วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แซะนโยบายรถคันแรก ประยุทธ์ ชี้แก้ปัญหารถติดต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชน

ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

30 ส.ค. 2559 เมื่อเวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่กรุงเทพมหานครว่า ในต่างประเทศแก้ไขปัญหาการจราจรด้วยการจัดวงจรการเดินรถใหม่ และกำหนดหมายเลขทะเบียนเลขคู่ และเลขคี่ในการวิ่งบนถนน ซึ่งประเทศไทยไม่สามารถดำเนินการเรื่องดังกล่าวได้ จึงทำให้การแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่กรุงเทพมหานครไม่สามารถทำได้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหามาตลอด แต่เนื่องจากการจราจรในกรุงเทพมหานครมีความแออัดมากขึ้นทุกวัน จนกลายเป็นปัญหาความเจริญเติบโตที่ไม่มีคุณภาพ จึงจำเป็นต้องหาวิธีการใหม่ๆ และเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนยอมรับถึงกฎ กติกาใหม่ ๆ เพื่อแก้ไขปัญหา พร้อมกับวางพื้นฐานการพัฒนาผังเมืองใหม่ และแก้ไขปัญหาระบบขนส่งมวลชนต่อไป
"เมืองนอกจะซื้อรถต้องมีที่จอดรถ เมืองเราได้ไหมล่ะ ได้ไหมตอบสิ ทุกคนอยากซื้อรถหมดล่ะ อยากมีรถ จำเป็นไม่ใช่ไม่จำเป็น แต่เขาเชื่อในกฏหมายไง ดูประเทศที่เจริญๆ แล้วสิ ซื้อรถต้องหาที่จอดรถให้ได้ก่อน ไอ้นี่ไม่มีเดี๋ยวก็จอดข้างถนนเอา บางคนขับรถยังไม่เป็นเลย ซื้อรถแล้ว นโยบายรถคันแรกไง โน้นย้อนกลับไปดูโน้นถึงจะแก้ได้ ถ้าทุกคนไม่รู้ปัญหาก็แก้ไม่ได้หรอก เพราะจะให้รัฐบาลออกกฏหมายบังคับใช้ก็โดนด่าทั้งวัน  ตำรวจก็โดนรัฐบาลก็โดน แต่อะไรที่มันเป็นต้องทำผมก็ต้องทำแค่นั้นเอง เพราะผมไม่ใช่มาจากการเลือกตั้ง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ประยุทธ์ยัน 'เปรม' ไม่เกี่ยวโผทหาร ประวิตรปัดเปิดอัตราจอมพลรับบิ๊กทหารพลาดเก้าอี้ผู้นำเหล่าทัพ

ภาพ 3 ป. พล.อ.ประยุทธ์นำคณะรัฐมนตรีเข้าอวยพร พล.อ.เปรม เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิด ณ บ้านสี่เสาเทเวศน์ เมื่อวันที่ 25 ส.ค. ที่ผ่านมา (ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล)

พล.อ.ประยุทธ์ยัน 'พล.อ.เปรม' ไม่เกี่ยวโผแต่งตั้ง "บิ๊กทหาร" ในกองทัพ ขณะที่ พล.อ.ประวิตร ปัดเปิดอัตราจอมพลรับบิ๊กทหารพลาดเก้าอี้ผู้นำเหล่าทัพ 
31 ส.ค. 2559 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงกลาโหมได้เสนอขอเปิดตำแหน่งประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม (อัตราจอมพล) เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ที่ผ่านมาว่า ไม่มีอะไร เป็นของเก่า ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง เพราะของเดิมมีอยู่แล้ว พอเกษียณอายุราชการพร้อมกับตำแหน่ง  ก็ต้องแต่งตั้งคนใหม่ เพียงแต่ว่าถ้าจะแต่งตั้งตำแหน่งดังกล่าวต้องเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อผูกมัดกับใครคนใดคนหนึ่ง
ต่อกรณีคำถามมีข่าวว่าตำแหน่งนี้ที่แต่งตั้งขึ้นมาก็เพื่อให้ไปผูกมัดกับใครคนใดคนหนึ่ง เวลาเกษียณก็หมดไป พล.อ.ประวิตร  กล่าวว่า ก็ถูกแล้ว พอเกษียณอายุ ก็หมดไป เราขอเปิดมา 1 ตำแหน่งให้กับคนคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งพล.อ. พล.อ.อ. และพล.ร.อ. เมื่ออายุราชการหมดไปก็ต้องแต่งตั้งใหม่
ต่อข้อถามที่ว่า ใช่บุคคลที่ก่อนหน้านี้เป็นแคนดิเดตชิงตำแหน่งผู้บัญชาการเหล่าทัพแล้วพลาดหวังใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ใช่  ไม่มี อย่าไปคิดมาก คิดมาก็ผิดทั้งหมด
 

ประยุทธ์ยัน 'เปรม' ไม่เกี่ยวโผทหาร

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ประชุม ครม. มีมติแต่งตั้งประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหมในอัตราจอมพล เพื่อรองรับบุคคลมาดำรงตำแหน่งในอัตราดังกล่าว โดยถูกมองว่าเพื่อให้พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร เสนาธิการทหารบก (เสธ.ทบ) เป็นตำแหน่งปลอบใจ หลังพลาดผู้บัญชาการทหารบก ว่า ตำแหน่งประธานที่ปรึกษา ซึ่งมันไม่มี แต่เดิมเคยมี แต่ถูกปรับลดไป ซึ่งความจริงไม่ควรถูกปรับลด แต่ด้วยวิธีต่างๆ ที่ผ่านมา ในทุกๆ ปี เราจะต้องให้คนที่เขาทำงาน อย่าไปคิดว่าเป็นการตอบแทนให้คิดว่าเขาทำงานมาทั้งชีวิต แล้วประสบความสำเร็จทั้งหมด แต่ตำแหน่งมีจำกัด แต่ขอให้คิดว่าเขาทำงานเพื่อประเทศชาติ ก็ต้องให้เขามีความสุขในบันปลายชีวิต รวมถึงครอบครัวได้ภูมิใจ ทำไมสื่อไม่คิดแบบนั้น

"ขอถามว่า ถ้าคนห่วยๆ จะเป็นได้หรือเปล่า ก็เป็นไม่ได้ ทุกคนต้องเข้าใจว่ามันไม่ได้มากมายอะไร ส่วนข้างบนเขาก็ทำงานจริงๆ ข้างล่างลงมาก็มีตำแหน่งจำกัด ส่วนที่เกินมาก็ตั้งคนมาช่วยเป็นคณะทำงาน เพราะกองบกมีถึง 6 สาย ไม่ว่าจะกำลังพล การข่าว ยุทธการ การศึกษา กำลังบำรุง เขามีกลุ่มงานของเขา มีคณะกรรมการต่างๆ คนเหล่านี้จะมาช่วยกันทำงานทั้งหมด ไม่ใช่แค่ผู้บัญชาการทหารบกอย่างเดียว ต้องมีการมอบนโยบายลงไปให้ 5 เสือไปพิจารณาทั้งหมด รวมถึงให้คณะทำงานไปทำงานในแต่ละสายงาน ถึงจะสรุปข้อมูลทั้งหมดมาให้ผบ.ทบ. โดยผ่านกระบวนการของ 5 เสือ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ ระบุกองทัพมีการทำงานแบบนี้ทุกเหล่าทัพ ยืนยันว่าการแต่งตั้งทั้งหมด มีการประชุมกัน ซึ่งตนจะแต่งใครก็ต้องมีการประชุม 5 เสือ จากนั้นก็เสนอให้ที่ประชุมกลาโหม หากจะตั้งนายทหารพันเอกพิเศษ ผบ.ทบ.เป็นคนตัดสินใจ แต่ตนต้องประชุม 5 เสืออีก โดยเอาคำสั่งการปรับย้าย ที่ทุกกองทัพและหน่วยงานเสนอเข้ามาพิจารณาในที่ประชุมว่า คนในตำแหน่งดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่ เพราะเราก็รู้ดีว่าใครดี ไม่ดีอย่างไร แต่ถ้าเขาโอเคอยู่แล้ว ก็ไม่แตะต้อง แทบจะส่วนน้อยมากที่ไปยุ่ง ส่วนการปรับย้ายครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีการบีบบังคับใครทั้งสิ้น ยืนยันว่าก่อนจะมีการออกคำสั่งได้มีการประชุมเรียบร้อยแล้ว และไม่ได้เป็นอย่างที่หลายคนวิเคราะห์กันมาว่าจะอยู่ข้างใคร รวมถึงการไปเข้าบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ มันเป็นคนละเรื่องกัน จะเอามาโยงกันได้อย่างไร ตนก็ตั้งของผมเอง กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม รวมกับการพิจารณาของผบ.เหล่าทัพเท่านั้น ทุกอย่างกลั่นกรองมาแล้ว ไม่มีใครเกี่ยวข้องทั้งสิ้น

"ผมขอยืนยัน ผมบอกแล้วไง ไม่มีใครมาสั่งผม เพราะเป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคง และผมเป็นผู้นำเสนอและพิจารณา ขั้นสุดท้ายก่อนจะลงนามกราบบังคมทูล เราทำงานกันแบบนี้ อย่าไปคิดว่าจะต้องตั้งคนโน้น คนนี้ ข้างของคนนู้น คนนี้ มันต้องคนเดียว ยิ่งทำอะไรไม่ได้ เพราะจะเกิดความไม่เป็นธรรมในกองทัพสุดท้ายแตกแยก แต่ทหารไม่มีเรื่องเหล่านี้ ไม่มีแน่นอน คนส่วนใหญ่เขายอมรับ ส่วนคนผิดหวังก็เป็นคนส่วนน้อย เป็นคนธรรมดาเขาทำอะไรไม่ได้ เพราะตัวเองไม่ทำให้เขายอมรับ การทำงานต้องไต่เต้ามาตั้งแต่เล็กจนโต และระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาด พอถึงเเวลาที่เหมาะสมก็เอาเรื่องเหล่านี้มาพิจารณา ทั้งหน้าบ้าน หลังบ้านพิจารณาหมด ไม่ใช่จะพิจารณาส่งเดช รักผม หรือไม่รักผม มันไม่ใช่ เพราะถึงไม่รักผม ผมก็รักเขา นึกถึงเขาสิ เพราะฉะนั้นอย่าเอา พล.อ.เปรม มาเกี่ยว ต้องให้เกียรติท่าน  อย่าเอาท่านมาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง เพราะท่านเป็นที่เคารพนับถือของกองทัพ และท่านเองก็บอกว่าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรทั้งสิ้น แต่สื่อก็เขียนอยู่ได้ เอาท่านมาเกี่ยวทำไม เอามาเกี่ยวให้ทะเลาะเบาะแว้ง ผมยืนยันว่าผู้ใหญ่ทุกคนไม่มีอะไรซึ่งกันและกัน ฉะนั้นอย่าไปเขียนให้ปัญหามันมากขึ้น เพราะปัญหามันเยอะอยู่แล้ว ขอให้ผมได้ทำงานแก้ปัญหา เดินตามอนาคต วันนี้ถามว่าผมทำเพื่อพวกพ้องหรือ” พล.องประยุทธ์ กล่าว

ประยุทธ์สั่งทบทวนค่าเสียหาย โครงการจำนำข้าวใหม่ ยันไม่ยอมให้คดีหมดอายุความ

ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ (30 ส.ค.)  ว่า ได้ให้คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งไปทบทวนตัวเลข หลังมีรายงานว่าคณะกรรมการฯ ได้สรุปตัวเลขค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว เหลือ 1.78 แสนล้านบาท จากก่อนหน้านี้ 2.8 แสนล้านบาท โดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุด รับผิดชอบ 20% ของยอดเสียหาย คือ 3.5 หมื่นล้านบาท ที่เหลือเป็นข้าราชการที่ต้องรับผิดชอบ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การประเมินตัวเลขแต่ละครั้งไม่ตรงกัน แต่ทุกอย่างไม่ใช่ปัญหา เพราะสุดท้ายต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม  ผู้ต้องหาต้องไปสู้ในศาล  หากเห็นว่าเรียกค่าเสียหายมาก ไม่เป็นธรรม ก็สามารถไปสู้ขอลดลงได้ หรือ หากเรียกน้อยเกินไป และศาลพิจารณาว่าสมควรเรียกเพิ่ม ก็ปรับขึ้นได้ ทุกอย่างอยู่ที่ศาล อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กังวลคือ ข้าราชการที่ต้องมาร่วมรับผิดชอบด้วย ไม่ต้องการให้ข้าราชการมาเดือดร้อน ทั้งที่ผู้สั่งการคือระดับหัว
“ตัวเลข 2.8 แสนล้าน เป็นตัวเลขหน้าคลังในช่วงแรก ตอนนี้มีตัวเลขในบัญชี ตัวเลขราคาขาย ตัวเลขที่ค้าง ซึ่งเป็นหน้าที่ศาลที่จะสรุปเรื่อง  เรื่องนี้จะหมดอายุความในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ผมคงไม่ยอมให้คดีหมดอายุความ ผมรับผิดชอบ ผมจะทำให้ดีที่สุด ผมเข้ามาก็เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งรัฐและผู้ต้องหา” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว    

6 ผู้ต้องหาคดี'พูดเพื่อเสรีภาพ' รับทราบข้อหา แอมเนสตี้เรียกร้องยุติสอบสวนทางอาญา

ผู้ต้องหาและทนายความถ่ายรูปร่วมกันภายหลังรับทราบข้อกล่าวหา

นักศึกษา นักกิจกรรม เจ้าหน้าที่ศูนย์ทนายฯ รวม 6 คนเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก ตำรวจแจ้งข้อหาแล้วปล่อยตัว ระบุสงสัยทำไม "กทม.จัดได้ ขอนแก่นโดนคดี" ผู้ต้องหาออกแถลงการณ์ ยกเลิกคำสั่งลิดรอนเสรีภาพ 3/2558, ยกเลิกใช้ศาลทหารกับประชาชน, ยกเลิกดำเนินคดีกับผู้เห็นต่าง

เวลาประมาณ 10.15 น. ที่จังหวัดขอนแก่น ผู้ต้องหา 6 คน ชาวบ้านนามูล-ดูนสาดประมาณ 20 คน ผู้สังเกตการณ์อีกจำนวนหนึ่ง รวมแล้วประมาณ 50 คน ร่วมกันเดินเพื่อไปเพื่อทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก ในความผิดขัดคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 มั่วสุมชุมนุมเกิน 5 คนขึ้นไปกรณีจัดเวทีเสวนาเรื่องประชามติร่างรัฐธรรมนูญ "พูดเพื่อเสรีภาพ" ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) เมื่อวันที่ 31 ก.ค.2559 จัดโดยกลุ่มพลเมืองคนรุ่นใหม่ ร่วมกับขบวนการประชาธิปไตยใหม่อีสาน (NDM)
คดีนี้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่นได้ส่งหมายเรียกผู้ต้องหาไปยัง จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ นักศึกษามข. เมื่อวันที่ 17 ส.ค.2559 ที่ผ่านมา และมีหมายเรียกอีก 5 คนเพิ่มเติม เพื่อให้มารับทราบข้อกล่าวหา ได้แก่ ฉัตรมงคล เจนเชี่ยวชาญ สมาชิกกลุ่มดาวดิน ผู้ต้องหาที่2, ณรงค์ฤทธิ์ อุปจันทร์ กลุ่มพลเมืองคนรุ่นใหม่ ผู้ต้องหาที่3, ณัฐพร อาจหาญ ขบวนการอีสานใหม่ ผู้ต้องหาที่4, ดวงทิพย์ ฆารฤทธิ์ เจ้าหน้าที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ผู้ต้องหาที่5 และ นีรนุช เนียมทรัพย์ เจ้าหน้าที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ผู้ต้องหาที่6
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นครั้งแรกที่มีการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้สังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนด้วย โดยในกรณีนี้มีเจ้าหน้าที่ส่วนข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน 2 คนที่สังเกตการณ์กิจกรรมต่างๆ เพื่อบันทึกข้อมูลการละเมิดสิทธิและร่วมสังเกตการณ์ในวันจัดเสวนานั้นถูกแจ้งข้อหาเช่นเดียวกับผู้จัดกิจกรรม
ณัฐพร อาจหาญ หรือ บี จากกลุ่มอีสานใหม่ กล่าวว่า เป็นเรื่องน่าประหลาดใจเมื่อใน กทม. จัดเวทีลักษณะเดียวกันนี้ได้แต่การจัดที่อีสานกลับถูกจับและดำเนินคดี
"เรามีสิทธิแสดงออกอย่างสันติ มีสิทธิพูดมีสิทธิเดิน เราจะไปเพื่อยืนยันสิทธิ โดยจะเดินจากอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยขอนแก่นไป สภ.เมืองขอนแก่น" ณัฐพรกล่าว

อาจารย์ มข.ให้กำลังใจ 6 ผู้ต้องหา ย้ำเป็นสิทธิ เป็นสันติวิธี

เวลาประมาณ 11.00 น. เมื่อผู้ต้องหา 6 คนเดินทางมาถึง สภ.ขอนแก่น เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก มีประชาชน อาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) มารอให้กำลังใจ จากนั้นผู้ต้องหาทั้งหมดเข้าทำประวัติ พิมพ์ลายนิ้วมือและให้การกับพนักงานสอบสวน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบอยู่ในบริเวณ สภ.จำนวนหลายนาย รวมถึง พ.ท.พิทักษ์พล ชูศรี รักษาการหัวหน้ากองกิจการพลเรือนมณฑลทหารบกที่ 23 ค่ายศรีพัชรินทร จ.ขอนแก่น ซึ่งระบุว่ามาดูแลความเรียบร้อยในวันนี้ว่ามีการชุมนุมทางการเมืองหรือไม่ เท่าที่ดูเป็นเพียงการมาให้กำลังใจ แต่หากผู้มาให้กำลังใจแสดงสัญลักษณ์อะไรก็อาจมีความผิด

อาจารย์มหาวิทยาลัยขอนแก่นมาให้กำลังใจ
ดร.ธนพฤกษ์ ชามะรัตน์ ประธานหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิตสาขาพัฒนาสังคม คณะมานุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มข.อาจารย์ที่มารอให้กำลังที่ สภ.กล่าวว่า คิดว่าลูกศิษย์ไม่ได้ทำผิดอะไรและทำเพื่อบ้านเมือง วันนี้อยากจะมาเตรียมช่วยเหลือประกันตัวหากถูกควบคุมตัวหรือคุมขัง โดยเตรียมประกันตัวนักศึกษา ในฐานะพลเมืองคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ความผิด การพูดเป็นสิทธิ การพูดเพื่อเสรีภาพเป็นการกระทำอย่างสันติวิธีซึ่งทั่วโลกทำกัน ดังนั้นเราควรจะเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้พูด ได้แสดงออก ประเทศไม่ได้มีแค่โทนสีเดียว กลุ่มเดียว แต่มีหลายสี หลายกลุ่ม เราต้องคิดว่าจะทำให้ทุกคนฟังกันและเคารพในความเป็นมนุษย์กันอย่างไรต่างหาก สิ่งที่นักศึกษาถูกกระทำในวันนี้ไม่เหมาะสม จึงมาให้กำลังใจ
ร.ศ.ดร.สุกัญญา เอมอิ่มธรรม หัวหน้าสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มข. กล่าวว่า ในฐานะอาจารย์ผู้สอนและหัวหน้าสาขารัฐประศาสนศาสตร์ ถือว่าเป็นหน้าที่โดยตรงที่ต้องมาดูแลลูกศิษย์ จากที่เห็นสำเนาที่ถูกส่งมาให้ดู พวกเขาถูกกล่าวหาขัดคำสั่งหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ผ่านมาก็ติดตามพฤติกรรมของเด็กกิจกรรมกลุ่มนี้มานานพอสมควร จึงมาเพื่อให้กำลังใจ แต่ส่วนหนึ่งอยากให้เห็นในเชิงสัญลักษณ์ว่ากรณีแบบนี้ก็เป็นไปตามสิทธิพลเมืองที่เด็กๆ เหล่านี้ไม่ได้ใช้ความรุนแรงเลยและการดำเนินคดีเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อผู้ออกคำสั่งออกประกาศ ไม่เป็นผลดีต่อผู้บริหารบ้านเมือง อยากสะท้อนต่อสาธารณะว่า 1.เป็นหน้าที่โดยตรงของประชาชนในการใช้สิทธิ 2.อยากให้สาธารณะได้เห็นจุดยืนว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพและไม่ได้กระทำความรุนแรงตามรัฐธรรมนูญที่เราร่างกันอยู่นี้ อย่างน้อยเป็นร่างรัฐธรรมนูญที่เราต้องติดตามต่อว่ามันใช้ได้เรื่องสิทธิขั้นพื้นฐาน การพูดการแสดงออก การเขียน
เวลาประมาณ 13.00 น. ผู้ต้องหาเสร็จสิ้นการให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธ และเตรียมส่งคำให้การโดยละเอียดอีกครั้งเป็นเอกสาร พนักงานสอบสวนนัดหมายยื่นเอกสารดังกล่าวในวันที่ 4 ต.ค.นี้ จากนั้นทั้งหมดได้ออกมาอ่านแถลงการณ์ รายละเอียดมีดังนี้

แถลงการณ์ 6 ผู้ต้องหาคดีพูดเพื่อเสรีภาพ

แถลงการณ์ 6 ผู้ต้องหาคดีพูดเพื่อเสรีภาพ
ในวันที่ 30 และ 31 สิงหาคมม 2559 เพียงแค่จัดเวที พูดเพื่อเสรีภาพ รัฐธรรมนูญกับคนอีสาน สำหรับคนในยุคสมัยนี้นั้น ทำให้เราต้องกลายเป็นผู้ต้องหา รัฐธรรมนูญซึ่งสำคัญกับชีวิตของเรา เพียงแค่เราเห็นต่างจากรัฐเผด็จการก็มีการกีดกันการมีส่วนร่วม เสรีภาพในการแสดงออกในปัจจุบันถ้าไม่ใช้เพื่อสนับสนุนรัฐเผด็จการแล้ว เราก็จะถูกกกักขัง โดยกระบวนการ (อ) ยุติธรรม
ในทีนี้เรายืนยันเจตนารมณ์เช่นเดิมว่ามนุษย์ทุกผู้ทุกนามต่างมีเสรีภาพ เสรีภาพที่จะกำหนดชีวิตตน เสรีภาพที่จะกำหนดวิถีทางทางการเมืองที่เขาต้องการ ไม่ใช่ใครที่จะบังคับให้เขาเดินบนทางที่วางไว้ แต่เป็นหนทางที่เขาเลือกเอง
ในที่นี้วนเวียนมาอีกครั้งที่ความมืดมิดปกคลุมยุคสมัย อำนาจเถื่อนท้าทายความกล้าหาญของผู้ถูกกดขี่ ในภาวการณ์เช่นนี้หลายพื้นที่ในสังคม มีผู้คนที่เชื่อในสิทธิธรรมชาติ เขาถูกเผด็จการกดหัวให้ก้มลง ประชาชนที่ต่อสู้เพื่อบ้านเกิดของตัวเอง ถูกรัฐและทุนเถื่อนคุกคาม เสรีภาพที่ในการกำหนดชะตากรรมของชีวิต และการกำหนดทิศทางการพัฒนาถูกพรากไป พื้นที่เสรีภาพในการแสดงออกถูกสงวนไว้ให้แต่ผู้ที่สนับสนุนรัฐเผด็จการเท่านั้น ผู้เห็นต่างจากเขา กลายเป็นผู้ต้องหา หลายคนต้องหนีไปหรือไม่ก็ถูกกักขัง
เหตุนี้เราขอเรียกร้องต่อผู้คนในสังคม จะไม่เรียกร้องต่อเผด็จการ เพื่อให้ทุกคนมาสรรค์สร้างสังคมไทยที่มีพื้นที่การแสดงออกอย่างเสรี ดังนี้
1) ยกเลิกคำสั่งที่ลิดรอนเสรีภาพที่ 3/58
2) การใช้อำนาจศาลทหารกับประชาชน
3) ยกเลิกการดำเนินคดีกับผู้เห็นต่างทางการเมือง
ผู้ถูกกดขี่จงใคร่ครวญและพากันลุกขึ้นเถิด ใช้ความกล้าหาญของท่านต่อต้านและต่อสู้กับอำนาจเลวนั้น ปลดปล่อยนักโทษทางความคิด ให้บรราดาเราและชนรุ่นหลังได้พบสังคมใหม่ที่เราสามารถใช้สิทธิในการกำหนดเจตจำนงเสรีของเราเองได้
31 สิงหาคม 2559

แอมเนสตี้เรียกร้องยกเลิกสอบสวนทางอาญาต่อผู้จัดกิจกรรม “พูดเพื่อเสรีภาพ”  

เว็บไซต์แอมเนสตี้รายงานว่า สำนักเลขาธิการใหญ่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ออกปฏิบัติการด่วนเชิญชวนผู้สนับสนุนมากกว่าเจ็ดล้านคนทั่วโลก ส่งจดหมายเรียกร้องทางการไทยให้ยุติการสอบสวนทางอาญาต่อนักศึกษา นักกิจกรรม และเจ้าหน้าที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรวมหกคน จากกรณีการเข้าร่วมกิจกรรม “พูดเพื่อเสรีภาพ รัฐธรรมนูญกับคนอีสาน?” ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา
บุคคลทั้งหกประกอบด้วย จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ฉัตรมงคล เจนเชี่ยวชาญ และณรงค์ฤทธิ์ อุปจันทร์ นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นและเป็นสมาชิกกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มดาวดิน ณัฐพร อาจหาญ นักกิจกรรมด้านสิทธิที่ดิน ดวงทิพย์ ฆารฤทธิ์ และนีรนุช เนียมทรัพย์ เจ้าหน้าที่จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โดยนักกิจกรรมทั้งหกมีกำหนดเข้ารายงานตัวที่ สภ.เมืองขอนแก่นในวันที่ 31 สิงหาคมนี้
ทั้งนี้ ตำรวจแจ้งว่าเป็นการสอบสวนการละเมิดคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 3/2558 ซึ่งห้ามการรวมตัวทางการเมืองห้าคนหรือมากกว่านั้น แม้ว่าสองเจ้าหน้าที่จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนจะระบุว่าเข้าร่วมงานในฐานะผู้สังเกตการณ์เท่านั้น หากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง ทั้งหมดอาจต้องโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนและปรับไม่เกิน 10,000 บาท 
แอมเนสตี้และผู้สนับสนุนทั่วโลกเรียกร้องให้ทางการไทยยุติการสอบสวนทางอาญาโดยทันทีต่อบุคคลกลุ่มดังกล่าว ตลอดจนยกเลิกกฎหมายและคำสั่งใดๆ ที่เอาผิดทางอาญาต่อการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบ

ผอ.ฝ่ายข่าววอยซ์ทีวี 'จำยอมน้อมรับ' พักเวคอัพนิวส์ 7 วัน ตามมติ กสท. 5-13 ก.ย.


กรณีที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) มีมติ 3:1 เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ให้ บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด ระงับการออกอากาศรายการ Wake Up News เป็นเวลา 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งมติ เนื่องจากการออกอากาศรายการดังกล่าว เมื่อวันที่ 15-16 สิงหาคม 2559 มีลักษณะเป็นการต้องห้ามมิให้ออกอากาศ ตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 97/2557 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2557 และประกาศ คสช. ฉบับที่ 103/2557 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 อีกทั้งเป็นการขัดต่อข้อกำหนดในบันทึกข้อตกลง ลงวันที่ 4 มิถุนายน 2558  ระหว่าง สำนักงาน กสทช. และบริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ช่องรายการ วอยซ์ทีวี ซึ่งเป็นการปฏิบัติผิดเงื่อนไขหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ ข้อ 19 ของประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555
โดยการออกอากาศรายการ Wake Up News เมื่อวันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2559 เป็นการสัมภาษณ์ ร.ต.อ.จอมเดช ตรีเมฆ “ วิเคราะห์เหตุระเบิด 7จังหวัดใต้” และเมื่อวันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2559 นำเสนอและวิเคราะห์เหตุการณ์ระเบิดในภาคใต้ และนำเสนอในหัวข้อ “ไผ่ ดาวดิน อดอาหารวันที่ 9 อาการทรุดหนัก” “มีชัยชี้ สว. เลือกนายกฯ ได้ 5 ปี แต่เสนอได้ชื่อเดียว”
ล่าสุด (31 ส.ค.) ประทีป คงสิทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายข่าวสถานีโทรทัศน์ วอยซ์ทีวี ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า แม้จะไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าว แต่ด้วยสถานการณ์พิเศษก็จำยอมน้อมรับ โดยจะมีการระงับการออกอากาศรายการดังกล่าว 7 วันตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.นี้ พร้อมมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างรายการบางส่วนตามคำแนะนำของ กสท.
"แม้จะไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าว เพราะเรามั่นใจว่า ข้อมูลและมุมมองที่เรานำเสนอทั้ง 3 ประเด็นได้นำเสนออย่างรอบด้าน ไม่บิดเบือน ไม่ใส่ร้าย เพียงแต่บางมุมมอง 'เห็นต่าง' จากที่ฝ่ายรัฐอยากให้สังคมเชื่อ แต่ในฐานะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลจากท่าน เมื่อเราพยายามชี้แจงแล้ว เสียงส่วนใหญ่ของ กสท. (3:1) เห็นว่าเราผิด ในสถานการณ์พิเศษเช่นทุกวันนี้ เราก็จำยอมน้อมรับ"
ทั้งนี้ เดิม ประทีป ระบุว่า Wake up news จะหยุดออกอากาศชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 1-7 ก.ย. นี้ แต่ต่อมา มีการแจ้งว่า เมื่อเวลา 17.00 น. ได้รับการประสานจาก กสทช.ว่า ขอให้พักรายการวันที่ 5-13 ก.ย. โดยในส่วนโครงสร้างรายการจะมีการปรับเปลี่ยนบ้าง ตามคำแนะนำจาก กสท.
เขาระบุด้วยว่า สำหรับรายการที่จะมาทดแทนชั่วคราว คือ Wake up world ซึ่งโครงสร้างรายการจะต่างจากเวคอัพ นิวส์ พอสมควร โดยประเด็นทางการเมืองจำเป็นต้องลดลงบ้าง แต่จะทดแทนด้วยประเด็นสังคม เศรษฐกิจ และต่างประเทศ ส่วนทีมผู้ดำเนินรายการก็ต้องปรับเปลี่ยน ผู้ดำเนินรายการและนักวิเคราะห์รุ่นใหม่จะเข้ามาทำหน้าที่ โดยยังมีนักวิเคราะห์รุ่นใหญ่จากทีมเวคอัพ นิวส์ มาเสริมวันละคน
"นี่คือความเปลี่ยนแปลงในช่วง 7 วันจากนี้ไป แต่ที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ เรายังยืนยันการเป็น "สถานีข่าวปลุกความคิด" ที่นำเสนอ "ข่าว/ความคิดเห็น/ความรู้" ที่สร้างสรรค์ ทันสมัย ให้สติปัญญา ด้วยหวังว่า จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนให้คนไทยและประเทศไทยแข่งขันได้บนเวทีโลก" ประทีป ระบุ