วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

กสทช.แนะวิธีรายงานข้อความ 'ไม่บังควร' ในโซเชียลมีเดีย

20 ต.ค. 2559 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เผยแพร่ภาพในเพจเฟซบุ๊ก แนะนำช่องทางสำหรับแจ้งหน่วยงานรัฐ เมื่อพบข้อความ "ไม่บังควร" ในโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยแนะนำให้แจ้งลิงก์หรือยูอาร์แอลไปที่ 1212@mict.go.th, mm@rta.mi.th หรือ web_report@nbtc.go.th พร้อมแนะนำไม่ให้กดไลก์ กดแชร์ หรือแสดงความเห็น
นอกจากนี้ ยังมีการแนะนำวิธีรายงานเนื้อหาไม่เหมาะสมไปยังเฟซบุ๊กและยูทูบด้วย

ให้ไอเอสพีมอนิเตอร์เนื้อหาโลกออนไลน์ พบไม่เหมาะสมระงับทันที

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา สำนักงาน กสทช. ทำหนังสือถึงผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทุกรายให้ดำเนินการดังต่อไป นี้
1. ให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใดๆ ผ่านเว็บไซต์หรือสื่อออนไลน์โดยเคร่งครัด
2. นอกจากการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลข้างต้นแล้ว ให้ติดตามและตรวจสอบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต และหากตรวจพบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ไม่เหมาะสม ให้ดำเนินการระงับหรือยับยั้งการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวในทันที รวมทั้งประสานไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง  เช่น เฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์, ยูทูบ, ไลน์ ฯลฯ ให้ดำเนินการระงับหรือยับยั้งการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวในทันที ทั้งนี้ หากพบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใดที่ไม่เหมาะสมแล้วไม่ดำเนินการระงับหรือยับยั้ง การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวในทันทีแล้ว ถือเป็นความผิดร้ายแรงที่ กสทช. จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
3. ให้จัดตั้งหน่วยตรวจสอบขึ้นภายในองค์กรหรือหน่วยงานท่านเพื่อติดตามและตรวจสอบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใดๆ ผ่านเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ ตลอด 24 ชั่วโมง และหากพบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใดที่ไม่เหมาะสมแล้วให้ดำเนินการตาม 2. โดยทันที และให้แจ้งผลการดำเนินการให้สำนักงาน กสทช. ทราบโดยเร็ว  
4. สำนักงาน กสทช. จะร่วมติดตามและตรวจสอบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใดๆ ผ่านเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยหากพบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใดที่ไม่เหมาะสม จะดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อผู้กระทำผิดโดยตรงกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ต่อไป ซึ่งสำนักงาน กสทช. ได้ประสานช่องทางการดำเนินการดังกล่าวกับ ปอท. ไว้แล้ว
ทั้งนี้ หากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใดไม่ปฏิบัติตามดังที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาต สำนักงาน กสทช. จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายให้ถึงที่สุดต่อไป
 

กระทรวงดิจิทัล เผยระดม 100 คนมอนิเตอร์เว็บหมิ่น 24 ชม.

ขณะที่วานนี้ (19 ต.ค.) พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า กระทรวงดีอี ทำหน้าที่ในการตรวจสอบเว็บหมิ่น 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งประสานงานกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) อย่างใกล้ชิด ด้วยการใช้ประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 26 ที่ระบุความผิดเกี่ยวกับเนื้อหาที่กระทบต่อความมั่นคง ยั่วยุ หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ หากเข้าข่ายความผิดดังกล่าว รัฐบาลสามารถปิดเว็บหมิ่นได้ทันที ซึ่งส่วนใหญ่เว็บที่ถูกปิดจะเป็นเว็บในประเทศ แต่หากเป็นเว็บที่ต้องเข้ารหัส ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเว็บในต่างประเทศ รัฐบาลต้องใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ที่ระบุความผิดเกี่ยวกับลามก อนาจาร หมิ่นสถาบัน ซึ่งต้องมีการตรวจสอบหาหลักฐาน ซึ่งปกติใช้เวลา 15 วัน กว่าจะส่งเรื่องมาให้รัฐมนตรีดีอี ตรวจสอบ ลงนาม และส่งเรื่องต่อไปยังศาล เพื่อขอหมายศาล และแจ้งไปยังผู้ให้บริการในต่างประเทศ โดยกระทรวงจะพยายามเร่งรัดขั้นตอนนี้ให้เร็วที่สุด
พล.อ.อ.ประจิน ระบุด้วยว่า กระทรวงฯ มีศูนย์ตรวจสอบเว็บหมิ่น 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว แต่ในกรณีนี้ได้เพิ่มกำลังบุคลากรที่ศูนย์ปฏิบัติการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (CSOC) เพื่อคอยตรวจสอบเว็บไม่เหมาะสมที่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) จำนวน 28 คน ผลัดหมุนเวียนตลอด 24 ชม. รวมกับศูนย์กองป้องกัน และปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ปท.) กระทรวงดีอี จำนวน 30 คน และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ของ สตช. จำนวน 60 คน รวมกว่า 100 คน

กสม.ชี้ใช้ความรุนแรงต่อผู้ถูกกล่าวหาหมิ่นฯถือว่าละเมิดสิทธิ ตร.สระแก้วจับหนุ่มวัย 18 ตั้งข้อหาโพสต์หมิ่นฯ

วัส ติงสมิตร ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 

ปธ.คณะกรรมการสิทธิฯ เตือนด่าหรือทำร้าย ใช้ความรุนแรงกับผู้ถูกกล่าวหาหมิ่นสถาบันเป็นการละเมิดสิทธิฯ แนะหากคิดว่าผิดก็ไปแจ้งความ ขณะที่ ตร.สระแก้วจับหนุ่มวัย 18 ตั้งข้อหาโพสต์หมิ่นสถาบัน เจ้าตัวอ้างเมากัญชา
20 ต.ค. 2559 วัส ติงสมิตร ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวถึงกรณีเหตุการณ์ประชาชนใช้ความรุนแรงกับคนที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายหมิ่นสถาบันนั้นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งประชาชนไม่มีสิทธิทำอย่างนั้นเพราะต้องให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ใครทำผิดก็ไปแจ้งความ หรือจะช่วยเจ้าหน้าที่จับกุมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่จะไปด่า ไปทำร้ายเขาไม่ได้ เพราะแม้แต่เจ้าหน้าที่เองก็ยังไม่มีอำนาจทำร้ายเขา สิ่งเหล่านี้ขอให้ประชาชนช่วยระมัดระวัง เพราะการใช้อารมณ์ความรู้สึกจะทำให้เกิดปัญหาได้

ตร.สระแก้วจับหนุ่มวัย 18 ตั้งข้อหาโพสต์หมิ่นสถาบัน เจ้าตัวอ้างเมากัญชา

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ และ ข่าวสดออนไลน์ รายงานด้วยว่า จากกรณีที่ศูนย์ 191 ตำรวจสระแก้ว ได้รับแจ้งจากประชาชนว่าชายคนหนึ่งโพสต์ในเฟซบุ๊กเข้าข่ายดูหมิ่นสถาบัน จึงตรวจสอบและพบว่ามีการกระทำดังกล่าว ก่อนประสานไปยัง สภ.วัฒนานคร และส่งเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวเจ้าของเฟซบุ๊คดังกล่าว เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 19 ต.ค. หลังจากโพสต์ข้อความไปเพียง 4 ชม. โดยเป็นเยาวชน อายุ 18 ปี 
จากการสอบถามเบื้องต้นยังให้การปฎิเสธ โดยอ้างว่า มีคนอื่นแอบเอาไปเล่น เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจค้นภายในห้องพักพบกัญญา จำนวน 26 ห่อเล็ก น้ำหนัก 25.44 กรัม จึงได้ควบคุมตัวมาสอบเพื่อขยายผลเพิ่มเติม จนกระทั่งเวลาประมาณ 01.00 น. ผู้ต้องหาจำนนต่อหลักฐานจึงยอมรับสารภาพว่าเป็นคนโพสข้อความหมิ่นสถาบันในเฟซบุ๊กของตัวเอง ที่ใช้ชื่อว่า “เคี๊ย อ๊อฟ” จริง โดยอ้างว่าเนื่องจากเมากัญชา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ภจว.สระแก้ว จึงนำส่ง พ.ต.ท กตัญญู พงเกาะ สว.(สอบสวน) สภ.วัฒนานคร ดำเนิคดีในข้อหา มีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย 
ต่อมาเช้าวันที่ 20 ต.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหามาส่งให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสระแก้ว พื้นที่ที่พบการกระทำผิดดำเนินคดีหมิ่นฯ ตามข้อความมีโพสข้อความในเฟซบุ๊กหลายข้อความ โดยได้ประชุมแนวทางดำเนินคดีร่วมฝ่ายทหาร ตาม ม.112  ที่ สภ.เมืองสระแก้ว ต่อไป 

จันทบุรี ปชช.ล้อมหญิงวัยกลางคน หลังถูกกล่าวหาว่าเขียนหมิ่นฯ ในสมุดลงนาม


20 ต.ค. 2559 ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า เมื่อเวลา 08.00 น. ร.ต.อ.อภิชาติ โกเนตรสุวรรณ ร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี ได้รับแจ้งจาก ชยุต อภิรักษ์อัตรา ประธานชุมชนย่อยที่ 4 ว่า จับหญิงวัยกลางคนหลังเขียนข้อความหมิ่นเบื้องสูงในสมุดลงนามถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมารับตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย
      
หลังรับแจ้ง ร.ต.อ.อภิชาติ โกเนตรสุวรรณ ร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ ได้รุดไปที่เกิดเหตุ เมื่อเดินทางไปถึงพบชาวบ้านได้ยืนล้อมกรอบหญิงวัยกลางคนเอาไว้ พร้อมกับนำหลักฐานที่หญิงวัยกลางคนได้เขียนข้อความหมิ่นเบื้องสูงในสมุดลงนามถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ชาวชุมชนย่อยที่ 4 ได้ตั้งสมุดลงนามถวายความอาลัยให้ประชาชนได้ร่วมแสดงความอาลัยไว้ภายในชุมชนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดู ซึ่งสร้างความไม่พอใจ และความโมโหให้แก่ชาวบ้านชุมชนย่อยที่ 4 เป็นอย่างมาก ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ควบคุมตัวหญิงวัยกลางคนไปที่สถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี ก่อนที่หญิงวัยกลางคนจะถูกชาวบ้านรุมทำร้าย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
      
ชยุต อภิรักษ์อัตรา ประธานชุมชนย่อยที่ 4 กล่าวว่า ตนเองได้ขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมายังจุดที่ลงนามถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเห็นหญิงวัยกลางคนกำลังนั่งเขียนข้อความอยู่ในสมุดลงนามพอดี ซึ่งตนเองเข้าใจว่าเป็นประชาชนทั่วไปมาลงนามเฉยๆ จากนั้นตนเองก็ไปเลือกผ้า หลังไปไม่นานก็ได้มีเจ้าของบ้านที่อยู่ใกล้กับจุดลงนามว่า มีใครไม่รู้ที่ลงนามคนสุดท้ายมาเขียนข้อความหมิ่นเบื้องสูง ตนเองจึงได้ขี่รถจักรยานยนต์ตามหา และก็พบหญิงวัยกลางคนเดินอยู่จึงได้เข้าไปสอบถามชื่อหญิงวัยกลางคน แต่หญิงวัยกลางคนไม่บอก กับบอกแก่ตนเองว่า จะทำไม ซึ่งตนเองเลยถามว่าคุณเขียนอะไรไปที่สมุดลงนาม หญิงวัยกลางคนบอกแล้วจะทำไม ตนเองจึงได้เรียกชาวบ้านให้ช่วยกันจับหญิงวัยกลางคน ก่อนที่จะโทร.แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมารับตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายดังกล่าว 
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า วันเดียวกัน ที่ จ.สระแก้ว เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวเยาวชน อายุ 18 ปี พร้อมตั้งข้อหาโพสข้อความหมิ่นสถาบันในเฟซบุ๊กของตัวเอง รวมทั้งดำเนิคดีในข้อหา มีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนเจ้าตัวอ้างว่าเนื่องจากเมากัญชา  (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

ยิ่งลักษณ์ห่วงคดีจำนำข้าว คิดถึงเรื่อง 'กำไร-ขาดทุน' รัฐบาลต่อไปจะดูแลปชช.ยากขึ้น


ยิ่งลักษณ์ เข้ารับฟังการสืบพยานจำเลยนัดที่ 5 ในคดีข้อกล่าวหาทุจริตจำนำข้าว พร้อมปฏิเสธจ่ายค่าเสียหายคดีละเมิด 3 หมื่นล้านยืนยัน ไร้ความยุติธรรม ขณะที่ประชาชนแต่งกายด้วยชุดสีดำชูป้ายให้กำลังใจ 
ที่มาภาพ เฟซบุ๊ก TV24 สถานีประชาชน
21 ต.ค. 2559 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมทีมทนาย เดินทางมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อขึ้นสืบพยานฝ่ายจำเลยนัดที่ 5 ในคดีโครงการรับจำนำข้าว ด้วยสีหน้าเรียบเฉย โดยมีบรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) และอดีตส.ส. และสมาชิกพรรค ร่วมให้กำลังใจ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 จำนวน 1 กองร้อย ทั้งนี้ทันทีที่ ยิ่งลักษณ์ มาถึง ประชาชนซึ่งวันนี้ได้แต่งกายด้วยชุดสีดำชูป้ายให้กำลังใจ โดยไม่ได้ส่งเสียงเชียร์
มติชนออนไลน์ รายงานว่า  ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าศาลกรณีกระทรวงการคลังส่งคำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหายในคดีโครงการรับจำนำข้าวกว่า 35,000 ล้านบาทว่า ได้รับหนังสือทางปกครองแล้วเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา ส่วนจะทำอย่างไรต่อไปนั้น ขอเรียนว่าในช่วงที่คนไทยกำลังโศกเศร้าจะยังไม่ขอแถลงการณ์ใดๆ จนกว่าจะถึงเวลาอันควร ซึ่งการออกคำสั่งดังกล่าวไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมกับตนเป็นอย่างมาก เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องนโยบายและยังไม่เคยมีใครถูกกระทำในเวลาอันเร่งรีบมาก่อน
“ดิฉันขอยืนยันจะใช้สิทธิทุกช่องทาง ทางกฎหมายที่มีในการต่อสู้ครั้งนี้ และขอปฏิเสธข้อกล่าวหาต่างๆ รวมถึงการใช้คำสั่งที่ไม่ถูกต้องและเป็นธรรม และจะเปิดแถลงการณ์ในเวลาอันควร เพราะเป็นช่วงที่คนไทยทั้งประเทศโศกเศร้า เราคิดว่าเราคงจะไม่พูดอะไรมากในตอนนี้” ยิ่งลักษณ์ กล่าว
ยิ่งลักษณ์ กล่าวอีกว่า อีกทั้งการดำเนินคดีนี้จะทำให้การบริหารนโยบายเพื่อชาวนาเป็นไปด้วยความยากลำบาก เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง การคิดถึงเรื่องกำไร ขาดทุน รัฐบาลต่อไปคงจะดูแลประชาชนและชาวนาได้ยากขึ้น และมาตรการต่างๆ คงจะไม่สามารถมีได้อีกต่อจากนี้
ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า ไม่ได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการพิจารณาค่าเสียหายตั้งแต่ต้น หลังจากนี้จะแถลงการณ์ในวัน และเวลาที่เหมาะสม
Voice TV รายงานด้วยว่า สำหรับวันนี้ ทนายความจำเลยเบิกตัวพยาน 2 ปากขึ้นแก้ข้อกล่าวหา ประกอบด้วย วรวิทย์ จำปีรัตน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ขึ้นเบิกความยืนยันกระบวนการประเมินความคุ้มค่าของโครงการต่ออดีตคณะรัฐมนตรี และ เกษม มกราภิรมย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบาย และกำกับการบริหารหนี้สาธารณะในขณะนั้น ขึ้นเบิกความการควบคุมวินัยทางการคลัง ในช่วงที่รัฐบาลกู้เงินในทุกฤดูกาลผลิต

เลิกมโน ผู้ว่าฯนนท์ แจงหญิงสาวเสื้อสีส้มลงนามไว้อาลัยเป็นผู้ป่วยทางจิต


หลังกระแสวิจารณ์ความเหมาะสมหญิงสวมเสื้อสมลงนามไว้อาลัย รวมทั้งจินตนาการเป็น 'ลูกเกด NDM' ไปจนถึงแผนล่อให้คนมาทำร้าย ล่าสุด ผู้ว่าฯ นนทบุรี แถลงยืนยันจากการตรวจสอบ เธอเป็นผู้ป่วยทางโรคจิตเฉียบพลัน
21 ต.ค. 2559 จากกรณีมีผู้นำภาพผู้หญิงใส่เสื้อสีส้มลงนามไว้อาลัยในหลวง ที่ศาลากลางหลังเก่าจังหวัดนนทบุรี โพสต์ผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตพร้อมวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม รวมทั้งมีผู้พยายามเชื่อมโยงว่าเธอเป็น ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือลูกเกด สมาชิกกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ (NDM) จน ชลธิชา ต้องเดินทางไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจภูธรพุทธมณฑล นครปฐม โดยยืนยันว่าบุคคลเสื้อส้มในภาพนั้นไม่ใช่ตนเองและตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับการกระทำดังกล่าว (อ่านรายละเอียด) นั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ที่ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี นิสิต จันทร์สมวงศ์ ผวจ.นนทบุรี สุธี ทองแย้ม รอง ผวจ. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุศักดิ์ ปรักกมะกุล ผบก.ภ.จว.นนทบุรี และ นพ.สรวุฒิ เกษมสุข จิตแพทย์ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ร่วมกันแถลงข่าวข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ดังกล่าว ระบุว่า ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย รวมทั้งจิตแพทย์ได้ไปยังบ้านหญิงสาวรายนี้ที่บ้านพัก พบว่า เป็นผู้ป่วยทางโรคจิตเฉียบพลัน (Acute and Transient Psychotic Disorders) โรคจิตในกลุ่มนี้มีลักษณะหลากหลายแตกต่างกัน (Heterogenous) โดยอาการทางจิตเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบด้วย อาการหลงผิด ประสาทหลอน การรับรู้ผิดปกติและพฤติกรรมผิดปกติ เบื้องต้นทางจังหวัดนนทบุรีได้ส่งคณะจิตแพทย์ติดตามดูแลบุคคลดังกล่าวแล้ว 
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า กรณีผู้หญิงใส่เสื้อสีส้มนี้นอกจากมีการพยายามโยงกับ ชลธิชา แล้ว ยังมีความพยายามโยงว่า เธอ เข้ามากระทำการดังกล่าวเพื่อหวังให้คนมาทำร้ายหรือใช้ความรุนแรงกับเธอ โดย เพจการ์ตูนอย่าง 'เผาหัว' ยังมีการวาดภาพในลักษณะนี้ด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2559

กระทรวงดิจิทัล เผยระดม 100 คนมอนิเตอร์เว็บหมิ่น 24 ชม.

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง

19 ต.ค. 2559 พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า กระทรวงดีอี ทำหน้าที่ในการตรวจสอบเว็บหมิ่น 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งประสานงานกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) อย่างใกล้ชิด ด้วยการใช้ประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 26 ที่ระบุความผิดเกี่ยวกับเนื้อหาที่กระทบต่อความมั่นคง ยั่วยุ หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ หากเข้าข่ายความผิดดังกล่าว รัฐบาลสามารถปิดเว็บหมิ่นได้ทันที ซึ่งส่วนใหญ่เว็บที่ถูกปิดจะเป็นเว็บในประเทศ แต่หากเป็นเว็บที่ต้องเข้ารหัส ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเว็บในต่างประเทศ รัฐบาลต้องใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ที่ระบุความผิดเกี่ยวกับลามก อนาจาร หมิ่นสถาบัน ซึ่งต้องมีการตรวจสอบหาหลักฐาน ซึ่งปกติใช้เวลา 15 วัน กว่าจะส่งเรื่องมาให้รัฐมนตรีดีอี ตรวจสอบ ลงนาม และส่งเรื่องต่อไปยังศาล เพื่อขอหมายศาล และแจ้งไปยังผู้ให้บริการในต่างประเทศ โดยกระทรวงจะพยายามเร่งรัดขั้นตอนนี้ให้เร็วที่สุด
 พล.อ.อ.ประจิน กล่าวว่า วันที่ 14 ต.ค. ที่ผ่านมา พบเว็บหมิ่นสถาบันประมาณ 52 เว็บเพจ ขณะที่วันที่ 15 ต.ค. พบจำนวน 61 เว็บเพจ โดยสามารถปิดกั้นได้บางส่วนคิดเป็น 35% ของเว็บเพจที่ตรวจพบ แต่ก็นับว่าได้รับความร่วมมือจากผู้ให้บริการเป็นอย่างดี ซึ่งในต่างประเทศเองก็ได้ให้กระทรวงต่างประเทศ ประสานงานกับทูตในประเทศต่างๆ ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเช่นกัน รวมถึงไลน์ และ เฟซบุ๊ก ทั้งนี้ นอกจากรัฐบาลจะใช้มาตรการทางกฎหมาย ก็จะให้ความรู้กับประชาชนให้ทำความเข้าใจว่า ไม่ควรกดไลก์ กดแชร์ หรือเก็บข้อมูลที่ไม่เหมาะสมดังกล่าวไว้ เพราะจะมีความผิดด้วย
"เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน มีการเพิ่มกำลังคน 3-5 เท่า ในศูนย์ดูแล 24 ชั่วโมงของ ปอท. และของกระทรวงที่ บมจ.ทีโอที คอยดูแลด้วย และได้รับความรับมืออย่างยิ่งกับ กสทช. ไอเอสพี (ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต) และผู้ให้บริการในต่างประเทศ เพื่อลดผลกระทบ เพื่อไม่ให้ประชาชนที่มีความโศกเศร้าอยู่แล้ว ได้รับผลกระทบทางจิตใจมากขึ้น แต่เราไม่อยากให้ทุกอย่างออกมาอยู่ในสื่อสาธารณะทุกเรื่อง เพราะเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม แต่ขอให้เข้าใจว่า มีการทำงานต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมงอย่างจริงจัง" พล.อ.อ.ประจิน กล่าว
      
พล.อ.อ.ประจิน ระบุด้วยว่า กระทรวง มีศูนย์ตรวจสอบเว็บหมิ่น 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว แต่ในกรณีนี้ได้เพิ่มกำลังบุคลากรที่ศูนย์ปฏิบัติการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (CSOC) เพื่อคอยตรวจสอบเว็บไม่เหมาะสมที่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) จำนวน 28 คน ผลัดหมุนเวียนตลอด 24 ชม. รวมกับศูนย์กองป้องกัน และปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ปท.) กระทรวงดีอี จำนวน 30 คน และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ของ สตช. จำนวน 60 คน รวมกว่า 100 คน
"จากที่ตรวจสอบพบมีต้นทางที่เป็นเว็บไซต์หมิ่นสถาบันราว 50-60 เว็บที่เราตามอยู่ แต่จากจำนวนนี้จะมีส่วนที่เกี่ยวโยงไปอีก 5-6 เท่า ที่เป็นเครือข่ายย่อย ซึ่งก็มีส่วนที่ปิดได้โดยอำนาจ คสช. ตามประกาศฉบับ 26 อีกส่วนกำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานเพื่อเข้าสู่กระบวนการศาล ซึ่งเข้าข่ายทั้ง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา" พล.อ.อ.ประจิน กล่าว

โปรดเกล้าฯ ถอดยศ 'ร.ต.ภัฏณัฐ' นายทหาร เหตุสั่งซ้อมพลฯทรงธรรม ที่ยะลาจนเสียชีวิต


19 ต.ค. 2559 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีเรื่อง พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถอดยศทหาร  โดยระบุว่า มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถอด ร.ต.ภัฏณัท เลิศชัยกุล สังกัดกองทัพบก ออกจากยศทหาร ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. 2559 ซึ่งเป็นวันที่มีคําสั่งปลดออกจากราชการ เนื่องจากกระทําความผิดวินัยทหารฐานขัดคําสั่งผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายและการขัดคําสั่งนั้นเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติยศทหาร พุทธศักราช 2479 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยศทหาร (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2501 ประกอบระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยผู้ซึ่งไม่สมควรจะดํารงอยู่ในยศทหารและบรรดาศักดิ์ พ.ศ. 2507 ข้อ 2
ประกาศ ณ วันที่ 7 ต.ค. พ.ศ.2559 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
 
ผู้จัดการออนไลน์ รายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ภัฏณัฐ ถูกระบุว่าเคยเป็นนายทหารเวร และออกคำสั่งให้ทหารเวรลงโทษ ซึ่งกรณีนี้มี 6 นายทหารร่วมกระทำความผิด ลงโทษวินัย พลทหาร ทรงธรรม หมุดหมัด สังกัดค่ายพยัคฆ์ กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 152 (ร.152 พัน.1) อ.บันนังสตา จ.ยะลา จนเสียชีวิต และกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสังคม เนื่องจากมีรายงานข่าวว่าจริงๆ แล้วพลทหารทรงธรรมที่เกิดเรื่องก็เนื่องจากต้องการทวงเงินจำนวน 5,000 บาทที่ถูกผู้บังคับบัญชาเอาไป จนเกิดการทะเลาะกันเพราะผู้บังคับบัญชาไม่ยอมคืนเงินให้ ต่อมาได้มีการลงโทษทารุณพลทหารทรงธรรมทั้งคืนตั้งแต่ 4 ทุ่มจนถึงตี 4 ทำให้พลทหารทรงธรรมบาดเจ็บสาหัส กระทั่งเสียชีวิตในที่สุด      
 
โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้สั่งให้ลงโทษและสอบสวนครูฝึกที่เกี่ยวข้อง โดยระบุว่า “ถ้าผิดจริงจะต้องปลดออก งดบำเหน็จบำนาญ ต้องว่าไปตามวินัยของทหารและคดีอาญา”
 
ขณะที่กองทัพบกได้มีคำสั่งให้ย้าย พ.ท.สมคิด คงแข็ง ผบ.ร.152 พัน.1 และนายทหารยศร้อยเอก ออกนอกหน่วยแล้ว เพราะถือว่าเป็นผู้ที่ต้องร่วมรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ผบ.ตร.เผยดำเนินคดี 112 แล้ว 12 ราย ขออย่าใช้ความรุนแรง หากไม่ฟังจนท.ต้องบังคับใช้กฎหมาย


19 ต.ค. 2559 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่มีประชาชนบางพื้นที่ออกมาทะเลาะเบาะแว้งเกี่ยวกับความเห็นต่างในการแสดงออกถึงความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ว่า เรื่องดังกล่าวตนได้สั่งการให้ผู้บัญชาการและผู้บังคับการทุกจังหวัดเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อจะห้ามปรามประชาชนที่รักและเคารพในพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ไม่ให้ไปทำร้ายผู้อื่นที่เห็นต่าง เชื่อว่าเวลานี้ทุกคนต่างก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน ถ้ามีใครมาพูดหรือแสดงออกในลักษณะที่หมิ่นซึ่งหน้าก็จะทำให้ไม่พอใจเป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่างไรก็ตามต้องขอความร่วมมืออย่าทะเลาะหรือใช้ความรุนแรงซึ่งกันและกัน ถ้าพบเห็นก็ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปชี้แจงด้วยเหตุผล แต่ถ้าพูดไม่ฟังก็ต้องมีการบังคับใช้กฎหมาย
“ส่วนการติดตามบุคคลที่โพสต์หมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตนได้สั่งให้ตำรวจทุกพื้นที่ติดตาม ตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค. ที่ผ่าน เจ้าหน้าที่มีการจับกุมผู้ต้องหา ฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไปแล้ว 12 ราย ออกหมายจับไปแล้ว 8 ราย จับกุม 2 ราย และเตรียมแจ้งข้อหาอีก 2 ราย ส่วนคนที่โพสต์หมิ่นในต่างประเทศกำลังประสานติดตามตัว” ผบ.ตร.กล่าว
ผบ.ตร. กล่าวด้วยว่า ได้สั่งการให้ตำรวจทุกพื้นที่ทั่วประเทศดูแลกรณีการใช้ความรุนแรง กับที่แสดงความเห็นไม่เหมาะสมผ่านสื่อออนไลน์ โดยขอความร่วมมือประชาชนที่ไม่พอใจกับพฤติกรรมดังกล่าว แจ้งเบาะแสกับตำรวจ โดยยืนยันตำรวจจะดำเนินคดีทุกราย

คสช.ขอปชช. ใช้สติอย่าทำร้ายคนที่คิดว่าไม่รักสถาบัน แค่แจ้งเบาะแสจนท.ตามกฏหมาย



 
พ.อ.ปิยพงศ์ กลินพันธุ์ ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แสดงความห่วงใย กรณีที่มีประชาชนรุมทำร้าย บุคคลที่คิดว่า ไม่รักสถาบัน หรือการมองที่ การไม่ใส่เสื้อดำ จึงขอให้ประชาชน ใช้สติ ระงับอารมณ์ อย่าใช้การทำร้าย แต่ให้ใช้กฏหมายดำเนินการ ไม่เช่นนั้นจะส่งผลเสีย ต่อบรรยากาศในเวลานี้ อย่าทำร้ายคนที่เราคิดว่าไม่รักสถาบัน ขอแค่แจ้งเบาะแสมา ทางเจ้าหน้าที่จะไปดำเนินการตาม กฏหมาย นอกจากนี้ อย่ามองคนที่ไม่ใส่เสื้อสีดำขาว ว่า ไม่จงรักภักดี เพราะเขาอาจมีเหตุผล ไม่มีเสื้อ ส่วนเรื่องพฤติกรรมให้ดูเป็น รายๆ ไป และควรใช้กฏหมาย ดำเนินการ อย่าใช้การทำร้ายกัน
 
นอกจากนี้ กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(กอ.รส.) จัดให้ประชาชน จาก ต่างจังหวัด ที่มาถวายความอาลัยพระบรมศพ ไปพักแรม ได้ที่ สวนเจ้าเชตุ หน่วยบัญชาการรักษาดืนแดน ที่จะรองรับได้ราว1 พันคน โดยติดต่อจนท. ที่ กอ.รส. วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์
 
พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวด้วยว่า ขอให้ประชาชนช่วยกันดูแลและระมัดระวังทรัพย์สินและของมีค่า จากกลุ่มมิจฉาชีพที่อาจแฝงตัวปะปนเข้ามาในพื้นที่ท้องสนามหลวง และพระบรมมหาราชวัง ซึ่งมีประชาชนเดินทางเข้ามาถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นจำนวนมาก
 
“เพื่อร่วมกันรักษาบรรยากาศแห่งการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่างประชาชนด้วยกันถวายเป็นพระราชกุศล” พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าว
 
 

ศาล รธน. นัดวินิจฉัย รัฐบาลมีอำนาจแก้คำปรารภร่าง รธน.หรือไม่ 26 ต.ค.


19 ต.ค. 2559 ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า พิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ แถลงว่า ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้รับคำร้องที่คณะรัฐมนตรีขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 5 วรรคสอง ว่านายกรัฐมนตรีจะปรับปรุงคำปรารภของร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2559 ได้หรือไม่ เนื่องจากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้ส่งร่างรัฐธรรมนูญให้นายกรัฐมนตรีเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2559 แต่ไม่มีบทบัญญัติใดของรัฐธรรมนูญให้อำนาจคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญในอันที่จะดำเนินการดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัยแล้ว และเห็นว่าเป็นประเด็นให้วินิจฉัยข้อกฎหมายเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องเรียกเอกสาร หรือให้บุคคลเข้าชี้แจง ประกอบกับกรณีดังกล่าวมีเรื่องกำหนดเวลาที่รัฐบาลต้องนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย คณะตุลาการจึงได้นัดแถลงด้วยวาจาและลงมติในวันที่ 26 ต.ค. เวลา 13.30 น.

ตั้ง 'ธานินทร์ กรัยวิเชียร' ทำหน้าที่ประธานองคมนตรี


19 ต.ค. 2559 เว็บไซต์ สำนักราชเลขาธิการ ได้มีการปรับรายนามคณะองคมนตรีปัจุบัน โดยมี ธานินทร์ กรัยวิเชียร ทำหน้าที่ประธานองคมนตรี จากเดิมเป็น พล.อ.เปรม  ติณสูลานนท์
สำนักข่าวไทย รายงานด้วยว่า วิษณุ  เครืองาม  รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ที่ประชุมองคมนตรี แต่งตั้ง ธานินทร์ เป็นประธานองคมนตรี คนใหม่ ว่า เนื่องจากพล.อ.เปรม ต้องไปปฏิบัติหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ชั่วคราว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 24 ซึ่งเมื่อประธานองคมนตรี ไปปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ประธานองคมนตรีได้  เพื่อเป็นการแยกการปฏิบัติหน้าที่ และรัฐธรรมนูญมาตรา 25 บัญญติให้คณะองคมนตรี เลือก  องคมนตรี มาปฎิบัติหน้าที่ประธานองคมนตรี เป็นการชั่วคราว
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะองคมนตรี ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 14 ต.ค. และเลือก ธานินทร์ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ประธานองคมนตรีชั่วคราว และเมื่อพล.อ.เปรม พ้นจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  ก็สามารถกลับมาเป็นประธานองคมนตรีได้ตามปกติ  ไม่ต้องมีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งใหม่
วิษณุ กล่าวว่า เมื่อสิ้นรัชกาลไม่มีกฏหมายให้เปลี่ยนคณะองคมนตรี  แต่ขึ้นอยู่กับพระราชอัธยาศัย ของพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ที่จะทรงวินิจฉัย
สำหรับรายนาม คณะองค์คมนตรีปัจจุบัน นอกจาก ธานินทร์ แล้ว ยังมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เชาวน์ ณศีลวันต์ พล.อ.อ.กำธน สินธวานนท์ พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ อำพล เสนาณรงค์ พล.ร.อ.หม่อมหลวงอัศนี ปราโมช หม่อมราชวงศ์เทพกมล เทวกุล เกษม วัฒนชัย พลากร สุวรรณรัฐ พล.ร.อ.ชุมพล ปัจจุสานนท์ อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ ศุภชัย ภู่งาม ชาญชัย ลิขิตจิตถะ และ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข
 
ธานินทร์ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 14 ภายหลังจากที่คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินโดยการนำของ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ได้ทำการรัฐประหารรัฐบาลของ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2519 หลังเกิดเหตุล้อมปราบนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยในระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน รัฐบาลของ ธานินทร์มีนโยบายโดดเด่นคือการต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่กำลังมีอิทธิพลอย่างสูงในขณะนั้น มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ควบคุมเสรีภาพสื่อมวลชน โดยอิศรา รายงานด้วยว่า มีคำสั่งปิดหนังสือพิมพ์ด้วยคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 42 หรือ ปร.42 ที่ออกมาในปี 2519  ถึง 22 ครั้ง 
 
ภายหลังจากที่มีการรัฐประหารรัฐบาลธานินทร์ ในเดือน ต.ค. 2520 ธานินทร์ ได้รับแต่งตั้ง ดำรงตำแหน่งองคมนตรี และได้ดำรงตำแหน่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน
 

จม.ถึง 'ประยุทธ์' ชงแนวทางปฏิรูป เมื่อต้นปี

สำหรับธานินทร์ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้จดหมายเปิดผนึกเกี่ยวกับข้อเสนอเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ ที่ส่งถึงนายกรัฐมนตรีและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปประเทศ ซึ่งประชาชาติธุรกิจได้นำมาเผยแพร่เมื่อวเนที่ 10 ม.ค.59 โดยกล่าวถึงวิกฤตการณ์ในด้านการบินพลเรือนของประเทศไทย การพาณิชย์นาวี ปัญหาการขุดคอคอดกระ การปฏิรูประบบราชการตำรวจ
 
โดยระบุว่า
 
ตามที่รัฐบาลได้เคยเชื้อเชิญให้ประชาชนชาวไทยร่วมแสดงความคิดเห็นในการปฏิรูปประเทศและปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ผมในฐานะประชาชนชาวไทยคนหนึ่งได้เคยแสดงความคิดเห็นในเรื่องเหล่านี้มาแล้วหลายครั้ง แต่เป็นการส่งจดหมายโดยตรงถึงนายกรัฐมนตรีและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปประเทศโดยเฉพาะ ซึ่งผมคิดว่า การแสดงความคิดเห็นดังกล่าวแม้จะทำในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ก็ควรจะได้เปิดเผยให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบอย่างกว้างขวาง จึงขอเปลี่ยนรูปแบบการแสดงความคิดเห็นมาเป็นจดหมายเปิดผนึก เพื่อที่จะมีการพิจารณาในวงกว้างและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้มากขึ้น
 
เรื่องที่ผมเสนอให้มีการพิจารณาร่วมกันในจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ มีดังต่อไปนี้
 
วิกฤตการณ์ในด้านการบินพลเรือนของประเทศไทย
 
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการเริ่มกิจการด้านการบินพลเรือนในประเทศไทย โดยการจัดตั้งบริษัท เดินอากาศไทย จำกัด แต่ในระยะแรกเรายังขาดความพร้อมและความรู้ต่างๆ ในด้านการบินพลเรือน จึงได้ร่วมทุนกับสายการบินสแกนดิเนเวียน (Scandinavian Airlines System: SAS) อันเป็นสายการบินของเดนมาร์ก สวีเดน และนอร์เวย์ ซึ่งได้ช่วยเหลือเราตั้งแต่ก่อร่างสร้างตัว ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาเครื่องบิน การอบรมนักบินและบุคลากรด้านการบิน การจัดการสนามบินและระบบการบินทั้งหมด โดย SAS โอบอุ้มเราอย่างมิตรแท้เป็นเวลา 17 ปี จนบริษัท เดินอากาศไทย จำกัด ได้เริ่มดำเนินการเองใน พ.ศ.2520 และพัฒนากิจการให้เจริญรุ่งเรืองมาเป็นบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งในปัจจุบันกลับกลายเป็นองค์กรที่ประสบปัญหาอย่างหนักจากการบริหารงานที่บกพร่อง และปัญหาการขาดทุนอย่างมหาศาล ทั้งยังถูกลดระดับความน่าเชื่อถือด้านมาตรฐานความปลอดภัยโดยองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) องค์กรการบินพลเรือนญี่ปุ่น (Japan Civil Aviation Bureau : JCAB) และสำนักงานบริหารองค์กรการบินแห่งสหรัฐอเมริกา (Federal Aviation Administration : FAA) หรืออาจกล่าวได้ว่าเราสอบไล่ตกในด้านมาตรฐานการบิน จนเรียกได้ว่าเป็นวิกฤตการณ์การบินไทย ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าการบริหารงานที่ขาดตกบกพร่องจนทำให้ประเทศชาติเสียหายและขาดความน่าเชื่อถือจากต่างประเทศนี้เกิดจากสาเหตุใด และสมควรอย่างยิ่งที่จะศึกษาถึงความผิดพลาดดังกล่าว
 
จะเห็นได้ว่าวิกฤตการณ์ด้านการบินพลเรือนที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการที่มาตรฐานด้านการบินพลเรือนของประเทศไทยไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล กล่าวคือ การปฏิบัติงานด้านการบินพลเรือนอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด การทำหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่มีประสิทธิภาพ ปล่อยปละละเลย และไม่ควบคุมดูแลจนทำให้เกิดวิกฤตการณ์อันส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการบินพลเรือน ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันก็เข้ามาแก้ไขวิกฤตการณ์นี้ได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังคงมีปัญหาอีกมากที่จะต้องรับภาระและทุ่มเทกำลังสติปัญญาความรู้ความสามารถ โดยต้องกู้วิกฤตให้มาตรฐานด้านการบินของประเทศเรากลับเข้าสู่มาตรฐานสากลก่อนในเบื้องต้น จากนั้นแล้วจะต้องพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งเพื่อให้ก้าวสู่มาตรฐานที่เป็นเลิศ โดยอย่างน้อยให้อยู่ในระดับหนึ่งในสิบของบรรดาประเทศที่มีมาตรฐานการบินชั้นนำของโลกก็จะเป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้ เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจการบินของประเทศเรา เพราะนานาประเทศต่างมุ่งหวังที่จะใช้บริการบริษัทการบินของประเทศที่มีมาตรฐานด้านการบินพลเรือนที่เป็นเลิศ 
 
อุปสรรคบางประการแต่หนหลังที่น่าจะเป็นบทเรียนสำหรับการวางแผนในภายหน้า
 
ผมเห็นว่าเราควรจะนำวิกฤตการณ์ด้านการบินพลเรือนด้านอื่นๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาเป็นบทเรียนในการดำเนินการงานเพื่อมิให้เกิดความผิดพลาดขึ้นซ้ำอีก โดยผมขอยกตัวอย่างให้พิจารณาใน 3 กรณี ดังต่อไปนี้
 
กรณีแรก ปัญหาการให้สิทธิประโยชน์อย่างเกินสมควรแก่กรรมการและผู้ที่เกี่ยวข้องในบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) อันกระทบต่อผลประกอบการของบริษัท เป็นต้นว่า การกำหนดให้สิทธิประโยชน์ด้านบัตรโดยสารแก่กรรมการบริษัทอย่างไม่จำกัดจำนวนตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง นอกจากนี้ ในบางปียังมีสิทธิพิเศษอื่นๆ ในด้านบัตรโดยสารแก่ผู้ติดตามกรรมการบริษัท และอดีตกรรมการบริษัทที่พ้นวาระไปแล้วอีกด้วย จึงน่าคิดว่าการให้สิทธิประโยชน์อย่างมหาศาลนี้ย่อมทำให้บริษัทสูญเสียรายได้ที่พึงจะได้รับ แล้วบริษัทจะดำรงอยู่ได้อย่างไร จนเมื่อเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ บริษัทจึงได้มีการปรับลดสิทธิประโยชน์ดังกล่าว และเป็นที่น่ายินดีที่ใน พ.ศ.2557 บริษัทได้ยกเลิกสิทธิประโยชน์ด้านบัตรโดยสารทั้งหมดของกรรมการบริษัท เพื่อปฏิบัติตามมติของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งผมเห็นว่าผู้บริหารหรือกรรมการก็ได้รับค่าตอบแทนในการปฏิบัติงานเป็นจำนวนที่สูงมากอยู่แล้ว จึงไม่ควรรับสิทธิประโยชน์อื่นใดเพิ่มเติมอีก ต้องสละสิ้นทุกอย่างและมุ่งมั่นทำงานให้เต็มกำลังความสามารถ ซึ่งการตัดสิทธิประโยชน์ดังกล่าวถือเป็นการช่วยประหยัดงบประมาณ อันจะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดทุนของบริษัทซึ่งอยู่ในภาวะวิกฤตจนแทบเรียกได้ว่าเกือบจะล้มละลายได้ ดังนั้น การกำหนดสิทธิประโยชน์แก่กรรมการบริษัทจะต้องมีการวางแผนให้รอบคอบ ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินการ 
 
กรณีที่สอง การปิดท่าอากาศยานดอนเมืองเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2549 เพื่อเปิดทำการบินที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และใช้เป็นสถานที่ซ่อมเครื่องบินฝึกบิน และจอดเครื่องบินส่วนตัวแทน แต่ต่อมาไม่ถึง 6 เดือน เมื่อท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีปัญหาไม่สามารถรองรับผู้โดยสารที่มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น และการขยายท่าอากาศยานไม่เป็นไปตามแผน จึงจำเป็นจะต้องเปิดใช้บริการท่าอากาศยานดอนเมืองอีกครั้งหนึ่ง เพื่อแบ่งเบาภาระการให้บริการของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในเดือนมีนาคม พ.ศ.2550
 
การปิดท่าอากาศยานดอนเมืองทั้งๆ ที่ยังมีขีดความสามารถอย่างเต็มที่ในการให้บริการรองรับผู้โดยสารจากทั่วโลก และบรรดาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันก็ต่างรุ่งเรืองมีผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจนั้น ผมเห็นว่าเป็นการขัดต่อความรู้สึกธรรมดาของคนทั่วไปเปรียบได้กับฟ้าผ่าลงมาสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล ก่อให้เกิดผลกระทบในหลายด้าน ได้แก่ ปัญหาความน่าเชื่อถือของประเทศในด้านธุรกิจการบิน เพราะเกิดความไม่มั่นใจในแผนการดำเนินงานของรัฐบาล รวมถึงความไม่สะดวกในการใช้บริการของผู้โดยสารที่ต้องย้ายระหว่างสองท่าอากาศยาน ปัญหาผลกระทบด้านเศรษฐกิจ บรรดาธุรกิจร้านค้าต่างๆ ที่ประกอบการภายในท่าอากาศยานหรือบริเวณโดยรอบ ซึ่งเคยเฟื่องฟูจากการรองรับผู้โดยสารจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านจำหน่ายสินค้า หรือโรงแรมที่พักก็ไม่มีผู้มาใช้บริการและแทบจะต้องปิดกิจการไป และปัญหาค่าใช้จ่ายจำนวนมากจากการปรับปรุงเพื่อเปิดให้บริการใหม่ นอกจากนี้ การเปลี่ยนการใช้งานเป็นสถานที่ซ่อมเครื่องบินหรือฝึกบินย่อมเป็นการใช้ประโยชน์ที่ไม่คุ้มค่าอีกด้วย จึงเป็นที่น่าคิดว่า การปิดท่าอากาศยานดอนเมืองเพื่อเปิดให้บริการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพียงแห่งเดียวจะมีการหาผลประโยชน์จากการผูกขาดธุรกิจต่างๆ ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะโอกาสในการหาผลประโยชน์จากธุรกิจที่ท่าอากาศยานดอนเมืองนั้นมีน้อยลงจากการแข่งขันในระดับสูง ซึ่งทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียโอกาสการพัฒนาการคมนาคมไปอย่างน่าเสียดาย แม้จะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งหนึ่งก็ไม่อาจชดเชยความเสียหายอย่างมหาศาลที่เกิดขึ้นแล้ว นับเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโครงการใหญ่ของประเทศต่อไป
 
กรณีที่สาม ระบบขนส่งมวลชนทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) ที่เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ.2553 ซึ่งผมเห็นว่าการเปิดให้บริการ Airport Rail Link มีภายหลังการเปิดใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิถึงเกือบ 4 ปี ทำให้เกิดความไม่สะดวกแก่ผู้ใช้บริการที่ต้องเดินทางไปท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และแต่เดิมเป็นที่เข้าใจว่าจะเป็น Airport Rail Link คือเชื่อมระหว่างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกับท่าอากาศยานดอนเมือง แต่ปัจจุบันมีการเชื่อมต่อเพียงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกับสถานีพญาไทเท่านั้น ซึ่งไม่เกิดประโยชน์เต็มที่แต่อย่างใด แสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดและขาดการวางแผนอย่างรอบคอบ ทั้งๆ ที่ระบบการเดินทางควรพร้อมรองรับผู้โดยสารควบคู่ไปกับการเปิดใช้ท่าอากาศยาน และแม้จะมีความพยายามก่อสร้างส่วนต่อขยายถึงท่าอากาศยานดอนเมือง แต่ปัจจุบันก็ยังไม่แล้วเสร็จแต่อย่างใด ซึ่งถ้าหากโครงการ Airport Rail Link เพื่อรองรับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสำเร็จลุล่วงไปตามแผนแล้ว ย่อมจะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้มาตรฐานการให้บริการด้านการบินของประเทศไทยก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
 
การวางแผนแม่บทการดำเนินงานในโครงการระยะยาว
 
การจะตัดสินใจดำเนินโครงการในด้านการคมนาคม ซึ่งต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมากและส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม ผมเห็นว่าจะต้องมีการวางแผนอย่างรัดกุมและรอบคอบ วิเคราะห์ผลกระทบให้รอบด้าน การเจรจาต่อรองกับนานาประเทศจะต้องพิจารณาโดยละเอียด ไม่ให้เสียเปรียบประเทศอื่นได้ ทั้งยังจะต้องให้ความสำคัญกับฝ่ายวางแผนและพัฒนา (Research and Development) ที่จะเป็นผู้ชี้นำการดำเนินงานในภาพรวมทั้งหมด นอกจากนี้ ควรกำหนดแผนแม่บทในการดำเนินงาน (Master Plan) เพื่อวางแผนล่วงหน้าและทำให้การพัฒนาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แม้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพราะแนวความคิดหนึ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาประเทศอย่างยิ่งก็คือ แนวความคิดที่ว่ารัฐบาลในแต่ละชุดจะต้องมีผลงานซึ่งเกิดจากความคิดริเริ่มของตนเอง ความคิดเช่นนี้ย่อมทำให้รัฐบาลที่เข้ามาดำรงตำแหน่งวางเป้าหมายไปที่โครงการระยะสั้น อันจะทำให้ประชาชนได้ประจักษ์ในผลงานตนในทันที และเกิดความไว้วางใจลงคะแนนเสียงให้ได้กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งอีกในสมัยหน้า การทำหน้าที่จึงเป็นไปในทางสร้างผลงานเพื่อหาเสียง มิใช่การสร้างผลงานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศชาติ ยิ่งไปกว่านั้น ทัศนคติของประชาชนหรือผู้วิจารณ์การเมืองทั้งหลายเองก็มักจะมองว่า รัฐบาลใหม่ที่ทำโครงการต่อเนื่องมาจากรัฐบาลชุดก่อนหน้าเป็น "รัฐบาลไร้น้ำยา ไม่เก่งจริง" เพราะไม่มีความคิดริเริ่มของตนเอง ได้แต่ลอกของเก่าเท่านั้น ดังนี้ จึงทำให้รัฐบาลใหม่ไม่เต็มใจที่จะรับช่วงสานต่อโครงการระยะยาวที่แม้จะเป็นโครงการที่ดีและมีประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ การกล่าวเช่นนี้คงไม่เกินความจริงไปนัก เพราะตัวอย่างของโครงการระยะยาวที่ต้องพับเก็บไปเนื่องจากไม่มีการสานต่อเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลชุดใหม่ก็มีให้เห็นเป็นที่ประจักษ์กันอยู่เนืองๆ ดังนั้นจึงควรมีการกำหนดแผนแม่บทเพื่อการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง สิ่งใดที่ดีมีการริเริ่มไว้แล้วก็ควรดำเนินการต่อไป แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลก็ตาม
 
การพาณิชย์นาวี
 
ตามแผนงานการพัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางน้ำในแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ.2558-2565 ของกระทรวงคมนาคมนั้น เป็นแผนการที่ดีแล้ว แต่ผมเห็นว่ามุ่งเน้นแต่การพัฒนาโครงการภายในประเทศ เช่น การสร้างท่าเรือชายฝั่งทะเลตามจังหวัดต่างๆ ได้แก่ ชุมพร สงขลา และสตูล ซึ่งการสร้างท่าเรือดังกล่าวเป็นการสร้างท่าเรือเพื่อรอเรือฝ่ายเดียว ไม่ใช่เพื่อการพาณิชย์นาวี ผมเห็นว่าเราจะต้องสร้างเครือข่ายการเดินเรือเพื่อรองรับการพาณิชย์นาวีกับประเทศต่างๆ อันเป็นโครงการระหว่างประเทศ เพราะดังที่ผมเคยกล่าวไว้แล้วว่า การพาณิชย์นาวีถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง สมควรที่รัฐบาลจะดำเนินการสร้างเครือข่ายการเดินเรือและมีสำนักงานการเดินเรือในทุกประเทศที่มีการติดต่อค้าขายขนส่งสินค้ากับประเทศเรา อันจะทำให้เกิดรายได้จากการเดินเรือและเป็นประตูเชื่อมให้เกิดการลงทุนสร้างงานและอาชีพใหม่ด้านการเรือ และมีข้อที่น่าคิดว่า ประเทศไทยได้เริ่มกิจการด้านการบินพลเรือนและด้านการพาณิชย์นาวีขึ้นพร้อมกัน แต่เพราะเหตุใดการพาณิชย์นาวีจึงได้หายไปจากความสนใจของสังคม หรือเรียกว่าหายไปจากจอเรดาร์ ไม่มีผู้ทราบเรื่องน่าศึกษาและค้นคว้าว่าเหตุใดจึงยังไม่มีการพัฒนาด้านการพาณิชย์นาวีอย่างจริงจังในประเทศไทย
 
หากพิจารณาจากอัตราการขนส่งสินค้าเข้าและออกของประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่ใช้การขนส่งทางทะเล โดยจากข้อมูลของสำนักส่งเสริมการขนส่งทางน้ำและการพาณิชย์นาวี แสดงจำนวนสัดส่วนของการเดินเรือในปีต่างๆ พบว่า ใน พ.ศ.2520 เรือที่ใช้ในการขนส่งสินค้าของประเทศไทย ร้อยละ 96 เป็นเรือต่างชาติ เป็นเรือไทยเพียงร้อยละ 4 และต่อมาใน พ.ศ.2547 มีเรือไทยเพียงร้อยละ 11 เท่านั้น ที่เหลืออีกร้อยละ 89 เราต้องพึ่งเรือของต่างชาติ และค่าระวางเรือที่ใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าคิดเป็นจำนวนเงินถึง 417,100 ล้านบาท ซึ่งจะตกอยู่กับเรือของต่างชาติเสียส่วนใหญ่ จะเห็นได้ว่าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ไม่มีการพัฒนาการพาณิชย์นาวีอย่างจริงจังแต่อย่างใด ทำให้เราต้องเสียค่าระวางเรือเป็นจำนวนมหาศาลแก่ชาวต่างชาติ เปรียบเสมือนรูรั่วขนาดใหญ่ในการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ ที่ปล่อยให้เม็ดเงินที่ควรจะตกได้แก่คนไทยต้องรั่วไหลไปเป็นค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการต่างชาติ และเสียโอกาสในการสร้างตำแหน่งงานใหม่ในด้านการเดินเรือทะเล และแม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดให้การพาณิชย์นาวีเป็นแนวนโยบายพื้นฐานที่รัฐจะต้องเร่งดำเนินการ แต่ก็มิได้มีการดำเนินการแต่อย่างใด
 
สำหรับองค์ประกอบที่จะทำให้การพาณิชย์นาวีรุดหน้ามีหลายส่วนที่สัมพันธ์เกื้อกูลกัน อันได้แก่ เรือ ท่าเรือ อู่ต่อและอู่ซ่อมเรือเดินทะเล คลังสินค้า ระบบการคมนาคม กฎหมายและระเบียบต่างๆ ฯลฯ หากส่วนใดมีความบกพร่องก็ย่อมส่งผลกระทบต่อส่วนอื่นๆ และจะทำให้การสร้างเครือข่ายการเดินเรือไม่ประสบผลสำเร็จ ซึ่งในเรื่องนี้ประเทศไทยยังไม่มีความพร้อม คือยังไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการประกอบกิจการพาณิชย์นาวีและการสร้างเครือข่ายการเดินเรือเท่าที่ควร อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการขาดเงินทุนและไม่ตระหนักถึงความสำคัญในการลงทุนด้านนี้ ในขณะที่ประเทศต่างๆ ได้พัฒนารุดหน้าไปมาก ทำให้ผู้ประกอบการต่างชาติเลือกที่จะไปลงทุนในประเทศที่มีความพร้อมมากกว่า รัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องต้องตระหนักก่อนว่าเป็นเรื่องสำคัญระดับชาติ หากไม่เร่งดำเนินการก็จะยิ่งทำให้ประเทศชาติเสียโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย
 
ปัญหาการขุดคอคอดกระ
 
เรื่องเดิมที่ปัจจุบันยังไม่มีการตัดสินใจดำเนินการอันเกี่ยวเนื่องกับการพาณิชย์นาวีโดยตรงคือ โครงการขุดคอคอดกระหรือการสร้างเส้นทางเชื่อมระหว่างอ่าวไทยกับทะเลอันดามัน (Land Bridge) ที่เคยมีดำริกันมาก่อน แต่ถูกระงับไปด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ในปัจจุบันสถานการณ์ต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไป ดังที่ประเทศจีนและประเทศอื่น ๆ สนใจที่จะสร้างเส้นทางเดินเรือขนส่งสินค้าที่จะช่วยร่นระยะเวลาและค่าใช้จ่าย อันเป็นโอกาสดีที่จะมีการศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการขุดคอคอดกระ เพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส พลิกแผ่นดินให้เป็นแผ่นทอง เพื่อประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก โดยการริเริ่มสร้างเส้นทางใหม่ๆ ทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ ซึ่งจะเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับการวางแผนและสติปัญญาความสามารถของพวกเราเอง
 
การปฏิรูประบบราชการตำรวจ
 
ปัจจุบันวิกฤตการณ์ด้านคุณธรรมและจริยธรรมถือเป็นปัญหาสำคัญในสังคมไทยที่เกิดขึ้นในทุกวงการวิชาชีพ โดยเฉพาะในวิชาชีพตำรวจที่มีความสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง ซึ่งปัญหานั้นเป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปทราบกันดีอยู่แล้วดังนั้น ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่า การแก้ไขวิกฤตการณ์นี้จะทำได้อย่างไร
 
ด้วยความห่วงใยและผูกพันกับระบบราชการตำรวจที่ผมได้มีโอกาสไปบรรยายพิเศษแก่นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่กรมตำรวจและในโอกาสอื่นๆ ต่างสถานที่กัน ผมเห็นว่าบรรดาวิกฤตการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในระบบราชการตำรวจจะต้องมองในอีกแง่หนึ่งด้วยว่า ข้าราชการตำรวจก็มีปัญหาของตนเองอยู่ด้วย จะละเลยไม่คำนึงถึงข้อนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินเดือนและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ข้าราชการตำรวจได้รับมานั้นไม่เพียงพอกับการครองชีพโดยปกติหรือตามควรแก่อัตภาพ จึงจำเป็นต้องหารายได้อื่นนอกจากระบบราชการตำรวจ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดในการแก้ไขวิกฤตการณ์นี้คือ จะต้องพิจารณาระบบราชการตำรวจทั้งระบบ ไม่ใช่เฉพาะแต่ปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบของข้าราชการตำรวจเพียงอย่างเดียว 
 
แนวคิดและวิวัฒนาการในการปฏิรูประบบราชการตำรวจ
 
ย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ.2520 ครั้งที่ผมเป็นหัวหน้ารัฐบาล ได้เล็งเห็นว่าปัญหาเกี่ยวกับตำรวจเป็นปัญหาสำคัญที่จะต้องมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องแก้ไขขณะนั้นคือปัญหาการดำรงชีพ ข้าราชการตำรวจโดยเฉพาะชั้นผู้น้อยมีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้นแสนลำบาก นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลผม จึงได้ริเริ่มโครงการแฟลตตำรวจ โดยร่วมกับการเคหะแห่งชาติ กู้เงินมาสร้างแฟลตตำรวจในกรุงเทพมหานคร ซึ่งดำเนินการได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ส่วนในต่างจังหวัดก็ได้มีการปฏิบัติทำนองเดียวกันต่อมา อันเป็นการแก้ไขปัญหาส่วนแรก ส่วนการแก้ไขในระยะยาวนั้นผมได้ร้องขอรัฐบาลอังกฤษผ่านสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ให้จัดตำรวจ Scotland Yard มาช่วยสำรวจและให้คำแนะนำว่า เราควรจะปฏิรูประบบราชการตำรวจของไทยในด้านใดบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่รัฐบาลของผมเห็นว่ามีความสำคัญ 5 เรื่อง ได้แก่ เรื่องแรก โครงสร้างของกรมตำรวจควรเป็นระบบรวมอำนาจหรือระบบกระจายอำนาจ กล่าวคือ มีตำรวจส่วนกลางและตำรวจส่วนท้องถิ่น เรื่องที่สอง ข้อบกพร่องในการสอบสวนของพนักงานสอบสวน โดยเฉพาะการตั้งรูปคดีและการหาพยานหลักฐานต่างๆ ในการฟ้องร้อง อันเป็นเรื่องของวิทยาการตำรวจที่จะต้องมีการปรับปรุง เรื่องที่สาม อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในราชการตำรวจ เป็นต้นว่า อาวุธประจำตัว เครื่องมือสื่อสาร และยานพาหนะ เรื่องที่สี่ จริยธรรมตำรวจ ทั้งในเรื่องเนื้อหาและการฝึกอบรมในด้านจริยธรรม และเรื่องสุดท้ายที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องอื่นคือ เงินเดือน ค่าตอบแทนและการจัดสวัสดิการของตำรวจ ซึ่งรัฐบาลอังกฤษยินดีให้ความช่วยเหลือในเรื่องดังกล่าว โดยจะส่งคณะผู้เชี่ยวชาญมาสำรวจสถานการณ์ในเบื้องต้นก่อนและจะมีคณะอื่นๆ ตามมาเป็นคณะทำงานเฉพาะกิจต่อไปตามที่รัฐบาลไทยจะร้องขอ โดยเวลาที่ผมได้รับคำตอบจากรัฐบาลอังกฤษนั้นเป็นเวลา 14.00 น. ของวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2520 แต่พอถึงเวลา 17.00 น.ของวันนั้นเอง คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินได้เข้ายึดอำนาจการปกครองและล้มรัฐบาลของผม จึงเป็นอันสิ้นสุดหน้าที่และความใฝ่ฝันของรัฐบาลชุดผมที่จะปฏิรูประบบราชการตำรวจไปในขณะนั้นเอง 
 
ต่อมาสมัยรัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ มีความพยายามในการปฏิรูประบบราชการตำรวจอีกครั้งหนึ่ง โดยคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อศึกษาและปรับปรุงการบริหารงานของกรมตำรวจในคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการและระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2525 ที่มีพลตำรวจตรี ประมาณ อดิเรกสาร (ต่อมาเป็นพลตำรวจเอก) รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นประธาน ซึ่งพบว่าระบบงานตำรวจมีปัญหาที่สำคัญ 7 ประการ ได้แก่ ประการแรก หน้าที่ของข้าราชการตำรวจไม่มีการกำหนดอย่างชัดเจน ทำให้ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงอย่างแท้จริง ต้องสูญเสียกำลังพลไปกับการปฏิบัติด้านอื่นเป็นจำนวนมาก ประการที่สอง การบริหารงานบุคคลของกรมตำรวจยังไม่ได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสม โดยควรจัดสายงานออกเป็น 2 ประเภท กล่าวคือ ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติงานตำรวจอย่างแท้จริงประเภทมียศและไม่มียศ กับข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติงานธุรการและสนับสนุนอื่นๆ ที่ไม่ถือว่าเป็นงานตำรวจโดยตรง ประการที่สาม ระบบข้อมูลข่าวสารตำรวจยังสับสนและไม่มีระบบ ทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ประการที่สี่ ปัญหาในการให้บริการประชาชน ประการที่ห้า ปัญหาความร่วมมือจากประชาชน ประการที่หก ปัญหาเอกภาพในการบริหารราชการส่วนภูมิภาค และประการสุดท้าย ปัญหาค่าตอบแทนและสวัสดิการตำรวจที่อยู่ในระดับที่ต่ำเกินไปและไม่เป็นไปตามระบบคุณธรรมในการพิจารณาค่าตอบแทนโดยใช้หลัก "งานเท่ากัน เงินเท่ากัน" (Equal Pay for Equal Work) โดยเฉพาะข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติงานอย่างแท้จริงได้รับค่าตอบแทนในระดับที่ต่ำเกินไปจนไม่สามารถปฏิบัติงานให้เกิดผลดีได้ ก่อให้เกิดปัญหาการหารายได้ในทางไม่สุจริตตามมา 
 
ต่อมาใน พ.ศ.2549 รัฐบาลพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจ โดยมีพลตำรวจเอก วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ เป็นประธาน ซึ่งมีข้อเสนอจำนวน 10 ประเด็น ได้แก่ ประเด็นแรก การกระจายอำนาจการบริหารงาน ประเด็นที่สอง การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานตำรวจ ประเด็นที่สาม การสร้างกลไกที่มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบการปฏิบัติงานของตำรวจ ประเด็นที่สี่ การถ่ายโอนภารกิจที่ไม่ใช่ของตำรวจ ประเด็นที่ห้า การปรับปรุงพัฒนาระบบงานสอบสวน ประเด็นที่หก การปรับปรุงการปฏิบัติงานของสถานีตำรวจ ประเด็นที่เจ็ด การพัฒนากระบวนการในการสรรหา การผลิตและการพัฒนาบุคลากรตำรวจ ประเด็นที่แปด การปรับปรุงเงินเดือน ค่าตอบแทน และสวัสดิการของตำรวจ ประเด็นที่เก้า การส่งเสริมความก้าวหน้าของข้าราชการตำรวจชั้นประทวน และประเด็นสุดท้าย การจัดตั้งหน่วยงานในการปรับปรุงพัฒนากระบวนการยุติธรรมและมีการเสนอร่างกฎหมายในการพัฒนาระบบงานตำรวจจำนวน ๒ ฉบับเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อการปฏิรูประบบงานตำรวจอย่างสมบูรณ์ แต่อย่างไรก็ตาม สภานิติบัญญัติแห่งชาติสิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ก่อนร่างกฎหมายดังกล่าวจะผ่านความเห็นชอบ จึงไม่สามารถประกาศใช้เป็นกฎหมายได้ 
 
ใน พ.ศ.2555 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ร่วมกับมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง ทำการศึกษาระบบเงินเดือนและค่าตอบแทนต่างๆ ของข้าราชการตำรวจ โดยมีการวิเคราะห์ว่าข้าราชการตำรวจเป็นส่วนสำคัญส่วนแรกของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งปฏิบัติงานโดยการบังคับใช้กฎหมายเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย มีอำนาจหน้าที่ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม จับกุมผู้ต้องหา สืบสวนสอบสวน และอื่นๆ ดังนั้นข้าราชการตำรวจจึงต้องเป็นบุคคลที่มีคุณธรรมจริยธรรม มีความอดทนเสียสละ สามารถต้านทานต่อสิ่งยั่วยุต่างๆ ในสังคมและดำรงตนอยู่ในความยุติธรรมได้ และเป็นที่คาดหวังว่าจะเป็นผู้ที่ให้บริการที่ดีแก่ประชาชน แต่จากสภาพปัญหาที่ได้รับเงินเดือนและค่าตอบแทนต่ำ มีสวัสดิการน้อย ในขณะที่มีอำนาจหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายอย่างมาก จึงอาจทำให้เกิดปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบได้ ดังนั้น การปฏิรูประบบเงินเดือนและค่าตอบแทน นอกจากจะทำให้ข้าราชการตำรวจสามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มกำลังความสามารถ ดำรงตนอยู่ในความยุติธรรม และสามารถดำรงชีพได้อย่างมีคุณภาพแล้ว ยังช่วยบรรเทาปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นได้อีกด้วย 
 
ในรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีการดำเนินการเกี่ยวกับระบบราชการตำรวจใน 2 เรื่อง คือ มีการตราพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2558 โดยเหตุผลในการประกาศใช้คือเพื่อปรับอัตราเงินเดือนของข้าราชการตำรวจให้เหมาะสม เป็นธรรม และได้มาตรฐาน และมีการตราพระราชกฤษฎีกาข้าราชการตำรวจประเภทไม่มียศ พ.ศ.2558 โดยเหตุผลในการประกาศใช้คือ เนื่องจากข้าราชการตำรวจมีภารกิจทั้งในด้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาญา การรักษาความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของราชอาณาจักร ตลอดจนงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยการ การพัฒนาบุคลากร และงานด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจในบางตำแหน่งนั้นอาจไม่จำเป็นต้องมียศ เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับอย่างเต็มรูปแบบเมื่อมีการตรากฎ ก.ตร. กำหนดรายละเอียดต่างๆ แล้ว โดยอยู่ในระหว่างการพิจารณาร่างกฎ ก.ตร. ซึ่งกฎหมายทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นที่คาดหวังว่าจะมีส่วนช่วยพัฒนาระบบราชการตำรวจให้ดียิ่งขึ้น
 
ดังนั้น จากแนวคิดในการปฏิรูประบบราชการตำรวจที่ผ่านมาและการแก้ไขปัญหาของทุกรัฐบาล ต่างก็เห็นตรงกันว่า ปัญหาเงินเดือน ค่าตอบแทน และสวัสดิการของตำรวจเป็นปัญหาที่มีความสำคัญมาก ผมจึงเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่จะให้มีการปรับปรุงในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้ข้าราชการตำรวจครองชีวิตอยู่ได้ตามควรแก่อัตภาพ ให้พอกินพออยู่โดยไม่ต้องอาศัยรายได้นอกระบบราชการตำรวจ ซึ่งการปรับปรุงเรื่องดังกล่าวนั้นต้องไม่ใช่ให้แบบยาหอม ให้เพียงสักแต่ว่าให้ แต่ต้องให้ให้พอและตามความเป็นจริง ซึ่งเรื่องนี้สามารถพูดได้ในหลักการ แต่พอจะทำจริงเข้าผมก็เห็นใจรัฐบาลและทุกฝ่ายที่รับผิดชอบในเรื่องงบประมาณของประเทศ เพราะเวลานี้ประเทศไทยก็ประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจ การหารายได้ทำได้ยาก แต่ในโอกาสแรกที่สภาวะทางเศรษฐกิจฟื้นฟูขึ้น อัตราเงินเดือน ค่าตอบแทน และสวัสดิการของตำรวจจะต้องรีบปรับปรุง ถ้าปรับปรุงในเรื่องนี้ไม่ได้ แม้จะปรับปรุงแก้ไขในเรื่องอื่นได้ ปัญหาระบบราชการตำรวจก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป
 
อีกปัญหาหนึ่งที่มีความสำคัญและเกี่ยวพันกับการดำรงชีพของข้าราชการตำรวจคือ เรื่องอุปกรณ์เครื่องมือที่จำเป็นในการปฏิบัติงานตำรวจ เช่น อาวุธประจำกาย เครื่องมือสื่อสาร ยานพาหนะหรือน้ำมันเชื้อเพลิง โดยทางราชการจะต้องจัดหาสิ่งเหล่านี้ให้แก่ข้าราชการตำรวจทุกนายอย่างเพียงพอและเหมาะสม มิฉะนั้นแล้วการปฏิบัติหน้าที่ย่อมไม่มีประสิทธิภาพ และข้าราชการตำรวจบางส่วนต้องนำเงินส่วนตัวมาใช้จ่ายในส่วนนี้แทน ซึ่งดังที่กล่าวไว้แล้วว่า ลำพังข้าราชการตำรวจเองก็มีเงินเดือนไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพอยู่แล้ว หากจะต้องนำเงินที่ใช้ในการดำรงชีพส่วนตัวมาใช้จ่ายในการปฏิบัติหน้าที่อีกก็จะยิ่งกระทบต่อขวัญกำลังใจของข้าราชการตำรวจและประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย ทั้งยังเป็นการผิดหลักการบริหารราชการแผ่นดินที่กำหนดให้เรื่องการอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานนี้ต้องเป็นความรับผิดชอบของหน่วยราชการโดยเฉพาะ มิใช่เรื่องที่จะต้องใช้เงินส่วนตัวปัญหาเรื่องอุปกรณ์ที่จำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สมควรได้รับการพิจารณาแก้ไขโดยเร็ว
 
หากพิจารณาจากข่าวสารที่ปรากฏในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าข้าราชการตำรวจมีปัญหาภาพลักษณ์ที่ไม่โปร่งใส กล่าวคือ ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าข้าราชการตำรวจบางส่วนมีการเรียกรับผลประโยชน์ในทางมิชอบเพื่อแลกกับการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นต้นว่าการพนันหรือสถานบริการ และมีการนำเงินรายได้ส่วนหนึ่งส่งให้แก่ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น และอีกส่วนก็เก็บไว้ใช้จ่ายส่วนตัว เป็นรายได้พิเศษนอกระบบ หรือที่เรียกว่า "ส่วยตำรวจ" อันเป็นปัญหาที่เลวร้ายอย่างยิ่ง ซึ่งข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อยได้รับความกดดันให้จัดหาส่วยตำรวจเหล่านี้ให้ได้ ถ้าไม่ทำก็จะไม่มีความก้าวหน้าในชีวิตราชการ ทำให้แทนที่ข้าราชการตำรวจจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้สมดังภารกิจของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ได้อย่างเต็มที่ กลับต้องใช้เวลาเพื่อหาเงินในทางที่มิชอบเหล่านี้ สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนเป็นอย่างมาก
 
จริยธรรมของตำรวจ
 
นอกจากนั้นแล้วผมยังเห็นว่า วิกฤตการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะว่าข้าราชการตำรวจไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และละเลยไม่ได้ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ ซึ่งกำหนดไว้เพื่อเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งให้ข้าราชการตำรวจอยู่ในกรอบของศีลธรรมและคุณธรรม และเป็นแนวทางชี้นำให้ข้าราชการตำรวจบรรลุถึงปณิธานของการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ซึ่งการละเลยต่อจริยธรรมของตำรวจนั้น นอกจากจะทำให้ข้าราชการตำรวจขาดหลักสำคัญในการปฏิบัติงาน