วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559

ทหารเผยจะใช้เวที 'อำเภอ-หมู่บ้าน' แจง 'โรดแมป คสช.-ร่าง รธน.' ทุกเดือน


ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 เผยวิธีการการสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องต่อประชาชนในเรื่องร่างรัฐธรรมนูญและโรดแมปของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ว่าจะใช้เวทีอำเภอซึ่งจัดประชุมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงเวทีหมู่บ้านที่ประชุมลูกบ้านทุกเดือน ยืนยันยังไม่เคยปรากฎว่ามีใครให้ข้อมูลว่าทหารเข้าไปล้างสมองชาวบ้าน
 
2 ธ.ค. 2559 สำนักข่าวไทยรายงานว่า พล.ต.ธรรมนูญ วิถี ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) กล่าวถึงการสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องต่อประชาชนในเรื่องร่างรัฐธรรมนูญและโรดแมปของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่าจะใช้เวทีอำเภอซึ่งจัดประชุมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงเวทีหมู่บ้านที่ประชุมลูกบ้านทุกเดือน  เป็นเวทีหลักทำความเข้าใจประชาชนเพราะเป็นเวทีที่มีอยู่แล้ว โดยจะส่งเจ้าหน้าที่ไปร่วมด้วย  แล้วขอใช้เวลาในการชี้แจง หรือทำความเข้าใจเรื่องรัฐธรรมนูญ และกรอบเวลาการทำงานต่าง ๆ ของ คสช. และรัฐบาล รวมถึงรับทราบปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
 
เมื่อถามว่าวิธีดังกล่าวเป็นการแทรกแซงกระบวนการคิดของชาวบ้านหรือไม่ พล.ต.ธรรมนูญ กล่าวว่า เป็นการใช้เวทีที่ดำเนินการอยู่แล้ว โดยทหารเข้าไปมีร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง คือ อำเภอ หมู่บ้าน จึงไม่ใช่เป็นการแทรกแซง เมื่อถามว่าฝ่ายตรงข้าม คสช.และรัฐบาล อาจกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่เข้าไปล้างสมองชาวบ้าน ผบ.พล.ร.9 กล่าวว่า ด้วยเนื้อหาที่ชี้แจง ทำความเข้าใจ หรือการเข้าไปรับทราบปัญหาพี่น้องประชาชนก็จะทราบดีว่า เราตั้งใจและจะทำให้เกิดรูปธรรมจริง เข้าไปช่วยเหลือประชาชนจริง
 
“เราไม่พูดในเรื่องที่ก่อให้เกิดความแตกแยก แต่เน้นเรื่องที่สร้างความสมัครสมานสามัคคี ยังไม่เคยปรากฎว่ามีใครให้ข้อมูลว่าทหารเข้าไปล้างสมองชาวบ้าน” พล.ต.ธรรมนูญ กล่าว

ป้าลุงยังจำได้ไหม : ส่องประยุทธ์เคยประกาศจัดการอารมณ์ตัวเองมากี่ครั้ง


หลัง 'ประยุทธ์' ประกาศผ่านรายการคืนความสุขฯ เทปแรกของปี 59 ว่าจะปฏิรูปอารมณ์ตัวเอง จะเป็น Good Guy ทบทวนพบเคยประกาศมาแล้วหลายครั้ง ทีเด็ดประกาศเลิกเป็นคนขี้โมโห เพียง 1 วันให้หลังโมโหอีก
จากกรณีที่วานนี้(1 ม.ค.59) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวตอนท้ายในรายการคืนความสุขฯ ว่าจะปฏิรูปอารมณ์ตัวเอง โดยตั้งใจจะเป็น Good Guy
"ปีหน้าผมก็จะให้ของขวัญตัวเองเหมือนกัน ปีหน้าผมจะพูดให้น้อยลง หงุดหงิดน้อยลง ทะเลาะกับนักข่าวน้อยลง ต้องทำตัวเป็น Good Guy แล้ว ไม่ได้แล้ว 2 ปี แล้ว ที่ผมดุเดือดหน่อย 2 ปีเพราะว่าเป็นช่วงเริ่มต้น เพราะฉะนั้นช่วงปีต่อไปเป็นเรื่องการปฏิรูป ผมบอกแล้วทุกอย่างต้องเริ่มจากตัวเองก่อน ผมปฏิรูปตัวผมเองด้ว" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
อย่างไรก็ตามการพูดถึงการจัดการกับอารมณ์ตัวเองของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น ไม่ใช่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ในโอกาสนี้จึงขอย้อนกลับไปทบทวนการพูดในลักษณะดังกล่าวดังนี้ 

25 ธ.ค.58 : วันนี้จะพูดแรงครั้งสุดท้ายแล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งในการปิดการแถลงสรุปผลการดำเนินงานของรัฐบาลรอบ 1 ปี เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.58 ว่า
“ไม่ใช่ว่าผมเก่งกว่าท่าน แต่ว่าผมเป็นคิดและเก็บทุกประเด็น วันนี้ผมถึงไม่ค่อยสบายเพราะโมโหนี้เหละ แล้ววันนี้จะพูดแรงครั้งสุดท้ายแล้วนะ ตั้งใจ เพราะเดี๋ยวจะปีใหม่ ปีหน้าจะให้รองนายกฯ มาดุแทน ผมก็จะยิ้มอย่างเดียว เพราะพูดมาเยอะแล้ว พูดมา 2 ปีแล้ว พูดจนลมเข้าท้องแล้ว พูดจนผอม เอาไปทำตามกันหน่อย เอาไปคิดกันหน่อย และอย่างไปสร้างความขัดแย้ง เราจะไม่แบ่งคนไทยให้เป็นซ้าย เป็นขวาอีกแล้ว เราต้องให้คนไทยมาอยู่ตรงกลางให้ได้ มากบ้าง น้อยบ้าง ช่างเขาเถอะ จะสีไหนๆ ก็เอากลับมา เพราะมันฆ่ากันไม่ได้ทั้งหมดให้กฎหมายทำงานไป จะเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ถ้าไปเร่งทุกอย่างก็กลับมาที่เดิม ขอเพียงแต่เอาเข้ากระบวนการให้มันถูกต้องตามขั้นตอน”
(มติชนออนไลน์, 26 ธ.ค.58)

6 พ.ย. 58 :  ธรรมดาผมทหารเก่า

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนท้ายในรายการคืนความสุขฯ เมื่อวันที่ 6 พ.ย.58 ว่า
"วันนี้อาจจะพูดหนักนิด เบาหน่อยบ้าง ก็ขอโทษด้วย บางครั้งก็ดูผมอาจจะขี้โมโหไปบ้าง ก็ธรรมดาผมทหารเก่า"
(ประชาไท, 6 พ.ย.58)

28 ต.ค.58 : พูดเรื่องนี้ไม่ได้ โมโห

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งในที่ประชุมแม่น้ำ 5 สาย เมื่อวันที่ 28 ต.ค.58 ว่า
“แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ผมเรียกมาปรับทัศนคติ ก็มีคนบอกว่าทำผิด ดังนั้นหากพบคนผิด ก็ไม่ต้องเรียกตัวอีก จับติดคุกไปเลยดีหรือไม่ ส่วนที่เรียกมาปรับทัศนคติ แล้วบอกว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน แล้วปล่อยให้เป็นพ่อหรือไง แบบนี้บ้านเมืองเสียหายกันหมด พูดเรื่องนี้ไม่ได้ โมโห”
(ประชาไท, 28 ธ.ค.58)

15 ก.ย.58 : ขี้เกียจโมโห

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งในการแถลงหลังการประชุม ครม. ว่า
“ผมคิดว่าผมก็ทำดีที่สุดแล้วล่ะ ผมไม่ได้ต้องการมีอำนาจ ต้องการอะไรต่างๆ ผมขาดทุนลงทุกวันนะ ผมขาดทุนอะไรรู้ไหม เพราะผมไม่ได้ผลประโยชน์อยู่แล้ว แต่ขาดทุนของผมคือขาดทุนชื่อเสียงผมถูกทำลายโดยคนใส่ร้ายป้ายสีผมเยอะพอสมควร ต่อต้านอะไรไม่รู้ มันชอบพูดเรื่องที่มันไม่ใช่เรื่อง ผมก็ขี้เกียจโมโหนะ นี่ผมขาดทุนแล้วนะ สองผมขาดทุนในเรื่องชีวิตผม ความปลอดภัยของผมก็ขาดทุนนะสามคือขาดทุนที่ผมจะไปพักผ่อนของผมเวลาผมก็น้อยลงไปเรื่อยๆ ในการทำงานแบบนี้นะ ความกดดันก็สูง แล้วผมจะได้พักผ่อนเมื่อไหร่ แต่ทั้งนี้ผมก็จำเป็นต้องทำนะ เพื่อรักษาสถานการณ์ให้ได้และเดินหน้าประเทศให้ได้วางพื้นฐานให้ได้ เพราะอะไร เพราะว่าผมคิดแต่เพียงว่าผู้ได้รับกำไรต้องเป็นประชาชน ประชาชนเป็นผู้ได้รับกำไรจากที่ผมได้ขาดทุนไปแล้วนี่” 
(ประชาไท, 15 ก.ย.58)

4 ก.พ.58 : แกล้งหงุดหงิด ไม่ได้หงุดหงิดจริง

เมื่อวันที่ 4 ก.พ.58 พล.อ.ประยุทธ์  ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า แม่น้ำ 5 สาย (คสช.-ครม.-สนช.-สปช.-กมธ.ยกร่าง) ได้เป็นห่วงอารมณ์ของท่านนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า
"ผมเป็นคนอารมณ์ดีจะตาย ผมเป็นคนอารมณ์ดีนะจริงๆ แล้ว ผมเป็นคนตลก ก็ไม่เห็นเหรอเวลาผมตลกมา คุณก็ตลกผมตลอดอะ เวลาผมเสียงดังผมก็แกล้งก็ได้ ส่วนใหญ่ผมจะแกล้งนะเวลาหงุดหงิด แกล้งหงุดหงิด ไม่ได้หงุดหงิดจริง แต่อย่าทำบ่อยแล้วกัน อย่าแหย่บ่อย”
(Voice TV, 4 ก.พ.58

27 มี.ค.58 : จะไม่ให้ผมโมโหมีอารมณ์รุนแรงได้อย่างไร

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งในรายการคืนความสุขฯ วันที่ 27 มี.ค.58 ว่า
"..บางสื่อก็คุมไม่ได้ อะไรไม่ได้ เขียนไปเรื่อย แล้วจะไม่ให้ผมโมโหมีอารมณ์รุนแรงได้อย่างไร.."
(ประชาไท, 27 มี.ค.58)

30 มี.ค.58 : ยอมรับว่าผมเป็นคนขี้โมโห แต่ตอนนี้ผมพยายามที่จะหยุด

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว ภายหลังเป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า เมื่อวันที่ 30 มี.ค.58 ว่า
“ผมเตือนตัวผมเอง เพราะว่าผมปวดหัวไง พูดแล้วโมโหก็ปวดหัว เส้นโลหิตมันจะแตกเดี๋ยวตายก่อน ยอมรับว่าผมเป็นคนขี้โมโห แต่ตอนนี้ผมพยายามที่จะหยุด เพราะน้องๆ น่ารักทุกคน”
(ประชาชาติธุรกิจออนไลน์, 30 มี.ค.58

19 ม.ค.58 : กำไลหินสีของลูกสาวก็ช่วยไม่ได้

เมื่อวันที่ 19 ม.ค.58 พล.อ.ประยุทธ์ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามถึงกำไรข้อมือที่ใส่เป็นเคล็ดอะไรว่า กำไรหินสี ลูกสาวซื้อให้ใส่ เขาเชื่อว่าหินมันเย็น ใส่แล้วอารมณ์จะเย็นลง แต่ไม่เห็นจะเย็น อารมณ์เสียแต่เช้า (มติชนออนไลน์, 19 ม.ค.58)

25 ธ.ค.57 : โมโห ทำให้เสียกริยา เสียมาดผู้นำหมด 

พล.อ.ประยุทธ์ วิจารณ์การทำงานของสื่อมวลชน ในวาระครบรอบ 3 เดือน เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 57 ว่า
"ผมอดทนมานาน เป็นไร บ้าหรือไง ไม่ว่าใครเป็น ด่าทั้งหมด แล้วมันจะดีตรงไหนวะ ผมไม่อยากอ่าน อ่านแล้วมันโมโห ทำให้เสียกริยา เสียมาดผู้นำหมด คราวนี้ผมจะปิดจริงๆ ไม่งั้นจะมีกฎอัยการศึกไว้ทำไม มาตรา 44 ใช้ในทางสร้างสรรค์ ผมยังไม่เคยเอาใครมาติดคุกสักคน"
(ประชาไท, 25 ธ.ค.57)

2 ธ.ค.57 : ตั้งใจว่าต่อไปนี้จะเลิกเป็นคนขี้โมโห ให้หลัง 1 วันโมโหอีก

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวภายหลังการประชุม ครม. เชิญชวนประชาชนทำดี เนื่องในเดือนมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเตรียมเข้าสู่ปีใหม่ 2558 เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.57 ว่า
"ตั้งใจว่าต่อไปนี้จะเลิกเป็นคนขี้โมโห จะเป็นคนพูดจาเพราะๆ ไม่พูดจาเสียหาย กำลังคิดกำลังทำอยู่ น้องๆ (ผู้สื่อข่าว) เองก็จะไม่กวนโมโหอีก"
ขณะที่หลังจากนั้นเพียง 1 วัน คือวันที่ 3 ธ.ค.57 พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงสื่อบางฉบับด้วยว่า "ตอนนี้ไม่อ่านแล้วบางอันก็ขี้เกียจ อ่านแล้วโมโห ไม่อ่านดีกว่า" 
(ไทยรัฐออนไลน์, 5 ม.ค.58)

28 พ.ย.57 : ไม่ทำอะไรด้วยความโมโห 

พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์กรณีถึงการเปลี่ยนรูปแบบรายการคืนความสุข ว่า
"ผมไม่ได้ให้ใครมาชอบ ผมเพียงแต่ต้องการให้ได้ฟังว่าสิ่งที่พูดเคยมีใครพูดบ้างหรือไม่ ก็ไม่มี ผมเลยต้องพูดนานก็ยังมีคนไม่ฟังอีก จะให้บอกว่าทุกเรื่องทำแล้วเสร็จวันนี้พรุ่งนี้ไม่มีทาง ไว้รอชาติหน้าเถอะ ที่พูดมาไม่ได้บ่น เหนื่อย โมโหแต่ก็ทำเหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะคนคาดหวัง มันก็กดดัน ทั้งตัวเองและคนอื่น ผมไม่ใช่พระอิฐ พระปูน แต่ผมไม่ทำอะไรด้วยความโมโห ทหารเป็นเช่นนี้แม้โมโหก็จะมีสติมากกว่าเดิม ถ้าไม่โมโห สติจะไม่ค่อยมี เวลาโมโหต้องควบคุมตัวเองให้ได้ แต่ปฏิกิริยาอาการออกได้ อยู่กับทหารเป็นแบบนี้ แต่ต้องรอบคอบ แม้โมโหจะอะไรใครสักคนจะต้องระมัดระวัง"
(มติชนออนไลน์, 28 พ.ย.57)

3 พ.ย.57 : วันนี้ก็เย็นลงไปเยอะแล้ว 

พล.อ.ประยุทธ์ ได้พูดถึงอารมณ์ของตัวเองที่โมโหเร็วด้วยว่า
"ผมพยายามคุยอย่างเต็มที่ พูดกับพวกเราอย่างใจเย็นที่สุดแล้วนะ เพราะว่าผมก็รู้อะนะว่าผมค่อนข้างจะโมโหเร็ว วันนี้ก็เย็นลงไปเยอะแล้ว เพราะผมมองประเทศชาติเป็นหลักนะ"

25 ก.ย.57 : ถ้าโมโหแรงกว่านี้

ช่วงที่มีการปะทะกับ นางยุวดี ธัญญสิริ หรือเจ๊ยุ ผู้สื่อข่าวอาวุโส ซึ่งเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องปรับตัวด้วย เมื่อวันที่ 25 ก.ย.57 นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวด้วยว่า  ก็จะต้องปรับทั้งสองฝ่าย ปรับให้ตนด้วย อย่าให้ตนปรับคนเดียว วันนี้ตนยังไม่ได้โมโหเลย ถ้าโมโหแรงกว่านี้  (ไทยรัฐออนไลน์)

19 ก.ย.57 : เป็นนายกฯ ต้องสุภาพเรียบร้อย

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการควบคุมอารมณ์ของตัวเองและขอโทษผ่านรายการคืนความสุขฯ ด้วยว่า
“ผมต้องขอโทษบางครั้งพูดแรงไป ก็มีอารมณ์เหมือนกัน เพราะว่าท่านให้ร้ายกองทัพให้ร้ายอะไรต่าง ๆ มาโดยตลอด โดยที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ต้องขอโทษด้วย ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องสุภาพเรียบร้อย”

8 ส.ค.57 : ทหารพูดจาไม่เหมาะสม ให้รายงานมา

ในช่วงแรกๆ ที่ คสช. ยึดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวผ่านรายการคืนความสุขให้คนในชาติ เมื่อวันที่ 8 ส.ค.57 ถึงพฤติกรรมการใช้อำนาจของทหารด้วยว่า 
“บางคนบอกทหารพูดจาไม่เหมาะสม พูดจากระโชกโฮกฮาก กร่าง อะไร รายงานมาเลย ให้ถึงผมเลย จะลงโทษให้ทันที ผมย้ำไปหนักหนาแล้วว่าทำไม่ได้ ยิ่งมีอำนาจ ยิ่งต้องบังคับใช้กฎหมาย ยิ่งต้องอ่อนน้อมกับประชาชน"

ส.ค.55 : โมโหปกครองกองทัพ

เมื่อครั้งเป็นผู้บัญชาการทหารบก เมื่อเดือน ส.ค.55 พล.อ.ประยุทธ์ พูดถึงการใช้อารมณ์กับการปกครองกองทัพ ว่า
“ผมโมโหเป็นปกติผมอยู่แล้ว ไม่งั้นผมปกครองกองทัพผมไม่ได้หรอก ผมก็ต้องโมโหเป็นเหมือนกัน ไม่ใช่พระนี่หว่า”
 

'วิกฤติความยุติธรรม' คือหนึ่งในสาเหตุหลักของวิกฤติทางการเมืองไทยในปัจจุบัน


ในสังคมประชาธิปไตยทุกสังคมล้วนแต่ต้องมีองค์กรศาลและกึ่งศาลทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของผู้มีอำนาจอย่างเที่ยงธรรมและเป็นอิสระ โดยปลอดพ้นจากอคติทางการเมืองส่วนตัว, ไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองของคนบางกลุ่ม, ไม่เลือกปฏิบัติ, ยึดหลักกฎหมาย ความโปร่งใส และความเท่าเทียมของประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่ว่า คำตัดสินขององค์กรเหล่านี้จะเป็นที่ยอมรับจากคู่กรณีว่า “เป็นธรรม” และความขัดแย้งนั้น ๆ ก็จะ“เป็นอันยุติ” สังคมก็สามารถข้ามพ้นความขัดแย้งนั้น และเดินหน้าต่อไปได้ ไม่มีสังคมไหนจะเข้มแข็งอยู่ได้ หากประชาชนหมดความเชื่อถือศรัทธาต่อระบบความยุติธรรม
แต่สังคมไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่าน องค์กรด้านความยุติธรรมทั้งหลายกลับทำลายความชอบธรรมของตนเองอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่ยี่หระต่อความรู้สึกของประชาชนแม้แต่น้อย พวกเขาไม่เพียงไม่สามารถยุติความขัดแย้งได้ แต่กลับขยายความรู้สึกคับแค้นขื่นขมให้กับประชาชนมากยิ่งขึ้น ทำตัวหูหนวกตาบอดต่อรอยร้าวที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกขณะ
ภาวะตามอำเภอใจ ความไม่มีมาตรฐาน ไม่เคารพต่อนิติรัฐ ไม่สนใจหลักความเท่าเทียมเสมอภาค และสิทธิของประชาชน กลายมาเป็นมาตรฐานขององค์กรที่ทำหน้าที่อำนวยความยุติธรรมของไทยไปเสียแล้ว
พวกเขามองว่าเป้าหมายของตนนั้นเป็นเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ เป็นความดีเหนือความดีทั้งปวง หลักการทั้งหลายจึงเป็นแค่ “วิธีการ” ที่ต้องยอมศิโรราบให้กับเป้าหมายของพวกเขา แต่พวกเขากลับเสแสร้งหูหนวกตาบอดว่า วิธีการตามอำเภอใจที่พวกเขาใช้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กลับยิ่งทำให้สังคมจมดิ่งลงไปในหลุมดำของปัญหา จนไม่รู้ว่าจะหลุดพ้นออกมาได้อย่างไร เพราะสังคมไทยมาถึงจุดที่ไม่มีองค์กรใดอีกแล้วที่ไม่เผชิญกับ “วิกฤติความชอบธรรม” ไม่มีองค์กรใดที่จะทำหน้าที่ฟื้นฟูความยุติธรรม และยุติความขัดแย้งให้คนทุกฝ่ายยอมรับได้
วิกฤติความยุติธรรมนั้นอันตรายกว่าวิกฤติเศรษฐกิจเสียอีก ในยามเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ หากประชาชนไม่ได้รู้สึกว่าตนถูกรังแกจากรัฐบาล และต่อให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลไม่เก่งสักเท่าไร ประชาชนก็ยังพอจะยอมรับความชอบธรรมของรัฐบาล และพยายามร่วมแรงร่วมใจ ทำงานหนัก ฝ่าฝันวิกฤติเศรษฐกิจไปให้ได้ แต่วิกฤติความยุติธรรมที่เกิดขึ้นได้ทำลายความรู้สึกของการเป็นคนกลุ่มเดียวกันของคนในสังคมอย่างรุนแรง "ความเกลียดชังระหว่างกลุ่ม" “ความเป็นพวกเรา” “ความเป็นพวกเขา” ปรากฏอยู่ในทุกสถานการณ์
อย่าปฏิเสธเลยว่าวิกฤติเศรษฐกิจที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ไม่ได้เป็นผลพวงของวิกฤติทางการเมือง การอ้างว่าเป็นผลของวิกฤติเศรษฐกิจโลกไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า แล้วทำไมเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านของไทยจึงกลับเดินหน้าไปได้ดีกว่าไทย พร้อม ๆ กับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่กำลังฟื้นตัว เมื่อกระบวนการยุติธรรมล้มเหลวในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง สังคมไทยจึงวนเวียนจมปลักกับปัญหาการเมืองที่ซ้ำซากและรุนแรงมากขึ้นทุกที จนทำให้ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของบรรดานักลงทุนหดหาย พร้อมๆ กับระบบต่างๆ เริ่มแสดงอาการผุพังเสื่อมโทรมออกมาให้เห็น แถมยังนำพาประเทศมาอยู่ใต้รัฐบาลทหารที่บริหารประเทศไม่เป็นอีกต่างหาก
พวกเขามักกล่าวว่าความแตกต่างระหว่างคนจนและคนรวยคือรากของปัญหา แต่ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ รวมทั้งของสังคมไทยเองด้วย บอกเราว่าความยากจนไม่ทำให้ผู้คนพร้อมจะลุกขึ้นสู้กับผู้มีอำนาจจนถึงขั้นยอมเอาชีวิตตัวเองเข้าแลก แต่ความโกรธแค้นต่อความอยุติธรรมต่างหากที่ทำให้คนหมดความอดทนอดกลั้น …. และพวกเขารอโอกาสที่จะทวงคืนศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนคืนเท่านั้นเอง