วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559

พล.อ.ปรีชา เผยเตรียมสอบเอกสารตั้งลูกเป็นนายทหารหลุดไปได้อย่างไร


18 เม.ย.2559 ความคืบหน้ากรณีที่โซเชียลเน็ตเวิร์กเผยแพร่เอกสารเรื่องการบรรจุทหารกองหนุนเข้ารับราชการและแต่งตั้งยศทหาร ซึ่งเป็นการบรรจุให้ ปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา บุตรชาย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นนายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน สังกัดกองทัพภาคที่3 รับเงินเดือน 1.5 หมื่นบาท และได้รับการแต่งตั้งยศเป็นว่าที่ร้อยตรีด้วย โดย พล.อ.ปรีชา ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้เป็นผู้ลงนามอนุมัติ
จนกระทั่ง 15 เม.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ปรีชา ได้เปิดเผยกับ สำนักข่าวอิศราโดย พล.อ.ปรีชา ยืนยันว่า "ลูกชายจบปริญญาตรีมา ก็ต้องทำงาน เมื่อมีตำแหน่งว่าง ก็ให้เข้ามาทำงาน ซึ่งก็มีหลายคนในกองทัพที่ทำแบบนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ลูกชายพี่คนเดียวที่ทำแบบนี้ได้ เอาแค่นี้ก่อนนะ" (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)  

เตรียมสอบเอกสารตั้งลูกเป็นนายทหารหลุดไปอย่างไร

ล่าสุดวันนี้ (18 เม.ย.59) มติชนออนไลน์ รายงานด้วยว่า พล.อ.ปรีชา กล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีดังกล่าวว่า เป็นอำนาจของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมอบหมายอำนาจให้ตนเป็นผู้เซ็นคำสั่งแต่งตั้งดังกล่าว ทั้งนี้ขอยืนยันว่ากระบวนการดังกล่าวถูกต้องตามขั้นตอน อีกทั้งมีหลักฐาน เพราะอยู่เฉยๆ จะไม่สามารถไปบรรจุได้
เมื่อถามว่าสาเหตุเป็นเพราะนามสกุลจันทร์โอชา เลยถูกนำมาโจมตีหรือไม่ พล.อ.ปรีชา กล่าวว่า “พี่ชายผมก็เป็นทหาร โตมาจากครอบครัวทหาร ส่วนลูกชายของผมก็เรียนจบสื่อสารมวลชน และก็ตรงตามสายงานที่บรรจุพอดีในส่วนของกองกิจการพลเรือน ที่เน้นการทำงานเกี่ยวกับมวลชน งานด้านจิตวิทยา รวมทั้งงานประชาสัมพันธ์”
 
เมื่อถามว่าทางออกของประเด็นนี้จะเป็นรอย่างไร พล.อ.ปรีชา กล่าวว่า ขณะนี้เรื่องดังกล่าวอนุมัติบรรจุแล้ว บุตรชายตนต้องมารายงานตัว เพื่อทำงานต่อไป
 
เมื่อถามต่อว่า คำสั่งดังกล่าวหลุดออกมาจากคนใกล้ตัวหรือไม่ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ตนไม่ทราบ อย่างไรก็ตามต้องมีการตรวจสอบว่าเอกสารดังกล่าวออกไปเผยแพร่ต่อสาธารณะได้อย่างไร
 

พล.อ.ประวิตร ระบุเป็นเรื่องธรรมดา ยันเป็นอำนาจตน 

วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กตัวเอง 'Wassana Nanuam' ด้วยว่า พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า "เรื่องธรรมดา ไม่เห็นเป็นไรเลย" 
 
"เป็นอำนาจผม อำนาจรมว.กลาโหม รับใครได้เลยทันทีทันใด เพราะหากขาดตำแหน่งที่จะมาทำงาน นึ่เป็นสาขาพิเศษ" พล.อ.ประวิตร กล่าวพร้อมกล่าวด้วยว่า กรณีบรรจุ ลูกชาย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา เป็นนายทหาร ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติครบ ผ่านการตรวจร่างกายแล้ว ไม่มีคดีติดตัว ตามระเบียบ ทุกอย่าง จบปริญญาตรี เป็นตำแหน่งคุณสมบัติพิเศษในด้านนี้
 
พล.อ.ประวิตร ยอมรับว่า กรณีนี้ ไม่จำเป็นต้องสอบ แข่งขัน เพราะเป็นตำแหน่งคุณสมบัติพิเศษ ที่ขาดอยู่ ส่วนใหญ่ ต้องขอร้องมาเป็นทหาร ยกเว้นมีคนมาสมัครจำนวนมาก ต้องสอบแข่งขัน ในตำแหน่งต่างๆทั่วไป
 
วาสนา รายงานด้วยว่า พล.อ.ประวิตร ปัดตอบ เป็นระบบอุปถัมภ์หรือไม่ แต่ บอกว่า ไม่เป็นไรหรอกน่า โบ้ย สื่ออยากเข้าเป็นทหาร ไหมล่ะ พร้อมเพ่งเล็ง เอกสาร กท.หลุดบ่อยๆ มีขบวนการอะไรหรือไม่ ระบุ ครั้งนี้เรื่องลูกชายปลัดกห.ไม่ได้ลับอะไรมาก แต่ก็หลายครั้ง ที่เอกสารลับหลุดออกมา

'พวงทอง'ชี้ ยิ่ง คสช. ห้ามรณรงค์โหวตโน ยิ่งทำลายความชอบธรรม


สัมภาษณ์นักวิชาการ และนักกิจกรรม ต่อท่าทีการห้ามรณรงค์รับไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของพลเอกประวิตร 'พวงทอง ภวัครพันธุ์' ชี้ หากปิดกั้นฝ่ายที่เห็นต่าง แล้วร่างรัฐธรรมนูญผ่าน ก็ไร้ความชอบธรรมในการปกครอง ด้าน'ฟอร์ด เส้นทางสีแดง' ระบุชัด เดินหน้าทำกิจกรรมต่อ ย้ำท่าทีประวิตรไม่ใช่กฎหมาย
ต่อกรณีการออกมาแสดงท่าทีของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถึงการออกมารณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองเมื่อวันที่ 17 เม.ย. ที่ผ่าน พลเอกประวิตร ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2559 ว่า นักวิชาการที่ออกมาต่อต้าน และรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนั้นคงรณรงค์ไม่ได้ ห้ามรณรงค์ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ ชอบก็ชอบ รวมถึงการใส่เสื้อโหวตโน หรือโหวตเยส ก็ไม่ได้ จะไม่มีการเชียร์ หากเจอต้องถอดออก อย่างไรก็ตาม เราทำตามรัฐธรรมนูญทุกอย่างเพราะเป็นกฎข้อบังคับและเป็นกฎหมายที่ใหญ่ที่สุด
ล่าสุด ประชาไท สัมภาษณ์ รองศาสตราจารย์ พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในอาจารย์กลุ่มเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง ซึ่งออกมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 17 ที่ผ่านมา รวมทั้ง ฟอร์ด เส้นทางสีแดง หรือ อนุรักษ์ เจนตวนิช นักกิจกรรมซึ่งออกมารณรงค์เรื่องการทำประชาติเป็นกลุ่มแรกๆ
พวงทองระบุว่า เห็นได้ว่าท่าทีของพลเอกประวิตร เป็นการตีความโดย คสช. ว่า การทำประชามติอะไรบ้างที่ทำได้ ทำไม่ได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดแล้วว่า แม้กระทั่งปัจเจกชนเองก็ไม่สามารถแสดงออกได้ว่า ไม่เอา ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ
“ดิฉันคิดว่าเขาไม่กลัวหรอก กับการที่คนจะออกมาประกาศรับร่างรัฐธรรมนูญ แต่เขากลัวคนที่ประกาศว่าจะไม่รับร่างต่างหาก” พวงทอง กล่าว
พวงทองกล่าวต่อว่า สาเหตุที่พลเอกประวิตร ออกมาแสดงท่าทีอย่างนั้น เป็นเพราะตัวร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวจะกลายเป็นตัวสร้างความชอบธรรมให้กับ คสช. ในระยะยาว หากร่างรัฐธรรมนูญผ่านการออกเสียงประชามติ ท่าทีที่เกิดขึ้นคือ ความกังวลว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะไม่ผ่านการลงประชามติ เพราะตอนนี้มีคนหลายกลุ่มหลายองค์กรออกมาแสดงความเห็นว่าไม่เอาร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้
พวงทอง มองว่า การใช้วิธีการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของประชาชนในลักษณะที่ คสช. พยายามทำอยู่ ก็จะทำให้ประชาชนเห็นเองว่าต่อให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการลงประชามติ ก็ยังไร้ซึ่งความชอบธรรมอยู่ดี เพราะประชาชนไม่แม้กระทั่งที่จะแสดงความคิดเห็นได้ อีกทั้งยังไม่ได้มีส่วนในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เลย
“ฉะนั้นที่เขาหวังว่า หากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่าน แล้วเขาจะมีความชอบธรรม อ้างว่ามีกฎหมายสูงสุดรองรับอำนาจเขา มันก็ไม่เกิดขึ้นจริง แต่จะเห็นว่าเขาก็จะไม่แคร์เท่าไหร่ เพราะก็จะอ้างว่าตัวเองมีกฎหมายสูงสุดอยู่ในมือแล้ว แต่เอาเข้าจริงสังคมมันไม่สามารถปกครองได้ด้วยกฎหมายโดยลำพัง หากผู้ปกครองขาดความชอบธรรมในด้านอื่นๆ ความชอบธรรมในทางการเมือง ในทางศีลธรรม ที่จะทำให้ประชาชนยอมรับได้” พวงทองกล่าว
เมื่อถามว่า การออกมาแสดงท่าทีของพลเอกประวิตร ในครั้งนี้ จะส่งผลอย่างไรกับการทำกิจกรรมของทางกลุ่มฯ พวงทอง กล่าวว่า ไม่คิดว่าถึงที่สุดแล้ว ทหารจะสามารถห้ามการแสดงออกของประชาชน ทุกกลุ่มได้ ยังเชื่อว่าจะมีการแสดงออกโดยใช้สัญลักษณ์อื่นๆ อีก
“เขาก็คงตามปราบกันไป สร้างความกลัวในหมู่ประชาชนไปเรื่อยๆ แต่ปัญหาคือ ในขณะนี้กระแสคัดค้านมันออกไปกว้างขวางมาก จะปราบกันแค่ไหน จะจับกันแค่ไหน แล้วยิ่งทำก็ยิ่งกลายเป็นการทำลายความชอบธรรมของพวกเขาเอง เสื้อโหวตโน มันเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์หนึ่งเท่านั้นเอง มีวิธีสัญลักษณ์ออกมาได้อีกร้อยพันประการ ตราบใดที่ประชาชนไม่ยอมรับ” พวงทองกล่าว
เมื่อมองดูจากสถานการณ์ที่มีคนจำนวนมากออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ และความพยายามในการออกมาปราบปรามของรัฐบาลทหารในขณะนี้ พวงทอง เห็นว่า วิธีการดังกล่าวไม่ใช่วิธีการที่ดี ทางที่ดี คสช. ควรเปิดพื้นที่ให้มีการแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ
“มีคนเสนอเยอะแล้ว และนี่เป็นสิ่งที่เป็นการประนีประนอมของประชาชนแล้ว เพราะเราเห็นกันอยู่แล้วว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้มีส่วนไหนที่มาจากประชาชนเลย แต่ไหนๆ จะมีการทำประชามติแล้ว ก็ต้องทำให้การประชามติมันเปิดกว้างมากที่สุด ยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นของทุกฝ่าย ถ้า คสช. กล้า คุณเปิดทีวีของรัฐมาเลยวันละ 1 ชั่วโมง ให้แต่ละฝ่ายมาโต้แย้งกันเป็นรายมาตราไปเลยก็ได้ จะได้ไม่มีคนมาบอกว่าเราไม่อ่านทุกมาตรา ว่ากันรายมาตราไปเลย ทำทุกวันเลย สุดท้ายแล้วการทำประชามติมันต้องเป็นประชาธิปไตย เราขอแค่นี้เอง แล้วมาวัดใจกันว่าสุดท้ายแล้วประชาชนจะเลือกอะไร อย่าใช้วิธีกดปราบอีกฝ่ายหนึ่งไม่ให้แสดงความคิดเห็น”
ด้าน ฟอร์ด เส้นทางสีแดง ระบุว่า รู้สึกเฉยๆ ต่อท่าทีของพลเอกประวิตร เพราะทราบดีอยู่แล้วว่าทหารทำได้ทุกอย่าง แม้ พรบ. ประชามติจะชัดเจนแล้วว่าประชาชนสามารถที่จะแสดงความคิดเห็นได้ เผยแพร่ได้ คำว่าเผยแพร่ก็คือ การรณรงค์ ฉะนั้นการที่จะใส่เสื้อโหวตโนเพื่อจะไปทำกิจกรรม หรืออะไรยังไงก็ถือเป็นสิทธิภาย พรบ.ดังกล่าว
เมื่อถามว่ายังจะทำกิจกรรมโดยที่ใส่โหวตโน ต่อไปหรือไม่ ฟอร์ดกล่าวว่า
“ก็ดูกันอีกทีว่าจะใส่หรือไม่ใส่ อาจจะใส่ก็ได้ ทหารมาให้ถอด ก็ถอดเปลี่ยนเสื้อเอา อย่างไรก็จะรณรงค์ต่อไป ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่  เพราะกลุ่มเส้นทางสีแดงจะพิจารณาจากกฏหมายเป็นหลัก ในกรณีนี้ก็จะพิจารณาจาก พรบ. ประชามติเป็นหลัก ความเห็นของพลเอกประวิตรเป็นเรื่องของพลเอกประวิตรไม่ใช่กฏหมาย”

‘วัฒนา เมืองสุข’ ไปรายงานตัว มทบ.11 ลั่นบ่ายสามต้องปล่อย ขู่ฟ้องกักขังหน่วงเหนี่ยว

18 เม.ย.2559 ก่อน 11.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่นายวัฒนา เมืองสุข ประกาศทางเฟซบุ๊กว่าเขาจะมารายงานตัวตามการติดต่อจาก คสช. นักข่าวจากหลากหลายสำนักและผู้สังเกตการณ์จากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ตัวแทนทูตานุทูตหลายประเทศได้เดินทางมารออยู่หน้ามณฑลทหารบกที่ 11 เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ นายวัฒนาซึ่งเป็นนักการเมืองที่ถูกปรับทัศนคติรวมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แจ้งทางเฟซบุ๊กเมื่อราว 10.30 น.ว่า คสช.ได้เปลี่ยนแผนจากเดิมที่จะไปรับตัวเขาที่บ้าน เป็นการให้เขาเดินทางมาพบเอง ซึ่งแม้เขาจะมั่นใจว่าไม่ได้กระทำการสิ่งใดผิดก็ต้องมารายงานตัวเนื่องจากเกรงว่าจะโดนแจ้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งไม่รายงานตัว

"ผมจึงขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ผมมาพบ คสช. ตามคำสั่งที่ให้ผมมารายงานตัวที่ มทบ. 11 แต่ คสช. ไม่มีอำนาจที่จะควบคุมตัวผมไว้ ไม่ว่าเพื่อการใดทั้งสิ้น หากภายใน 15.00 น. ของวันนี้ ผมยังไม่ออกมาคือการที่ คสช. กำลังใช้อำนาจโดยไม่ชอบกักขังหน่วงเหนี่ยวผมไว้ ทำให้ผมขาดอิสรภาพ ซึ่งผมจะดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้องอย่างถึงที่สุด ผมเรียนยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ได้ทำอะไรที่เป็นความผิด และจะ "ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ" อย่างแน่นอน" วัฒนาโพสต์เฟซบุ๊ก
เวลาประมาณ 11.00 น. นายวัฒนาเดินทางมาถึงหน้า มทบ.11 ได้เดินเข้าไปยังสโมสรซึ่งเป็นร้านอาหารก่อน เพื่อพูดคุยกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง และตัวแทนจากสถานทูตนอร์เวย์ แคนาดา สวิสเซอร์แลนด์ เป็นที่น่าสังเกตว่า เพจ Wattana Muengsuk ได้ใช้ฟังก์ชั่นล่าสุดของเฟซบุ๊ก โดยทำการถ่ายทอดสดในช่วงเวลาดังกล่าวไว้โดยตลอดด้วย จากนั้นเจ้าหน้าที่ทหารได้เข้ามาแจ้งให้วัฒนาเดินทางเข้าไปในมทบ.11 ในทันที แต่วัฒนายืนยันจะขอคุยกับกลุ่มคนดังกล่าวก่อน 5 นาที จากนั้นจึงเดินเข้าไปในมทบ.11 และขึ้นรถตู้เข้าไปด้านในพร้อมเจ้าหน้าที่ทหารที่ประกบอยู่นับสิบนาย
ก่อนการรายงานตัวดังกล่าว นายวัฒนายังได้โพสต์ข้อความในเพจระบุว่าประชาชนเจ้าของอำนาจจะเป็นผู้ตัดสินเองว่าจะรับร่างรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ และไม่ว่าจะปรับทัศนคติเขากี่ครั้งเขาก็ยืนยันจะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับบนี้
"โพสต์สุดท้ายก่อนเข้าค่าย"
(อีกครั้งหนึ่ง)
ผมกำลังเดินทางกลับบ้านเพื่อไปพบ คสช. ที่จะมาควบคุมตัวผมเนื่องจากการที่ผมโพสต์ความเห็นผ่านเฟซบุ๊คว่า "ผมก็ไม่รับรัฐธรรมนูญ" ซึ่งผมก็ยังยืนยันว่าผมมีสิทธิจะแสดงความคิดเห็นดังกล่าวเพราะการแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน สหประชาชาติจึงบัญญัติรับรองสิทธิดังกล่าวไว้ในข้อ 19 แห่ง "ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน" ซึ่งประเทศไทยได้ให้คำรับรองไว้ตั้งแต่ ค.ศ. 1948 อันถือเป็นพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยเราต้องปฏิบัติตาม ทั้งนี้เป็นไปตามมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ คสช. เป็นผู้ขอพระราชทานมาบังคับใช้เอง
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ กรธ. กำลังจะนำไปให้ประชาชนออกเสียงประชามติ ทุกฝ่ายจึงต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชน แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ว่ากระบวนการประชามติได้เปิดกว้างให้ทุกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่แล้ว รวมทั้งประชาชนทราบข้อมูลสำคัญคือหากผลประชามติไม่ผ่านรัฐบาลจะดำเนินการต่อไปอย่างไร การออกเสียงประชามติบนมาตรการปิดกั้นเฉพาะฝ่ายที่คัดค้านดังที่กำลังเกิดขึ้นกับผม หรือการไม่ให้ข้อมูลที่ครบถ้วนแก่ประชาชน จะทำให้การออกเสียงประชามติไม่ได้รับการยอมรับในที่สุด ผมจึงเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดกว้างให้ทุกฝ่ายได้แสดงความเห็นและให้ข้อมูลอย่างครบถ้วนแก่ประชาชน
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ กรธ. ถูกหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีเนื้อหาไม่เป็นประชาธิปไตย จนทำให้ประชาชนทราบข้อมูลดังกล่าวเป็นอย่างดีแล้ว ดังนั้น หากไม่ผ่านการออกเสียงประชามติคือการส่งสัญญาณว่า ประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยไม่ยอมรับร่างรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาแบบดังกล่าวอีกต่อไป ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องตระหนักในการแสดงเจตนารมณ์ดังกล่าว การดำเนินการต่อไปจะต้องสอดคล้องกับความต้องการของเจ้าของอำนาจ ด้วยการให้เจ้าของอำนาจเป็นผู้กำหนดกติกาทางการเมืองด้วยตนเอง เชื่อผมเถิดว่าคนไทยมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะเลือกวิถีทางทางการเมืองของตนเองได้โดยไม่ต้องให้ใครมาชี้นำอีก เลิกดูถูกประชาชนว่าไม่มีความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยได้แล้ว
ผมจะบอกอะไรให้นะ "จะเอาผมไปปรับทัศนคติอีกกี่ครั้งผมก็ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้"
วัฒนา เมืองสุข
พรรคเพื่อไทย
18 เมษายน 2559