมระงับทันที

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา สำนักงาน กสทช. ทำหนังสือถึงผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทุกรายให้ดำเนินการดังต่อไป นี้
1. ให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใดๆ ผ่านเว็บไซต์หรือสื่อออนไลน์โดยเคร่งครัด
2. นอกจากการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลข้างต้นแล้ว ให้ติดตามและตรวจสอบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต และหากตรวจพบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ไม่เหมาะสม ให้ดำเนินการระงับหรือยับยั้งการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวในทันที รวมทั้งประสานไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง  เช่น เฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์, ยูทูบ, ไลน์ ฯลฯ ให้ดำเนินการระงับหรือยับยั้งการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวในทันที ทั้งนี้ หากพบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใดที่ไม่เหมาะสมแล้วไม่ดำเนินการระงับหรือยับยั้ง การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวในทันทีแล้ว ถือเป็นความผิดร้ายแรงที่ กสทช. จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
3. ให้จัดตั้งหน่วยตรวจสอบขึ้นภายในองค์กรหรือหน่วยงานท่านเพื่อติดตามและตรวจสอบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใดๆ ผ่านเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ ตลอด 24 ชั่วโมง และหากพบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใดที่ไม่เหมาะสมแล้วให้ดำเนินการตาม 2. โดยทันที และให้แจ้งผลการดำเนินการให้สำนักงาน กสทช. ทราบโดยเร็ว  
4. สำนักงาน กสทช. จะร่วมติดตามและตรวจสอบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใดๆ ผ่านเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยหากพบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใดที่ไม่เหมาะสม จะดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อผู้กระทำผิดโดยตรงกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ต่อไป ซึ่งสำนักงาน กสทช. ได้ประสานช่องทางการดำเนินการดังกล่าวกับ ปอท. ไว้แล้ว
ทั้งนี้ หากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใดไม่ปฏิบัติตามดังที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาต สำนักงาน กสทช. จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายให้ถึงที่สุดต่อไป
 

กระทรวงดิจิทัล เผยระดม 100 คนมอนิเตอร์เว็บหมิ่น 24 ชม.

ขณะที่วานนี้ (19 ต.ค.) พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า กระทรวงดีอี ทำหน้าที่ในการตรวจสอบเว็บหมิ่น 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งประสานงานกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) อย่างใกล้ชิด ด้วยการใช้ประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 26 ที่ระบุความผิดเกี่ยวกับเนื้อหาที่กระทบต่อความมั่นคง ยั่วยุ หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ หากเข้าข่ายความผิดดังกล่าว รัฐบาลสามารถปิดเว็บหมิ่นได้ทันที ซึ่งส่วนใหญ่เว็บที่ถูกปิดจะเป็นเว็บในประเทศ แต่หากเป็นเว็บที่ต้องเข้ารหัส ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเว็บในต่างประเทศ รัฐบาลต้องใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ที่ระบุความผิดเกี่ยวกับลามก อนาจาร หมิ่นสถาบัน ซึ่งต้องมีการตรวจสอบหาหลักฐาน ซึ่งปกติใช้เวลา 15 วัน กว่าจะส่งเรื่องมาให้รัฐมนตรีดีอี ตรวจสอบ ลงนาม และส่งเรื่องต่อไปยังศาล เพื่อขอหมายศาล และแจ้งไปยังผู้ให้บริการในต่างประเทศ โดยกระทรวงจะพยายามเร่งรัดขั้นตอนนี้ให้เร็วที่สุด
พล.อ.อ.ประจิน ระบุด้วยว่า กระทรวงฯ มีศูนย์ตรวจสอบเว็บหมิ่น 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว แต่ในกรณีนี้ได้เพิ่มกำลังบุคลากรที่ศูนย์ปฏิบัติการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (CSOC) เพื่อคอยตรวจสอบเว็บไม่เหมาะสมที่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) จำนวน 28 คน ผลัดหมุนเวียนตลอด 24 ชม. รวมกับศูนย์กองป้องกัน และปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ปท.) กระทรวงดีอี จำนวน 30 คน และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ของ สตช. จำนวน 60 คน รวมกว่า 100 คน

กสม.ชี้ใช้ความรุนแรงต่อผู้ถูกกล่าวหาหมิ่นฯถือว่าละเมิดสิทธิ ตร.สระแก้วจับหนุ่มวัย 18 ตั้งข้อหาโพสต์หมิ่นฯ

วัส ติงสมิตร ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 

ปธ.คณะกรรมการสิทธิฯ เตือนด่าหรือทำร้าย ใช้ความรุนแรงกับผู้ถูกกล่าวหาหมิ่นสถาบันเป็นการละเมิดสิทธิฯ แนะหากคิดว่าผิดก็ไปแจ้งความ ขณะที่ ตร.สระแก้วจับหนุ่มวัย 18 ตั้งข้อหาโพสต์หมิ่นสถาบัน เจ้าตัวอ้างเมากัญชา
20 ต.ค. 2559 วัส ติงสมิตร ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวถึงกรณีเหตุการณ์ประชาชนใช้ความรุนแรงกับคนที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายหมิ่นสถาบันนั้นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งประชาชนไม่มีสิทธิทำอย่างนั้นเพราะต้องให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ใครทำผิดก็ไปแจ้งความ หรือจะช่วยเจ้าหน้าที่จับกุมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่จะไปด่า ไปทำร้ายเขาไม่ได้ เพราะแม้แต่เจ้าหน้าที่เองก็ยังไม่มีอำนาจทำร้ายเขา สิ่งเหล่านี้ขอให้ประชาชนช่วยระมัดระวัง เพราะการใช้อารมณ์ความรู้สึกจะทำให้เกิดปัญหาได้

ตร.สระแก้วจับหนุ่มวัย 18 ตั้งข้อหาโพสต์หมิ่นสถาบัน เจ้าตัวอ้างเมากัญชา

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ และ ข่าวสดออนไลน์ รายงานด้วยว่า จากกรณีที่ศูนย์ 191 ตำรวจสระแก้ว ได้รับแจ้งจากประชาชนว่าชายคนหนึ่งโพสต์ในเฟซบุ๊กเข้าข่ายดูหมิ่นสถาบัน จึงตรวจสอบและพบว่ามีการกระทำดังกล่าว ก่อนประสานไปยัง สภ.วัฒนานคร และส่งเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวเจ้าของเฟซบุ๊คดังกล่าว เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 19 ต.ค. หลังจากโพสต์ข้อความไปเพียง 4 ชม. โดยเป็นเยาวชน อายุ 18 ปี 
จากการสอบถามเบื้องต้นยังให้การปฎิเสธ โดยอ้างว่า มีคนอื่นแอบเอาไปเล่น เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจค้นภายในห้องพักพบกัญญา จำนวน 26 ห่อเล็ก น้ำหนัก 25.44 กรัม จึงได้ควบคุมตัวมาสอบเพื่อขยายผลเพิ่มเติม จนกระทั่งเวลาประมาณ 01.00 น. ผู้ต้องหาจำนนต่อหลักฐานจึงยอมรับสารภาพว่าเป็นคนโพสข้อความหมิ่นสถาบันในเฟซบุ๊กของตัวเอง ที่ใช้ชื่อว่า “เคี๊ย อ๊อฟ” จริง โดยอ้างว่าเนื่องจากเมากัญชา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ภจว.สระแก้ว จึงนำส่ง พ.ต.ท กตัญญู พงเกาะ สว.(สอบสวน) สภ.วัฒนานคร ดำเนิคดีในข้อหา มีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย 
ต่อมาเช้าวันที่ 20 ต.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหามาส่งให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสระแก้ว พื้นที่ที่พบการกระทำผิดดำเนินคดีหมิ่นฯ ตามข้อความมีโพสข้อความในเฟซบุ๊กหลายข้อความ โดยได้ประชุมแนวทางดำเนินคดีร่วมฝ่ายทหาร ตาม ม.112  ที่ สภ.เมืองสระแก้ว ต่อไป 

จันทบุรี ปชช.ล้อมหญิงวัยกลางคน หลังถูกกล่าวหาว่าเขียนหมิ่นฯ ในสมุดลงนาม


20 ต.ค. 2559 ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า เมื่อเวลา 08.00 น. ร.ต.อ.อภิชาติ โกเนตรสุวรรณ ร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี ได้รับแจ้งจาก ชยุต อภิรักษ์อัตรา ประธานชุมชนย่อยที่ 4 ว่า จับหญิงวัยกลางคนหลังเขียนข้อความหมิ่นเบื้องสูงในสมุดลงนามถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมารับตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย
      
หลังรับแจ้ง ร.ต.อ.อภิชาติ โกเนตรสุวรรณ ร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ ได้รุดไปที่เกิดเหตุ เมื่อเดินทางไปถึงพบชาวบ้านได้ยืนล้อมกรอบหญิงวัยกลางคนเอาไว้ พร้อมกับนำหลักฐานที่หญิงวัยกลางคนได้เขียนข้อความหมิ่นเบื้องสูงในสมุดลงนามถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ชาวชุมชนย่อยที่ 4 ได้ตั้งสมุดลงนามถวายความอาลัยให้ประชาชนได้ร่วมแสดงความอาลัยไว้ภายในชุมชนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดู ซึ่งสร้างความไม่พอใจ และความโมโหให้แก่ชาวบ้านชุมชนย่อยที่ 4 เป็นอย่างมาก ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ควบคุมตัวหญิงวัยกลางคนไปที่สถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี ก่อนที่หญิงวัยกลางคนจะถูกชาวบ้านรุมทำร้าย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
      
ชยุต อภิรักษ์อัตรา ประธานชุมชนย่อยที่ 4 กล่าวว่า ตนเองได้ขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมายังจุดที่ลงนามถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเห็นหญิงวัยกลางคนกำลังนั่งเขียนข้อความอยู่ในสมุดลงนามพอดี ซึ่งตนเองเข้าใจว่าเป็นประชาชนทั่วไปมาลงนามเฉยๆ จากนั้นตนเองก็ไปเลือกผ้า หลังไปไม่นานก็ได้มีเจ้าของบ้านที่อยู่ใกล้กับจุดลงนามว่า มีใครไม่รู้ที่ลงนามคนสุดท้ายมาเขียนข้อความหมิ่นเบื้องสูง ตนเองจึงได้ขี่รถจักรยานยนต์ตามหา และก็พบหญิงวัยกลางคนเดินอยู่จึงได้เข้าไปสอบถามชื่อหญิงวัยกลางคน แต่หญิงวัยกลางคนไม่บอก กับบอกแก่ตนเองว่า จะทำไม ซึ่งตนเองเลยถามว่าคุณเขียนอะไรไปที่สมุดลงนาม หญิงวัยกลางคนบอกแล้วจะทำไม ตนเองจึงได้เรียกชาวบ้านให้ช่วยกันจับหญิงวัยกลางคน ก่อนที่จะโทร.แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมารับตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายดังกล่าว 
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า วันเดียวกัน ที่ จ.สระแก้ว เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวเยาวชน อายุ 18 ปี พร้อมตั้งข้อหาโพสข้อความหมิ่นสถาบันในเฟซบุ๊กของตัวเอง รวมทั้งดำเนิคดีในข้อหา มีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนเจ้าตัวอ้างว่าเนื่องจากเมากัญชา  (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

ยิ่งลักษณ์ห่วงคดีจำนำข้าว คิดถึงเรื่อง 'กำไร-ขาดทุน' รัฐบาลต่อไปจะดูแลปชช.ยากขึ้น


ยิ่งลักษณ์ เข้ารับฟังการสืบพยานจำเลยนัดที่ 5 ในคดีข้อกล่าวหาทุจริตจำนำข้าว พร้อมปฏิเสธจ่ายค่าเสียหายคดีละเมิด 3 หมื่นล้านยืนยัน ไร้ความยุติธรรม ขณะที่ประชาชนแต่งกายด้วยชุดสีดำชูป้ายให้กำลังใจ 
ที่มาภาพ เฟซบุ๊ก TV24 สถานีประชาชน
21 ต.ค. 2559 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมทีมทนาย เดินทางมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อขึ้นสืบพยานฝ่ายจำเลยนัดที่ 5 ในคดีโครงการรับจำนำข้าว ด้วยสีหน้าเรียบเฉย โดยมีบรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) และอดีตส.ส. และสมาชิกพรรค ร่วมให้กำลังใจ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 จำนวน 1 กองร้อย ทั้งนี้ทันทีที่ ยิ่งลักษณ์ มาถึง ประชาชนซึ่งวันนี้ได้แต่งกายด้วยชุดสีดำชูป้ายให้กำลังใจ โดยไม่ได้ส่งเสียงเชียร์
มติชนออนไลน์ รายงานว่า  ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าศาลกรณีกระทรวงการคลังส่งคำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหายในคดีโครงการรับจำนำข้าวกว่า 35,000 ล้านบาทว่า ได้รับหนังสือทางปกครองแล้วเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา ส่วนจะทำอย่างไรต่อไปนั้น ขอเรียนว่าในช่วงที่คนไทยกำลังโศกเศร้าจะยังไม่ขอแถลงการณ์ใดๆ จนกว่าจะถึงเวลาอันควร ซึ่งการออกคำสั่งดังกล่าวไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมกับตนเป็นอย่างมาก เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องนโยบายและยังไม่เคยมีใครถูกกระทำในเวลาอันเร่งรีบมาก่อน
“ดิฉันขอยืนยันจะใช้สิทธิทุกช่องทาง ทางกฎหมายที่มีในการต่อสู้ครั้งนี้ และขอปฏิเสธข้อกล่าวหาต่างๆ รวมถึงการใช้คำสั่งที่ไม่ถูกต้องและเป็นธรรม และจะเปิดแถลงการณ์ในเวลาอันควร เพราะเป็นช่วงที่คนไทยทั้งประเทศโศกเศร้า เราคิดว่าเราคงจะไม่พูดอะไรมากในตอนนี้” ยิ่งลักษณ์ กล่าว
ยิ่งลักษณ์ กล่าวอีกว่า อีกทั้งการดำเนินคดีนี้จะทำให้การบริหารนโยบายเพื่อชาวนาเป็นไปด้วยความยากลำบาก เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง การคิดถึงเรื่องกำไร ขาดทุน รัฐบาลต่อไปคงจะดูแลประชาชนและชาวนาได้ยากขึ้น และมาตรการต่างๆ คงจะไม่สามารถมีได้อีกต่อจากนี้
ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า ไม่ได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการพิจารณาค่าเสียหายตั้งแต่ต้น หลังจากนี้จะแถลงการณ์ในวัน และเวลาที่เหมาะสม
Voice TV รายงานด้วยว่า สำหรับวันนี้ ทนายความจำเลยเบิกตัวพยาน 2 ปากขึ้นแก้ข้อกล่าวหา ประกอบด้วย วรวิทย์ จำปีรัตน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ขึ้นเบิกความยืนยันกระบวนการประเมินความคุ้มค่าของโครงการต่ออดีตคณะรัฐมนตรี และ เกษม มกราภิรมย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบาย และกำกับการบริหารหนี้สาธารณะในขณะนั้น ขึ้นเบิกความการควบคุมวินัยทางการคลัง ในช่วงที่รัฐบาลกู้เงินในทุกฤดูกาลผลิต

เลิกมโน ผู้ว่าฯนนท์ แจงหญิงสาวเสื้อสีส้มลงนามไว้อาลัยเป็นผู้ป่วยทางจิต


หลังกระแสวิจารณ์ความเหมาะสมหญิงสวมเสื้อสมลงนามไว้อาลัย รวมทั้งจินตนาการเป็น 'ลูกเกด NDM' ไปจนถึงแผนล่อให้คนมาทำร้าย ล่าสุด ผู้ว่าฯ นนทบุรี แถลงยืนยันจากการตรวจสอบ เธอเป็นผู้ป่วยทางโรคจิตเฉียบพลัน
21 ต.ค. 2559 จากกรณีมีผู้นำภาพผู้หญิงใส่เสื้อสีส้มลงนามไว้อาลัยในหลวง ที่ศาลากลางหลังเก่าจังหวัดนนทบุรี โพสต์ผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตพร้อมวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม รวมทั้งมีผู้พยายามเชื่อมโยงว่าเธอเป็น ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือลูกเกด สมาชิกกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ (NDM) จน ชลธิชา ต้องเดินทางไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจภูธรพุทธมณฑล นครปฐม โดยยืนยันว่าบุคคลเสื้อส้มในภาพนั้นไม่ใช่ตนเองและตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับการกระทำดังกล่าว (อ่านรายละเอียด) นั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ที่ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี นิสิต จันทร์สมวงศ์ ผวจ.นนทบุรี สุธี ทองแย้ม รอง ผวจ. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุศักดิ์ ปรักกมะกุล ผบก.ภ.จว.นนทบุรี และ นพ.สรวุฒิ เกษมสุข จิตแพทย์ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ร่วมกันแถลงข่าวข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ดังกล่าว ระบุว่า ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย รวมทั้งจิตแพทย์ได้ไปยังบ้านหญิงสาวรายนี้ที่บ้านพัก พบว่า เป็นผู้ป่วยทางโรคจิตเฉียบพลัน (Acute and Transient Psychotic Disorders) โรคจิตในกลุ่มนี้มีลักษณะหลากหลายแตกต่างกัน (Heterogenous) โดยอาการทางจิตเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบด้วย อาการหลงผิด ประสาทหลอน การรับรู้ผิดปกติและพฤติกรรมผิดปกติ เบื้องต้นทางจังหวัดนนทบุรีได้ส่งคณะจิตแพทย์ติดตามดูแลบุคคลดังกล่าวแล้ว 
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า กรณีผู้หญิงใส่เสื้อสีส้มนี้นอกจากมีการพยายามโยงกับ ชลธิชา แล้ว ยังมีความพยายามโยงว่า เธอ เข้ามากระทำการดังกล่าวเพื่อหวังให้คนมาทำร้ายหรือใช้ความรุนแรงกับเธอ โดย เพจการ์ตูนอย่าง 'เผาหัว' ยังมีการวาดภาพในลักษณะนี้ด้วย