วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559

RED USA ร่อนจดหมาย ถึงตัวแทน EU ให้ระวังคำโกหกของเผด็จการไทย


RED USA แจ้งตัวแทน EU ให้ระวังคำโกหกของเผด็จการไทย อย่าหลงคำหวานและคำสัญญาที่เผด็จการไทยไม่เคยปฏิบัติ
       RED USA ร่อนจดหมาย ถึง Dr. Werner Langen ประธานกรรมาธิการสภา EU ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศสมาชิกสมาคม ASEAN เรียกร้องให้กดดันประเทศไทยตามมติของ EU
       Dr. Werner Langen จะมาเยือนประเทศไทย ในเดือนพฤษภาคมนี้และคาดว่าจะเข้าพบบุคคลสำคัญๆ ของไทยหลายคนเพื่อนถ่ายทอดมติและมาตราการกดดันประเทศไทย ของสหภาพยุโรป หนังสือลงวันที่ 6 เมษายน 2016 ถึง Dr. Werner Langen RED USA ยังแนบจดหมายที่เคยส่งให้ EU, UN, EU-ASEAN และ President Obama ไปด้วย จดหมายที่แนบไปบรรยายการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยอย่างละเอียด
        ในจดหมายลงวันที่ 6 เมษายน 2016 RED USA ได้แจ้งให้ Dr. Werner Langen ทราบด้วยว่า เผด็จการไทยจะโกหกปลิ้นปล้อนและจะให้คำมั่นสัญญาที่ไม่เคยปฏิบัติจริง อย่างที่เคยโกหกใครต่อใครมาแล้วทั้งโลก และที่สำคัญที่ยังคงไม่ลืมกันคือเมื่อประมาณ 4-5 เดือนที่แล้ว Dr.Werner Langen ได้ส่งจดหมายในนามของสภา EU เชิญอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรให้ไปเยือน EU แต่รัฐบาลของประยุทธ์ จันทร์โอชาไม่อนุญาต ยกเหตุผลว่าจดหมายเชิญไม่ใช่ของจริง
จดหมายจาก RED USA ถึง Dr. Werner Langen มีรายละเอียดดังนี้.....
Red-USA
PO BOX 4154
Huntington Beach, CA 92606
Redusa1975@gmail.com
1-562-637-3326
April 6th, 2016
Honorable Dr. Werner Langen
EUROPEN PARLIAMENT
Rue Wiertz; ASP 15 E 102
1047 Brussels
Belgium
Email: werner.lengen@europarl.europa.eu
Subject: Thailand violations
We are very pleased that you are planning to visit Thailand next month. Enclosed are letters that been sent to the UN, EU and also to the US President, which described details of Thailand’s human rights violations. Obviously, the Thai junta still in denied, expecting the international community to overlook their continuing misconducts.
We need your firm commitment to enforce the EU Resolution. We are sure that the Thai dictator will continue to lie to you with the same promises and unable to deliver.
Please do not hesitate to contact me at any time.
Respectfully yours,
Kim Lee
Red-USA Executive Director of Foreign Affairs


‘มีชัย’ ไม่หวั่น 2 พรรคใหญ่ไม่เห็นด้วยร่าง รธน. แต่ขอให้คำนึงประโยชน์ประเทศ

ที่มา : วิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา

ประธาน กรธ. ไม่เห็นด้วยที่ กกต. เสนอให้มีการจัดทำข้อดีข้อเสียร่างรัฐธรรมนูญแจกประชาชน ระบุไม่ใช่หน้าที่ กกต. เผยไม่หนักใจแม้สองพรรคใหญ่ไม่เห็นด้วยกับตัวร่าง แต่สุดท้ายขอให้เห็นแก่ประโยชน์ประเทศ ปัดหากคำถามพ่วงสร้างควมขัดแย้ง ไม่เกี่ยวกับ กรธ.

11 เม.ย. 2559 ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) โดยมี มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. ทำหน้าที่ประธานการประชุม ซึ่งมีวาระพิจารณาการจัดทำคำอธิบายร่างรัฐธรรมนูญเพื่อส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ไปดำเนินการเผยแพร่ต่อประชาชน ทั้งนี้ มีชัย ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมว่า กรธ.จะส่งเอกสารสรุปคำอธิบายร่างรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ ให้กกต.ในวันที่ 12 เม.ย.นี้ เพื่อนำไปเผยแพร่ ทั้งนี้เอกสารที่จะนำส่ง กกต.เล่มแรกจะเป็นการสรุปเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญทั้งหมด ส่วนอีกเล่มเป็นสรุปเฉพาะประเด็นที่สำคัญๆ พร้อมกับภาพประกอบประมาณ 10 เรื่องที่ควรรู้

การจัดทำข้อดี-ข้อเสีย ไม่ใช่หน้าที่ กกต. หวั่นชี้นำประชาชน

มีชัย กล่าวต่อไปถึงกรณีข้อเสนอของ กกต. ที่เสนอให้มีการจัดทำดีข้อเสียของร่างรัฐธรรมนูญเพื่อแจกให้กับประชาชนว่า ไม่ควรจัดทำข้อดี ข้อเสีย ของร่างรัฐธรรมนูญ เพราะจะเป็นการชี้นำ และไม่ใช่หน้าที่ของ กกต. เนื่องจาก กกต. จะต้องมีความเป็นกลางจะรู้ได้อย่างไรว่าร่างรัฐธรรมนูญดีหรือไม่ดี เอาใครมาเป็นมาตรฐาน ซึ่งเรื่องนี้ต้องปล่อยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ  ซึ่งหากยังดำเนินการเช่นนั้นอาจผิดกฎหมาย และเข้าข่ายความผิดทางอาญาด้วย
ทั้งนี้ มีชัย ยอมรับว่า เป็นห่วงกับการนำเสนอร่าง รธน. ไปยังประชาชน เพราะขณะนี้มีความพยายามของคนบางกลุ่มที่บิดเบือนเนื้อหาทำให้ประชาชนเข้าใจผิด

2 พรรคใหญ่ไม่เห็นด้วย ไม่หนักใจ แต่ขอให้ทุกฝ่ายนึกถึงประโยชน์ประเทศ

ส่วนกรณีที่พรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค ที่ออกมาไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาบางส่วนในร่างรัฐธรรมนูญ มีชัยกล่าวว่า ไม่ได้รู้สึกหนักใจว่าพรรคการเมืองจะชี้นำให้ประชาชนคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตามขอให้ทุกฝ่ายนึกถึงประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ เพราะผู้ร่างก็ต้องร่างรัฐธรรมนูญเพื่อใช้กันทั้งประเทศ ส่วนการที่พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่าร่างรัฐธรรมนูญมีข้อบกพร่องนั้น ไม่ใช่เรื่องบกพร่อง อาจเป็นเรื่องที่เขาไม่เห็นด้วย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่มีใครที่จะเห็นด้วย 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นพรรคการเมืองที่มีคุณธรรม เขาก็ไม่ทำสิ่งใดที่บิดเบือน ถ้าเขาไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร เราก็รับรู้ แต่พรรคการเมืองที่ไม่มีคุณธรรม ก็จะไปบิดเบือน ซึ่งขณะนี้เริ่มมีวิชามารทยอยบิดเบือนข้อมูลกันแล้ว ตนกำลังพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร
ประธานกรธ. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีการกล่าวหาว่า กรธ. ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งคือ การไม่ใช้คำว่า"ไล่ออก"และ"ปลดออก" เหมือนกับรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านๆมา แต่ครั้งนี้ กรธ. เขียนเป็น "ถูกให้พ้นจากราชการหรือหน่วยงานของรัฐเพราะทุจริต ต่อหน้าที่”  เพราะเห็นว่าคำว่า "ให้พ้นจากราชการหรือหน่วยงานของรัฐ" กว้างกว่าคำว่า "ไล่ออก" "ปลดออก" หรือ "ให้ออก" เพราะบางครั้งไม่ได้ไล่ออก แต่เป็นการเลิกสัญญา ถ้าเขียนแบบเดิมจะไม่ครอบคลุม กรธ. จึงปรับใหม่เพื่อให้ครอบคลุม ดังนั้นการกล่าวหาว่า กรธ. ช่วยพรรคประชาธิปัตย์ถือว่าบิดเบือน กกต. จึงต้องตรวจสอบ แต่ถ้ากรธ. พบก็จะส่งเรื่องไปให้ กกต. ดำเนินการ

คำถามพ่วง สนช. จะสร้างความขัดแย้งหรือไม่ ไม่ใช่หน้าที่ กรธ.

เมื่อถามว่าถ้าคำถามพ่วงของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ผ่านการทำประชามติ กรธ.ต้องปรับแก้ไข มองว่าจะขัดกับหลักการที่วางไว้หรือไม่ นายมีชัย กล่าวว่า ถึงตอนนั้นเจตนารมณ์ของประชาชนต้องเป็นใหญ่ เมื่อถามย้ำว่าเกรงว่าคำถามพ่วงจะสร้างความขัดแย้งหรือไม่ นายมีชัย กล่าวว่า ไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรธ.

ศาลปกครองสั่งเพิกถอนคำสั่งไล่ออก‘สมศักดิ์’ ปิยบุตรห่วงยังมีช่อง มธ.ลงดาบซ้ำ


<--break- />
11 เม.ย.2559 เวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 10 ศาลปกครองกลาง แจ้งวัฒนะ ตุลาการศาลปกครองนัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลข บ.408/2558 ที่ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ฟ้องอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เพื่อขอเพิกถอนคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ โดยศาลพิพากษาว่าคำสั่งของอธิการบดีมธ.และการยกคำอุทธรณ์ของ ก.พ.อ.นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เพิกถอนคำสั่งไล่ออกดังกล่าวและเพิกถอนคำวินิจฉัยของ ก.พ.อ.ที่ยกอุทธรณ์ของสมศักดิ์ โดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่มีคำสั่งและคำวินิจฉัยดังกล่าว นั่นคือวันที่ 19 ธ.ค.2557 อันเป็นวันต่อจากวันที่คณบดีมีหนังสือให้สมศักดิ์กลับมาปฏิบัติราชการ
คำพิพากษาปรากฏเหตุผลหลักว่า สมศักดิ์ไม่ได้มีความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบ แบบแผนของทางราชการ ละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเกินกว่า 15 วัน เนื่องจากหลังจากสมศักดิ์ยื่นเรื่องขอลาไปเพิ่มพูความรู้ทำวิจัยเรื่องเฮเกลเมื่อ 16 พ.ค.2557 แล้ว ก็ปรากฏว่าได้รับการอนุมัติให้ลาตามร้องขอ (1 ส.ค.2557-31 ก.ค.2558) จากหัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ คณบดีคณะศิลปศาสตร์ คณะกรรมการประจำคณะศิลปศาสตร์แล้วเป็นที่เรียบร้อย แม้ยังไม่ได้รับการอนุมัติจากอธิการบดี นอกจากนี้ผลจากคณะกรรมการสอบสวนที่ทางมหาวิทยาลัยตั้งขึ้นภายหลังก็ปรากฏข้อมูลว่ามีกรณีที่อาจารย์สามารถเดินทางไปเริ่มต้นการศึกษาเพิ่มพูนความรู้หรือทำวิจัยได้เลยหากทางคณะอนุมัติ โดยทางมหาวิทยาลัยจะทำการอนุมัติย้อนหลัง
นอกจากนี้ยังพบการพิจารณาที่ล่าช้าเป็นพิเศษในกรณีของสมศักดิ์เพราะกว่าคณะจะส่งเรื่องให้มหาวิทยาลัยพิจารณาก็ใช้เวลากว่า 3 เดือนและมหาวิทยาลัยก็ใช้เวลาอีกนานในการตรวจสอบกว่าจะมีคำสั่งยกเลิกการลาดังกล่าวซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทับซ้อนกับการลาดังกล่าวนั้นแล้ว
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ยังไม่มีการอนุมัติจากอธิการบดี คณบดีได้มีหนังสือเรียกตัวให้สมศักดิ์กลับมาสอนในวันที่ 18 ธ.ค.2557 สมศักดิ์จึงได้ยื่นจดหมายลาออกในวันที่ 19 ธ.ค.2557 โดยขอให้มีผล 30 ธ.ค.2557 แต่ทางมหาวิทยาลัยระบุว่าได้รับหนังสือลาออกดังกล่าวของสมศักดิ์ในวันที่ 6 ม.ค.2558 และยังไม่มีการอนุมัติใดๆ จากนั้นคณบดีได้มีหนังสือเรียกตัวสมศักดิ์กลับมาสอนอีกครั้งในวันที่ 26 พ.ค.2558 จากนั้น 1 วัน คือในวันที่ 27 ม.ค.2558 รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการมีคำสั่งให้คณะยกเลิกการลาไปทำวิจัยของสมศักดิ์ ศาลเห็นว่า ในกรณีนี้ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าสมศักดิ์ได้รับรู้คำสั่งยกเลิกการลาของเขาแล้วหรือไม่ และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่นๆ อันจะอนุมานพฤติการณ์และนำมาวินิจฉัยได้ว่าสมศักดิ์ทราบเรื่องแล้วและจงใจไม่กลับมาปฏิบัติหน้าที่
นอกจากนี้ที่มหาวิทยาลัยอ้างว่าการขาดราชการของสมศักดิ์ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่ชื่อเสียงและทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยทั้งเงินเดือนและเงินสวัสดิการอื่นๆ ที่ได้จ่ายในระหว่างเวลาตามคำสั่งไล่ออกจากราชการ ศาลเห็นว่า หากอธิการเห็นว่าการที่สมศักดิ์ไม่มาปฏิบัติราชการทำให้ไม่มีสิทธิได้รับเงินตอบแทนก็สามารถเรียกให้สมศักดิ์ชำระคืนเงินเดือนและเงินสวัสดิการที่ได้รับไปโดยมิชอบพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายได้ ส่วนเรื่องทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงก็ไม่ปรากฏหลักฐานที่ชัดเจน จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นความเสียหายร้ายแรง
ขณะที่ประเด็นที่สมศักดิ์ยกเหตุผลประเด็นการถูกคุกคามและอาจมีอันตรายอย่าร้ายแรงต่อชีวิต ร่างกายและเสรีภาพ จากเหตุการณ์วันที่ 12 ก.พ.2557 ที่มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่บ้าน และถูกข่มขู่ทั้งทางตรงทางออ้มจากคณะบุคคลซึ่งเข้ายึดอำนาจการปกครอง ทำให้ไม่สามารถกลับมาปฏิบัติราชการได้ตามปกตินั้น ศาลเห็นว่า เหตุการณ์ยิงใส่บ้านสมศักดิ์ผ่านมาเป็นเวลา 10 เดือนก่อนหน้าหัวหน้าภาควิชาจะมีหนังสือเรียกให้เขากลับมาปฏิบัติราชการ ภัยดังกล่าวเกิดที่บ้าน และไม่ปรากฏว่าเป็นภัยคุกคามอย่างต่อเนื่อง สมศักดิ์จึงไม่อาจอ้างกรณีดังกล่าวเป็นเหตุผลไม่มาปฏิบัติราชการได้
ในส่วนของสมศักดิ์อ้างคณะบุคคลซึ่งเข้ายึดอำนาจการปกครอง คุกคาม เช่น มีการแจ้งดำเนินคดีอาญามาตรา 112 มีการออกคำสั่งเรียกให้ไปรายงานตัว ก็เป็นกรณีที่สมศักดิ์จะต้องสู้คดีจะต้องต่อสู้เพื่อพิทักษ์สิทธิของตนตามขั้นตอนกระบวนการของกฎหมายต่อไป ข้ออ้างดังกล่าวไม่อาจรับฟังได้อีกเช่นกัน

ปิยบุตรชี้ชนะคดีไม่สุด ชะตากรรม ‘สมศักดิ์’ วนกลับไปอยู่ในมือ ‘สมคิด’

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังข่าวคำพิพากษาดังกล่าว ปิยบตุร แสงกนกกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวตั้งข้อสังเกตถึงคดีนี้ว่า คำพิพากษาฉบับนี้จะเป็นการ ‘ยื่นดาบ’ ให้ มธ. ดำเนินการทางวินัยและมีคำสั่งไล่ออกได้อีกครั้งหนึ่งหรือไม่ เนื่องจากศาลปกครองได้เปิดทางไว้ในคำพิพากษาว่า หาก มธ. จะดำเนินการทางวินัยใหม่ก็สามารถทำได้ เพราะหลังวันที่ 28 ม.ค.2558 ทาง มธ.ได้แจ้งให้สมศักดิ์ทราบแล้วว่าไม่อนุมัติให้ลาไปศึกษาเพิ่มพูนความรู้และให้กลับมาปฏิบัติงานทันที การที่สมศักดิ์ยังคงไม่กลับมาก็ทำให้ดำเนินการทางวินัยได้ โดยเหตุที่ไม่สามารถอ้างเรื่องไม่รู้ ไม่จงใจได้อีกแล้ว
ส่วนเหตุผลที่ศาลยกมาประกอบนั้น พบว่าศาลปกครองนำข้อเท็จจริงเรื่องการลาราชการเพื่อเพิ่มพูนความรู้มาใช้เพื่อวินิจฉัยว่าสมศักดิ์ไม่จงใจเพียงส่วนเดียวเท่านั้น ส่วนข้อเท็จจริงเรื่องรัฐประหาร เรื่องการคุกคามชีวิตและร่างกาย ตลอดจนเรื่องการที่รัฐบาลฝรั่งเศสให้สถานะผู้ลี้ภัยแก่สมศักดิ์ซึ่งเป็นเหตุทำให้การขาดงานของเขามีเหตุอันควรนั้น ศาลปกครองวินิจฉัยว่าเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น
“ดังนั้น คำพิพากษานี้ ดูเหมือนเป็นคุณกับอาจารย์สมศักดิ์ แต่ไม่ได้เป็นคุณกับอาจารย์สมศักดิ์อย่างถึงที่สุด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ มธ อีกครั้งว่า จะดำเนินการทางวินัยใหม่อีกครั้งและสั่งไล่ออกอีกหรือไม่ หากไล่ออกขึ้นมา อาจารย์สมศักดิ์ฟ้องเพิกถอนคำสั่งไล่ออก คราวนี้จะบอกว่าไม่จงใจไม่ได้แล้ว และจะบอกว่ามีเหตุอันควร (อันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หากกลับไป) ก็ไม่ได้ เพราะศาลปกครองได้บอกไว้ในคำพิพากษาแล้วว่า ฟังไม่ขึ้น หากอาจารย์สมศักดิ์ลาออก มธ. อนุมัติให้ลาออก เรื่องก็จบ เลิกแล้วต่อกัน อาจารย์ได้เงินบำนาญตามสิทธิที่ควรได้ และใช้ชีวิตผู้ลี้ภัยต่อไป หาก มธ. ไม่อนุมัติให้ลาอก และตัดสินใจดำเนินการทางวินัยใหม่และไล่ออกอีก คราวนี้คงยุ่ง ต้องฟ้องกันใหม่เป็นอีกคดี” ปิยบตุรระบุ

ล้อ 'มันเปลืองจริงๆ' เพนกวิ้นเทียบงบฯม.ปลาย 9 พันล้าน ขณะที่งบซื้อเรือดำน้ำ 3.3 หมื่นล้าน


พริษฐ์ ม.5 ผู้รณรงค์ให้ร่างรธน.ฉบับลงประชามติ รับรองสิทธิเรียนฟรีม.ปลาย คืนมา โพสต์การศึกษา ม.ปลาย-อาชีวะ 2 ล้านคน ใช้งบฯ เพียง 9 พันล้าน เทียบงบซื้อเรือดำน้ำ 3.3 หมื่นล้าน Single Gateway ที่เคยเป็นข่าว 1.6 หมื่นล้าน
12 เม.ย. 2559 พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิ้น นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 จากกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท ผู้รณรงค์เรียกร้องให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ รับรองสิทธิในสวัสดิการการเรียนฟรีถึงมัธยมปลายกลับคืนมา ล่าสุดวานนี้ (11 เม.ย.59) เขาได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'Parit Chiwarak' ในลักษณะสาธาณะ เทียบงบประมาณการศึกษาไทยนักเรียนระดับชั้นมัธยมปลายสายสามัญและมีนักเรียนมัธยมปลายสายอาชีวศึกษา ที่มีประมาณ 2 ล้านคน จากตัวเลขปี 2557 อยู่ที่ประมาณ 9 พันล้านบาทเท่านั้น 
โดย พริษฐ์ ได้นำงบประมาณโครงการอื่นมาเปรียบเทียบ เช่น งบค่าโครงการทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา 14,000 ล้านบาท งบค่าโครงการ Single Gateway ที่เคยเป็นข่าว 16,000 ล้านบาท และงบที่กองทัพเรือเคยเสนอจะซื้อเรือดำน้ำ 3 ลำ ราคา 3.3 หมื่นล้านบาท
"เราก็จะทราบได้ทันทีว่า งบเรียนฟรี ม.ปลาย + อาชีวะที่เอาไว้ช่วยคนอย่างน้อยสองล้านกว่าคนเนี่ย "มันเปลือง" จริง ๆ" พริษฐ์ โพสต์ทิ้งท้ายเชิงเสียดสีหลังนำตัวเลขงบฯ ม.ปลายเทียบกับ 3 โครงการข้างต้น

ที่มา เฟซบุ๊ก 'Parit Chiwarak
 
โดยมีรายละเอียดดังนี้
 
#ห้องเรียนคณิตศาสตร์กับเด็กชายเพนกวิ้น
 
ความเดิมตอนที่แล้ว ร่างรัฐธรรมนูญฉบับคุณปู่มีชัยมุ่งหมายจะทำลายหลักประกันสวัสดิการเรียนฟรี ม.ปลาย-อาชีวะด้วยเหตุผลว่าประเทศไทยไม่มีเงินพอจ่าย วันนี้ผมจะมาชวนทุกคนใช้วิชาคณิตคิดเร็วคำนวณงบประมาณสำหรับ #เอามปลายฟรีของเราคืนมา กันนะครับ ค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดสวัสดิการเรียนฟรีจะถูกใช้จ่ายในรูปเงินอุดหนุนรายหัวให้เด็กแต่ละคน ซึ่งปกติแล้วรัฐบาลจะจัดอัตราเงินอุดหนุนรายหัวที่ว่าของ ม.ปลาย และสายอาชีพเป็น
 
มัธยมปลายสายสามัญ: คนละ 3800 บาท/ปี
มัธยมปลายสายอาชีพ: คนละ 5868 บาท/ปี
 
ทีนี้จากสถิติจำนวนนักเรียนในระบบการศึกษาไทยของ พ.ศ.2557 (หาของ 2558 ไม่พบ) มีนักเรียนระดับชั้นมัธยมปลายสายสามัญ 1,414,453 คน และมีนักเรียนมัธยมปลายสายอาชีวศึกษาอีก 675,712 คน ดังนั้น ถ้าเราลองคูณเลขเร็ว ๆ ก็จะได้ว่างบประมาณที่เป็นค่าใช้จ่ายของนโยบายเรียนฟรีนี้จะเป็น
 
1,414,453 คน × 3800 บาท/ปี = 5,374,921,400 บาท/ปี (ห้าพันสามร้อยเจ็ดสิบสี่ล้านเก้าแสนสองหมื่นหนึ่งพันสี่ร้อยบาท)
675,712 คน × 5868 บาท/ปี = 3,965,078,016 บาท/ปี (สามพันเก้าร้อยหกสิบห้าล้านเจ็ดหมื่นแปดพันสิบหกบาท
 
ถ้าเอางบทั้งสองส่วนมารวมกันก็จะได้ 5,374,921,400 + 3,965,078,016 = 9,339,999,416 บาท/ปี ตีเป็นเลขกลม ๆ ได้เป็นเก้าพันล้านบาท 
 
ในปีเดียวกันนั้น กระทรวงศึกษาธิการได้รับงบประมาณ 481,337,000,000 บาท ดังนั้น 9 พันล้านค่าเรียนฟรี ม.ปลายนั้นจึงคิดเป็นประมาณ “1.94%”
 
เมื่อเทียบกับกรอบงบประมาณแผ่นดินประจำปีทั้งหมด 2,525,000,000,000 9พันล้านบาทจะคิดเป็นประมาณ 0.4%
 
หากเรานำตัวเลข 9 พันล้านบาทที่จะต่อเติมอนาคตของเด็กปีละ 2,000,000 คนนี้เทียบกับ
 
งบค่าโครงการทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา 14,000 ล้านบาท
 
งบค่าโครงการ Single Gateway ที่เคยเป็นข่าว 16,000 ล้านบาท
 
และงบที่กองทัพเรือเคยเสนอจะซื้อเรือดำน้ำ 3 ลำ ราคา 3.3 หมื่นล้านบาท
 
เราก็จะทราบได้ทันทีว่า งบเรียนฟรี ม.ปลาย + อาชีวะที่เอาไว้ช่วยคนอย่างน้อยสองล้านกว่าคนเนี่ย "มันเปลือง" จริง ๆ
 
#เอามปลายฟรีของเราคืนมา #เห็นด้วยช่วยกันแชร์

มีชัย เผยหากประชาชนอ่านร่างรัฐธรรมนูญแล้วไม่เข้าใจ ส่ง จม. มาถามได้


มีชัย เผยส่งสรุปเนื้อหาสำคัญรัฐธรรมนูญแก่ กกต. เป็นจำนวน 2 เล่ม ก่อนส่งต่อให้ประชาชนเพื่อสร้างความเข้าใจ ชี้อยากแจกทุกบ้าน แต่ขึ้นอยู่กับงบ กกต. เผยหากประชาชนไม่เข้าใจร่างรัฐธรรมนูญ ส่งจดหมายมาถามได้ กรธ.พยายามตอบทุกข้อสงสัย
12 เม.ย 2559 ที่รัฐสภา มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เปิดเผยว่า กรธ.ได้ทำการสรุปสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญจำนวน 2 เล่ม เพื่อส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2559 กำหนดให้ กรธ.ต้องจัดทำคำอธิบายร่างรัฐธรรมนูญและส่งให้กกต.ภายใน 15 วันนับแต่วันที่กรธ.ส่งร่างรัฐธรรมนูญให้กับคณะรัฐมนตรี
โดยเอกสารดังกล่าวแบ่งเป็น 2 เล่ม โดยเล่มแรกจะบอกสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญทั้งหมด จำนวน 35 หน้า ชี้แจงเรื่องประเด็นสิทธิเสรีภาพ กลไกทางการเมือง ที่มาของสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่มาของวุฒิสภา (ส.ว.) ที่มาของคณะรัฐมนตรีและการถ่วงดุลอำนาจ และเล่มที่สองมีทั้งหมด 14 หน้า โดยเป็นภาพประกอบและคำอธิบาย ชี้แจง 10 เรื่อง อันได้แก่ เรื่องหน้าที่ของประชาชน การเลือกตั้ง กลไกปราบปรามทุตจริต ที่มาของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี เรื่องท้องถิ่น และการปฏิรูปประเทศ
ประธาน กรธ. กล่าวว่า เอกสารดังกล่าวถูกจัดทำขึ้นเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชน ตนมีความหวังว่า กกต. จะสามารถดำเนินการเผยแพร่เอกสารคำอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญให้ทั่วถึงมากที่สุด เพื่อประชาชนจะได้รับทราบสาระสำคัญที่แท้จริงของร่างรัฐธรรมนูญว่ามีสิ่งใดบ้างก่อนที่จะไปลงประชามติ ในวันที่ 7 สิงหาคม หากประชาชนได้อ่านจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญมากขึ้น  หรือหากต้องการอ่านฉบับเต็มก็สามารถดาวโหลดจากเว็บไซต์หรือเล่มจริงที่ กกต. นำไปแจกที่ตำบลหรือหมู่บ้านทั่วประเทศ หากประชาชนมีข้อสงสัย สามารถเขียนจดหมายส่งมายัง กรธ.ที่รัฐสภาได้ โดย กรธ.พยายามตอบทุกข้อสงสัย
นอกจากนี้ มีชัย ได้กล่าวอีกว่า เดิมทีอยากให้ กกต. แจกจ่ายให้ครบทุกครัวเรือน แต่ต้องขึ้นอยู่กับงบประมาณของ กกต. ที่มีอยู่จำกัด

‘ประยุทธ์’ แจง ส.ว. ไม่ได้เลือกนายก แค่มีส่วนประชุมและลงความเห็น ทั้งนี้เพราะไม่ไว้ใจ รบ. หน้า


ประยุทธ์ นำทีม ครม. ข้าราชการ ทำบุญปีใหม่ไทย เผยสิ้นสุดปีเก่าขออโหสิกรรมที่พูดไม่ดี อารมณ์ร้อนใส่นักข่าว ระบุกรณี ส.ว. มีส่วนเลือกนายกรัฐมนตรี แค่ร่วมประชุมและลงความเห็น ย้ำปีนี้เล่นน้ำอย่าแต่งโป๊ ให้ดูเกาหลีเป็นตัวอย่าง
12 เม.ย. 2559  ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พร้อมด้วย นราพร จันทร์โอชา ภริยา นำคณะรัฐมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการภายในทำเนียบรัฐบาลร่วมตักบาตรพระสงฆ์จำนวน 59 รูป รวมทั้งสงฆ์น้ำพระพุทธรูปร่วมกัน เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ไทย หรือวันสงกรานต์ ประจำปี 2559 โดยนายกรัฐมนตรีได้เปิดโอกาสให้คณะรัฐมนตรี ผู้นำเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ข้าราชการ และสื่อมวลชนได้รดน้ำขอพรเพื่อสืบสานวัฒนธรรมไทยประเพณีสงกรานต์
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้ถือเป็นวันสุดท้ายของปีเก่า และเริ่มต้นปีใหม่ จึงอยากใช้วันนี้กล่าวขอบคุณทุกคน ตนไม่สามารถทำอะไรได้คนเดียวจึงต้องได้รับความร่วมมือจากทุกคนเพราะเราเป็นทีมเดียวกัน ตนไม่มุ่งหวังอะไร แต่มุ่งหวังให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนในอนาคต จึงขอให้เริ่มต้นเป็นปีแห่งธรรมาภิบาล โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการทำงาน และขอบคุณตลอดเวลาที่ผ่านมาเห็นถึงความก้าวหน้าและเอาจริงเอาจัง แต่บางคนไม่เข้าใจ เพราะปัญหาซับซ้อน แต่เราทำเพื่อประชาชน นำไปสู่การแก้ไข จึงต้องเร่งสร้างความชัดเจน
ขออโหสิกรรมนักข่าว ที่อารมณ์ร้อนตำหนิติเตียนไป แต่วันหน้าอย่าทำอีก
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า การทำงานต้องมีเหนื่อยอยู่แล้ว หากวันใดไม่เหนื่อยแสดงว่าเราไม่ได้ทำงาน ต้องเหนื่อยที่จะคิด ริเริ่มและตรวจสอบ ถ้าทำงานสบายๆ ต้องไม่ใช่เวลานี้ ขอให้เป็นเวลาที่มีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งและมีธรรมาภิบาล วันนี้ขึ้นอยู่กับประชาชนตัดสินใจ ตนไม่สามารถแก้ไขอะไรได้
“ขอโทษ ขออโหสิกรรม สิ่งใดที่พูดไม่ดี พูดไม่เพราะ อารมณ์ไม่ดี บางครั้งเผลอตำหนิไปบ้าง ก็ขออโหสิกรรมด้วย ทุกคนเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องที่รัก รวมถึงนักข่าว สื่อมวลชนก็ขออโหสิกรรมด้วยในวันนี้ แต่วันหน้าอย่าทำอีกแล้วกัน เลือกตั้งปีหน้าห่วงรัฐบาลที่จะเข้ามาปกครองประเทศจะเป็นอย่างไร ถ้าทุกว่าคิดว่าได้ ผมก็รับได้เสมอเพราะทุกคนเป็นห่วงประเทศ เรากำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศ หลายๆ อย่างจึงไม่จำเป็นต้องทำตามต่างประเทศ”
ส.ว. มีส่วนเลือกนายกฯ ขอแค่นี้ได้ไหม เผยยังไม่ไว้ใจรัฐบาลหน้า
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงคำถามพ่วงประชามติที่ให้ ส.ว.เลือกนายกฯ ได้ โดยบอกว่าผู้ที่มีสิทธิเสนอชื่อนายกฯ คือ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง และให้ ส.ว.มีส่วนร่วมในการประชุมและลงความเห็น แล้วมันเกี่ยวกับคนนอกตรงไหนเพราะยังมีความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจในรัฐบาลหน้า แค่นี้ ก็ขอแค่นั้นทำได้ไหม ส.ว.ไม่ได้เสนอเอง หรือจะให้ทำงานภายใต้คนไม่ดีมาปกครอง ถ้าคิดว่าทำประเทศชาติให้ปลอดภัยก็เสนอคนดีเข้ามาบริหารประเทศ
แนะสงกรานต์อย่าแต่งโป๊ ให้ดูอย่างเกาหลีไม่เห็นมีโป๊เลย จูบกันยังไม่มีให้เห็น
ต่อมาเวลา 09.00 น. ที่บริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 นาวาโทหญิง แพทย์หญิงอุบลวัณณ์ จรูญฤทธิ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทย นำดารานักแสดงเข้าพบนายกฯ เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการ “แล้งนี้ ไม่แล้งน้ำใจ ด้วยการให้โลหิต” พร้อมนำกระบอกฉีดน้ำให้นายกฯ ฉีดเนื่องในวันสงกรานต์ โดยนายกฯได้ฉีดน้ำใส่สื่อมวลชนและดารานักแสดง และระหว่างนั้นนายกฯ กล่าวด้วยว่า ไม่มีฝ่าย ไม่มีพวกกันอีกต่อไป ขอให้ทุกคนมีความสุข ตนก็ทำเพื่อทุกคน ขอให้ทุกคนช่วยกันหน่อย และขอให้สงกรานต์นี้เป็นสงกรานต์ที่มีความสุข เพราะจะเป็นปีที่เรามีความสุขที่สุด เพราะกว่า 10 ปีแล้วที่ประเทศไทยไม่มีความสุขที่แท้จริง เพราะฉะนั้นอยู่ที่พวกเราทุกคนที่จะช่วยกันทำ ไม่ใช่ตนคนเดียว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อย่างดาราที่มาวันนี้เขาก็ไม่แต่งตัวโป๊ เราต้องแต่งตัวให้ดูดี แต่งชุดไทยบ้างก็สวยดี สำหรับการแสดงก็ว่ากันไป คนที่ดูก็ชินแล้ว มันต้องเป็นแบบนี้คนถึงจะดู แต่ความจริงทุกคนรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นวัฒนธรรมไทย ไปเปิดดูเกาหลีทำไมเขาไม่แต่งโป๊ ก็ถือว่าแปลกนะ บางครั้งเขาแทบไม่จูบกันเลย ซึ่งก็ดูน่ารัก ตนบอกแล้วว่าผู้หญิงเปรียบเสมือนท็อปฟี่หรือขนมหวานที่ต้องมีห่อ หากเราเอาขนมมาขายแล้วเปิดห่อทั้งหมดก็คงไม่มีใครอยากกิน มันต้องอยู่ในห่อแล้วจะน่าสนใจ พอเห็นแล้วน่ากินจึงค่อยเปิดดู ส่วนที่เปิดหมดแล้วมันก็ไม่น่าสนใจ ส่วนคนที่ไม่เปิดก็โชคดีไป นายกฯ ยังพูดหยอกด้วยว่า แต่กลับบางคนห่อมาหลายปีแล้วขายไม่ออก