วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ผบ.ทบ.ใหม่ บอกให้ลบคำว่า 'ปฏิวัติซ้อน' ไปได้เลย อย่ามากังวล

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท

เมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ถ.ราชดำเนิน พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แถลงภายหลังประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) โดยเฉพาะผู้บังคับหน่วยระดับนายพล ว่า เป็นการประชุมเพื่อแบ่งสายงานรับผิดชอบตามปกติในแต่ละด้าน ซึ่งตนได้เน้นย้ำทุกด้าน โดยเฉพาะงานด้านกำลังพลที่จะให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ส่วนสายงานอื่น เช่น สายงานข่าว สายงานส่งกำลังบำรุง สายงานยุทธการไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากแผนงานเดิม ส่วนงานด้านการพลเรือนจะเน้นการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ สำหรับนโยบายการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนกำลังและลดกำลังดูแลพื้นที่ลง โดยใช้กำลังทหารและประชาชนในพื้นที่ ตนจะเน้นการพัฒนาขีดความสามารถ รวมทั้งการดำเนินการด้านการข่าวเพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้กำลัง

กังวลอาวุธที่หายไปปี 53 อาจมีผู้มาใช้ก่อความรุนแรง 

ต่อกรณีคำถามถึงการสนับสนุนงานของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะวางบทบาทอย่างไร นั้น พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันทุกอย่างเดินไปตามโรดแมป และอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ภาพรวมของ คสช. ใช้กำลังทหารลดน้อยลง โดยเน้นงานช่วยเหลือประชาชน ส่วนงานด้านกฎหมายเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยประชาชนเห็นความตั้งใจของรัฐบาล ตนอยากให้ทุกคนช่วยกันประคับประคองสถานการณ์ให้เดินไปข้างหน้าอย่างราบรื่น และเรียบร้อย ทั้งนี้ มีส่วนที่ตนเป็นห่วงใยคือการเคลื่อนไหวของกลุ่มที่อาจใช้ความรุนแรง เพราะเมื่อปี 53 มีอาวุธจำนวนหนึ่งของเจ้าหน้าที่สูญหายไประหว่างปฏิบัติการ ซึ่งได้กลับคืนมาเพียงส่วนน้อย และส่วนใหญ่ยังไม่สามารถตามกลับคืนมาได้ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าไปวนเวียนอยู่ที่ไหน ตนจะพยายามตามกลับคืนมาให้ได้ เนื่องจากงานด้านการข่าวพบว่ายังมีกลุ่มที่เห็นต่างและมีแนวความคิดใช้ความรุนแรง ดังนั้น ในความรู้สึกของความเป็นทหารก็ต้องระมัดระวังทั้งหมด ความรุนแรงจะเกิดขึ้นหรือไม่ตนไม่ทราบแต่ต้องเตรียมพร้อมมาตรการป้องกันที่ดีที่สุด และคาดหวังว่า ความรุนแรงจะไม่เกิดขึ้น ตนอยากให้คนไทยรักประเทศ และอยากให้ประเทศเดินไปข้างหน้า เชื่อว่า ทุกคนที่เป็นคนไทยมีวุฒิภาวะทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้
      
ต่อกรณีคำถามว่า ปีหน้าจะเกิดการเลือกตั้ง กองทัพและกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) จะสนับสนุนรัฐบาลอย่างไรนั้น พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า บทบาทการใช้กำลังของ กกล.รส. ปีหน้าจะใช้กำลังตามอำนาจลดน้อยลง ซึ่งจะใช้กฎหมายเป็นหลัก ยกเว้นกรณีที่สำคัญ หรือจำเป็น เพราะ กกล.รส. มีภารกิจอยู่ 7 ภารกิจ ตนเชื่อว่า เหตุความรุนแรงน่าจะลดน้อยลง เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าคนจับตามองเพราะด้วยความเป็นทหารรบพิเศษ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ไม่กังวลใจ เพราะมีประสบการณ์การทำงานมาพอสมควร และทุกวันนี้คนที่เป็นผู้บังคับหน่วยก็มีความคุ้นเคยกันสามารถทำงานได้ตามบทบาทหน้าที่ ทุกคนเป็นทหารรู้ว่าตนเองต้องทำอะไร สิ่งสำคัญคือ ทำงานเป็นทีม ตนใช้งานทีมฝ่ายเสนาธิการเป็นหลัก หากมีอะไรก็พูดคุยกัน ไม่กังวลเรื่องการถูกจับตามอง

ลบคำว่า 'ปฏิวัติซ้อน' ไปได้เลย อย่ามากังวล

เมื่อถามว่า จะให้คำยืนยันกับประชาชนอย่างไรว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หรือการปฏิวัติ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ถ้าพูดถึงเรื่องการปฏิวัติต้องถามว่ามีเหตุผลอะไร เพราะสถานการณ์ปัจจุบันนั้นทำการปฏิวัติไม่ได้ อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้า คสช. ก็ระบุแล้วว่าเรื่องการปฏิวัติครั้งที่ผ่านมา คือ ครั้งสุดท้าย ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าประชาชนไม่เห็นชอบด้วย เราสังเกตได้ว่าการปฏิวัติ 2 ครั้งที่ผ่านมา ทหารเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองและการควบคุมสถานการณ์ได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างท่วมท้น ตนเป็นทหารอาชีพ ผู้บังคับบัญชาว่าอย่างไรก็ดำเนินการตามนั้น ซึ่งไม่ได้มีปัญหาและทุกคนไม่ต้องกังวลเรื่องการปฏิวัติ เพราะตนยืนยันว่าไม่มี
“การปฏิวัติซ้อนเป็นไปไม่ได้ และไม่มีทาง ผมอยากให้ลบคำนี้ไป อย่ามากังวล อะไรจะเกิดขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ถ้ารัฐบาลปกครองโดยมีคุณธรรมอะไรก็เกิดขึ้นไม่ได้ เรื่องการปฏิวัติ ผมอยากให้ลืมไปเลย และไม่ต้องถามผมอีกแล้ว เพราะจะไม่ตอบอีก การดำเนินงาน 2 ปีของผมจะเน้นหนักเรื่องการช่วยเหลือประชาชน เพราะทหารเป็นที่พึ่งของประชาชนทุกโอกาส กองทัพอยู่อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรีไม่ได้ ถ้าประชาชนไม่เอาด้วย ทุกวันนี้ในทุกเรื่องกองทัพยื่นมือเข้าไปทำหมด โดยเฉพาะพร้อมช่วยเหลือทุกเรื่องที่รัฐบาลสั่งการ ทุกคนเป็นคนไทยรักชาติเหมือนกัน แต่วิธีคิดอาจแตกต่างกัน หากหันมาพูดคุยกันแล้วสภาพโดยรวมดีขึ้น ผมคิดว่าเราเดินต่อไปได้” พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว

โฆษก ทบ.เผยยังคงติดตามอาวุธที่ถูกยึด

พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า กองทัพบกยังคงติดตามกรณีอาวุธ อุปกรณ์ และยานพาหนะของกองทัพบกที่ถูกยึด และถูกทำลายให้เสียหายจากเหตุชุมนุมทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะการชุมนุมทางการเมือง เมื่อปี 2553 ที่พบมีการใช้ความรุนแรงของมวลชนและแนวร่วมบางส่วนอย่างกว้างขวาง และส่วนใหญ่จะกระทำกับสถานที่ราชการ องค์กรอิสระ สถานที่สำคัญต่าง ๆ
 
พ.อ.วินธัย กล่าวอีกว่า ส่วนความเสียหายในส่วนของอาวุธและยุทโธปกรณ์ของกองทัพบก พบว่ามีเฉพาะเมื่อปี 2553 ที่มีทั้งถูกทำลายและถูกกลุ่มผู้เห็นต่างยึดไป โดยในภาพรวมมีอาวุธปืนของทางราชการหายไป 86 กระบอก และได้คืน 29 กระบอก เช่น เหตุการณ์ที่เชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า มีอาวุธปืนเล็กยาวแบบทราโวร์หายไป 12 กระบอก นำคืนมาได้ 10 กระบอก เหตุการณ์ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีปืนเล็กยาวแบบทราโวร์หายไป 13 กระบอก ได้คืน 3 กระบอก ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ยังคงอยู่ในระหว่างติดตามและดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้ทางราชการ แม้ว่าบางคดีพนักงานอัยการได้สั่งงดการสอบสวน
 
พ.อ.วินธัย กล่าวด้วยว่า สำหรับสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองปี 2556-2557  โดยเฉพาะเป้าหมายการใช้ความรุนแรง มักเกิดเฉพาะกับประชาชนที่มาร่วมชุมนุม กับกลุ่ม กปปส.เป็นหลักเท่านั้น สถานการณ์ความรุนแรงอื่น ๆ จะไม่ค่อยปรากฏ ซึ่งถือว่ามีบริบทที่แตกต่างกับสถานการณ์เมื่อปี 2553 ดังนั้นภาพรวมการบริหารจัดการเพื่อรักษาความสงบและดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ย่อมมีความแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ แต่หลักการขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ความรุนแรง โดยไม่ได้แยกปฏิบัติว่าเป็น นปช.หรือ กปปส.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น