วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

หวั่นสร้างความแตกแยก ทหารเรียกนักข่าวไทยรัฐเชียงใหม่เขียนข่าว 'ขันแดง' เข้าค่ายคุย


31 มี.ค.2559 กรณีการถ่ายภาพคู่กับขันน้ำสีแดง พร้อมรูปนายทักษิณ ชินวัตร และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เชียงใหม่ ถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม) นั้น 
ล่าสุด วานนี้ (30 มี.ค.59) ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 30 มี.ค. 59 พ.ต.อ.มณฑป แสงจำนง รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ พ.ต.อ.พัฒนพงษ์ ขำแก้ว ผกก.สส.ภ.จว.เชียงใหม่ ได้แจ้งไปถึงกองบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เพื่อให้ส่งตัว นายชัยพินธ์ ขัติยะ หัวหน้าศูนย์ข่าวไทยรัฐประจำจังหวัดเชียงใหม่ และประธานกลุ่มร่มฟ้าไทยรัฐภาคเหนือ เข้าไปพบที่ กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำตัวไปทำการสอบสวนร่วมกับทางฝ่ายทหาร ที่มณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ อ.เมืองเชียงใหม่ กรณีที่มีการโพสต์ภาพขันแดง ระบุข้อความอวยพรสงกรานต์จาก นายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดังกล่าว ('แม้ว-ปู' อ้อนคิดถึงคนเชียงใหม่ ส่งขันแดงอวยพรสงกรานต์)
ทั้งนี้ มี พล.ต.โกศล ประทุมชาติ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 ในฐานะ ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย มทบ.33 ร่วมสอบถามหาข้อเท็จจริง และมีการถ่ายรูปทำประวัติไว้ ซึ่งมีการสอบถามที่ไปที่มาของภาพ ซึ่งทางผู้สื่อข่าวบอกว่ามาจากเฟซบุ๊กที่มีกระแสเกี่ยวกับเรื่องประหยัดน้ำช่วงสงกรานต์ จึงรายงานให้ทางส่วนกลางทราบว่ามีกระแสทางโซเชียลเกิดขึ้น จนมีการนำเสนอข่าว โดยเนื้อข่าวเกี่ยวกับการเล่นน้ำในสงกรานต์เชียงใหม่ อย่างประหยัด
ซึ่งทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารเห็นภาพที่ลงข่าวเป็นเรื่องอาจจะเกิดการแตกแยกขึ้นได้ในสถานการณ์ของบ้านเมืองในขณะนี้ และขอความร่วมมือในการนำเสนอข่าว ในเรื่องนี้ พร้อมกันนี้ มีการสอบถามใครเป็นคนถ่ายภาพ ซึ่งทางผู้ที่ถูกกล่าวหาบอกว่าเป็นภาพที่เพื่อนๆ ถ่ายเล่น และยืนยันว่าไม่ได้มีผู้สื่อข่าวคนใดถ่าย ทางฝ่ายทหาร จึงยุติการสอบสวนและขอความร่วมมือว่าไม่ควรเสนอข่าวเช่นนี้ออกมาอีก เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จากนั้น ทางตำรวจได้ทำการสอบปากคำต่อในฐานะพยาน ก่อนที่จะสิ้นสุดกระบวนการสอบสวน และให้เดินทางกลับ
ยันทั้งตัวผู้ต้องหาและผู้สื่อข่าวไม่ได้มีเจตนาจะไปปลุกปั่นใดๆ
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานด้วยว่า นายชัยพินธ์ กล่าวว่าเจ้าหน้าที่ทหารได้ระบุว่าขณะนี้สถานการณ์ของประเทศมีความละเอียดอ่อน การลงข่าวในลักษณะนี้อาจสร้างความแตกแยกในบ้านเมืองได้ เพราะเป็นการลงข่าวฝ่ายเดียว กลัวว่าอีกฝ่ายก็จะมีปัญหาและสร้างความขัดแย้งกัน ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ขอความร่วมมือไม่นำเสนอข่าวในลักษณะนี้อีก
 
เจ้าหน้าที่ทหารยังได้สอบถามถึงผู้ที่ถ่ายภาพข่าวดังกล่าว นายชัยพินธ์ยืนยันว่าตนไม่ได้เป็นผู้ถ่ายรูปเอง และไม่ได้มีผู้สื่อข่าวถ่าย แต่เห็นปรากฏจากในเฟซบุ๊ก ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นของผู้ใด แต่มีการแชร์ต่อกัน จึงได้นำไปรายงานในเรื่องการแจกขันแดงเพื่อรณรงค์การประหยัดน้ำในช่วงสงกรานต์ ไม่ได้มีเจตนาจะไปปลุกระดมทางการเมืองใดๆ รวมทั้งข้อความที่ลงในข่าวก็ไม่ได้มีลักษณะปลุกระดม เป็นแต่เพียงการรายงานบรรยากาศเรื่องสงกรานต์ในจังหวัดเชียงใหม่ โดยแม้แต่ขันน้ำสีแดงดังกล่าว ตนก็ไม่เคยเห็นของจริงแต่อย่างใด จึงยืนยันว่าในเรื่องนี้ทั้งตัวผู้ต้องหาและผู้สื่อข่าวไม่ได้มีเจตนาจะไปปลุกปั่นใดๆ
 
ทางเจ้าหน้าที่ทหารยังได้มีการถ่ายรูปและทำประวัติของนายชัยพินธ์เอาไว้  ก่อนปล่อยตัวกลับ โดยไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาหรือดำเนินคดีใดๆ

คสช. ขอเช็ค 'แถลงการณ์เพื่อไทยไม่รับร่างรธน.' เข้าข่ายชี้ให้ประชาชนสับสนหรือไม่


30 มี.ค. 2559 หลังจากพรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์ เรื่องไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ (รธน.) ที่ไม่ยอมรับอำนาจของประชาชน  โดยระบุ 9 เหตุผลไม่รับร่างรธน. เนื่องจากขัดหลักประชาธิปไตย พร้อมเชิญชวนให้ประชาชนออกมาลงประชามติ “ไม่รับ” ร่าง รธน. และเสนอให้ทางเลือกแก้ รธน.ชั่วคราว 57 ระบุหากไม่ผ่านประชามติให้เอา รธน. 40 มาใช้ชั่วคราว แล้วเลือกตั้งภายใน 6 เดือน ตั้ง สสร. ร่าง ธรน.ที่เป็นประชาธิปไตยและลงประชามติ  โดยในแถลงการณ์ยังระบุด้วยว่าการเลือกตั้งเร็วใต้กติกาที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และสร้างปัญหาในอนาคตนั้น จะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนและประเทศชาติจนยากที่จะแก้ไขได้ (อ่านรายละเอียด)
ล่าสุดสำนักข่าวไทยรายงานว่า พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ รองหัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ส่วนงานรักษาความสงบสำนักงานเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ขอบคุณ พรรคเพื่อไทยที่ออกแถลงการณ์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นการแสดงจุดยืนที่ชัดเจน แต่จะต้องดูว่าแถลงการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายการชี้นำจนทำให้ประชาชนสับสนหรือไม่ ซึ่งหากนำไปสู่การกระทำผิดทางกฏหมายและการเข้าใจผิดต่อร่างรัฐธรรมนูญ  คสช.จะขอพิจารณาเพื่อให้มาพูดคุยทำความเข้าใจเพิ่มเติมด้วย
พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวว่า การที่นายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ชี้แจงร่างรัฐธรรมนูญต่อสังคม รัฐบาลและประชาชนหลายฝ่ายก็มีความพอใจ เพราะร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เน้นไปที่การป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งอาจจะทำให้กระทบต่อคนที่จ้องหาผลประโยชน์ ทุจริตคอร์รัปชั่นขณะนี้ประชาชนยังมีเวลาศึกษาร่างรัฐธรรมนูญ  และทำความเข้าใจ เพื่อออกมาลงประชามติ ในวันที่ 7 สิงหาคมนี้
 
พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวถึงคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 13 / 2559  เรื่องการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดบางประการที่เป็นภยันตราย ต่อความสงบเรียบร้อยหรือบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ตั้งทหารเป็นเจ้าพนักงานและปราบปราม มีอำนาจปราบมาเฟีย ผู้มีอิทธิพลว่า เป็นการเพิ่มอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ทหารตั้งแต่ระดับร้อยตรีขึ้นไป ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายให้ครอบคลุมกับฐานความผิด 16 ข้อ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและความรวดเร็วในการทำงานของเจ้าหน้าที่เท่านั้น เช่น การออกหมายศาล เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการเชิญตัวได้ทันทีเพื่อให้ทันต่อสถาณการณ์ เป็นต้น

‘เรืองไกร’ สวนกกต. ใช้เงินไม่ตรงวัตถุประสงค์ ชี้ต้องคืน กรณีเหลือจากเลือกตั้ง ก.พ.57


กกต. แจงงบจัดเลือกตั้งก.พ.57 เหลือพันล้านจริง แต่ไม่ส่งคืนคลัง ถือเป็นเงินสะสม ด้าน ‘เรืองไกร’ สวนใช้เงินไม่ตรงวัตถุประสงค์ ชี้ต้องคืน ยันร้องเรียนตามขั้นตอนของกฎหมาย
31 มี.ค.2559 จากกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ได้ร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้พิจารณาเรียกค่าเสียหายจากการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อวันที่ 2 ก.พ.2557 จำนวนกว่า 2,037 ล้านบาท จาก คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ กปปส. อีกทั้งเรียกเงินงบประมาณที่คงเหลือจากการไม่ได้ใช้ไปในการเลือกตั้ง ส.ส. คืนจาก กกต.จำนวนกว่า 1,126 ล้านบาทโดยเร็ว (อ่านรายละเอียด) นั้น
จนต่อมา 29 มี.ค.59 นายธนิศร์ ศรีประเทศ ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงาน กกต. แถลงข่าวชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า ยอมรับว่ามีเงินเหลือจริง แต่ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง มาตรา 39 และมาตรา 40 กำหนดชัดเจนว่างบประมาณที่เหลือจ่ายจากการเลือกตั้ง กกต.สามารถเก็บไว้เป็นเงินสะสมได้โดยไม่ต้องส่งคืนคลัง โดยเงินดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น ซึ่ง กกต.จะต้องสามารถชี้แจงได้ ทั้งนี้ กกต.ก็ได้ประสานกับสำนักงบประมาณอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ในเรื่องการใช้จ่ายงบเหลือจ่าย และเงินเหลือเงินขาด 
นายธนิศร์ ยังกล่าวด้วยว่า ในส่วนที่จะมีการออกเสียงประชามติในขณะนี้ กกต.ได้ส่งเอกสารการของบประมาณให้สำนักงบประมาณแล้ว เมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยมีวงเงินค่าใช้จ่าย 2,991 ล้านบาทเศษ แยกเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของสำนักงาน กกต. 2,575 ล้านบาท ซึ่งจะใช้ในเรื่องของการจัดพิมพ์และส่งร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการจัดการออกเสียงประชามติ ค่าตอบแทนกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง 97,000 หน่วย และการจัดซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ นอกจากนั้นเป็นของหน่วยงานสนับสนุน 11 หน่วยงาน ประมาณ 416 ล้านบาท ซึ่งหลังการออกเสียงหากมีงบประมาณเหลือจ่าย กกต.ก็ไม่ต้องส่งคืนคลังเช่นกัน (อ่านรายละเอียด)
ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา มติชนออนไลน์ รายงานว่า นายเรืองไกร กล่าวถึงกรณีที่ กกต.ระบุไม่คืนเงินจัดการเลือกตั้งที่เหลือโดยอ้างว่าไม่มีระเบียบที่ต้องคืนว่า หากเป็นการเลือกตั้ง ส.ว.ตนก็ไม่ติดใจ เพราะการเลือกตั้งสำเร็จเรียบร้อยดี แต่หากเป็นการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นโมฆะ เพราะการเลือกตั้งไม่ได้เป็นวันเดียวกัน แม้แต่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯยังระบุว่าหากพบว่าใครมีส่วนผิดก็ต้องชดใช้ ดังนั้น กกต.ก็ต้องนำเงินส่วนที่เหลือคืนให้กับหลวง เพราะไม่ได้ใช้ตรงตามวัตถุประสงค์ และ กกต.เองก็ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย ทั้งนี้ หาก กกต.ให้เหตุผลแบบนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ต้องรอดูว่านายกฯจะว่าอย่างไร ซึ่งตนพร้อมไปชี้แจงเรื่องดังกล่าวหากมีการเรียก กกต.ไปด้วย อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าเป็นการร้องเรียนตามขั้นตอนของกฎหมาย

เราจะไปทางไหน#1: สุขุม นวลสกุล "พรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือพรรค ส.ว."


<--break- />
ประชาไทสำรวจหน้าตาการเมืองไทยหลังร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ฤชุพันธุ์ เผยโฉมไปเมื่อ 29 มีนาคมที่ผ่านมา  อนาคตประชาธิปไตย อนาคตประเทศไทยจะเดินไปทางไหน แลกเปลี่ยนพูดคุยผ่านมุมมองและประสบการณ์นักวิชาการหลายคน
รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ คือผู้ผ่านประสบการณ์การเมืองยุครัฐธรรมนูญ 2521 รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งในฐานะที่มีความละม้ายคล้ายคลึงกับร่าง’มีชัย มากที่สุด เพราะส.ว.มีบทบาทอย่างสูง  เขาบอกเล่าบรรยากาศการเมืองในช่วงนั้น

บทเฉพาะกาล รธน.2521 ใช้ ส.ว. ค้ำอำนาจนายกฯ คนนอก

สุขุม อธิบายว่า หลังจากมีรัฐธรรมนูญปี 2521 และมีการจัดเลือกตั้งปี 2522 ในเวลานั้นมีบทเฉพาะกาล 4 ปีเช่นเดียวกับตอนนี้ โดยบทเฉพาะกาลกำหนดให้ข้าราชการมีอำนาจทางการเมืองหลายอย่าง เช่น สามารถเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหาร ซึ่งส่งผลให้พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ สามารถขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้
“พอเลือกตั้งกันเสร็จเรียบร้อย วุฒิสภาซึ่งมีอำนาจร่วมตั้งนายกฯ ด้วย ผลก็เลยออกมาเป็นเกรียงศักดิ์”
สภาพตอนนั้นต้องยอมรับว่าพรรคการเมืองเป็นพรรคขนาดกลางเป็นหลัก ยังไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ที่ครองภาคใต้หรือพรรคเพื่อไทยครองภาคอีสาน พรรคที่ได้จำนวน ส.ส. สูงๆ อยู่ที่ประมาณ 70-40 ที่นั่ง การจัดตั้งรัฐบาลจึงเป็นรัฐบาลผสมอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่เนื่องจากพลเอกเกรียงศักดิ์มีวุฒิสภาเป็นกำลังหลัก พลเอกเกรียงศักดิ์จึงเป็นรัฐบาลที่มีเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร โดยพรรคขนาดกลางอย่างกิจสังคม ชาติไทย ประชาธิปัตย์ ประชากรไทย จับมือกันไม่เอารัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร
“เกรียงศักดิ์จึงจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ไม่ต้องห่วงเพราะรัฐธรรมนูญมีบทเฉพาะกาลอยู่ว่า กฎหมายที่เกี่ยวกับการเงิน ความมั่นคง กฎหมายเร่งด่วน ให้ ส.ว. โหวตด้วย ซึ่งก็อาศัยตรงนี้ผ่านไปได้ กระทั่งผ่านไปเกือบปี บริหารประเทศไม่เป็นที่ถูกใจของผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจ ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เกรียงศักดิ์ต้องลาออกคือการขึ้นราคาน้ำมัน”
“พอสี่พรรคนี้ขออภิปราย เกรียงศักดิ์ก็รู้ตัว เพราะเขามาด้วย ส.ว. ก่อนหน้าจะถึงวันอภิปราย เขาก็เรียก ส.ว. มาประชุม ส.ว. 200 กว่าคนมาประชุมไม่ถึง 20 คน เพราะสมัยก่อน ส.ว. ก็คือพวกข้าราชการ แม่ทัพ แนวคิดเดียวกันคือให้มาอยู่ตรงนี้จะได้ไม่ปฏิวัติ เกรียงศักดิ์ก็รู้ชะตา วันที่ต้องถูกอภิปราย ฝ่ายค้านไม่ได้อภิปราย เพราะเขาแถลงลาออก ก็มาเลือกนายกฯ ใหม่ พลเอกเปรมก็ขึ้นมา”

ระบบเลือกตั้งเอื้อพรรคขนาดกลาง ทำการเมืองป่วน

ยุคตั้งแต่พลเอกเกรียงศักดิ์จนถึงยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จึงถูกเรียกว่า ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ ที่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งต้องแบ่งอำนาจให้กับทหารและข้าราชการที่เข้ามามีอำนาจทางการเมืองผ่านวุฒิสภา บวกกับที่ระบบเลือกตั้งเอื้อให้มีแต่พรรคการเมืองขนาดกลางก็ทำให้ต้องหา ‘คนนอก’ อย่างพลเอกเปรมขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
“เมื่อก่อนนี้ก็ต้องพูดกันตรงๆ ว่านักการเมืองไม่ได้สนใจเรื่องนโยบาย สนใจแต่การเข้าสู่ตำแหน่ง เวลาหาเสียงไม่ได้ขายนโยบายเป็นหลัก ก็มีแต่พรรคกิจสังคมนี่แหละที่พยายามเสนอนโยบาย ขณะที่พรรคขนาดกลางทุกพรรคก็หวังจะเป็นนายกฯ เมื่อมารวมกัน เขาต้องตีกันไม่ให้หัวหน้าพรรคใดพรรคหนึ่งขึ้นมาเป็นนายกฯ ไม่อย่างนั้นจะทำให้พรรคนั้นเด่นกว่าพรรคตัวเอง จึงทำให้ต้องหาคนกลาง
“ตัวอย่างที่เด่นชัดคือการเลือกตั้งปี 2526 เป็นการเลือกตั้งที่อยู่ภายใต้บทเฉพาะกาล แต่ว่าอีก 3 วันจะหลุด ตอนนั้นฝ่ายทหาร คือพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก บีบให้เลือกตั้งก่อนหมดบทเฉพาะกาล เพราะเขาขอแก้รัฐธรรมนูญให้บทเฉพาะกาลมันยืด แต่ทำไม่สำเร็จ เขาก็บีบจนเลือกตั้งก่อนหมดบทเฉพาะกาล 3 วัน ผลออกมาไม่เป็นอย่างที่เขาคิด พรรคการเมืองสี่พรรคขนาดกลางได้ แต่ไม่มีพรรคไหนได้เสียงข้างมาก หัวหน้า 2 พรรคก็แย่งกัน คือพรรคชาติไทยกับพรรคกิจสังคม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กับประมาณ อดิเรกสาร 3 วันก่อนหมดบทเฉพาะกาล ส.ส. 60 คนไม่ได้สังกัดพรรค เพราะสมัยนั้นไม่ได้สังกัดพรรคก็ลงได้ แต่พอบทเฉพาะกาลยกเลิก ส.ส. ทุกคนต้องสังกัดพรรค ก็วิ่งหาพรรคกัน ย้ายพรรคกัน ปรากฏว่าผลเปลี่ยน”
“ผลเลือกตั้งครั้งแรก กิจสังคมมาที่หนึ่ง ชาติไทยแพ้สี่ห้าเสียง แต่พอ ส.ส. วิ่งกันไปมา ชาติไทยมาที่ 1 ร้อยกว่า พอดีเปรมพูดว่าไม่เอาแล้ว คุณประมาณกับคุณคึกฤทธิ์ก็สู้กันเต็มที่ ปรากฏว่าประมาณรวบรวมคะแนนได้มากกว่า ดึงประชากรไทยกับชาติประชาธิปไตย โหวตประธานสภาได้อุทัย พิมพ์ใจชน คึกฤทธิ์เห็นท่าไม่ดี ชนะกันอยู่ไม่กี่เสียง ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว ต้องนั่งคุมเสียงกัน เขาจึงเชียร์เปรม เชิญคุณเปรม”
“คุณเปรมบอกว่ามีข้อแม้หน่อยเดียวว่า อาจารย์ต้องเชิญผมต่อสาธารณะ แกก็พาดหัวสยามรัฐเลย ‘หม่อมป้าถามหาคุณเปรมอยู่ไหน’ ต่อมา กิจสังคมก็ต่อสายถึงประชากรไทย อยู่ฝั่งไหนก็ได้เป็นรัฐบาลเหมือนกัน แต่ถ้าอยู่กับฝั่งนี้อยู่นานนะ ทางนั้นอยู่ไม่นาน ถ้าทหารเขาไม่เอาด้วย ประชากรไทยก็มาเลย แต่คุณสมัครก็โทรไปบอกคุณประมาณเองว่าผมต้องไปเชียร์ทางนั้นแล้วนะ ถ้าคุณประมาณอยากเป็นรัฐบาลต้องไปเชียร์ทางนั้น”

ส.ว.แต่งตั้งคุมการเมืองยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ

สุขุม กล่าวว่า ในยุคนั้น ข้าราชการสามารถเป็น ส.ว. ได้ มาจากการแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรีคนเดียว พลเอกเกรียงศักดิ์เป็นคนตั้ง ส.ว. ชุดแรก อำนาจของ ส.ว. ตอนนั้นมีอยู่ 2 ช่วง ช่วงแรกมีอำนาจเท่ากับ ส.ส. คือร่วมโหวตในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี รวมทั้งโหวตกฎหมายสำคัญๆ และการแก้รัฐธรรมนูญ กล่าวได้ว่าเป็นดุลพินิจของรัฐบาลที่จะให้ ส.ว. ร่วมโหวตในเกือบทุกเรื่อง ส่วนช่วงที่ 2 ส.ว. เหลือเฉพาะหน้าที่กลั่นกรองกฎหมายเท่านั้น แต่ ส.ว. ก็ยังมีบทบาทสูงในทางการเมือง
“ก็ตัวประธานรัฐสภามาจาก ส.ว. สมัยก่อนการเลือกนายกฯ ไม่ได้ระบุว่าต้องทำในที่ประชุมสภา อย่างตอนปี 2526 ที่คุณอุทัยได้เป็นประธานสภาผู้แทน คุณจารุบุตร เรืองสุวรรณ เป็นประธานวุฒิสภาและก็เป็นประธานรัฐสภาด้วย คุณอุทัยออกมาบอกว่าเดี๋ยวเราจะประชุมเลือกนายกฯ กันแล้วเอาชื่อไปให้ประธานรัฐสภาเพราะต้องเป็นคนรับสนองพระบรมราชโองการ คุณจารุบุตรบอก เปล่า ผมไม่มีสิทธิ์เรียกประชุม ส.ส. ผมเป็นคนหานายกฯ เพราะฉะนั้นขอให้หัวหน้าพรรคมาเสนอชื่อกับผมว่าจะให้ใครเป็นนายกฯ ผมจะดูคะแนนตามที่พรรคต่างๆ เสนอ คือเขาไม่ให้ประชุมสภาผู้แทนเพื่อเลือกนายกฯ”
“เรื่องวิ่งเต้นเป็น ส.ว. ไม่ต้องห่วงเลย ทุกยุคทุกสมัย ยุคผม ผมไม่ทราบหรอกครับว่าเขาวิ่งเต้นกันยังไง แต่ว่าก็เคยทราบมา เช่น อาจารย์บางคนในมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้เป็นอธิการบดีก็ได้เป็น ส.ว. มีคนพูดว่า อาจารย์ไม่รู้เหรอว่าเขาทำยังไงถึงได้เป็น เขาไปกราบเมียของของนายพลคนหนึ่ง ปวารณาตัวรับใช้ ซึ่งบางทีเราก็นึกไม่ถึงว่าคนเราจะขายศักดิ์ศรีได้ถึงขนาดนั้น”

พรรค ส.ว. พรรคใหญ่สุดหลังรัฐธรรมนูญ 2559

รศ.สุขุม วิเคราะห์ว่า ตอนนี้ สิ่งที่ผู้ถืออำนาจพยายามทำคือไม่ให้พรรคเพื่อไทยมีโอกาสเป็นรัฐบาล ซึ่งด้วยระบบเลือกตั้งที่วางเอาไว้ไม่สนับสนุนให้มีพรรคขนาดใหญ่ พรรคที่จะมีที่นั่งมากสุดก็ไม่น่าเกินร้อยหกสิบ ร้อยเจ็ดสิบ แต่การจะเป็นรัฐบาลพรรคเดียวต้องมีที่นั่ง 260 ขึ้นไป
“ผมไม่แน่ใจว่าพรรคการเมืองขนาดกลางจะมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้นหรือเปล่า แต่ผมว่าจะทำอะไรไม่ค่อยได้ ถ้ารัฐธรรมนูญผ่าน แล้วมีการเลือกตั้ง มันจะได้รัฐบาลที่ว่านอนสอนง่าย รัฐบาลที่จะถูกควบคุมโดย ส.ว. ถ้า ส.ว. มองดูว่าไม่เป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่เขาร่างไว้และกำหนดให้รัฐบาลต้องรายงานทุก 3 เดือน ถ้าไม่ทำก็ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ จบ รอบนี้ ดูแล้วเขาจะใช้ ส.ว. นี่แหละ ไม่ให้นายกฯ ไม่ให้รัฐมนตรีกระดิกได้ ในยุคชาติชายไม่มีกฎบังคับว่ารัฐบาลต้องทำอะไรบ้าง แต่รอบนี้มียุทธศาสตร์บอกว่าต้องทำอะไรๆ บ้าง คือถ้า คสช. ตั้งนายกฯ เองอาจจะถูกต่อต้าน จึงมาใช้วิธีคุมด้วยกฎ แล้วเอาองค์กรมากำกับ ก็ต้องคอยดูกันว่าอีกฝั่งเขาจะดิ้นยังไง ถ้าเขาได้ขึ้นมา”
“การเมืองไทยหลังรัฐธรรมนูญ 2559 พรรค ส.ว. น่าจะเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด เพียงแต่ว่าเขาใช้ในทางนิติบัญญัติและควบคุม ไม่ได้ใช้อำนาจบริหาร”
“วันก่อนมีคนให้ผมไปทอล์คโชว์เรื่องประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า ผมบอกว่าถ้าผมปิดตาทุกคน แล้วเดินจูงไป ท่านทั้งหลายก็จะรู้สึกว่าก้าวไปข้างหน้า แต่ทันทีที่ผมเปิดผ้าปิดตาออก พวกท่านก็จะหันมาต่อว่าผม ทำไมพามาเจอของเก่าแบบนี้ เพราะมันไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า แต่เดินเป็นวงกลม”
หน้าตาการเมืองไทยมีโอกาสย้อนหลังกลับสู่ปี 2521 ถึงแม้อำนาจหน้าที่ของ ส.ว. ในร่างรัฐธรรมนูญ 2559 กับในยุคประชาธิปไตยครึ่งใบจะมีความแตกต่างกันในรายละเอียด แต่หลักการแย่งยื้ออำนาจจากนักการเมืองและการควบคุมการเมืองไม่ได้แตกต่างกัน ทว่า สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือบริบทแวดล้อมต่างจากเมื่อ 40 ปีก่อนมาก คำถามคือระบบการเมืองที่ถอยหลังไป 4 ทศวรรษจะตอบโจทย์ประชาชนได้อย่างไร และหากตอบไม่ได้ มันจะนำไปสู่อะไร

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

คดีขันแดง 'ศูนย์ทนายสิทธิ' เปิดบันทึกแจ้งข้อหา อ้างถึงภาพไทยรัฐนำไปลง


คดีขันแดง ม.116ที่เชียงใหม่ 'ศูนย์ทนายสิทธิ' เปิดบันทึกแจ้งข้อหา จนท. อ้างถึงภาพที่ไทยรัฐนำไปลง ด้านเจ้าตัวยันถ่ายเพื่อแชร์ในเฟซบุ๊ก ไม่ทราบว่ามีผู้สื่อข่าวมาถ่ายรูปไปลงหนังสือพิมพ์ด้วย ระบุผู้สื่อข่าวดังกล่าวก็ไม่ได้มีแจ้งว่าจะนำไปลงข่าว หรือมีการมาขอสัมภาษณ์แต่อย่างใด
 
เมื่อวันที่ 29 มี.ค. ที่ผ่านมา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 33 จังหวัดเชียงใหม่ พ.ต.ท.ประดิษฐ์ ติ๊บมา พนักงานสอบสวนสภ.แม่ปิง ได้นำตัวนางธีรวรรณ เจริญสุข ผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 จากกรณีการถ่ายภาพคู่กับขันน้ำสีแดง มาขออำนาจฝากขังต่อศาล โดยศาลอนุญาตให้ฝากขัง และให้ประกันตัวผู้ต้องหาด้วยหลักทรัพย์ 1 แสนบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง
พนักงานสอบสวนระบุเหตุขอฝากขังต่อศาลว่าเนื่องจากคดีนี้เป็นคดีความมั่นคง เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี โดยพนักงานสอบสวนไม่คัดค้านการประกันตัว และศาลได้อนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค.-9 เม.ย. ถ้าพนักงานสอบสวนประสงค์จะขอฝากขังต่อ ให้มายื่นคำร้องอีกครั้ง
 
ฝ่ายผู้ต้องหาได้ยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวด้วยหลักทรัพย์ 1 แสนบาท และศาลทหารได้อนุญาตให้ประกันตัว โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามชุมนุมทางการเมือง อันก่อให้เกิดความไม่สงบในราชอาณาจักร และห้ามแสดงความคิดเห็นด้วยวาจาหรือสิ่งอื่นใด เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน
 
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 28 มี.ค.59 นางธีรวรรณ ได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหารไปติดตามหาตัวที่บ้านพัก จึงได้นัดหมายขอเข้าพูดคุยทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ทหารที่ค่ายกาวิละ โดยมีการสอบถามที่มาที่ไปของขันดังกล่าว พร้อมกับทำประวัติไว้ แล้วจึงปล่อยตัวกลับ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามไปถ่ายภาพบริเวณบ้านที่อำเภอสันกำแพงด้วย
 
แต่ในช่วงเย็น เจ้าหน้าที่ทหารกลับได้มีการเรียกตัวมาที่ค่ายกาวิละอีกครั้ง โดยครั้งนี้มีชุดพนักงานสอบสวนกว่า 10 คน เดินทางมาในที่ประชุมด้วย ก่อนจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ภายในค่ายทหาร โดยนางธีรวรรณให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ก่อนเจ้าหน้าที่จะนำตัวไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจภูธรแม่ปิง และนัดมาขออำนาจศาลทหารฝากขัง
 
บันทึกแจ้งข้อหา ระบุถึงภาพที่ลงไทยรัฐ
 
โดย ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิฯ ได้เปิดบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาคดีดังกล่าว โดยบันทึกดังกล่าวระบุว่าเมื่อวันที่ 26 มี.ค.59 เวลาประมาณ 14.00 น.เศษ ผู้ต้องหาได้ถือขันน้ำสีแดงและถือภาพโปสเตอร์สวัสดีวันสงกรานต์ ปีใหม่ไทย ซึ่งมีรูปภาพนายทักษิณ ชินวัตร และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้นักข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐถ่ายรูป ซึ่งต่อมาหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันจันทร์ที่ 28 มี.ค.59 ได้นำรูปถ่ายดังกล่าวไปลงที่ภาพปกหน้า 1 คอลัมน์สงกรานต์ม๋วนใจ๋ และได้เขียนบรรยายภาพว่า “สงกรานต์ม๋วนใจ๋ ชาวบ้านในจ.เชียงใหม่ ยิ้มปลื้มอวดขันน้ำสีแดง ที่เขียนคำอวยพร “สวัสดีสงกรานต์ปีใหม่ไทย 2559” จากนายทักษิณ ชินวัตร และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งมีแจกไปตามชุมชนต่างๆ ให้ชาวบ้านใช้สาดน้ำเล่นสงกรานต์ ที่จะมีการจัดงานประหยัดน้ำเล่นสงกรานต์ หรือปี๋ใหม่เมืองเจียงใหม่”
 
และในหน้า 14 คอลัมน์ชื่อ เชียงใหม่คึก “แม้ว-ปู แจกขันน้ำแดง ผู้สื่อข่าวรายงานจากจ.เชียงใหม่ว่าในช่วงใกล้เทศกาลสงกรานต์ที่จะมีการจัดงานประหยัดน้ำเล่นสงกรานต์ พบว่าชาวเชียงใหม่ต่างเฮฮาคึกคักเนื่องจากพบว่าตามชุมชนหลายแหล่งได้รับแจ้งขันน้ำสีแดง พร้อมภาพถ่ายของนายทักษิณ ชินวัตร และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่ในท่ายกมือไหว้พร้อมคำอวยพรและข้อความใต้ภาพว่า”สวัสดีวันสงกรานต์ปีใหม่ไทย 2559 สงกรานต์ปีนี้ผมรู้สึกคิดถึงพี่น้องเป็นพิเศษ อยากมาช่วยท่านแก้ปัญหา แต่วันนี้ขอส่งกำลังใจมาก่อน รักและคิดถึง”
 
บันทึกแจ้งข้อหาระบุว่าพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นความผิดฐานกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวิธีใดๆ อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร  ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ซึ่งระบุโทษจำคุกไว้ไม่เกิน 7 ปี
 
ผู้ต้องหายันถ่ายเพื่อแชร์ในเฟซบุ๊ก ไม่ทราบเรื่องลงไทยรัฐเอาไปลง
 
สำหรับนางธีรวรรณ อายุ 54 ปี เคยร่วมเป็นมวลชนเคลื่อนไหวกับกลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดเชียงใหม่ เธอระบุว่าในวันเกิดเหตุ (26 มี.ค.) นั้น เธอได้ไปงานบุญที่วัดแห่งหนึ่งในอำเภอสารภี และได้พบขันดังกล่าวพร้อมกับโปสเตอร์อยู่ในบริเวณงานของวัด ด้วยความนิยมในอดีตสองนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว จึงได้นำมาถ่ายภาพร่วมกันกับเพื่อนๆ และมีการแชร์ต่อกันลงในเฟซบุ๊ก แต่ไม่ทราบว่ามีผู้สื่อข่าวมาถ่ายรูปไปลงหนังสือพิมพ์ด้วย โดยผู้สื่อข่าวดังกล่าวก็ไม่ได้มีแจ้งว่าจะนำไปลงข่าว หรือมีการมาขอสัมภาษณ์แต่อย่างใด

มีชัย แจงร่างรธน.ตัด 'เรียนฟรีถึงม.6' แต่เริ่มตั้งแต่อนุบาล เหตุการศึกษาไม่ทัดเทียม


มีชัย แจง ร่างรธน.ตัดเรียนฟรีถึง ม.6 แต่เริ่มตั้งแต่อนุบาล เหตุการศึกษาไม่ทัดเทียม ขออย่ากังวล ม.ปลาย คนจนยังมีกองทุนการศึกษาให้ ส่วนคนมีสตางค์ก็ออกสตางค์ ชี้อนาคตหากรัฐมีงบฯมากขึ้นขยายเรียนฟรีเป็น 15 ปีก็ได้ ด้านนักเรียนกลุ่มมการศึกษาเพื่อความเป็นไท ร้อง เอาม.ปลายฟรี ของเราคืนมา 
30 มี.ค.2559 ภายหลังจากที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ วานนี้ (29 มี.ค.59) ซึ่งขยับสิทธิการศึกษาฟรีจากถึง ม.6 มาเป็น 12 ปี แต่เริ่มตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับ หรือ ม.3 ในมาตรา 54 นั้น
วันนี้ (30 มี.ค.59) นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. กล่าวว่า ระบบการศึกษาปัจจุบัน ไม่ทัดเทียม ดังนั้นสิ่งที่ กรธ. บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญคือร่นระยะเวลาเรียนฟรี ตั้งแต่ช่วงอนุบาล ซึ่งจากเดิมเริ่มต้นในช่วงประถมศึกษา และแม้ว่าในช่วงมัธยมศึกษาตอนปลายไม่ได้กำหนดสิทธิในเรื่องการเรียนฟรีไว้ แต่ก็มีกองทุนการศึกษาให้ ทั้งแบบให้แบบเปล่า หรือ ให้เรียน ซึ่งจะมีหลักเกณฑ์การคัดกรองคุณสมบัติของผู้กู้ยืมว่ามีฐานะยากจนหรือไม่
"...อันนี้ต้องเข้าใจว่าทุกวันนี้ระบบการศึกษามันไม่ทัดเทียมกัน เพราะเด็กจะพัฒนาได้เนี่ยต้องอยู่ระหว่าง 2-5 ขวบ ซึ่งคนมีตังค์ได้รับการพัฒนา แต่คนจนไม่ได้รับการพัฒนา เพราะฉะนั้นพอถึงมัธยมปลายก็เสียเปรียบ สู้กันไมได้เพราะตอนนั้นสมองไม่พัฒนาแล้ว 
 
สิ่งที่เราทำก็คือการร่น 12 ปีลงมาข้างล่างเพื่อรองรับคนจน แล้วพอถึงมัธยมปลาย คนจนก็จะได้รับการดูเพราะจะมีกองทุนการศึกษาให้ ส่วนคนมีสตางค์ก็ออกสตางค์ เพราะฉนั้นความทัดเทียมมันถึงจะเกิดขึ้นได้จริง ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้คนจนก็จะแย่ เสียเปรียบ..." นายมีชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายมีชัยยืนยันว่าหากในอนาคตรัฐบาลมีงบประมาณมากขึ้น ก็สามารถขยายระยะเวลาจัดการศึกษาฟรี 15 ปี จนถึงชั้น ม.6 ได้เช่นกัน
นักเรียนกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท ร้อง เอาม.ปลายฟรี ของเราคืนมา 
ขณะที่ก่อนหน้านี้ (29 มี.ค.59) พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และเลขาธิการกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท ได้โพสต์คำประกาศเยาวชนต่อร่างรัฐธรรมนูญ ในนามกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท และเครือข่าย
โดยระบุว่าร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวลดทอนสิทธิทางการศึกษา เนื่องจากร่าง รธน. ฉบับนี้ได้ลดทอนสวัสดิการด้านการศึกษาเรียนฟรีเพียงถึงการศึกษาภาคบังคับ (ม.3) ต่างจาก รธน. 40 และ 50 ที่เรียนฟรีถึง ม.ปลายและอาชีวศึกษา
ขณะที่การจัดตั้งกองทุนเพื่ออุดหนุนผู้ขาดแคลนโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ตามร่างรัฐธรรมนูญนี้ ตามคำประกาศของกลุ่มนี้ มองว่า หากไม่มีการจัดสวัสดิการอย่างทั่วถึง และแม้จะมีกองทุนนี้อยู่ ก็เชื่อว่าจะต้องมีเพื่อนเยาวชนเราอีกจำนวนมากที่จะต้องตกหล่นไปจากกองทุนนี้ 
"เราหวังว่าสุดท้าย การใช้รัฐธรรมนูญตัดทอนโอกาสของเยาวชนจะไม่เกิดขึ้นและ “ม.ปลายฟรี” จะกลับมาสู่มือเยาวชนตามเดิม" คำประกาศของกลุ่มนี้ทิ้งท้าย

‘ประวิตร’ ลั่นทำหน้าที่ต่อ หลังคสช.ไม่ให้ร่วมงานเสรีภาพสื่อโลก ทูตฟินแลนด์ทวีตเสียใจ



ทวิตเตอร์ของเอกอัครราชทูตฟินแลนด์ ประจำประเทศไทย และ ประวิตร โรจนพฤกษ์

เอกสารขออนุญาตเดินทางไปต่างประเทศ
ที่มา: เฟซบุ๊กประวิตร โรจนพฤกษ์

30 มี.ค.2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงสายที่ผ่านมา ประวิตร โรจนพฤกษ์ คอลัมนิสต์อาวุโส เว็บไซต์ข่าวสดอิงลิช โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า คสช.ไม่อนุญาตให้เขาไปร่วมงานวันเสรีภาพสื่อโลก (World Press Freedom Day) ที่ประเทศฟินแลนด์ ตามคำเชิญของกระทรวงการต่างประเทศฟินแลนด์ ระหว่างวันที่ 1-7 พ.ค.นี้ จากนั้นไม่นาน Kirsti Westphalen เอกอัครราชทูตฟินแลนด์ ประจำประเทศไทย ได้ทวีตแสดงความเสียใจต่อการตัดสินใจดังกล่าวของรัฐบาลไทย
ประวิตรให้สัมภาษณ์ว่า เขาได้เดินทางไปกรอกแบบฟอร์มขออนุญาตเดินทางไปต่างประเทศที่กองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนินเมื่อวันที่ 16 มี.ค. (ตามภาพ) ต่อมาในเช้าวันนี้ พ.ท.อดิศักดิ์ โชวิเชียร ได้โทรศัพท์ติดต่อเขามาเมื่อเช้านี้เพื่อแจ้งว่า ผู้บังคับบัญชาขอให้ชะลอการเดินทางไปก่อน
“(ชะลอไปก่อน) มันเป็นคำที่ฟังดูดีแต่เบลอมาก เลยถามเขากลับว่า แปลว่าไม่ให้ไปใช่ไหม เขาก็ยอมรับว่าใช่ นี่คืออาวุธที่ คสช.ใช้ คือ การเคลือบคำ เช่น ใช้คำว่า ปรับทัศนคติทั้งที่จริงคือการข่มขู่คุกคาม ใช้คำว่าชะลอไปก่อน เขาไม่กล้าแม้จะเอ่ยคำว่า ‘ไม่ให้ไป’ ตรงๆ” ประวิตรกล่าว
เขากล่าวอีกว่า ก่อนหน้าที่เขาจะโดนเรียกปรับทัศนคติครั้งที่2 เขาเคยได้รับอนุมัติให้เดินทางไปร่วมงานต่างๆ ในต่างประเทศมาแล้ว 5 ครั้ง แต่ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่เขาขออนุมัติเดินทางไปต่างประเทศหลัง ‘การเรียกเข้าค่าย’ ครั้งที่2 เขาคิดว่าเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าผู้ที่ถูกเรียกปรับทัศนคติ 2 ครั้งแล้วยังมีพฤติกรรม ความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สร้างความไม่พอใจแก่ คสช.ต่ออีก จะไม่ได้รับการอนุมัติให้เดินทางไปต่างประเทศ
“จริงๆ มันอาจเกี่ยวข้องกับการชูนิ้วกลางใส่รัฐธรรมนูญร่างแรกที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ มันเป็นรูปถ่ายในเฟซบุ๊กที่ถูกนำมาใช้ประกอบบทความที่ลงประชาไท หลังเผยแพร่มีการกดดันมาถึงผู้บริหารข่าวสด กระทั่งผู้เขียนต้องขอให้ทางประชาไทเอารูปออกจากบทความ (อ่านที่นี่) ซึ่งบทความนั้นเป็นบทความที่แปลจากเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษในข่าวสดอิงลิช”
เขากล่าวต่อว่า การห้ามเขาเดินทางไปร่วมงานเสรีภาพสื่อโลกครั้งนี้ นับเป็นการประณามตัวเองของคสช.ต่อสายตาชาวโลก เพราะมันเป็นสิ่งที่ย้อนแย้งอย่างยิ่งกับคำกล่าวอ้างว่าจะมาสร้างประชาธิปไตย
“สังคมประชาธิปไตยของเขา คนต้องคิดเหมือนกันหมด มันไม่ใช่ และมันไม่มีทางสำเร็จ เพราะมันผิดธรรมชาติ แม้แต่ในครอบครัวเดียวกันคนเรายังไม่สามารถคิดเหมือนกันได้” 
ประวิตรระบุว่า เบื้องต้นเขาได้เขียนจดหมายขอโทษเอกอัคราชทูตของฟินแลนด์ที่ไม่สามารถไปได้ตามคำเชิญ และทางฟินแลนด์ก็งุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
 เขากล่าวอีกว่า คสช.มีความวิตกกังวลมากในการเดินทางออกนอกประเทศ ต้องมีการรายงานโดยละเอียดว่าไปไหน พักที่ไหน ติดต่อได้อย่างไร และเคยพยายามขอให้เปิดโรมมิ่งโทรศัพท์มือถือ รวมทั้งต้องแจ้งว่าที่ผ่านมาเดินทางไปไหนมาบ้าง คาดว่าเป็นเพราะกลัวว่าจะมีการเดินทางไปพบขบวนการต่อต้านรัฐประหารในต่างประเทศ
“การที่ คสช.วิตกจริตต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ และพยายามควบคุมอย่างเข้มงวด แสดงให้เห็นชัดว่า ลึกๆ พวกเขาก็รู้ว่าอำนาจของตัวเองขาดความชอบธรรม จึงต้องสร้างบรรยากาศ สร้างวัฒนธรรมความกลัวในหมู่คนเห็นต่าง”
“ถ้าคิดว่าจะใช้เทคนิคไม้เรียว บอกเลยว่าไม่เวิร์ค เรายืนยันจะทำหน้าที่ของเราต่อไปในการวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่เราเห็นว่าไม่ถูกต้อง หากจะมีการเรียกอีกเป็นครั้งที่ 3 เราไม่กลัว” ประวิตรกล่าว 

เพื่อไทยลั่นอย่ากลัวเลือกตั้งช้าถ้ากติกาไม่เป็นประชาธิปไตย ยิ่งสร้างปัญหา ชวน Vote No


เพื่อไทยแถลง 9 เหตุผลไม่รับร่างรธน. ชี้ขัดหลักประชาธิปไตย ชวน ปชช. Vote No ให้ทางเลือกแก้ รธน.ชั่วคราว 57 ระบุหากไม่ผ่านประชามติให้เอา 40 มาใช้ชั่วคราว แล้วเลือกตั้งภายใน 6 เดือน ตั้ง สสร. ร่าง ธรน.ที่เป็นประชาธิปไตยและลงประชามติ ระบุเลือกตั้งเร็ว ใต้กติกาที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และสร้างปัญหาในอนาคตนั้น จะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนและประเทศชาติจนยากที่จะแก้ไขได้
30 มี.ค. 2559 พรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์ เรื่องไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ยอมรับอำนาจของประชาชน โดยระบุว่าพรรคฯ ได้เคยออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนไม่รับร่างฯ ที่ขัดต่อหลักการประชาธิปไตยหลายส่วน และยังจะเป็นเงื่อนไขสำคัญในการสร้างปัญหาให้กับประเทศมากยิ่งขึ้น จึงมีความเห็นว่า ไม่อาจที่จะรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ เพราะประชาชนไม่มีส่วนร่วม จะสร้างปัญหาทางการเมืองให้เพิ่มมากขึ้น อำนาจการปกครองประเทศไม่ได้เป็นของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง รวมทั้งจะนำพาเศรษฐกิจของประเทศดิ่งเหวยิ่งขึ้น 
แถลงการณ์ยังชี้ว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะสร้างให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจเหนือสภาและรัฐบาล  สร้างภาพว่าเพื่อปราบโกง โดยมุ่งสกัดกั้นนักการเมืองและพรรคการเมือง แต่มิได้ปฏิรูปและวางระบบเพื่อแก้ปัญหาฉ้อราษฎรบังหลวงเลยแม้แต่น้อย สร้าง “ยุทธศาสตร์บังคับเดิน 20 ปี”  รวมทั้งทำประเทศถอยหลัง เนื่องจากเป็นรัฐธรรมนูญที่จะสร้างความขัดแย้งให้เพิ่มมากขึ้นในสังคม ความปรองดองก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ 
โดย พรรคเพื่อไทยมีข้อเสนอแนะต่อประชาชน ดังนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนร่วมกันออกมาลงประชามติ “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ยอมรับอำนาจของประชาชน และขาดความเป็นประชาธิปไตย 
พรรคเพื่อไทย เสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ก่อนการลงประชามติ เนื่องจากไม่ได้กำหนดว่าหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติแล้วจะดำเนินการอย่างไร อันเป็นการเอาเปรียบประชาชน โดยให้แก้ไขอย่างชัดเจนว่า “หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ ให้นำรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 มาปรับแก้และประกาศใช้เป็นการชั่วคราว” พร้อมกับ “จัดให้มีการเลือกตั้งภายในไม่เกิน 6 เดือน” เพื่อให้การบริหารประเทศ และการแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชน ไม่สะดุด หรือกระทบกระเทือน หลังจากนั้น “ให้รัฐบาลจัดให้มีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่กระบวนการยกร่างจนถึงการให้ความเห็นชอบด้วยการลงประชามติ เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยทั้งในส่วนของเนื้อหาและกระบวนการได้มา

รวมทั้ง พรรคเพื่อไทย เข้าใจถึงการรอคอยของประชาชนที่ต้องการให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว แต่การเลือกตั้งภายใต้กติกาที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และสร้างปัญหาในอนาคตนั้น จะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนและประเทศชาติจนยากที่จะแก้ไขได้  อย่างไรก็ตาม แม้ประชาชนจะลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทยมั่นใจว่าจะต้องมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นภายในปี 2560 เพราะหัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรีได้ประกาศไว้ต่อสาธารณชนและนานาประเทศหลายครั้งหลายหน ยืนยันว่าจะต้องมีการเลือกตั้งภายในกำหนดเวลาดังกล่าวอย่างแน่นอน 
โดยมีรายละเอียดดังนี้

แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย เรื่องไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ยอมรับอำนาจของประชาชน 
ตามที่พรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เพราะเห็นว่า เป็นร่างฯ ที่ขัดต่อหลักการประชาธิปไตยหลายส่วน และยังจะเป็นเงื่อนไขสำคัญในการสร้างปัญหาให้กับประเทศมากยิ่งขึ้น จึงมีความเห็นว่า ไม่อาจที่จะรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้ด้วยเหตุผลดังนี้ 
• ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วม 
“ระบอบประชาธิปไตย” เป็นระบอบการปกครองที่ถือว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของประชาชน เมื่อรัฐธรรมนูญเป็นกติกาสูงสุดซึ่งใช้ในการปกครองประเทศที่ส่งผลโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนในสังคม จึงต้องให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการยกร่างฯ 
แต่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นผลมาจากการรัฐประหารของ คสช. และ คสช. เป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการยกร่างขึ้นเอง เนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญจึงเป็นไปตามความต้องการของ คสช. เป็นหลักมากกว่าเพื่อประโยชน์ของประชาชน
• ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ที่จะสร้างปัญหาทางการเมืองให้เพิ่มมากขึ้น 
ระบบการเมืองและการเลือกตั้งมีผลโดยตรงต่อการพัฒนาการเมือง เศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ถ้าการเมืองมีปัญหา พรรคการเมืองอ่อนแอ รัฐบาลไร้เสถียรภาพก็ไม่อาจที่จะพัฒนาประเทศชาติ และคุณภาพชีวิตของประชาชนให้เจริญก้าวหน้าและอยู่ดีกินดีได้ 
บทพิสูจน์นี้ยืนยันได้จากรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด ได้สร้างเสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดีของประชาชนเป็นที่ประจักษ์ แต่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้สร้างกลไกที่จะนำไปสู่ปัญหาการเมืองหลายประการ เช่น สร้างระบบเลือกตั้งที่ไม่เคยมีใช้ที่ใดในโลก เอาประเทศและประชาชนเป็นตัวประกันเพื่อลองผิดลองถูก ซึ่งระบบนี้จะสร้างให้เกิดรัฐบาลผสมหลายพรรค รัฐบาลไร้เสถียรภาพและประสิทธิภาพในการบริหาร วางกลไกเพื่อเปิดช่องให้บุคคลที่ไม่ได้เป็น ส.ส.มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งที่การเรียกร้องให้นายกฯ มาจาก ส.ส.นั้น กว่าจะได้มาต้องเสียเลือดเสียเนื้อของพี่น้องประชาชนไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งระบบเลือกตั้งดังกล่าวประชาชนไม่มีสิทธิในการ “เลือกคนที่รัก” และ “เลือกพรรคที่ชอบ” ได้เหมือนรัฐธรรมนูญปี 2540 และปี 2550 แต่ถูกบังคับให้เลือกทั้งคนและพรรคด้วยบัตรเลือกตั้งใบเดียว นอกจากนี้ยังนำคะแนนของผู้แพ้การเลือกตั้งมาคำนวณเพื่อเพิ่มจำนวน ส.ส.ให้พรรคที่แพ้เลือกตั้ง ขัดหลักประชาธิปไตย ในที่สุดรัฐบาลที่ได้มาจะเป็นรัฐบาลที่อ่อนแอไร้เสถียรภาพและประสิทธิภาพ เกิดปัญหาขัดแย้งกันได้ง่าย อายุรัฐบาลสั้น สูญเสียงบประมาณในการเลือกตั้งบ่อยครั้ง รัฐบาลจะสนใจแต่จะแก้ปัญหาตนเองมากกว่าปัญหาของประชาชน 
• ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ที่อำนาจการปกครองประเทศไม่ได้เป็นของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง 
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้สร้างกลไกที่ลดทอนอำนาจของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้แทนของปวงชน แต่เพิ่มอำนาจให้ ส.ว. ซึ่งมาจากการสรรหา ยิ่งระยะ 5 ปีแรกหลังใช้รัฐธรรมนูญ ส.ว. 250 คนล้วนมีที่มาจาก คสช. ทั้งสิ้น โดยอ้างว่าเพื่อปฏิรูปและวางยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศทั้งที่เรื่องดังกล่าวควรเป็นอำนาจหน้าที่ของตัวแทนประชาชน ส.ว. 250 คนจะเป็นกลไกในการยับยั้งกฎหมายของรัฐบาลที่มาจากประชาชน ยังสามารถลงมติร่วมกับ ส.ส. เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มิได้เป็น ส.ส. ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การปกครองประเทศจึงยังคงเป็นของ คสช.โดยทางอ้อม และหากคนของ คสช. ได้เป็นนายกรัฐมนตรีด้วยก็จะเป็นการควบคุมอำนาจการปกครองแบบเบ็ดเสร็จ ทิศทางของประเทศจึงเป็นไปตามความคิดของ คสช. มากกว่าที่จะเป็นไปตามความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ 
• ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ที่จะนำพาเศรษฐกิจของประเทศดิ่งเหวยิ่งขึ้น 
เมื่อรัฐธรรมนูญไม่มีความเป็นประชาธิปไตย มีแนวโน้มที่จะสร้างปัญหาทางการเมืองมากขึ้น ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของต่างประเทศ การลงทุนในประเทศจะลดลง การส่งออก ยิ่งเกิดวิกฤต ทั้งที่ขณะนี้ประเทศและประชาชนก็ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจมากอยู่แล้ว หลังใช้รัฐธรรมนูญ วิกฤตทางเศรษฐกิจจะมีมากยิ่งขึ้น
• ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ที่สร้างให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจเหนือสภาและรัฐบาล 
ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับอำนาจของประชาชน แต่กลับมีอำนาจมากล้นในการตรวจสอบอำนาจหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรีและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ สามารถถอดถอนรัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. โดยอาศัยเพียงเสียงข้างมาก ในอนาคตการทำหน้าที่ของ ส.ส. และรัฐบาลจะติดขัดไปหมด เพราะคนที่ไม่พอใจจะไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยง่าย ทั้งที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญได้สร้างวิกฤตศรัทธาให้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง 
• ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ที่สร้างภาพว่าเพื่อปราบโกง โดยมุ่งสกัดกั้นนักการเมืองและพรรคการเมือง แต่มิได้ปฏิรูปและวางระบบเพื่อแก้ปัญหาฉ้อราษฎรบังหลวงเลยแม้แต่น้อย 
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้อ้างเสมอว่าเพื่อปราบโกง แต่แท้จริงแล้ว กลับสร้างกลไกให้ข้าราชการประจำเข้ามามีอำนาจทางการเมือง ดังเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่คนใน คสช. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ รัฐบาล รวมทั้งสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ก็เป็นข้าราชการในกองทัพและข้าราชการประจำอื่นๆ กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชนหลายตำแหน่งหลายทาง และรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้นก็เปิดช่องทางให้แต่งตั้งข้าราชการประจำดำรงตำแหน่ง ส.ว. ด้วย ไม่ปรากฏให้เห็นว่าได้มีความพยายามที่จะปฏิรูปและวางแนวทางแก้ไขปัญหาทุจริตอย่างเป็นระบบ ไม่มีการปฏิรูปองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมาได้สร้างวิกฤตให้แก่ชาติหลายครั้ง 
• ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ที่สร้าง “ยุทธศาสตร์บังคับเดิน 20 ปี” 
รัฐบาลที่มาจากการตัดสินใจของประชาชนไม่สามารถกำหนดนโยบายในการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนได้โดยอิสระ หรือตามสภาพความเป็นจริง เพราะต้องปฏิบัติหรือดำเนินการบริหารบ้านเมืองตามกรอบยุทธศาสตร์ 20 ปีของ คสช. ซึ่งยังไม่เคยมีประสบการณ์ หรือยังไม่เคยพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถและความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาของประชาชนจนเป็นที่ประจักษ์ชัด อาจกล่าวได้ว่า “2 ปีที่ผ่านมา ยังไม่ได้ทำให้ประชาชนรู้สึกว่ามีอะไรดีขึ้น ถ้าจะให้บริหารต่อไปอีก 5 ปี ชีวิตของเราจะดีขึ้นกว่านี้อย่างไร ยิ่งถ้าต้องให้เดินตามต่อไปอีก 20 ปีตามแผนยุทธศาสตร์ นึกไม่ออกจริงๆ ว่า จะเป็นอย่างไร” 
• ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ที่ทำประเทศถอยหลัง 
โลกยุคปัจจุบันและอนาคต แข่งขันกันที่ความเร็วและความเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและตลอดเวลา
 “วิธีคิดตามรัฐธรรมนูญ” ที่จัดทำขึ้น ไม่สามารถตามทันโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประชาชนได้ทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นซึ่งรังแต่จะทำให้ “ประเทศถอยหลังและตกเป็นเหยื่อของการเปลี่ยนแปลง” จนถึงกับมีบางคนกล่าวเปรียบเทียบว่า “อนาคตของไทย คือ อดีตที่ผ่านพ้นมากว่า 20 ปีของพม่า” 
• ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นรัฐธรรมนูญที่จะสร้างความขัดแย้งให้เพิ่มมากขึ้นในสังคม ความปรองดองก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ 
ปัญหาความแตกแยกทางความคิดของคนในสังคม เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ รัฐบาล คสช. เข้ามาบริหารประเทศ 2 ปี กลับไม่ได้สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น แต่กลับมีความขัดแย้งเพิ่มขึ้น แทนที่จะใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาดังกล่าว กลับมีกลไกที่สร้างปัญหาความขัดแย้งเพิ่มขึ้นหลายประเด็น เช่น ปัญหาความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล ปัญหาระหว่างศาลรัฐธรรมนูญ ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ความขัดแย้งระหว่าง ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้งกับสภาผู้แทนราษฎร อาจจะได้เห็นการใช้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระเป็นเครื่องมือทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองขึ้นอีกเหมือนเช่นที่ผ่านมา จนเกิดวิกฤตศรัทธาต่อศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ 
เมื่อเป็นร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย สร้างปัญหาทางการเมือง จำกัดโอกาสของประเทศในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ลดทอนสิทธิและโอกาสของประชาชน ให้คนเพียงกลุ่มเดียวกำหนดทิศทางคนทั้งประเทศ ทั้งที่ไม่ใช่ตัวแทนประชาชน สร้างอำนาจให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ มีอำนาจเหนือตัวแทนของประชาชน วางกลไกให้มีการสืบทอดอำนาจต่อไป จึงสมควรที่ประชาชนจะร่วมกัน “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญ

กล่าวโดยสรุป พรรคเพื่อไทยมีข้อเสนอแนะต่อพี่น้องประชาชน ดังนี้

1) พรรคเพื่อไทย ขอให้พี่น้องประชาชนร่วมกันออกมาลงประชามติ “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ยอมรับอำนาจของประชาชน และขาดความเป็นประชาธิปไตย

2) พรรคเพื่อไทย เสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ก่อนการลงประชามติ เนื่องจากไม่ได้กำหนดว่าหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติแล้วจะดำเนินการอย่างไร อันเป็นการเอาเปรียบประชาชน
โดยให้แก้ไขอย่างชัดเจนว่า “หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ ให้นำรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 มาปรับแก้และประกาศใช้เป็นการชั่วคราว” พร้อมกับ “จัดให้มีการเลือกตั้งภายในไม่เกิน 6 เดือน” เพื่อให้การบริหารประเทศ และการแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชน ไม่สะดุด หรือกระทบกระเทือน หลังจากนั้น “ให้รัฐบาลจัดให้มีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่กระบวนการยกร่างจนถึงการให้ความเห็นชอบด้วยการลงประชามติ เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยทั้งในส่วนของเนื้อหาและกระบวนการได้มา

3) พรรคเพื่อไทย เข้าใจถึงการรอคอยของประชาชนที่ต้องการให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว แต่การเลือกตั้งภายใต้กติกาที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และสร้างปัญหาในอนาคตนั้น จะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนและประเทศชาติจนยากที่จะแก้ไขได้

อย่างไรก็ตาม แม้ประชาชนจะลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทยมั่นใจว่าจะต้องมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นภายในปี 2560 เพราะหัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรีได้ประกาศไว้ต่อสาธารณชนและนานาประเทศหลายครั้งหลายหน ยืนยันว่าจะต้องมีการเลือกตั้งภายในกำหนดเวลาดังกล่าวอย่างแน่นอน 
จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
พรรคเพื่อไทย 30 มีนาคม 2559