วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ถูกตรวจสอบเสียเอง! สั่งย้าย-สอบอัยการหลังโพสต์เฟซบุ๊กหนุนตรวจสอบ 'พล.อ.ปรีชา'

ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม

สั่งย้ายพร้อมตรวจสอบ 'ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม' รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา หลังโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวพาดพิงถึง พล.อ.ประยุทธ์ กรณีตรวจสอบ พล.อ.ปรีชา ด้านอัยการสูงสุด ยันไม่มีใบสั่ง ระบุเป็นขั้นตอนส่วนหนึ่งของการตรวจสอบข้อเท็จจริง
6 ต.ค. 2559 จากกรณีเมื่อวันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา เฟซบุ๊ก 'ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม' ของ ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา โพสต์ข้อความเฟซบุ๊กส่วนตัวพาดพิงถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รวมทั้งการสนับสนุนให้เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และศรีสุวรรณ จรรยา ที่ร้องให้มีการสอบสวนกรณี พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ นั้น
วันนี้ มติชนออนไลน์ รายงานว่า ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อัยการสูงสุด ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีคำสั่งโยกย้าย ปรเมศวร์ กรณีโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัว ดังกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นขั้นตอนส่วนหนึ่งของการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เท่านั้นเอง ส่วนกระเเสข่าวว่ามีการมากดดันให้ย้าย ปรเมศวร์ นั้น ขอยืนยันว่า ไม่ได้มีการกดดันมาจากผู้มีอำนาจเเต่อย่างใด
เมื่อถามว่าใครเป็นคนเเจ้งหรือร้องให้ตรวจสอบกรณีนี้ ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ กล่าวว่า เรื่องนี้นอกจากจะมีการโพสต์ลงเฟซบุ๊กเเล้วยังมีสื่อมวลชนนำไปลงทั้งทีวีเเละหนังสือพิมพเเละสื่อหลักๆ ซึ่งเนื้อหามีการพาดพิงไปถึงผู้อื่นทำให้เรื่องนี้มีการตรวจสอบขึ้นมา
ต่อคำถามว่าจะย้ายนายปรเมศวร์ไปนานหรือไม่นั้น ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ กล่าวว่า จะต้องดูผลการสอบว่าออกมาเป็นอย่างไรถึงจะบอกได้
ขณะที่ ประนต ผ่องแผ้ว ผู้ตรวจการอัยการ กล่าวว่า เพิ่งได้รับทราบคำสั่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ปรเมศวร์ ในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากที่ได้อ่านคำสั่งโดยละเอียดแล้วจะปฎิบัติตามคำสั่งต่อไป เบื้องต้นยังไม่ได้กำหนดว่าจะนัดให้ ปรเมศวร์ มาสอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวในวันใด โดยหลักการสอบก็จะเป็นการสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นถึงเรื่องการโพสต์ ข้อความดังกล่าว ลงในเฟซบุ๊ค และ นอกจากนายปรเมศวร์แล้ว อาจจะมีการสอบเพิ่มขึ้น อีก1-2 คน เช่น ผู้บังคับบัญชาของนายปรเมศวร์ หรือ ผู้ที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการเมืองและระเบียบของสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งเมื่อมีการสอบครบประเด็นแล้ว ได้ความอย่างไรก็จะนำส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาสั่งการดำเนินการต่อไป โดยการสอบในชั้นนี้ยังไม่ถึงขั้นที่จะระบุว่ามีการพิจารณาลงโทษวินัยหรือไม่อย่างไร เป็นการสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นเท่านั้น
ส่วนเมื่ออัยการสูงสุดได้รับทราบผลจากการสอบแล้วจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบเพื่อเอาผิดวินัยต่อไปหรือไม่นั้น ไม่ทราบขึ้นอยู่กับอัยการสูงสุดจะเป็นผู้พิจารณา เมื่อถามต่อว่าว่าจะใช้ระยะเวลาในการสอบ ปรเมศวร์ เท่าไหร่นั้น ประนต กล่าวว่ายังไม่สามารถระบุได้ แต่ตามหลักแล้วคงจะไม่เกิน 30 วัน

เปิดคำสั่งย้าย

โดยวานนี้ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า เมื่อวันที่ 5 ต.ค.2559 ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธ์ภัณฑ์บริภาร อัยการสูงสุด ได้ลงนามในคำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุด ที่ 1905/2559 เรื่องให้ พนักงานอัยการช่วยราชการ และปฏิบัติราชการ 
ระบุว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 13 มาตรา 15 มาตรา 19 และมาตรา 27 แห่งพ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 จึงมีคำสั่งให้พนักงานอัยการช่วยราชการและปฏิบัติราชการดังนี้  1. นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน รองอธิบดีอัยการ สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด รักษาการในตำแหน่ง รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา 2. นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา รักษาการในตำแหน่ง รองอธิบดีอัยการ สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2559 เป็นต้นไป
 

ย้อนข้อความที่โพสต์

สำหรับรายละเอียดข้อความที่เฟซบุ๊ก 'ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม' ของ ปรเมศวร์โพสต์นั้น ระบุว่า “วันก่อนได้ยินมาว่าท่านนายกกล่าวถึง คุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และคุณศรีสุวรรณ จรรยา ที่ร้องให้มีการสอบสวนกรณีพลเอกปรีชา จันทร์โอชา และวงศาคณาญาติในหลายเรื่องตั้งแต่เรื่องฝาย เรื่องการใช้เครื่องบิน การใช้บ้านพักทางราชการตั้งเป็นห้างหุ้นส่วน และการประมูลงานราชการ ว่าทั้งคุณเรืองไกรและคุณศรีสุวรรณนั้นทำมาหากินอะไรถึงได้ร้องได้ทุกเรื่อง เดี๋ยวท่านจะตรวจสอบทั้งสองคนนี้บ้าง ผมอยากจะเรียนว่าทั้งสองคนนั้นท่านก็เป็นประชาชนคนไทยที่รักชาติไม่แพ้ท่านหรอกครับ เขากำลังทำหน้าที่ของ “พลเมืองดี” ที่ตรวจความไม่ชอบมาพากลตามที่ “กฎหมาย” ให้อำนาจเขาไว้ กล่าวคือ เมื่อมีกรณีน่าเชื่อว่ามีการกระทำความผิดทางอาญาอย่างหนึ่งขึ้น เขาซึ่งเป็นบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่ “ผู้เสียหาย” ได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ว่ามีบุคคลรู้ตัวหรือไม่ก็ดีได้กระทำความผิดอย่างหนึ่งขึ้น ซึ่ง “ข้อร้องเรียน” ของเขานั้น นักกฎหมายเราเรียกว่า “คำกล่าวโทษ” ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2 (8) เพื่อให้เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจทำการสอบสวนในเรื่องดังกล่าวว่าเป็นความผิดจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นบทบาทของพลเมืองดีโดยทั่วไปที่จะปกปักษ์รักษาบ้านเมืองของตน จะต่างกับท่านนายกตรงที่ท่านมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 44 สั่งเลื่อนลดปลดย้ายข้าราชการต่างๆ ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำทุจริตทั้งที่ยังไม่มีการสอบสวน แค่สงสัยเท่านั้น..จนครอบครัวเขาเสียชื่อเสียงไปมากมายก่ายกองและเสียหายไปชั่วลูกชั่วหลาน พอคนในตระกูลจันทร์โอชาโดนเข้าบ้าง ท่านจะไปโวยวายทำไม เหมือนกันแหละครับ ไม่โดนเองไม่รู้สึก พอท่านรู้สึกท่านก็จะสั่งตรวจสอบเขาบ้างว่าสองท่านนี้ทำมาหากินอะไร..ท่านเป็นนายกต้องระมัดระวัง คิดได้แต่อย่าคิดดัง เพราะสิ่งที่ทำคือเกียรติภูมิของประเทศนะครับ ไม่ได้สอนนะ แต่ว่าผมว่าท่านไม่เข้าใจหลักกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนแม้แต่น้อย ไม่เชื่อลองถามอาจารย์วิษณุก็ได้ ว่าพูดถูกหรือเปล่า แต่ต้องขอให้อาจารย์ตอบแบบ “ครูกฎหมาย” นะครับ อย่าตอบแบบ “เนติบริกร นะครับ”

ป.ป.ช. ตีตกคำร้องสอบ 'ปรีชา' ตั้งลูกเป็นทหาร ระบุยังฟังไม่ได้ว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมีชอบ


6 ต.ค. 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ก.ย. ที่ผ่านมา วีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) ได้โพสต์หนังสือแจ้งผลการพิจารณาของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'Veera Somkwamkid' ในลักษณะสาธารณะ โดยหนังสือดังกล่าว ลงวันที่ 15 ก.ย.2559 โดย อ้างถึงหนังสือที่ วีระ ร้องเรียนไว้เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา ลงชื่อโดย วณิชย์ ศุภวณิชย์กุล ผอ.สำนักงานเลขาธิการ ปฏิบัติราชการแทน เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.
หนังสือดังกล่าวระบุว่า ตามหนังสือที่อ้างถึง ท่านได้กล่าวหา พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ว่ากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีบรรจุ ปฏิพันธ์ จันทร์โอชา เป็นนายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน สังกัดกองทัพภาคที่ 3 โดยมิชอบนั้น
 
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าพฤติการณ์ของ พ.อ.ปรีชา ผู้ถูกกล่าวหา ที่บรรจุ ปฏิพัทธ์ บุตรชาย เข้ารับราชการและแต่งตั้งยศเป็นว่าที่ร้อยตรี เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมีชอบตามที่กล่าวหา จึงมีมติไม่รับไว้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง แต่ให้แจ้งข้อสังเกตไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าในกรณีเช่นนี้ผู้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควรต้องพิจารณาทำคำสั่งให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติรายการทางปกครอง พ.ศ.2539 ด้วย โดยหากเนว่าตนเป็นคู่กรณีอันต้องห้ามมิให้กระทำการพิจารณาทางปกครอง ก็ควรเสนอผู้บังคับบัญชาเหนือตนขึ้นไปขั้นหนึ่งให้รับทราบและมีคำสั่งต่อไป

'บินไทย' แจ้ง ปอท.เอาผิด 'หยุดดัดจริตประเทศไทย' ปมปล่อยชือทริปฮาวาย ระบุเป็นข้อมูลลูกค้า

6 ต.ค.2559 ความคืบหน้าจากกรณีการเดินทางโดยเครืองบินของการบินไทย ไปร่วมประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาเซียน - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา อย่างไม่เป็นทางการ ที่เมืองฮอนโนลูลู มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 29 ก.ย.-2 ต.ค. 2559  โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุม จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความคุ้มค่า เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายรวม 20,953,800 บาท โดยมีค่าอาหารและเครื่องดื่มระหว่างเที่ยวบิน 600,000 บาท (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม) นั้น 
ต่อมาเฟซบุ๊กแฟนเพจดังอย่าง 'หยุดดัดจริตประเทศไทย' ได้รายชื่อที่ระบุว่าเป็นผู้ร่วมคณะเดินทางไปฮาวายดังกล่าวมาเผยแพร่ 
 
ล่าสุดวันนี้ (6 ต.ค.59) มติชนรายงานว่า ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) รายงานข่าวแจ้งว่า นักกฎหมายของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) รับอำนาจจาก จรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปอท. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับเพจชื่อ “หยุดดัดจริตประเทศไทย” ที่เผยแพร่รายชื่อผู้ร่วมไฟลต์เที่ยวบิน TG8885 จำนวน 43 คน ซึ่งเป็นเที่ยวเดียวกับคณะของ พล.อ.ประวิตร ที่เดินทางไปประชุมที่ฮาวาย เนื่องจากเป็นข้อมูลลูกค้า ซึ่งเป็นความลับ ขณะที่วันที่เดินทางนั้นมีการถอดรายชื่อออกบางส่วน เนื่องจากไม่ได้เดินทางไปในวันดังกล่าว จึงต้องการให้ทางเจ้าหน้าที่ดำเนินคดี เนื่องจากทำให้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เสื่อมเสียชื่อเสียง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่รับเรื่องเพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา
 
โดย พ.ต.อ.โอฬาร สุขเกษม ผกก.3 บก.ปอท. เปิดเผยว่า การบินไทยส่งตัวแทนเข้ามาชี้แจงข้อเท็จจริง ทางเราเป็นเจ้าพนักงานผู้รับผิดชอบจะได้รวบรวมพยานหลักฐาน ข้อมูลต่างๆ ต่อไป หากพบว่าเป็นการกระทำความผิดจะดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งนี้ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมพยานหลักฐาน ใครทุกคนที่เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดทั้งเว็บไซต์ หรือเพจเฟซบุ๊ก
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากพบว่าคนในหรือใครก็ตามเป็นผู้กระทำความผิดเผยแพร่ข้อมูลออกมาจะต้องดำเนินคดีหรือไม่ พ.ต.อ.โอฬาร เปิดเผยว่า เป็นเรื่องภายในที่จะต้องตรวจสอบดำเนินการ ถ้าเกี่ยวพันว่ามีการกระทำความผิดต้องดำเนินการด้วย ส่วนข้อหาต้องรวบรวมพยานหลักฐานสอบสวนก่อนถึงจะดำเนินการพิจารณาตั้งข้อหาได้ ขณะนี้ทราบเพียงข้อเท็จจริงที่มีการชี้แจงให้ทาง ปอท.ช่วยรวบรวมพยานหลักฐานและตรวจสอบผู้ที่นำข้อมูลไปเผยแพร่ ขั้นแรกเจ้าหน้าที่จะต้องรวบรวมข้อเท็จจริงก่อนว่ามีข้อเท็จจริงเกิดขึ้นหรือไม่ แล้วข้อเท็จจริงดังกล่าวมีพยานหลักฐานยืนยันไหม หากมีพยานหลักฐานแล้วใครเป็นผู้กระทำ ก็ดำเนินขั้นตอนไปตามกฎหมาย
 
เมื่อถามว่า เว็บไซต์หรือเพจที่เผยแพร่ข้อมูลไปเปิดในต่างประเทศจะสามารถดำเนินการจับกุมได้หรือไม่ พ.ต.อ.โอฬารกล่าวว่า ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หรือความผิดตามกฎหมายไทยที่บัญญัติว่าต้องรับโทษในประเทศไทยสามารถดำเนินการได้หมด เพียงแต่ว่าจะได้ตัวผู้ต้องหาหรือผู้กระทำผิดมาลงโทษแค่ไหน หรือจะได้พยานหลักฐานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับขั้นตอนการดำเนินการ เป็นรายละเอียดในแนวทางการสืบสวนสอบสวน อย่างไรก็ตาม ไม่มีแรงกดดันจากฝ่ายไหน ยืนยันว่าไม่มีใครกดดันหรือสั่งการให้ดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
 

ช่อง5 แจ้ง ปอท. เอาผิดด้วย เหตุหมิ่นดองข่าว กรณี 'ชลรัศมี'

เนชั่นทีวี รายงานด้วยว่า เฟซบุ๊กเพจ "หยุดดัดจริตประเทศไทย" ได้เผยแพร่รายชื่อผู้โดยสารเที่ยวบินเช่าเหมาลำดังกล่าว ซึ่ง พบว่าลำดับที่ 20 มีชื่อของ MAJ CHONRATSAMEE NGATHAWEESUK ที่นั่ง 24F ต่อมา "Tippy leds" เฟซบุ๊กของ พ.ต.หญิงชลรัศมี งาทวีสุข ผู้ประกาศข่าวสาว สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 โพสต์ข้อความชี้แจงผ่านรายการ เช้านี้ประเทศไทย ระหว่างเวลา 7.00-8.00 น. ซึ่งจัดร่วมกับ วิทย์ สิทธิเวคิน ว่า วันที่ 31 ก.ย. ตนจัดรายการสดอยู่กรุงเทพฯ อยู่หน้าจอช่อง 5 ไม่ได้ไปไหน ไม่ได้ไปต่างประเทศ และวันที่ 1 ต.ค. อยู่ที่ท้องนา ที่จ.นครนายก ซึ่งเป็นบ้านสวนของตนเองนั้น
 
โดยที่วานนี้ ที่ บก.ปอท. พ.อ.ดร.ธนาธิป สว่างแสง ผอ.ฝ่ายรายการสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก และพ.อ.จิรศักดิ์ เอี่ยมสมบุญ ผู้อำนวยการฝ่ายข่าว สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.สยาม บุญสม รอง ผบก.ปอท. เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงของกรณีดังกล่าว โดยได้นำหลักฐานตารางการออกอากาศของทางสถานีโทรทัศน์วิทยุกองทัพบกทั้งหมดมามอบให้ 
 

ยันให้บริการเที่ยวบินเช่าเหมาลำข้ามทวีปตามมาตรฐาน โปร่งใส ตรวจสอบได้

 
วานนี้ เพจ Thai Airways ได้เผยแพร่คแถลงของ จรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดย จรัมพร เปิดเผยว่า กรณีที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีซื้อบริการเที่ยวบินเช่าเหมาลำของการบินไทยเดินทางไปฮอนโนลูลู มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา เพื่อปฏิบัติภารกิจในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทยนั้น การบินไทยขอยืนยันข้อมูลดังนี้
 
- ในเที่ยวบินขาไปมีผู้โดยสารจำนวน 38 คน และในเที่ยวบินขากลับมีผู้โดยสารจำนวน 41 คน ซึ่งเป็นจำนวนตามที่โฆษกกระทรวงกลาโหมได้แถลงไปแล้ว
 
- เรื่องค่าใช้จ่ายนั้น สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ขอตรวจสอบมาที่การบินไทยแล้ว และบริษัทฯ พร้อมให้ความร่วมมือในการถูกตรวจสอบอย่างเต็มที่ การบินไทยเป็นรัฐวิสาหกิจและเป็นบริษัทฯ ในตลาดหลักทรัพย์ทำทุกอย่างต้องโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และขอยืนยันว่าการคิดค่าใช้จ่ายการจัดเที่ยวบินเช่าเหมาลำที่การบินไทยเสนอไปยังสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นค่าใช้จ่ายที่เป็นราคาประมาณการ เป็นราคาที่เสนอระหว่างองค์กรของรัฐต่อรัฐตามราคาต้นทุนซึ่งสามารถตรวจสอบได้ และสามารถเปรียบเทียบราคากับสายการบินอื่นในระดับพรีเมี่ยมได้ และเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว การบินไทยจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง
 
- เรื่องอาหารบนเครื่องบินทั้งเที่ยวไปและเที่ยวกลับให้บริการอาหารและเครื่องดื่มรวมทั้งหมด 4 มื้อหลัก รวมทั้งอาหารว่างตลอดการเดินทาง และอาหารสำรองที่ต้องจัดเตรียมไว้ในกรณีที่การทำการบินไม่เป็นไปตามแผนการบิน ซึ่งการจัดเตรียมอาหารจะพิจารณาจากระยะเวลาที่ใช้ทำการบิน โดยเส้นทางกรุงเทพฯ - ฮาวาย ใช้เวลาทำการบิน 12.30 ชั่วโมง ส่วนเที่ยวกลับเส้นทางฮาวาย - กรุงเทพฯ ใช้เวลาทำการบิน 12.45 ชั่วโมง ทั้งนี้ การบินไทยได้นำเสนอเมนูหลากหลายให้ผู้ซื้อบริการเป็นผู้เลือกก่อนการเดินทาง เพื่อให้บริการผู้โดยสารบนเครื่องบินตามมาตรฐานพรีเมี่ยมของการบินไทย
 
- การเลือกใช้เครื่องบินโบอิ้ง 747-400 ทำการบิน เนื่องจากเป็นเครื่องบินที่สามารถทำการบินข้ามทวีปได้โดยไม่ต้องแวะพักเติมเชื้อเพลิงระหว่างทาง และเป็นแบบเครื่องบินที่บริษัทฯ มีให้บริการได้เพียงพอ สามารถนำมาให้บริการเช่าเหมาลำได้ โดยไม่กระทบกับตารางการบินปกติ

ป.ป.ช.แจงตีตกคำร้องสอบ 'ปรีชา' ปมตั้งลูกเป็นทหาร แนะกลาโหมควรออกระเบียบให้รัดกุม

ยงยุทธ มะลิทอง ที่มาภาพ เว็บ สนง.ป.ป.ช.

รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยันดำเนินการกับทุกฝ่ายเหมือนกันหมด ไม่ได้เลือกปฏิบัติ เผยกรณีฝาย 'แม่ผ่องพรรณพัฒนา' และบริษัทลูกชาย พล.อ.ปรีชา ตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวแล้ว
6 ต.ค. 2559 จากเมื่อวันที่ 29 ก.ย. ที่ผ่านมา วีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) ได้โพสต์หนังสือแจ้งผลการพิจารณาของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่ง ป.ป.ช. มีมติไม่รับไว้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง  กรณีที่ วีระ ยื่นให้สอบสวนพล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ว่ากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีบรรจุ ปฏิพันธ์ จันทร์โอชา เป็นนายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน สังกัดกองทัพภาคที่ 3 โดยมิชอบ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
วันนี้ (6 ต.ค.59) สำนักข่าวไทย รายงานด้วยว่า ยงยุทธ มะลิทอง รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีที่ ป.ป.ช.ตีตกข้อกล่าวหาร้องเรียน พล.อ.ปรีชา ดังกล่าว ว่า ป.ป.ช.ได้มีหนังสือแจ้งไปที่ วีระ แล้วถึงรายละเอียดเกี่ยวกับข้อกฎหมายตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง มาตรา 13 (3) เรื่องเกี่ยวกับการตั้งคนในครอบครัวเข้ารับราชการ ซึ่งในรายละเอียด ป.ป.ช.เห็นว่ากระทรวงกลาโหมควรออกระเบียบให้มีความรัดกุม
 
ต่อกรณีคำถามว่าวีระสามารถใช้ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร ขอข้อมูลจาก ป.ป.ช.ในกรณีดังกล่าวและกรณีอุทยานราชภักดิ์ได้หรือไม่ นั้น  ยงยุทธ กล่าวว่า หากขอมา ป.ป.ช.ต้องสรุปเรื่องเสนอที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาก่อน ซึ่งมาตรา 14 พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารมีเรื่องที่ว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลที่ต้องดูว่าเมื่อเปิดเผยแล้วจะเกิดความเสียหายหรือไม่ และหากข้อมูลใดสามารถเปิดเผยได้ ป.ป.ช.ก็ยินดีที่จะเปิดเผย ป.ป.ช.ไม่เคยขัดข้อง
 
เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรกรณีที่ ป.ป.ช.ถูกวิจารณ์ว่าทำคดีของพรรคเพื่อไทยแต่ฝ่ายเดียว ยงยุทธ กล่าวว่า ป.ป.ช.ตรงไปตรงมา และเมื่อครั้งที่มีทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน ป.ป.ช.ก็ไม่เคยแบ่งแยก เมื่อมีข้อกล่าวหาเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม หากมีการกระทำการทุจริตหรือผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ป.ป.ช.ก็ไม่เคยละเว้น ไม่เคยดูว่าอยู่ฝ่ายไหน ดูเพียงข้อกฎหมาย ดูว่าก่อให้เกิดความเสียหายหรือไม่
 
“ป.ป.ช.ดำเนินการกับทุกฝ่ายเหมือนกันหมด ไม่ได้เลือกปฏิบัติ และถ้าถามถึงความรู้สึก ผมจึงไม่มีความรู้สึก รับราชการมา 37 ปีแล้ว ถ้าทำผิด ป.ป.ช.เอาหมด” ยงยุทธ กล่าว
 
ยงยุทธ ยังกล่าวถึงกรณีความคืบหน้าการพิจารณาคำร้องให้ไต่สวน พล.อ.ปรีชา ที่เอื้อประโยชน์ภรรยาในการดำเนินการสร้างฝายแม่ผ่องพรรณ ที่ จ.เชียงใหม่ และบุตรชายซึ่งเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 ว่า  ขณะนี้ ป.ป.ช.ได้รับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวแล้ว และดำเนินการตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวแล้ว โดย ป.ป.ช.ต้องมาพิจารณาว่ามีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐจริงหรือไม่ และพิจารณาว่าเป็นการทุกจริตต่อหน้าที่หรือไม่ หรือทุจริตต่อหน้าที่ในตำแหน่งราชการ ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการแสวงหาข้อเท็จจริง ถ้าเห็นว่าไม่มีมูลความจริง ก็ต้องถือว่าจบ แต่ถ้าพบว่ามีมูลความจริง ก็ต้องตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไป

ประยุทธ์งัด ม.44 ตั้ง 'สภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ' พร้อมนั่งประธานเอง


6 ต.ค. 2559 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ฉบับที่ 62/2559 เรื่อง การปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ลงนามโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ซึ่งอาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ระบุว่า
โดยที่รัฐบาลได้มีนโยบายและให้ความสําคัญในการปรับปรุงโครงสร้างของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อการพัฒนาประเทศทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งกลไกในการพัฒนาประเทศ ได้มุ่งเน้นให้มีการปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรม การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศิลปวิทยา แขนงต่าง ๆ ให้เกิดความรู้และการพัฒนาเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจ สังคม และเพิ่มขีด ความสามารถในการแข่งขันของประเทศและคุณภาพชีวิตของประชาชน เพื่อสนับสนุนให้การดําเนินการ ดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จําเป็นต้องบูรณาการการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศให้ตรงตาม ความต้องการและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อลดความซ้ำซ้อน และสามารถผลักดันให้มีการนําไปใช้ ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม
ในการนี้ สมควรกําหนดให้มีสภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อทําหน้าที่ในการกําหนดทิศทางนโยบาย ยุทธศาสตร์ รวมทั้งปรับปรุงระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ตลอดจนกํากับและติดตามการบริหารจัดการ การจัดสรรงบประมาณ และประเมินผลการดําเนินการ ให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและมีเอกภาพ อันเป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาการวิจัยของประเทศ และปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบ แห่งชาติ จึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้มีสภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ประกอบด้วย (1) นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน (2) รองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นรองประธานคนที่หนึ่ง (3) รองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นรองประธานคนที่สอง (4) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (5) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (6) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (7) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (8) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (9) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (10) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (11) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (12) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (13) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (14) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (15) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (16) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (17) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (18) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (19) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (20) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (21) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (22) รัฐมนตรวี่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (23) ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ (24) เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา (25) เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (26) ประธานกรรมการในคณะกรรมการการอุดมศึกษา (27) ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (28) ประธานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ (29) ประธานที่ประชุมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (30) ประธานมูลนิธิบัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (31) ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย (32) ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (33) ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (34) เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (35) เลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (36) ผู้ทรงคุณวุฒิที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจํานวนไม่เกินแปดคน ให้เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และเลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการนโยบาย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ เป็นเลขานุการร่วม และให้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่จํานวน ไม่เกินสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ ในกรณีที่รัฐมนตรีตามวรรคหนึ่งผู้ใดไม่สามารถเข้าร่วมประชุมในครั้งใดได้ รัฐมนตรีผู้นั้น อาจมอบหมายข้าราชการในกระทรวงของตนคนหนึ่งเข้าร่วมประชุมแทน สภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติต้องมีการประชุมอย่างน้อยปีละสี่ครั้ง
ข้อ 2 ให้สภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติมีอํานาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(1) กําหนดทิศทางและนโยบายการดําเนินงานของหน่วยงานในระบบวิจัยและนวัตกรรม ของประเทศให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
(2) กําหนดแผนที่นําทาง (Roadmap) เกี่ยวกับนโยบายและยุทธศาสตร์ระบบวิจัยและ นวัตกรรมของประเทศ ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว และยุทธศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม รายสาขาใหสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติ
(3) กํากับ เร่งรัด และติดตามให้มีการปรับปรุงและแก้ไขโครงสร้าง ภารกิจ อํานาจหน้าที่ ของหน่วยงานในระบบวิจัยและนวัตกรรมให้มีความเชื่อมโยงและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระบบวิจัยและ นวัตกรรมของประเทศ ตลอดจนเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีให้มีการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อรองรับ ความต้องการในด้านการวิจัยและนวัตกรรม
(4) กํากับ เร่งรัด และติดตามให้มีการปรับปรุงและแก้ไขระบบหรือกลไกการบริหารจัดการงานวิจัย และนวัตกรรมให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถนําผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีอยู่เดิม และที่เกิดขึ้นใหม่ ไปใช้ในเชิงวิชาการ เชิงพาณิชย์ เชิงสังคม และเชิงนโยบาย ให้เป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุด
(5) กํากับ เร่งรัด และติดตามให้มีการจัดทําแผนพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัย วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี และนวัตกรรมของประเทศ รวมถึงการพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้กับ บุคลากรด้านแรงงานในระดับต่าง ๆ
(6) กําหนดระบบการจัดสรรและบริหารงบประมาณแบบบูรณาการที่มุ่งผลสัมฤทธ์ิในลักษณะ เป็นก้อน (Block Grant) ตามโปรแกรมวิจัยและนวัตกรรม (Program-based) ให้สอดคล้องกับระบบวิจัย และนวัตกรรมของประเทศ และยุทธศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมรายสาขา รวมทั้งกําหนดระบบการติดตาม และประเมินผลที่มีความต่อเนื่อง
(7) เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้มีการกําหนดมาตรการและแรงจูงใจทางภาษีและ สิทธิประโยชน์ สําหรับการระดมทุน การพัฒนากองทุน การจัดสรรเงินจากกองทุน และเงินทุนของ หน่วยงานภาครัฐ รวมทั้งความร่วมมือกับเอกชน ประชาสังคม และต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมการวิจัย และนวัตกรรมให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
(8) เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้มีการเร่งรัด และติดตามให้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบ และข้อบังคบทั ี่เกี่ยวข้อง รวมถึงกระบวนการออกใบอนุญาต การกําหนดและรับรองมาตรฐาน และการจดทะเบียนและคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อรองรับการขับเคลื่อนและปฏิรูประบบวิจัย และนวัตกรรม รวมทั้งอํานวยความสะดวกในการนําผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปสู่การใช้ประโยชน์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและคุณภาพชีวิตของประชาชน
 
(9) แต่งตั้งคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ หรือคณะทํางานเพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติงาน ได้ตามความจําเป็น
 
(10) เชิญเจ้าหน้าที่ บุคคล หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมาชี้แจงให้ข้อมูลและข้อแนะนํา เพื่อประกอบ การพิจารณาดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ได้ตามความจําเป็น
 
(11) รายงานผลการดําเนินงานและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบหรือเพื่อพิจารณา ให้ความเห็นหรืออนุมัติ แล้วแต่กรณี
 
ขณะที่ ข้อ 3 ระบุว่า ให้สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และสํานักงานคณะกรรมการนโยบาย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ รับผิดชอบงานธุรการและสนับสนุนการทํางานของ สภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ และคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ หรือคณะทํางาน ที่แต่งตั้งขึ้นตามคําสั่งนี้
 
การเบิกจ่ายเบี้ยประชุม ให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยเบี้ยประชุมกรรมการ ส่วนค่าใช้จ่าย ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการอื่น ๆ ที่จําเป็น ให้เบิกจ่ายได้ตามระเบียบของทางราชการ โดยเบิกจ่าย จากงบประมาณของสํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และสํานักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่สภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ กำหนด  
 
ข้อ 4 เพื่อประโยชน์ในการบูรณาการและลดความซ้ำซ้อนในการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ให้ยุบเลิกสภาและคณะกรรมการดังต่อไปนี้ และให้โอนอํานาจหน้าที่ไปเป็นของสภานโยบายวิจัยและ นวัตกรรมแห่งชาติตามคําสั่งนี้ (1) สภาวิจัยแห่งชาติ คณะกรรมการบริหาร และคณะกรรมการสาขาวิชาการ ตามกฎหมาย ว่าด้วยสภาวิจัยแห่งชาติ (2) คณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ ตามกฎหมาย ว่าด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (3) คณะกรรมการพัฒนาระบบนวัตกรรมของประเทศ ตามคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ 36/2558 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาระบบนวัตกรรมของประเทศ ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
 
โดยมีรายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้

'โฆษกสำนักนายกฯ-กลาโหม-บินไทย' แถลงข่าวแจงทริปฮาวาย คิดค่าใช้จ่ายสูตรเดียวทุกรัฐบาล

ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

6 ต.ค. 2559 เมื่อเวลาเวลา 17.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าว ตึกนารีสโมสร พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย จรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.การบินไทยจำกัด (มหาชน) พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม จัดแถลงข่าวเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจกรณีการเช่าเหมาลำเครื่องบิน ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาอย่างไม่เป็นทางการ ที่มลรัฐฮาวาย เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
โอกาสนี้ พล.ท.สรรเสริญ ได้กล่าวว่า การเดินทางไปต่างประเทศของรัฐบาลได้ยึดระเบียบหลักเกณฑ์ของสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเรื่องพัสดุการจัดซื้อจัดจ้าง ปี พ.ศ. 2556 ซึ่งหากมีวงเงินเกิน 1 แสนบาทต้องมีการประกาศราคากลาง และเผยแพร่ทางทางกรมบัญชีกลางและหน่วยงานนั้น ๆ และการเดินทางไปต่างประเทศ มี 3 รูปแบบคือ 1.แบบสายการบินพาณิชย์ 2.แบบสายการบินทหาร ที่ส่วนใหญ่จะได้เดินทางในประเทศเพื่อนบ้าน ระยะใกล้ เนื่องจากพิสัยของเครื่องบินไม่สามารถเดินทางในระยะไกลได้ เพราะต้องดำเนินการขออนุญาต การบินเข้าน่านฟ้า การเติมเชื้อเพลิง เป็นต้นจึงอาจจะไม่สะดวกในการเดินทาง และ แบบที่ 3.แบบเช่าเหมาลำ ซึ่งรัฐบาลนี้ ได้มีการใช้บริการไป 3 ครั้ง 2 ครั้งแรก เป็นกรณีนายกรัฐมนตรี เดินทางจากรุงเทพไปอิตาลี เพื่อร่วมประชุมอาเซียนยุโรป และเดินทางจากกรุงเทพไปรัสเซีย เพื่อร่วมประชุมอาเซียน รัสเซีย และอีก 1 ครั้ง คือ กรณี พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ล่าสุด ดังนั้นจะเห็นได้ว่า มีการชี้แจงรายละเอียดตามระเบียบ สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 11 ส.ค.2556
ทางด้าน จรัมพร ชี้แจ้งเรื่องการให้บริหารเช่าเหมาลำของการบินไทยว่า มีสูตรคำนวนการคิดค่าใช้จ่ายเป็นสูตรเดียวกันเหมือนทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งมีคนรับผิดชอบในการคำนวณราคา ก่อนที่จะส่งเอกสารไปยังอีก 10 หน่วยงาน เพื่อประเมินราคา ในส่วนเรื่องการจัดหาเครื่องบิน จัดหานักบิน อาหาร เชื้อเพลิง การขออนุญาตผ่านน่านฟ้า และเจ้าหน้าที่ประจำปฎิบัติในเมืองนั้น ๆ เมื่อคิดคำนวณราคาเสร็จสิ้นจะส่งมายังหน่วยงานกลางของการบินไทยรับทราบก่อนที่จะเสนอราคาให้ลูกค้าได้รับทราบในภายหลัง ถือว่าเป็นธุรกิจในรูปแบบหนึ่งที่ให้บริการเหมือนสายการบินปกติทั่วไป ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายอาจมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับตัวแปรต่าง ๆ เช่น ค่าเชื้อเพลิง ค่าอาหาร จำนวนผู้โดยสาร เมืองที่เดินทางไป โดยการเดินทางไปฮาวายของคณะในครั้งนี้ ถือว่าเป็นแบบวอร์คอินขากลับ ที่ไม่มีสายการบินจากฮาวายถึงกรุงเทพโดยตรง ในส่วนค่าใช้จ่ายในการบินครั้งนี้ ยังต้องรอทางฮาวาย สรุปตัวเลขค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนในอีก 2 เดือนถึงจะทราบผลค่าใช้จ่ายทั้งหมดอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ทางการบินไทยได้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับคนที่ปล่อยเอกสารรายชื่อลูกค้า เพราะถือว่าเป็นข้อมูลเท็จ และผิดระเบียบของการบินไทยในการเปิดเผยข้อมูลลูกค้า

ทักษิณชี้ประเทศเผลอเอาหัวหน้ายามมาเป็น CEO ก็ลำบาก แถมมาวางยุทธศาสตร์ 20 ปีอีก


ที่มาภาพและดูคลิกได้ที่ยูทูบ 'jom voice

 
 
เมื่อวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา จอม เพชรประดับ ได้เผยแพร่วิดีโอคลิป ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ซึงลี้ภัยการเมืองอยู่ต่างประเทศ เดินทางพบปะคนไทยที่อาศัยอยู่ในลอสแองเจอลิส แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ผ่านทางยูทูบ 'jom voice' โดย ทักษิณ  กล่าวว่าตนเปรียบเสมือนผีที่ถูกปลุกให้เฮี้ยน เพื่อที่หมอผีที่สร้างผีขึ้นมาจะได้ประโยชน์ พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลที่ถ่ายภาพกับป้าย  Wait(รอ) หลังปฏิวัติ เนื่องจากคณะรัฐประหารใช้ช่วงแรกบอกว่าจะทำการปรองดอง ซึ่งตนก็เห็นด้วย แต่ภายหลังกับปราบแต่ฝ่ายตนข้างเดียว เลยคิดว่าผิดทางแล้ว จึงรอที่ 2 คือ ปล่อยให้เขาทำร้ายตัวเอง นอกจากนี้ทักษิณยังกล่าวถึงอนาคตเศรษฐกิจของประเทศที่หลายภาคธุรกิจมีความน่าเป็นห่วง เช่น อุตสาหกรรมที่กำลังเข้าสู่ยุคตะวันตกดิน ไม่มีการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ๆ มาเสริม หรือภาคท่องเที่ยวที่ซบเซา นักท่องเที่ยวชั้นดีหาย ขณะที่ภาพเกษตรถูกทำลาย เป็นต้น
 

ผีกับหมอผี

"ยิ่งคนกลัวผี หมอผีก็มีราคา แล้วคิดว่าอะไรเป็นผีก็พยายามทำให้ผีมันเฮี้ยนมาก หมอผียิ่งมีตังค์ใช้ สังคมไทยเราสร้างผี แล้วก็คนกลัวผีก็นึกว่าผีมีจริง ถามจริงๆ ใครเคยเห็นผีบ้าง ผมไม่เคยเห็นผีและผมไม่เคยกลัวผี เพราะฉะนั้นคนมีสติก็จะไม่กลัวผีเพราะรู้ว่าผีไม่มีจริง หรือถ้าผีมีจริงให้ขอหวยดีกว่า แทนที่จะไปกลัวมัน ถึงวันนี้เราสร้างจนบ้านเมืองเละ" ทักษิณ กล่าว และกล่าวว่า ที่เราทะเราะกัน ใครได้ดีบ้าง มีคนได้ดีไม่กี่คน ผลัดกันมารวยแล้วก็กลับไป แต่เป็นการแลกกับโอกาสของคนไทยทั้งประเทศ ตนนั่งอยู่ข้างนอกมองไปแล้วสงสารคนไทยและประเทศไทย ที่สงสารนั้นสงสารทั้งเหลืองและแดงที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทำให้หมอผีมีราคา พระพุทธเจ้าบอกว่าความโลภความโกรธความหลงทำให้โง่ ทำให้ไร้สติปัญญา เราจะยิ่งตัดสินใจพลาดง่ายๆ แต่ถ้าตัดสินใจบนการปล่อยวางเราก็จะไม่ผิดพลาด เพราะเราใช้ข้อมูล หลักวิชาหรือคำตอบทางวิทยาศาสตร์แท้ๆ ก็ไม่ผิดพลาด แต่วันนี้เราถูกสร้างให้โลภให้โกรธให้หลง จึงทำให้บ้านเมืองติดสภาพอยู่ทุกวันนี้
 
"จริงๆ ผมคือผีที่เขาสร้าง แล้วเขาพยายามสร้างให้ผมเฮี้ยนไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้รู้เรื่อง ผมก็เดินของผมได้เรื่อยๆ ผมก็ไปประเทศนั้นประเทศนี้ ไปหาเพื่อนเก่าบ้างเพื่อนใหม่บ้าง ไปดูความรู้ใหม่ๆ บ้าง แต่ขณะเดียวกันคนไทยก็บอกว่าผีมันดุมาก" ทักษิณ กล่าว
 

เหตุผลที่รอ

สำหรับกรณีที่เขาภายภาพบนถนนที่ลอนดอน แล้วชี้ป้ายให้ดูว่า Wait(รอ) หลังรัฐประหารนั้น ทักษิณ กล่าวว่า ตนมี 2 เหตุผล เหตุผลแรกปฏิวัติเสร็จเขาประกาศวันแรกเลยประกาศว่าจะมาปรองดอง ก็คิดว่าพวกเราอย่าไปประท้วงเขาเลยก็ลองดูสิ บ้านเมืองจะได้สงบสักที แต่มาถึงปรองดองเขาไม่รู้พจนานุกรมฉบับไหน แปลว่าปราบพวกเราข้างเดียว ไล่ล่ามันทุกอย่าง ตนก็เลยบอกว่าอย่างนี้ต้อง Wait อีกทีหนึ่ง เพราะอะไรรู้ไหม เพราะตนคิดว่าเขาเดินผิดทาง ยิ่งทำไปยิ่งผิดทาง ถ้าเรารอเราไม่ทำอะไรนะ เพราะเขาจะทำตัวเอง "ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง" แต่ที่สำคัญเสียดายเวลา 
ภาพ Wait(รอ) หลังรัฐประหาร ที่ทักษิณกล่าวถึง
 
"สำหรับผมนี่ผมเฉยๆ แล้ววันนี้ ไม่ใช่ไม่สู้ แต่ต้องสู้อย่างมีสติ การอยู่เฉยๆ คือการสู้ที่ดีในขณะที่ฝั่งตรงข้ามกำลังทำร้ายตัวเอง" ทักษิณ กล่าว พร้อมกล่าวว่า จริงๆ ตนไม่อยากให้กวน อยากให้เขาทำให้สุด ไปเต็มที่เลย จะเอาอะไรทำไปเลย แต่ปัญหาก็คือมันไม่จบสักทีบ้านเมืองก็แย่ 
 
"จริงๆ ผมคือหนูตัวเดียว เขาไล่ตี วิ่งออกจากบ้านมานึกว่ายังอยู่บ้านก็เผาอยู่นั่นล่ะ กระทั่งหนูอยู่ข้างนอกก็เผาบ้านจนบ้านจะวอดทั้งหลังเลย ทำทำไม ทำทำไม หนูตัวเดียว ผมไม่มีอะไรเลย ผมอยู่ข้างนอกก็ไม่ได้อดตาย ก็ยังพอมีปัญญาบ้าง" ทักษิณ กล่าว
 

ห่วงปัญหาเศรษฐกิจ

ทักษิณ กล่าวด้วยว่า ตอนนี้ติดตามเทคโนโลยี่ใหม่ๆ โลกข้างหน้าเราจะเห็นอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโรบอท หุ่นยนต์ เรื่องของสงครามไซเบอร์ ความปลอดภัยไซเบอร์ ไลฟ์สไตล์ เรื่องเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ฯลฯ  สิ่งเหล่านี้มันไปไกลแล้ว ขณะที่เรามีเหลืองมีแดงหลับกันอยู่แถวนี้ มีนักวิทยาศาสตร์เป็นแสนกำลังคิดว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นในโลกข้างหน้า วันนี้ประเทศไทยน่าห่วงเพราะอุตสาหกรรมของเราส่วนใหญ่ เป็นอุตสาหกรรมตอนบ่าย กำลังจะเป็นอุตสาหกรรมตกดิน อุตสาหกรรมเช้าๆ ไม่ค่อยเห็น เรามีรายได้อยู่ 3 ภาคใหญ่ๆ ภาคแรกคือการส่งออก 10 ปีที่ผ่าามาเราไม่ได้เตรียมตัวเลย อุตสาหกรรมที่เป็นแชมป์ของเราคืออิเล็คทรอนิคกับรถยนต์ รถยนต์วันนี้เตรียมไปสู่รถไฟฟ้าแล้ว ใครไม่ปรับตัวก็พัง ส่วนอิเล็กทรอนิควันนี้ก็ย้ายฐานงาน เรามัวแต่ปฏิวัติเปลี่ยนกฏนั่นนี่ สุดท้ายเขาก็ย้ายขยับไป 
 
ทักษิณ กล่าวต่อว่า วันนี้สหรัฐอเมริกาเป็นหุ้นส่วนกับเวียดนามทางเศรษฐกิจ ขณะที่เราที่เป็นมิตรกับสหรัฐอเมริกามายาวนาน แต่เรามัวแต่ทะเราะกันจนไม่รู้ว่าเขาไม่อยากจะมาทำธุรกิจกัน ในส่วนรายได้จากภาคเกษตรเราก็ทำลายระบบเกษตรทำลายชาวบ้าน ซึ่งชาวบ้านที่ทำเกษตร มันเป็นวิถีชีวิตและอาชีพ เชื่อว่าหลายคนที่มาอยู่ข้างนอกนั้นโชคดี แต่ที่มาบ้างคนนั้นไม่ได้เต็มใจมาแต่อยากจะมาทำมาหากินเพื่อช่วยเหลือพี่น้องทางบ้านเพราะไม่รุ้จะทำมาหากินอะไร หลายคนครอบครัวเป็นเกษตรกร แต่วันนี้ด้วยความที่เห็นเกษตรเป็นฐานเสียงของตนก็เลยเหมือนกับทำลายเกษตรก่อน เพราะฉะนั้นเกษตรโดยการส่งออกของเราก็จะลดประมาณและราคาลง ส่วนรายได้ที่ 3 คือรายได้ท่องเที่ยว สิ่งที่ประเทศไทยเรามีคือมีความเป็นประเทศไทย คนอยากมา แต่วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นคือนักท่องเที่ยวชั้นดีหาย นักท่องเที่ยวถูกๆ ใช้เงินน้อยและทำลายสิ่งแวดล้อมเยอะๆ มา ดูเหมือนปริมาณบริมาณนักท่องเที่ยวจะเพิ่มแต่รายได้ต่อปริมาณนักท่องเที่ยวมันลดเยอะ
 

เตือนระวังถูกโจมตีค่าเงิน

ทักษิณ กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ดีวันนี้คือดุลการค้าที่เป็นบวก เนื่องจากแม้ส่งออกจะตก แต่นำเข้าเราก็ตกลงด้วยเนื่องจากราคาน้ำมันลง จึงทำให้บาทแข็ง ที่เป็นทั้งดีและไม่ดี แต่ที่ไม่ดีเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจเรามันอ่อนแอกว่าความแข็งค่าของเงินเพราะฉะนั้นอย่าเผลอ อาจจะถูกโจมตีได้ เนื่องจากวันนี้กองทุนต่าประเทศเงินเยอะ แม้เงินทุนสำรองเราจะเยอะขึ้น แต่กองทุนต่างประเทศใหญ่ ต้องระวังและเป็นห่วง
 

4 ทางเลือกในมหาสมุทรทุนนิยม

ทักษิณ กล่าวด้วยว่า คนทุกคนบริษัททุกบริษัท ประเทศทุกประเทศเปรียบเสมือว่ากำลังว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทร ที่เรียกว่ามหาสมุทรทุนนิยม เพราะเราชอบหรือไม่ชอบเรา แต่ว่าเราอยู่ในระบบเศรษฐกิจที่มีความเป็นเศรษฐกิจทุนนิยมนั่นเอง เมื่อเราถูกโยนลงไปในมหาสมุทรทุนนิยมนี้ เรามีทางเลือกให้เลือกอยู่ 4 ทางเลือก ทางเลือกที่ 1 ขี้เกียจวายโดดเกาะเรือชาวบ้าน ในที่นี้ก็คือไปทำงานหรือไปอะไรก็แล้วแต่ เราไม่รู้ว่าเราขึ้นไปในเรือนั้นนำมันจะไปถึงฝังหรือเปล่า สอง กัปตันจะดีไหม สาม สภาพเรือจะเป็นอย่างไร เราโดดเกาะแล้ว รอดตายชั่วคราวแน่นอน แต่ไม่รู้จะนานแค่ไหน แล้วแต่ว่าเรือลำนั้นจะเป็นอย่างไร  ทางเลือกที่ 2 เก่งมาก แข็งแรง วิสัยทัศน์ดี วายน้ำอยู่ข้างหน้าคลื่น เพราะฉะนั้นสบายมากพวกนี้ อีกพวกหนึ่งก็คือ เก่งเหมือนกัน ไปตามคลื่น ไม่จม คลื่นก็ไปเราก็ไปด้วย พวกนี้ก็รวยได้ แต่พวกที่จมอยู่ใต้คลื่นนี้น่ากลัว จะมีกำลังซื้อในโลกต่ำลงทุกวัน ประชาชนก็ทำงานในระดับที่แย่ลงทุกวัน
 

เอาหัวหน้ายามมาเป็น CEO ก็ลำบาก

"บริษัทก็ต้องมีซีอีโอเก่งๆ เพื่อจะได้มีวิสัยทัศน์ แล้วคิดแล้วบริหารจัดการนำองค์กร แต่ถ้าบริษัทไหนเผลอไปกับหัวหน้ายามเป็น CEO ก็ลำบาก วันนี้ประเทศไทยน่าห่วงตรงกำลังจะมียุทธศาสตร์ 20 ปี ผมไม่รู้ว่าถ้าเรามองไม่พ้นหัวแม่ตีนตัวเองก็ลำบาก การจะทำยุทธศาสตร์มันจะต้องเข้าใจโลก และเข้าใจเรา" ทักษิณ กล่าว
 

พร้อมคุยกับเหลือง

"เจาะดีเอ็นเอผมมาคือคนไทย หัวใจไทย ผูกพันประเทศไทย และรักคนไทยเหมือนกับพวกท่านทั้งหลาย ถึงแม้จะอยู่ที่นี่มานาน แต่ใจมันยังเป็นไทย เพราะเราไม่ลืมกำพืด ไม่ลืมที่กำเนิด ไม่ลืมแผ่นดินของเรา ไม่ต้องมาผลักว่าคนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนี้ คนผลักทั้งหลายคือคนเห็นแก่ตัวทั้งนั้น เพื่อตัวเอง จริงๆ วันนี้ผมไม่มายด์เลยนะ ผมจะเจอใครเหลืองไม่เหลือง พูดกันมาคุยกันเลย คุยกันได้หมด ถ้าคุยภาษาคนโดยเฉพาะภาษาไทยคุยกันง่ายมากเลย ก็ห่วงครับ ห่วงลูกหลาน" ทักษิณกล่าว
 

มั่นใจเลือกตั้งครั้งหน้าแลนด์สไลด์อีกตามเคย 

ทักษิณ กล่าวด้วยว่า เลือกตั้งคราวหน้าเดียวแลนด์สไลด์อีกตามเคย แต่เขาบอกว่าต้องยกมือให้นายกคนนอก ตนไม่ใช่นายกคนนอก ตนเป็นนายกเมืองนอก 
 
"เพราะฉะนั้นบรรดาคนเสื้อแดงทั้งหลายสงข่าวได้เลยว่าผมเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนแปลง รักคนไทยและบ้านเหมือนเหมือนเดิมทุกอย่าง ถามว่าสู้ไม่สู้ ก็ผมไม่รู้ว่าสู้กับใคร และก็ไม่อยากสู้กับใคร แต่อยากให้ประเทศไทยกลับไปสู่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอีกที อยากเจอคนไทยแล้วอยากยิ้มสยาม อันนี้มันยิ้มแสยะ เพราะต้องยิ้มแสยะไว้ก่อนไม่รู้มันเหลือหรือแดง อย่างนี้มันไม่ไหว อยากยิ้มสยาม" ทักษิณ กล่าว พร้อมกล่าวด้วยว่า แล้วเรารวมพลังกันช่วยกันคิดให้บ้านเมืองดีกว่า อย่าให้หมอผีได้ดิบได้ดี จะชูไม้กางแขนลากแด๊คคูล่าไป ไม่เห็นมีจริงสักตัว นางนาคพระโขนงก็มีในหนังเท่านั้นไม่มีจริง จะเอาผีเอาวิญญาณที่ไหนลงหม้อ ไม่มีจริงหรอก และตนก็ยังไม่ได้เป็นผี เป็นคนแน่นอน คุยกันรู้เรื่อง