วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559

‘ธงชัย วินิจจะกูล’ อภิสิทธิ์ปลอดความผิดเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมและนิติรัฐแบบไทย


‘ธงชัย วินิจจะกูล’ ระบุ สังคมไทยเป็นลูกผสมระหว่างสมัยใหม่กับสมัยโบราณ ยังมีความเชื่อฝังลึกว่าบุคคลไม่เสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย ยิ่งมีอำนาจสมบูรณ์ยิ่งมีความชอบธรรม เป็นนิติรัฐอย่างลดหลั่นตามชั้นชน ทำให้ ‘อภิสิทธิ์ปลอดความผิด’ เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยอยู่แล้ว
คลิปอภิปรายธงชัย วินิจจะกูล หัวข้อ "บททดลองเสนอว่าด้วยนิติรัฐแบบไทยๆ กับอภิสิทธิ์ปลอดความผิด (Impunity) และความเข้าใจสิทธิมนุษยชนอย่างผิดเพี้ยนในสังคมไทย"

8 ต.ค. 2559 ที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) มีการจัดเสวนาวิชาการในโอกาสครบรอบ 40 ปี 6 ตุลาคม 2519 ในหัวข้อ ความขัดแย้งและวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิด (impunity) ในสังคมไทย จัดโดย คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มธ. ร่วมกับศูนย์ศึกษาการพัฒนาสังคม คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะกรรมการจัดงาน 40 ปี 6 ตุลาคม 2519
ในงานดังกล่าวมีการนำเสนองานวิชาการหลายเรื่อง ในช่วงบ่ายแบ่งเป็น 1.เมื่อความจริงคือจุดเริ่มต้นของความเป็นธรรม: กรณีศึกษาคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในบริบทความขัดแย้งชายแดนใต้ โดย รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช 2."ใบอนุญาตให้ลอยนวลพ้นผิด: องค์กรอิสระกับการสลายการชุมนุมปี 2553 โดยพวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3. บททดลองเสนอว่าด้วยนิติรัฐแบบไทยๆ กับอภิสิทธิ์ปลอดความผิด (Impunity) และความเข้าใจสิทธิมนุษยชนอย่างผิดเพี้ยนในสังคมไทย โดยธงชัย วินิจจะกูล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยวิสคอลซิล แมดิสัน
อภิสิทธิ์ปลอดความผิดเกิดขึ้นได้อย่างไร
ธงชัย พยายามทดลองตอบคำถามว่า สิ่งที่เรียกว่าอภิสิทธิ์ปลอดความผิดของไทย เกิดขึ้นและดำรงอยู่อย่างไร
“บทบาทของบทความผมที่อยู่ในเล่มนี้ ผมพยายามสรุปในแบบที่ทำการบ้านน้อยหน่อย วันนี้ที่คนพูดมาแต่ละคนมีข้อมูลมากมาย ชัดเจน เป็นรูปธรรม ผมสารภาพว่าผมทำงานน้อยกว่า ไม่มีข้อมูลมากเท่าไหร่ แต่ผมพยายามจะเสนอ พยายามจะให้กรอบ พยายามจะสรุปว่า เราจะเข้าใจปรากฏการณ์เหล่านี้ ที่อาจารย์พวงทอง ภวัครพันธุ์เรียกว่า วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด ผมเผอิญใช้คำต่างออกไปแค่นั้นเองว่า อภิสิทธิ์ปลอดความผิด คือไม่ใช่แค่วัฒนธรรม แต่มันก่อให้เกิดเงื่อนไขทางกฎหมาย ผมคิดว่าเป็นอภิสิทธิ์ชนิดหนึ่ง
“สิ่งที่ผมพยายามทำในบทความนี้คือพยายามจะเสนอกรอบความเข้าใจว่า อภิสิทธิ์ปลอดความผิด มันอยู่ในสังคมไทยได้ยังไง ผมเริ่มกลับไปดูว่าอภิสิทธิ์ปลอดความผิด มันอยู่ภายใต้วัฒนธรรมทางกฎหมาย อยู่ภายใต้ความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างรัฐกับประชาชนยังไง อภิสิทธิ์ปลอดความผิดอยู่ภายใต้นิติธรรม นิติรัฐของไทยที่บกพร่อง จะอธิบายความบกพร่องเป็นกรณีๆ ไป เป็นความฉ้อฉลเฉพาะกรณี หรือเอาเข้าจริงความฉ้อฉลนี้มัน Institutionalize มันเป็นเรื่องปกติอยู่ในรัฐและสังคมไทยมาเป็นเวลานานแล้ว ไม่ใช่แค่รัฐกับประชาชน แต่มันอยู่ในเงื่อนไขการดำรงอยู่ที่เรียกว่าวัฒนธรรมไทย จนเราคุ้นเคยกับมันแล้ว
“ผมจึงเขียนบทนี้ขึ้นมาว่า บททดลองเสนอ เพราะผมไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ผมรู้สึกโดยเหตุผล โดยตรรกะ โดยเฟรมของการอธิบายมันน่าจะได้ นั่นหมายความว่าหลังจากนี้ผมต้องทำงานเพื่ออธิบายมันให้ชัดขึ้น ผมมีโครงการจะเขียนเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งว่า รัฐสมัยใหม่ของไทยในการปรับตัวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ปลายศตวรรษที่ 19 ช่วงกลางรัชกาลที่ 5 และถัดมา ได้สร้างบรรทัดฐาน สร้างฐานรากของสังคมไทยยุคสมัยใหม่อย่างไรบ้าง ซึ่งฐานรากห้าหกอย่างของการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ สังคมไทยยังไม่ได้เปลี่ยน...คือมีความเปลี่ยนแปลงมากมายที่ก่อร่างสร้างตัวบนฐานรากห้าหกอย่าง ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนเท่าไหร่”
หรือรัฐไทยไม่เชื่อในสิทธิมนุษยชนจริงๆ?
“ผมได้อ่านต้นฉบับหนังสือของอาจารย์ไทเรล ฮาเบอร์คอร์น ผมเริ่มต้นจากคำถามที่อาจารย์ไทเรลตั้งว่า รัฐบาลไทยยุคหลังละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่เป็นประจำ แต่เขากลับบอกว่าไม่ได้ละเมิด เราอาจตีความหรืออธิบายเรื่องนี้ได้ง่ายนิดเดียวแล้วจบเลย เขาโกหก แต่เนื่องจากผมเป็นนักวิชาการ ผมยอมรับไม่ได้ง่ายๆ บวกกับคำอธิบายอีกหลายครั้งของเขา มันสะท้อนว่าเขาคิดอย่างนั้นจริงๆ เขา ผมหมายถึงรัฐหรืออาจจะรวมหลายท่านในที่นี่ คือรวมประชาชนไทยด้วย ไม่ใช่แค่รัฐ
“หรือเอาเข้าจริงความฉ้อฉลนี้มัน Institutionalize มันเป็นเรื่องปกติอยู่ในรัฐและสังคมไทยมาเป็นเวลานานแล้ว ไม่ใช่แค่รัฐกับประชาชน แต่มันอยู่ในเงื่อนไขการดำรงอยู่ที่เรียกว่าวัฒนธรรมไทย จนเราคุ้นเคยกับมันแล้ว"
“เขาคิดอย่างนั้นจริงๆ ว่าสิ่งที่ทำอยู่ บางครั้งก็ผิด แต่มีเหตุผลว่าทำไมจึงไม่ผิด หรือบางครั้งที่เราดูว่าผิด ก็เพราะเรามีมุมมองต่างกัน เรามีมุมมองแบบหนึ่งจึงบอกว่าเขาผิด แต่เพราะเขามีมุมมองแบบหนึ่งจึงพูดอย่างจริงใจโดยเขาไม่คิดว่ามันผิด ผมพยายามจะเข้าใจส่วนหลังนี้ว่า เขาคิดยังไง หรือมีเงื่อนไขอะไรในสังคมไทยจึงไม่เห็นการกระทำเหล่านี้ว่าเป็นความผิด
“ผมไม่ได้จะตัดสินว่าถูก แต่งานของนักประวัติศาสตร์หรืองานที่ผมสนใจมักจะเป็นแบบนี้ พยายามเข้าใจว่าเขาคิดอย่างไร ถึงแม้เราจะไม่เห็นด้วยก็ตาม และถ้าเราไม่เห็นด้วย เราจะหักล้างอย่างไร
“รัฐบาลไทยมักจะตอบประจำว่า ไม่จริง เราไม่ได้ละเมิด มักจะตอบประจำว่าเป็นสถานการณ์พิเศษ อีกอย่างหนึ่งก็บอกว่าประเทศไทยมีลักษณะพิเศษ ต่างชาติไม่เข้าใจ อันสุดท้าย สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของฝรั่งตะวันตก ซึ่งประยุกต์ใช้กับประเทศไทยไม่ได้ สามอันหลังนี้ ผมคิดว่าเขาเชื่ออย่างนี้จริงๆ  หรือสักแต่ว่าอ้าง มันก็มีบางส่วน แต่ผมคิดว่าเขาบอกตัวเองว่าอย่างนั้น อย่าลืมว่าข้ออ้างทั้งสามข้อนี้ หลายคนในสังคมไทยรับฟังได้ นั่นแปลว่าเขาจูนคลื่นได้ใกล้เคียงกับคนในสังคมไทย
“ตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนมาก ตะกี้อาจารย์ไทเรลพูดถึงรัฐมนตรีต่างประเทศสมัยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ผมมีอีกตัวอย่างในสมัยหลัง ให้เหตุผลแปลกๆ ที่สะท้อนว่าเขาไม่รู้ตัวว่าเหตุผลของเขาผิด สะท้อนว่าเหตุผลที่เขาให้ มันดี มันเหมาะสมแล้ว เป็นตัวอย่างเพื่อบอกว่าคนเหล่านี้คิดอย่างนั้นจริงๆ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีต่างประเทศคนปัจจุบัน ออกมาให้สัมภาษณ์เกินหนึ่งครั้งเพื่อตอบโต้การตำหนิติเตียนเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากต่างชาติ นายดอนมักจะตอบโต้ว่า ก็คนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นเดือดร้อนกับการใช้อำนาจปราบปราม จับกุม หรือจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก การที่เขาใช้เหตุผลนี้เกินหนึ่งครั้งสะท้อนว่า นายดอนเชื่อว่าเหตุผลนี้ฟังดูดี ถ้าเหตุผลนี้ฟังดูห่วยเขาไม่พูดหรอก เขาคิดว่าต่อให้อย่างน้อยที่สุดฝรั่งก็ฟังไม่ขึ้น แต่เขารู้ว่าคนไทยฟังเขาอยู่
“ทำไมเหตุผลนี้จึงฟังดูดีในสังคมไทยล่ะ ผมเป็นนักประวัติศาสตร์ที่ทำงานเกี่ยวกับความคิด ความคิดวัฒนธรรมอะไรในสังคมไทยที่ทำให้ข้อแก้ตัวเหล่านี้มันฟังขึ้น แถมฟังขึ้นกับคนจำนวนไม่น้อยทีเดียว
“เขามองราวกับว่าเสรีภาพและสิทธิที่จะเป็นมนุษยชน มันเป็นความร่ำรวยเกินเหตุของคนบางคนเท่านั้นที่เรียกร้อง ไม่ใช่เรื่องของประชาชนทั่วไป นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงว่าเขาคิดเรื่องสิทธิไม่เหมือนเราแล้ว อย่างน้อยที่สุดไม่เหมือนผม"
“ตัวอย่างที่ผมยกเรื่องนายดอน ปรมัตวินัย เกิดการละเมิดขึ้น คนไทยไม่เห็นเดือดร้อนเลย ผมยกตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่ง เวลามีคนฆ่าคนตาย คนอื่นเดือดร้อนด้วยมั้ย คุณก็ไม่เห็นถูกฆ่า ใช่มั้ย คุณยังต้องเดือดร้อน ตำรวจต้องจับ เวลามีการข่มขืน มีการลักทรัพย์ ก็บ้านนั้นก็โดนไปสิ บ้านผมไม่โดน ทำไมตำรวจไม่บอกว่าเรื่องเล็กๆ บ้านนั้นโดนบ้านเดียว บ้านอื่นไม่เกี่ยว คนนั้นโดนฆ่าคนเดียว คนอื่นไม่โดนฆ่าด้วย ไม่เคยมีตำรวจออกมาพูดอย่างนี้ เพราะพูดไม่ได้ เพราะสิทธิในทรัพย์สินและร่างกายเป็นเรื่องที่รับรู้ทั่วไป ในสังคมไทยก็รับมาแต่โบราณแล้วว่า สิทธิในทรัพย์สินและร่างกายละเมิดไม่ได้ หากละเมิด ต่อให้เราไม่เกี่ยวข้องเลย ตำรวจต้องจัดการ นี่แสดงว่าเขาไม่มองว่าสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องสิทธิในนัยแบบนั้น
“เขามองราวกับว่าเสรีภาพและสิทธิที่จะเป็นมนุษยชน มันเป็นความร่ำรวยเกินเหตุของคนบางคนเท่านั้นที่เรียกร้อง ไม่ใช่เรื่องของประชาชนทั่วไป นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงว่าเขาคิดเรื่องสิทธิไม่เหมือนเราแล้ว อย่างน้อยที่สุดไม่เหมือนผม"
การผสมปนเประหว่างสมัยใหม่กับวัฒนธรรมดั้งเดิม
“แต่ในการตอบคำถาม ผมย้อนไปไกล พอดีมีสมมติฐานขึ้นมว่า หรือว่าเรื่องนี้เป็นวัฒนธรรมของไทยในยุคสมัยใหม่มาเป็นเวลานานแล้ว ตรงนี้ต้องขออธิบายนิดหนึ่ง สังคมไทยเข้าสู่สมัยใหม่ครึ่งหลังรัชกาลที่ 5 ถึงปัจจุบัน ไม่ได้แปลว่าเราดักดานอยู่แบบเก่า ไม่ใช่เลย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเรากลายเป็นสมัยใหม่เป๊ะ สิ่งที่ผมพยายามทำทั้งชีวิตคือการปรับตัวสู่สมัยใหม่นี้ มันเกินภาวะลูกผสมอย่างไร บางอย่างก็ฝรั่งมากหน่อย บางอย่างก็ฝรั่งน้อยหน่อย
“วงการแพทย์ ชัดเจน คุณกินยาฝรั่ง เชื่อในยาฝรั่งก็มี แต่ยาไทยไม่เคยตาย ยังมีร้านขายยาแผนไทย แต่ละสังคมในการปรับตัวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ แต่ละสังคมที่ถูกรุกรานจากต่างชาติตอนปลายรัชกาลที่ 5 มีการปรับตัวในเรื่องนี้ด้วยกันทั้งสิ้น แต่การปรับตัวไม่ได้เสมอกันทั่วด้าน เช่นการเป็นฝรั่งหมดหรือคงความเป็นวัฒนธรรมพื้นเมืองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีหรอกฮะ ทุกอย่างมันปนๆ เปๆ แล้วแต่ว่ากิจกรรมด้านใดในชีวิตทางสังคมนั้นจะเป็นฝรั่งมากน้อยหรือจะเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมมากหน่อย ถ้าคุณเลยไปเรื่องใหญ่กว่าเรื่องยา อย่างเรื่องวัฒนธรรม หรือเทคโนโลยี หรือความเชื่อทางการแพทย์ก็ยังมีแตกต่างกัน ไม่มีใครอีกแล้วที่คิดต่อชีวิตของเราแบบดั้งเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็ไม่มีใครเปลี่ยนไปเป็นแบบฝรั่ง ใครทั้งหลายที่คิดจะแอนตี้ฝรั่ง การถกเถียงว่าเป็นฝรั่งมากไป เป็นไทยมากไป จะไม่มีวันจบ เพราะสุดท้าย พวกเราเป็นลูกผสม
“ผมก็มาดูตรงนี้ว่า การปรับตัวเข้าสู่สมัยใหม่ของไทย เกิดการปฏิรูปกฎหมายครั้งใหญ่ตอน ร.ศ.128 ออกประมวลกฎหมายอาญาชุดใหม่ ก่อนหน้านั้นและหลังจากนั้นระยะใหญ่ คือประมาณตั้งแต่ ร.ศ.115 คือหลังเหตุการณ์ ร.ศ.112 แค่ 3 ปี เราเกิดการปรับตัวเปลี่ยนแปลงแล้ว ต่างชาติไม่พอใจมากกับวิธีพิจารณาความอาญาของไทย เขาไม่ได้สงสัยกฎหมายอาญา เขาสงสัยกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา คือมันไม่ยุติธรรมในสายตาเขา รัชกาลที่ 5 บุกเบิกกฎหมายชุดแรกก่อนเปลี่ยนประมวลกฎหมายอาญาด้วยซ้ำไป คือเขียนกฎหมายเกี่ยวกับวิธีพิจารณาความอาญาชั่วคราวขึ้นมา หลังจากนั้นใช้เวลาอีกหลายปีกว่าประมวลกฎหมายจะเสร็จใน ร.ศ.128 และใช้เวลาอีกมาจนถึงประมาณปลายรัชกาลที่ 6 จึงพร้อมจะปรับระบบกฎหมายใหม่ทั้งหมด แล้วกลับไปเขียนวิธีพิจารณาความอาญาใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้สอดคล้องกับประมวลกฎหมาย ปลายรัชกาลที่ 6 ตกทอดมาจนถึงช่วงสุดท้ายในชุดที่มีการปฏิรูปทั้งหมด เสร็จเอาหลังปี 2475 ใช้เวลาอยู่นานประมาณ 50 ปีในการปรับกระบวนกฎหมายทั้งชุด
“โจทย์ของผมก็คือการปรับตัวทั้งชุดต้องเกี่ยวข้อง ต้องมีผลต่อสิ่งที่เราเรียกว่านิติรัฐ ถ้าเราเชื่อว่านิติรัฐคือระบบที่กฎหมายเป็นใหญ่เกิดขึ้นในช่วงนี้ สมมติฐานผมที่เอามาเป็นเฟรมสำหรับบทความนี้ก็คือ มันไม่มีทางหรอกที่เราจะกลายเป็นนิติรัฐแบบฝรั่ง
“มันเป็นไปไม่ได้ เพราะสังคมไทยก่อตัวมาเป็นร้อยๆ ปี อยู่ๆ คุณจะมาเปลี่ยนปุ๊บเดียวเป็นฝรั่งหมด และก็ไม่มีทางหรอกที่สังคมไทย ระบบกฎหมายไทย นิติรัฐของไทย จะยังคงเป็นนิติรัฐแบบดั้งเดิม ไม่มีทาง เห็นชัดๆ อยู่ว่าเราเปลี่ยน แค่ระบบประมวลกฎหมาย ระเบียบวิธีพิจารณาแบบสมัยใหม่ก็เห็นในตัวอยู่แล้วว่าเราไม่ได้เป็นอย่างเดิม แต่ลูกผสมอันนี้ มันเกิดความเป็นฝรั่ง เป็นไทย มากน้อยกว่ากันอย่างไร”
บุคคล ‘ไม่’ เสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย
“สิ่งที่ผมอยากเสนอก็คือ ในบทความนี้ผมเน้นประเด็นหลักๆ ไม่กี่ประเด็น นิติรัฐแบบสมัยใหม่ ฐานของระบบกฎหมายสมัยใหม่ เน้นเรื่องปัจเจกบุคคล เพราะลึกๆ ความเข้าใจสังคมไทยเรื่องปัจเจกบุคลเราไม่เหมือนฝรั่ง ไม่ใช่สังคมไทยไม่มี สังคมไทยมีความคิดเรื่องปัจเจกบุคคลมานมนานกาเล แต่ไม่มีเหมือนที่ฝรั่งมี ไม่เหมือนกันยังไง ด้านตรงข้ามกับปัจเจกบุคคลคือรวมหมู่ กลุ่มบุคคล สังคมโดยรวม สองอย่างนี้สัมพันธ์กัน ถ้าผมจะพูดอย่างหยาบที่สุดก็คือสังคมไทยให้ความสำคัญกับสังคมโดยรวมมากกว่าปัจเจก ขณะที่ฝรั่งให้ความสำคัญกับปัจเจกมากกว่า ทุกสังคมมีทั้งปัจเจกบุคคล มีทั้งการคำนึงถึงองค์รวมของสังคมร่วมกัน ไม่มีสังคมไหนเลยที่ไม่รู้จักปัจเจกบุคคล ไม่มีสังคมไหนเลยที่ไม่รู้จักองค์รวมของสังคม เพราะฉะนั้นกฎหมายสมัยใหม่ของฝรั่งอยู่บนฐานของปัจเจกบุคคล ปัจเจกบุคคลในสังคมไทยไม่มีแบบนั้น
"ไทยเรามีธรรมเนียมนี้ แต่สมัยใหม่เราลืมว่ามีอยู่ นั่นหมายความว่าอำนาจไม่ได้ฉ้อฉล แต่อำนาจเป็นธรรม อำนาจอย่างสมบูรณ์จึงเป็นธรรมอย่างสมบูรณ์"
“เลยไปนิดหนึ่ง เราเชื่อกันว่า เราถูกสอนกันมาว่า เรารู้มาว่า บุคคลเสมอภาคกันเบื้องหน้ากฎหมาย รัฐธรรมนูญทุกฉบับเขียนอย่างนั้น ก็ถ้าสังคมไทยถือว่าคนไม่เท่ากัน แล้วบุคคลจะเสมอภาคต่อหน้ากฎหมายก็เกิดปัญหาแล้วนะ
“คำถามคือว่าอันไหนชนะ บุคคลไม่เสมอภาคกันหรือบุคคลเสมอภาคกันตามกฎหมาย หมายถึงอันไหนจะมีน้ำหนักมากกว่ากันในคดีหนึ่ง ในปัญหาหนึ่ง นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง หลักสองอันนี้ ตอนนี้คนไทยเราสมัยใหม่พอจะรับแล้วว่า บุคคลเสมอภาคกันตามกฎหมาย แต่ขณะเดียวกันวัฒนธรรมไทยยังอยู่ สองอย่างนี้มันขัดกัน ในหลายกรณีไม่ขัดกันก็แล้วไป แต่เมื่อเกิดกรณีขัดแย้งกันขึ้นมาจะทำอย่างไร”
อำนาจอย่างสมบูรณ์จึงเป็นธรรมอย่างสมบูรณ์
“อันต่อมา ยกตัวอย่างให้ฟัง จะเห็นว่ามีปัญหาตลอด เรามักจะพูดภาษาฝรั่ง สำนวนฝรั่ง อำนาจที่สมบูรณ์ ฉ้อฉลอย่างสมบูรณ์ ความคิดนี้ไม่ใช่ไทย เป็นฝรั่ง ฝรั่งสมัยใหม่ด้วย ลอร์ดแอ็กตัน เพราะความคิดปรัชญาการเมืองของฮินดู-พุทธในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด คนจะมีอำนาจ จะต้องมีบุญ ใช่มั้ยฮะ ไม่มีบุญ ขึ้นมามีอำนาจยาก พูดง่ายๆ อำนาจกับบุญสะท้อนซึ่งกันและกัน
“คุณอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อนะ แต่ผมคิดว่าเป็นเรื่องราวที่สะท้อนหลักคิดอันนี้ เรารู้จักกันดี แต่เราไม่เคยโยง หนึ่ง-ตอนพระพุทธเจ้าเกิด โหรทำนายว่าถ้าไม่เป็นศาสดาก็จะเป็นกษัตริย์ เพราะฉะนั้นสองอย่างนี้บุญใกล้เคียงกันเลย อยู่ที่เจ้าชายสิทธัตถะจะเลือกทางไหน เรื่องราวนี้ปรัชญาพุทธสะท้อนว่าบุญใกล้เคียงกัน อีกเรื่องราวหนึ่งคือพระเจ้าอโศก เป็นกษัตริย์ที่แผ่บารมีไพศาล ฆ่าคนไปทั่ว สร้างอาณาจักรยิ่งใหญ่ แล้วพระเจ้าอโศกก็เป็นพุทธมามกะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สองอย่างนี้ไปด้วยกัน ไทยเรามีธรรมเนียมนี้ แต่สมัยใหม่เราลืมว่ามีอยู่ นั่นหมายความว่าอำนาจไม่ได้ฉ้อฉล แต่อำนาจเป็นธรรม อำนาจอย่างสมบูรณ์จึงเป็นธรรมอย่างสมบูรณ์
“ผมไม่ได้บอกว่าสังคมไทยมีความคิดโบราณอย่างนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คุณคิดว่าสังคมนี้โตมาหลายร้อยปี จู่ๆ เปลี่ยนเป็นสมัยใหม่จะกำจัดความคิดพวกนี้หมดไปเหรอ ไม่มีทาง ผลคืออะไร ผลคือคนไทยและคนแถวนี้จำนวนมากเชื่อในอำนาจ เราเชื่อมั่น เชื่อใจอำนาจ คนที่ท่องว่าอำนาจฉ้อฉลทั้งหลายเป็นหัวฝรั่ง เราไม่ได้มีความคิดอย่างนั้นง่ายๆ หรืออย่างน้อยสับสนปนเปกันอยู่ เวลาเกลียดใครเราก็ด่าทักษิณใช้อำนาจฉ้อฉล พอรัฐประหารขึ้นมาเราบอกพวกนี้มีบุญ
“เรามีความเป็นลูกผสม ลูกผีลูกคนปนๆ กัน หรือมีตัวเลือกให้เราใช้ในการทำความเข้าใจจำนวนมาก ซึ่งขัดแย้งกันอยู่ระหว่างอิทธิพลจากตะวันตกกับของไทย”
วัฒนธรรม ‘ผิดจนกว่าจะพิสูจน์ว่าบริสุทธิ์’ ยังคงอยู่
“ประเด็นเรื่องอำนาจ ผมนำมาสู่อะไร สังคมไทยเข้าใจเรื่องสิทธิมาแต่โบราณของเอกชนซึ่งกันและกัน สิทธิในทรัพย์สิน สังคมไทยปกป้อง ยกเว้นพระมหากษัตริย์มีสิทธิมากกว่าคนอื่น นี่ว่าในทางแพ่ง แต่สังคมไทย ในทางอาญาหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน รัฐมีสิทธิมากกว่าเราเสมอ อีกอย่างที่เราชอบท่องกัน บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ว่าผิด อันนี้หลักสมัยใหม่ สมัยโบราณของไทยเขาไม่อายเลยนะว่า ถ้าเป็นความผิดทางอาญา คุณต้องผิดก่อนจนกว่าจะพิสูจน์ว่าบริสุทธิ์ เช่นอะไร สิ่งที่เรารู้จักที่เรียกว่าจารีตนครบาล ให้สันนิษฐานก่อนว่าผู้ต้องหาทางอาญาคือผู้กระทำความผิดในการละเมิดอำนาจของรัฐมีภาระในการพิสูจน์ว่าตนเองบริสุทธิ์ นี่มันกลับกันเลย
“กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์บอกว่า ความคิดทางอาญาของไทยยังเปลี่ยนน้อย เพียงแต่ท่านไม่ได้บอกออกมาเองว่า หลักที่ว่าต้องถือว่าผิดก่อนจนกว่าจะพิสูจน์ว่าบริสุทธิ์ยังคงมีอยู่ เพราะมันไม่ถึงกับคงอยู่อย่างเหนียวแน่น แต่วัฒนธรรมแบบนี้ยังอยู่ คุณดูสิ ความผิดทางอาญาตั้งแต่เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง เช่น ฆ่าคนหรือปล้น เวลาเอาตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบการรับสารภาพ ถ้าคุณถูกสันนิษฐานก่อนว่ายังบริสุทธิ์ คุณทำได้มั้ย ไม่ได้ ข่าวดีนะฮะ วัฒนธรรมนี้เป็นลักษณะเฉพาะสำหรับไทย ไม่มีที่ไหนในโลกทำอีกแล้ว เพราะมันมาจากมรดกว่าเราสันนิษฐานว่าเขาผิด เราจึงเอาเขาไปประจาน การประจานก็เป็นสิ่งที่อารยธรรมในโลกไม่ทำกันแล้ว มันมากับจารีตเดิม สมัยใหม่เขาไม่ประจาน เขาเอาตัวเก็บไว้ การประจานเป็นการลงโทษในแบบสมัยเก่า
“เพราะฉะนั้นด้วยเหตุนี้ คุณคิดหรือว่าในความผิดทางอาญาที่ใหญ่กว่าการไปปล้นชิง ฆ่าคน แต่เป็นอาญาต่อรัฐโดยตรง คือความผิดหัวข้อกบฏทั้งหมด เขาจะสันนิษฐานว่าคนเหล่านั้นบริสุทธิ์ก่อน ไม่มีทาง กฎหมายหมิ่นจึงออกมาว่าคุณผิดก่อนจนกว่าจะพิสูจน์ว่าบริสุทธิ์ เพียงแต่เขาไม่พูดออกมาชัดๆ แต่ถือก่อนว่าคนเหล่านั้นมีความผิดจึงถูกปฏิบัติเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการทรมาน คุณไปถามใครที่เคยติดคุก เราจะเจอการทรมานทั้งนั้น
“คุณวันชาติ ศรีจันทร์สุข คนเสียชีวิตรายสุดท้าย ไม่ได้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 6 ตุลา แต่ผูกคอตายในคุก ผมไม่รู้จนบัดนี้ว่าเขาผูกคอตายเพราะอะไร แต่เท่าที่ได้ยินและเล่าลือระหว่างอยู่ในคุกด้วยกัน เขาถูกรังแกจากขาใหญ่ในคุก ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการทรมาน เลยแขวนคอตาย การทรมานเหล่านี้ ถ้าเขาสันนิษฐานก่อนว่าคุณบริสุทธิ์ คุณต้องได้รับการประกัน หรือกรณีร้ายแรง เขาต้องปฏิบัติกับคุณอย่างดี แต่ของไทยการทรมานมักจะเกิดขึ้นในคดีร้ายแรง
“คดีร้ายแรงแปลว่าอะไร แปลว่าคดีอาญาที่ร้ายแรง ความผิดที่ละเมิดต่ออำนาจรัฐ ไม่ว่าจะละเมิดในแง่ว่าคุณฆ่าคนหรือละเมิดต่อตัวรัฐเอง ผมเขียนในบทนี้ว่า นิติวัฒนธรรมไทยมีหลายเรื่องมากที่เราต้องกลับมาทบทวนว่า เราอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น คำสั่งผู้ปกครองคือกฎหมายอันชอบธรรม อันนี้นักกฎหมายแทบทุกคนรู้ว่าวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างนี้ ศาลถึงออกมาบอกว่าคำสั่งคณะรัฐประหารทุกครั้งถือว่าเป็นกฎหมายที่ชอบธรรม เนื่องจากมีคนเขียนเรื่องนี้ไม่กี่คน เช่น อาจารย์แสวง บุญเฉลิมวิภาสอาจารย์กิตติศักดิ์ ปรกติ จะอธิบายว่าอันนี้เป็นหลักกฎหมาย เป็นสำนักหนึ่งของกฎหมายฝรั่ง ที่เรียกว่า Legal Positivism แล้วเราลอกเลียนมา พูดง่ายๆ ว่าการเปลี่ยนกฎหมายสมัยใหม่ เราเป็นฝรั่งมากไป จึงทำให้คำสั่งของผู้ปกครองเป็นกฎหมายในตัวมันเอง
“เขาไม่เคยคิดกลับกันว่า หลักกฎหมายเดียวกันนี้เป็นหลักเดียวกับหลักกฎหมายฮินดู-พุทธที่อยู่ในสังคมไทยมาเป็นร้อยๆ ปี ผู้ปกครองออกคำสั่ง ออกกฎหมายได้เอง เพราะฉะนั้นขณะที่อาจารย์แสวงหรืออาจารย์กิตติศักดิ์บอกว่า เราเป็นฝรั่งมากไป เราควรนำระบบธรรมะนิยมกลับมามากขึ้น ผมตั้งคำถาม อาจจะเป็นเพราะเป็นธรรมะนิยมแบบเดิมๆ มากไปต่างหาก เรายังเปลี่ยนไม่พอ
“ความยุติธรรมแบบไทยๆ คำว่า Justice รากของมันมาจากภาษาละตินว่า Jus มันไม่ได้แปลว่าธรรมะ ธรรมะคือภาวะที่กลับสู่ภาวะปกติ ภาวะปกติคืออะไรของพุทธ คือภาวะที่สมดุล ภาวะสมดุลกับ Jus ของละติน Jus ต้องมีการลงโทษ คือผิดต้องถูกลงโทษ ธรรมะกับ Jus ไม่ค่อยเหมือนกัน พอเราทำให้คำว่า Justice แปลว่ายุติธรรม เอาเข้าจริงไม่เหมือนกันเป๊ะ
"การสารภาพในกรณีคนที่ทำความผิดตามมาตรา 112 เราอาจจะเชื่อว่าในทางปฏิบัติช่วยให้ติดคุกสั้นลง มีโอกาสได้อภัยโทษ แต่คุณเคยคิดมั้ยว่า นี่คือการทำลายความเป็นมนุษย์ของคนที่เชื่อแบบนั้น"
“ตอนปรับตัวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ความยุติธรรมแปลว่าอะไร เป็นประเด็นหนึ่งที่รัชกาลที่ 4 กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ถกเถียงกันอย่างหนัก ทุกคนเหมือนกัน ลากเข้าพุทธหมด แต่การลากเข้าพุทธยังต่างกัน พระประยุทธ์ ปยุตโต ก็เคยเขียนเรื่องนี้ไว้ ก็ลากความยุติธรรมเข้าหาพุทธเหมือนกัน ผมไม่แน่ใจว่าความยุติธรรมในสังคมไทยเท่ากับ Justice หรือเปล่า”
การทำลายความเป็นมนุษย์ของมาตรา 112
“มาตรา 112 ผมถือเป็นตัวอย่างสุดยอดของการละเมิดรัฐ แต่ไม่ใช่เสมอไปนะ มันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณสามสี่สิบปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นมาตรา 112 ไม่ได้เลวร้ายขนาดนี้หรอก แต่ทำไมในยุคหลังจึงอาการหนักขนาดนี้ เพราะการใช้มาตรา 112 แบบที่เป็นอยู่เป็นสัญลักษณ์ของภาวะวิกฤตในระบอบการปกครองที่ผมเรียกว่าประชาธิปไตยแบบมีพระมหากษัตริย์เหนือการเมือง จึงต้องใช้มาตรา 112 และมาตรา 112 ได้รวบรวมเอาสิ่งที่เป็นจารีตธรรมเนียมปฏิบัติในกฎหมายโบราณไว้เต็มไปหมด ตั้งแต่สันนิษฐานว่าคุณผิด ไม่ให้ประกัน จนถึงวิธีการที่น่าสนใจ ซึ่งผมยังไม่เห็นใครเขียน คือการสารภาพ
“วิธีการแบบโบราณกับความผิดอาญา เขาจะมีการบีบบังคับทรมานเพื่อให้สารภาพ การสารภาพไม่ได้เกิดจากความสมัครใจอยากจะสารภาพ บังคับทรมานเพื่อให้สารภาพให้ได้ การสารภาพในกรณีคนที่ทำความผิดตามมาตรา 112 เราอาจจะเชื่อว่าในทางปฏิบัติช่วยให้ติดคุกสั้นลง มีโอกาสได้อภัยโทษ แต่คุณเคยคิดมั้ยว่า นี่คือการทำลายความเป็นมนุษย์ของคนที่เชื่อแบบนั้น
“การทำลายความเป็นมนุษย์ชนิดนี้ไม่มีในกฎหมายโบราณ ซึ่งไม่ได้แคร์เรื่องความเป็นมนุษย์ แต่เราเป็นมนุษย์สมัยใหม่ เรามีความเชื่อ และในกรณีนี้มันเป็น Thought Crime เป็นความผิดทางอาญาเนื่องจากความคิด วิธีการที่เขาใช้คือใช้หลักโบราณ คือบังคับให้สารภาพ แต่ด้วยวิธีการสมัยใหม่ คือมีแรงจูงใจให้สารภาพว่าข้าพเจ้ายอมรับผิดแล้วนะ ผมใช้ตัวอย่างชะตากรรมของวิลสัน สมิธ ในหนังสือ 1984 ที่ถูกบีบบังคับทรมานเพื่อให้สารภาพยังไง และเพื่อให้กลับออกไปมีชีวิตอย่างไร้ชีวิตในสังคมนั้น”
อภิสิทธิ์ปลอดความผิดคือส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมและนิติรัฐไทย
“สุดท้าย ทั้งหมดนี้ ผมเสนอว่าอภิสิทธิ์ปลอดความผิด ก็เนื่องจากนิติรัฐของไทยไม่เคยเป็นนิติรัฐที่สถาปนาบนฐานปัจเจกบุคคล ไม่ใช่นิติรัฐที่อยู่บนฐานที่ว่าประชาชนทุกคนเสมอภาค เท่ากัน แต่เป็นนิติรัฐที่ยังรองรับความเหลื่อมล้ำเป็นช่วงชั้น โดยเฉพาะความเป็นช่วงชั้นของไทย ไม่ใช่ชนชั้นแบบมาร์กซ์ มันเป็นสถานะและช่วงชั้นตามฐานะอำนาจ ชั้นของไทยเป็นชั้นตามฐานะอำนาจ อำนาจในที่นี่ไม่ได้ต้องเป็นอำนาจรัฐ ยกตัวอย่างเช่นแม่บ้าน พ่อบ้าน ก็มีอำนาจเหนือลูก พ่อบ้านในความหมายหมู่บ้านก็มีอำนาจเหนือลูกบ้าน ไม่ได้ต้องเป็นรัฐ แต่หมายถึงระดับความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ไม่ใช่รัฐอย่างเดียวที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคมทั่วทั้งสังคม ความเป็นช่วงชั้นของคนมันจัดตามอำนาจ นิติรัฐชนิดนี้ยังไม่ได้ทำลาย หรือไม่ได้อยู่บน หรืออย่างน้อยที่สุดอยู่ควบคู่กับการที่สังคมมีช่วงชั้น มันเป็น Patrimonial Rule of Law
“ฝรั่ง Rule of Law คือบุคคลเสมอภาคกัน เสมอภาคในระดับแนวราบ พอผมใส่คำว่า Patrimonial Rule of Law มันจึงเกิดนิติรัฐอย่างลดหลั่นตามชั้นชน อภิสิทธิ์ปลอดความผิดหรือ Impunity จึงเป็นส่วนหนึ่งอยู่แล้วในวัฒนธรรมและนิติรัฐชนิดนี้ เพราะใครยิ่งอยู่สูง ยิ่งมีอภิสิทธิ์มาก ใครอยู่ต่ำ อภิสิทธิ์น้อยหน่อย เช่นรวยแต่สถานะไม่สูงมาก อย่างมากก็ช่วยคุณเรื่องคุณขับรถชนคนตาย แต่ถ้าอยู่ในสถานะสูงมาก อำนาจมาก คุณอาจได้รับอภิสิทธิ์ปลอดความผิดต่อให้คุณสั่งฆ่าประชาชน เพราะคุณทำในนามของรัฐ กล่าวอย่างนามธรรม รัฐได้รับอภิสิทธิ์ปลอดความผิดอย่างสมบูรณ์ เอาผิดรัฐลำบาก เมื่อทุจริต ต้องขอดูก่อน เป็นอภิสิทธิ์ปลอดความผิดชนิดหนึ่ง
"พอผมใส่คำว่า Patrimonial Rule of Law มันจึงเกิดนิติรัฐอย่างลดหลั่นตามชั้นชน อภิสิทธิ์ปลอดความผิดหรือ Impunity จึงเป็นส่วนหนึ่งอยู่แล้วในวัฒนธรรมและนิติรัฐชนิดนี้ เพราะใครยิ่งอยู่สูง ยิ่งมีอภิสิทธิ์มาก ใครอยู่ต่ำ อภิสิทธิ์น้อยหน่อย"
“ในเมื่อนิติรัฐของไทยเป็นช่วงชั้น ความมีอภิสิทธิ์มีช่วงชั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของ Patrimonial Rule of Law เช่นนี้ เพราะฉะนั้นความเข้าใจที่เราเข้าใจสังคมไทยว่าประชาชนเสมอภาคเบื้องหน้ากฎหมายต่างๆ นานา เราเข้าใจผิด หรืออย่างน้อยที่สุดเราเข้าใจถูกเพียงครึ่งเดียว คือมันมีสองภาวะดำรงอยู่ควบคู่กันตลอดเวลา ความสัมพันธ์ทางอำนาจที่สถาปนาด้วยการเขียนออกมาเป็นกฎหมายในแบบเดิมกับแบบใหม่ มันผสมปนเปกันอยู่ ผมไม่กล้าพูดว่าผสมปนเปแค่ไหน คงแล้วแต่กรณี
“ทั้งหมดนี้คือเฟรมเพื่อจะเข้าใจว่าทำไม...ไม่เพียงแต่กรณีต่างๆ ที่เราฟังในที่นี้ แต่ลึกๆ มันคือสังคมไทย มันยาก หลายวันที่ผ่านมา ผมพยายามพูดหลายครั้ง เรื่องอย่างนี้เรายังพออยู่กับมันได้ ไม่ถึงกับจะเป็นจะตายพรุ่งนี้มะรืนนี้ แต่ขณะเดียวกัน การต่อสู้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพียงชั่วข้ามคืน ต่อให้คุณปฏิวัติทางการเมืองได้พรุ่งนี้ ซึ่งสำคัญนะ มันช่วยปลดล็อกไปเยอะ 2475 ต่อให้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็เป็นตัวอย่างแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงเรื่องนิติรัฐ เรื่องวัฒนธรรมเหล่านี้ มันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ชั่วข้ามคืน เราหนีไม่พ้นที่จะต้องต่อสู้ในกรณีต่างๆ ซึ่งสะท้อนภาพใหญ่อย่างที่กล่าวมา แต่การต่อสู้หนีไม่พ้นการต่อสู้ผ่านกรณีต่างๆ เหล่านั้น ต่อให้คุณจำที่ผมพูดได้หมดก็ไม่มีประโยชน์ ต้องต่อสู้ผ่านเคสรูปธรรมจำนวนมากเพื่อจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ จุดขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่น่าจะมีวิธีการอื่น วันนี้ผมขอจบแค่นี้ครับ”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น