วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559

'จ่านิว' เผยทหารบุกบ้านตนขณะยายอยู่เพียงลําพัง พร้อมหยิบตั๋วรถไฟที่สะสมไปกว่าพันใบ


'จ่านิว' เผยทหารบุกบ้านตนขณะยายอยู่เพียงลําพัง พร้อมหยิบตั๋วรถไฟที่สะสมไปกว่าพันใบ พร้อมขู่ให้มอบตัวดี ระบุถ้าจับได้จะไม่ให้ประกัน เจ้าตัวและเพื่อนยันยอมถูกจับ เชื่อการตรวจสอบโครงการของรัฐไม่ใช่สิ่งผิด 
14 ม.ค. 2559 จากกรณีศาลทหารอนุมัติหมายจับนักศึกษานักกิจกรรมรวม 6 คนที่ทำกิจกรรม “นั่งรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์ ส่องหากลโกง” เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 58 ในข้อหา ขัดคำสั่งคสช.ที่ 3/2558 มั่วสุมชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คนขึ้นไป (อ่านรายละเอียด)
ล่าสุดวันนี้(14 ม.ค.59) เมื่อเวลา 15.42 น. ที่ผ่านมา สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว หนึ่งในผู้ถูกออกหมายจับ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'Sirawith Seritiwat' ในลักษณ์สาธารณะว่า "ทหารบุกมาบ้านผมอีกแล้ว เมื่อประมาณ 15:00น. ไม่ทราบหน่วยสังกัด 5-6คน ซึ่งยายผมอยู่บ้านคนเดียว ขอเข้าไปค้นในบ้าน โดยที่ไม่มีหมายค้น ยายผมคนเดียวก็ขวางไม่ได้ และขู่ว่า บอกให้หลานไปมอบตัวดี ถ้าจับได้จะไม่ให้ประกัน และเอา ตั๋วรถไฟที่่ผมสะสมไว้ กว่าพันใบไป บอกว่าจะเอาไปทำรายงาน"
สิรวิชญ์ ให้สัมภาษณ์ประชาไทว่า เขาได้รับทราบข่าวจากทางบ้านว่าทหารเข้าไปค้นบ้านขณะที่ยายอยู่บ้านเพียงลำพัง ยายตกใจมากแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนหรือขอดูหมายศาลเนื่องจากไม่มีความรู้ทางกฎหมาย เจ้าหน้าที่ได้ยึดตั๋วรถไฟของสะสมของเขาไป พร้อมข่มขู่ยายเพื่อกดดันให้เขาไปมอบตัวดังที่เขาได้เขียนเล่าไปในเฟซบุ๊ก
อย่างไรก็ตาม เขาและเพื่อนๆ รวม 6 คนที่ถูกออกหมายจับยืนยันว่าจะไม่ไปเข้ารับทราบข้อกล่าวหาเนื่องจากเชื่อว่าการตรวจสอบโครงการของรัฐไม่ใช่สิ่งผิด
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ผู้ถูกออกหมายจับจำนวน 6 คนส่วนใหญ่เพิ่งจบการศึกษา โดยมีสิรวิชญ์เพียงคนเดียวที่ยังศึกษาอยู่ปีสุดท้าย และจะเปิดเรียนในวันที่ 18 ม.ค.นี้ “ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง พวกเราก็ได้แต่ยืนยันว่าจะไม่ไปรายงานตัวตามที่เคยแจ้งไป ก็หวังว่าคงไม่กระทบการเรียนเพราะเป็นเพียงข้อกล่าวหาเบื้องต้น หากจับกุมก็ต้องไปฝากขังเป็นผัดๆ ไป” สิรวิชญ์กล่าว
“อ้อ ตั๋วรถไฟ ผมสะสมไว้ พอดีผมเป็นคนเดินทางโดยรถไฟเยอะมากก็เลยเก็บตั๋วสะสมไว้เรื่อยๆ” สิรวิชญ์ กล่าว
ภาพตั๋วรถไฟ ซึ่งเพจ Fahroong Srikhao ฟ้ารุ่ง ศรีขาว ระบุว่าถ่ายไว้เมื่อ 6 ธ.ค ที่ผ่านมา

วอนประยุทธ์รับผิดชอบหลังปลูก 'หมามุ่ย' แล้วขายไม่ได้ ตามที่ขายฝันไว้


จากกรณีที่ราคายางพาราตกต่ำ แนวคิดหนึ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาตินำมาเสนอชาวสวนยางคือการหาพื้ชอื่นปลูกเสริมหรือทดแทน เช่น กล้วย และสตอเบอรี่ โดยก่อนหน้านั้นเมื่อ 8 ก.ค. 58 พล.อ.ประยุทธ์ ได้เคยเสนอให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชสมุนไพร โดยระบุว่าในเมื่อเราไม่สามารถปลูกข้าวได้ ก็จะให้กระทรวงสาธารณสุข เข้าไปดูแลว่าจะปลูกพืชสมุนไพรได้หรือไม่ โดยจะนำภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน สร้างโรงงานเพิ่ม
“วันนี้เราขายหมามุ่ยได้กิโลกรัมละกว่า 800 บาท หมามุ่ยอินเดียนะ เพราะฝักมันใหญ่ เอามาปลูกแล้วขายกิโลกรัมละ 800 บาท  แต่ตอนเขาเอาไปทำแล้วกลับมาเป็นยาหรือเป็นวัตถุดิบที่สำเเร็จรูปแล้ว กลับมาเป็นกิโลกรัมละ 8 หมื่นบาท 10 เท่าน่ะ แล้วทำไมยังโง่ปลูกอย่างอื่นอยู่ ที่มีกำไรเพียงพันบาท สองพันบาท แต่เราต้องควบคุมนะ จะทำอะไรก็ตามมันต้องมีดีมานด์ และซับพลายที่มันสมดุล ถ้าซับพลายการผลิตมากกว่าการตลาด มันก็เหลือล้นคลัง มันเป็นภาระของรัฐบาล มีต้นเหตุของการรั่วไหล ต้นเหตุของการใช้ประชานิยม แต่ข้าวยังดีอยู่นะ ข้าวที่เสียเป็นเรื่องรัฐบาลที่แล้วรับผิดชอบ เป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกวิธีก็แล้วกันนะ เป็นความคิดคนละอย่างกัน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในครั้งนั้น
ร้องประยุทธ์ เจ้าของไอเดียปลูกหมามุ่ย ช่วยหาตลาด หลังปลูกแล้วขายไม่ได้
อย่างไรก็ตามแนวคิดของ พล.อ.ประยุทธ์ ดังกล่าวเริ่มประสบปัญหา ล่าสุดวานนี้ (14 ม.ค.59) ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า ที่ จ.อำนาจเจริญ ได้มีนายสุนทร ลำงาม อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 47 ม. 9 ต.คำโพน อ.ปทุมราชวงศา จ.อำนาจเจริญ และเพื่อนเกษตรกรอีก 3 คน ได้เข้าพบผู้สื่อข่าวไทยรัฐเพื่อร้องทุกข์ผ่านไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ ให้ช่วยแก้ปัญหาหมามุ่ยที่พวกตนได้ปลูกทดแทนยางพาราที่ราคาตกต่ำตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี ขณะนี้หมามุ่ยที่ปลูกสามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว แต่ไม่มีตลาดรองรับ กล่าวคือปลูกได้ผลผลิตแล้วแต่ขายไม่ได้ จึงวอนให้นายกฯ หรือรัฐบาลหาตลาดให้ ตามที่เคยแนะนำเกษตรกรไว้
นายสุนทร กล่าวว่า เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 57 พวกตนได้รับการชักชวนจากญาติๆ ว่า มีบริษัท บ้านไร่เกษตรฯ สำนักงานตั้งอยู่ ต.ขามเปี้ย อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรที่ปลูกยางพาราแต่ราคาตกต่ำ ให้หันมาปลูกหมามุ่ยแทนซึ่งมีรายได้สูง กก.ละ 2,000 บาท หรือ 150,000 ต่อไร่ ประกอบกับต่อมา นายกรัฐมนตรี ได้พูดออกทีวี สนับสนุนให้เกษตรกรปลูกพืชสมุนไพร ยกตัวอย่างหมามุ่ยเมื่อส่งไปประเทศอินเดียแปรรูปแล้วมีมูลค่าสูงขึ้นหลายเท่า พวตนจึงได้ตกลงใจสมัครเป็นสมาชิก และทำหนังสือสัญญาแรกเข้ารายละ 4,900 บาทกับทางบริษัท ซึ่งให้เมล็ดพันธุ์หมามุ่ยคนละ 300 เม็ดพร้อมกับยา จากนั้นได้ลงทุนเตรียมแปลงปลูก ทำร้าน และซื้อปุ๋ยอินทรีย์ เพราะต้องการให้เมล็ดปลอดสารพิษ รวมค่าใช้จ่าย ตกไร่ละ 3-4 หมื่นบาท
เกษตรกรผู้ปลูกหมามุ่ย กล่าวอีกว่า ทางบริษัทฯรับปากว่า หากไม่มีตลาดทางบริษัทยินดีรับซื้อทั้งหมด แต่เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวจริงๆ ได้ติดต่อไปทางบริษัท ปรากฏว่าไม่รับแม้แต่โทรศัพท์ ทำให้คิดว่าพวกตนน่าจะถูกหลอก จึงได้รวมตัวกันเข้าพบผู้สื่อข่าว เพื่อวอนไปถึงนายกรัฐมนตรี ให้ช่วยเหลือหาตลาดให้ เพราะเรื่องนี้นายกฯเคยแนะนำไว้กับเกษตรกรทางโทรทัศน์
สุรพงษ์ หวังประยุทธ์รับผิดชอบไอเดีย
ขณะที่วันนี้ (15 ม.ค.59) มติชนออนไลน์ รายงานว่า นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกฯ กล่าวว่า รู้สึกสงสารชาวสวนยางที่จังหวัดอำนาจเจริญ หันไปปลูกพืชเสริมในสวนยางตามคำแนะนำของท่านนายกฯประยุทธ์ที่ออกมาพูดเสียงดังฟังชัดผ่านสื่อโทรทัศน์โชว์วิสัยทัศน์ความเป็นผู้นำว่าให้เกษตรกรหันมาปลูกหมามุ่ย เพราะราคาดีและเขาเอาไปทำเป็นยาสมุนไพรจะมีรายได้ดีเป็นอาชีพเสริมก็ปรากฏว่าพี่น้องชาวสวนยางทำตามที่พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แนะ ผลก็ปรากฎว่าผลผลิตออกมากลับขายไม่ได้ คนที่จะรับซื้อก็ไม่มี ชาวสวนยางอำนาจเจริญจึงออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลดูแล หวังว่าพล.อ.ประยุทธ์คงจะต้องสั่งการให้กระทรวงเกษตรฯดูแลโดยอาจจะเข้าไปรับซื้อช่วยพยุงราคาหมามุ่ยให้แก่เกษตรกร

นายสุรพงษ์กล่าวว่า อยากขอให้นายกฯเร่งดำเนินการเตรียมการเข้าให้ความช่วยเหลือสินค้าเกษตรชนิดอื่นๆ ที่ราคาผลผลิตตกต่ำสร้างความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรเอาไว้ให้พร้อมด้วยเพื่อเข้ารับซื้อแทรกแซงราคาและซื้อนำตลาด โดยใช้หลักเกณท์เช่นเดียวกันกับที่รัฐบาลได้ให้ความช่วยเหลือชาวสวนยางเป็นบรรทัดฐานเดียวกันด้วย กล่าวคือยางแผ่นกิโลกรัมละ 33 บาทรัฐบาลตกลงรับซื้อในราคา 45 บาทต่อกิโลก็เท่ากับว่ารัฐบาลรับซื้อในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดถึง 36% ก็อยากเห็นรัฐบาลประยุทธ์ช่วยรับซื้อผลผลิตการเกษตรทุกชนิดด้วยหลักเกณท์เดียวกันเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมโดยเฉพาะข้าวเปลือกจากชาวนาด้วย ซึ่งขณะนี้ราคาข้าวเปลือกตกตันละ6,000-7,000 บาท เท่านั้น ซึ่งถ้ารัฐบาลช่วยรับซื้อในราคานำตลาดที่สูงกว่า 36% เหมือนราคายาง ชาวนาก็จะได้ราคาข้าวตันละ 8,160-9,520 บาท เชื่อได้ว่าถ้าได้แบบนี้ชาวนาก็น่าจะอยู่ได้ไม่เดือดร้อน ในปีนี้ก็จะมี อ้อย มันสำปะหลัง ลำใย และ มะนาว ซึ่งมะนาวท่านนายกฯก็แนะนำให้ปลูกกินเองทุกครัวเรือน ปีนี้ผลผลิตล้นตลาดราคาก็คงตกต่ำแน่นอน ชาวสวนมะนาวเดือดร้อนอีกแน่นอน ก็อยากฝากถึงท่านนายกฯว่าการเป็นผู้นำพูดอะไรต้องระมัดระวัง เพราะคนจะเชื่อคำพูดท่านนายกฯแล้วปัญหาก็อาจตามมาในภายหลังได้เช่น เรื่องหมามุ่ย และมะนาว เป็นต้น

ตร.ขอ 'จ่านิว' นึกถึงครอบครัว-สถานภาพนักศึกษา เข้ารับทราบข้อหาแต่โดยดี


หลังจากวานนี้ (14 ม.ค.59)  สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว หนึ่งในผู้ถูกออกหมายจับในคดีทำกิจกรรม “นั่งรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์ ส่องหากลโกง” เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 58 ในข้อหาขัดคำสั่งคสช. ที่ 3/2558 มั่วสุมชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คนขึ้นไป (อ่านรายละเอียด) โดย สิรวิช ระบุว่า ทหารบุกมาบ้านตนอีก โดยไม่ทราบหน่วยสังกัดประมาณ 5-6คน ซึ่งยายตนอยู่บ้านคนเดียว พร้อมขอเข้าไปค้นในบ้าน ทั้งที่ไม่มีหมายค้น รวมทั้งขู่ว่า บอกให้หลานไปมอบตัวดี ถ้าจับได้จะไม่ให้ประกัน  นอกจากนี้ยังมีการนำตั๋วรถไฟที่่ตนสะสมไว้ กว่าพันใบไปด้วย โดยระบุว่าจะเอาไปทำรายงาน
ล่าสุดวันนี้ (15 ม.ค.59) มติชนออนไลน์ รายงานว่า พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีการติดตามจับกุม สิรวิชญ์ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือ จ่านิว กับพวกรวม 6 คนนั้น ตำรวจมีการสืบสวน เพื่อติดตามตัวมารับทราบข้อกล่าวหา และยืนยันว่า การเคลื่อนไหวของจ่านิวและพวก ขัดกฎหมายต่อความมั่นคง เนื่องจากการเคลื่อนไหวดังกล่าว มีเจตนาของการเมืองแอบแฝง และฝากไปยังจ่านิว ให้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหา คำนึงถึงครอบครัว และสถานภาพการเป็นนักศึกษา

Anonymous ปล่อยฐานข้อมูลที่แฮกจากเว็บศาลไทย


15 ม.ค. 2559 เว็บข่าวไอที Sofepedia รายงานว่า หลังกลุ่มแฮกเกอร์ Anonymous ประกาศปฏิบัติการ #BoycottThailand เพื่อประท้วงคำพิพากษาคดีเกาะเต่า และมีการถล่มเว็บไซต์ศาลไทยหลายแห่งด้วยการโจมตี DDos เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ล่าสุด เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา กลุ่ม Blink Hacker Group หนึ่งในกลุ่ม Anonymous ได้ปล่อยฐานข้อมูลขนาด 1.09 กิกะไบต์ โดยระบุว่าข้อมูลนี้ได้จากการแฮกเว็บศาลฎีกาของไทยเมื่อวันก่อน โดยเป็นข้อมูลเกี่ยวกับระบบการจัดการภายใน เช่น เงินเดือน เงินบำนาญ งบประมาณและการวางแผน และระบบคดีอาชญากรรม

สตช.เล็งทบทวนใช้ "ซิงเกิลเกตเวย์" หลังถูกแฮกเว็บบ่อย
วันเดียวกัน มติชนออนไลน์ รายงานว่า พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยอมรับ ทราบตัวแฮกเกอร์ที่แฮกเว็บไซต์ของศาลยุติธรรมแล้ว ซึ่งพบว่า เป็นกลุ่มที่มีการกระทำผิดจากต่างประเทศ โดยตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. อยู่ระหว่างรอสำนักงานศาลยุติธรรม เข้าแจ้งความร้องทุกข์ พร้อมเชื่อว่า เจตนาของกลุ่มแฮกเกอร์ ต้องการแสดงตัวและประกาศศักดาในโลกไซเบอร์ โดยอาศัยคดีเกาะเต่าสร้างชื่อเสียง แต่ยังไม่ยืนยันว่า กลุ่มแฮกเกอร์ดังกล่าว เป็นกลุ่มสัญชาติเมียนมาหรือไม่
ส่วนมาตรการป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำกับหน่วยงานราชการเป็นครั้งที่ 3 ตำรวจ ปอท. และหน่วยงานด้านความมั่นคง ก็มีการทบทวนและให้ความรู้ผู้ปฏิบัติเกี่ยวกับวิธีการแฮกเกอร์ และวิธีการโจมตี พร้อมยอมรับว่า อาจมีความจำเป็นต้องทบทวนแนวคิดการนำระบบซิงเกิลเกตเวย์มาใช้เพื่อความมั่นคง

กมธ.ปฏิรูปสื่อ ขอความร่วมมือ Google หาทางเล่นงานสื่อออนไลน์ที่ไม่เหมาะสม

 
15 ม.ค. 2559 นายอภิชาต จงสกุล โฆษกกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการสื่อสารมวลชน แถลงว่า กรรมาธิการฯ ได้เชิญตัวแทนบริษัท Google จากสหรัฐฯและสิงคโปร์ ที่ดูแลภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก มาร่วมพูดคุยเรื่องแนวทางมาตรการป้อนกัน และแนวทางการแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการใช้สื่อออนไลน์ และการส่งเสริมการใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์ในประเทศไทย ซึ่งกรรมาธิการฯ พบว่ากูเกิ้ลมองประเทศไทยในปัจจุบันว่า มีความก้าวหน้าเรื่องDigital Economy และ Smart Phone ก็กำลังเติบโต ทำให้การเข้าถึงแหล่งข้อมูลง่ายและรวดเร็วมากขึ้น
 
“กรรมาธิการฯ จึงได้ขอความร่วมมือจากกูเกิ้ล เพื่อทำให้ผู้ที่ใช้สื่อออนไลน์ในประเทศไทยได้รับประโยชน์ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการใช้งานอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งกูเกิ้ลก็เข้าใจสังคมและวัฒนธรรมของประเทศไทย และจะมีการดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่ใช้สื่อออนไลน์ไปในทางที่ไม่เหมาะสม และกูเกิ้ลจะมีโครงการความร่วมมือกับรัฐบาลไทย เพื่ออบรมให้นักเรียนรู้เท่าทันสื่อ รวมทั้ง อบรมให้นักศึกษารู้จักการทำตลาดแบบออนไลน์อีกด้วย” นายอภิชาต กล่าว
 
นายอภิชาต กล่าวว่า ขณะเดียวกัน กรรมาธิการฯ ยืนยันว่า จะเร่งแก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ให้มีความทันสมัย และไม่เป็นอุปสรรค์ต่อการดำเนินธุรกิจ โดยไม่ให้กระทบสิทธิและเสรีภาพในการใช้สื่อออนไลน์