วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558

บ่วงกรรม‘หมอหยองและพวก’หมิ่นเบื้องสูง‘ม.112’




           ชะตาชีวิตเป็นเรื่องน่าแปลกที่ยากจะหยั่งรู้ได้ วันหนึ่งท่านอาจมีชีวิตสู่จุดสูงสุด มั่งมี ศรีสุข อำนาจวาสนาล้นพ้นทั้งในเรื่องการงาน อาชีพ ครอบครัว แต่มาถึงอีกวันหนึ่งหากคนเหล่านี้ดำเนินชีวิตโดยปราศจากความ “สุจริต” ชีวิตอาจผกผันร่วงสู่จุดต่ำสุดได้เพียงข้ามคืน

           เฉกเช่นกับ "3 ผู้ต้องหา คดีแอบอ้างเบื้องสูง หมิ่นสถาบัน กระทำผิด “มาตรา 112” “สุริยัน สุจริตพลวงศ์” (อริยวงศ์โสภณ) หรือ “หมอหยอง” อายุ 53 ปี “จิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์” อายุ 29 ปี และ “พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา” อายุ 44 ปี ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในข้อหา “ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์”

           การจับกุมครั้งนี้ ถือเป็นข่าวใหญ่อีกครั้ง และถือเป็นการปิดฉากเส้นทางชีวิตของผู้ต้องหาทั้ง 3 คนอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพา“หมอหยอง” หมอดูชื่อดังที่ได้ชื่อว่า “หมอดูผู้หยั่งรู้ชะตาคน”  แต่ไม่รู้แม้ชะตาของตัวเอง เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีใครคาดคิดว่า วันหนึ่งหมอดูผู้นี้จะต้องมาประสบชะตาชีวิตที่แสนรันทด หรือจะเป็นเพราะ “บ่วงกรรม” ของแต่ละคนก็ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนเหมือนกัน เพราะเชื่อว่า น้อยคนนักที่ไม่รู้จัก “หมอหยอง” นักทำนายดวงชะตา หรือ หมอดูดวงชะตาชื่อดัง โดยเฉพาะแวดวงคนดัง นักการเมือง ดารานักแสดง นักธุรกิจ และข้าราชการระดับสูง และแม้แต่คนทั่วไปในช่วงที่เขามีชื่อเสียง

         ตามประวัติที่ Sanook! Horoscope เรียบเรียงจากข้อมูลของ moryongsan.com ชะตาชีวิตของหมอหยองน่าสนใจยิ่งนัก “หมอหยอง” หรือ สุริยัน อริยวงศ์โสภณ เกิดที่ จ.ตรัง เป็นบุตรคนที่ 9 ของครอบครัวในจำนวนพี่น้อง 13 คน บิดาประกอบอาชีพค้าขาย ส่วนมารดาช่วยบิดาทำงาน การศึกษา มัธยมต้นจากโรงเรียนวิเชียรมาตุ อ.เมือง จ.ตรัง มัธยมปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท กรุงเทพฯ ปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยเซนต์มาติน ลอนดอน ด้านการออกแบบโฆษณาและงานประชาสัมพันธ์  นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ (เดิมนามสกุล “อริยวงค์โสภณ” นามสกุล “สุจริตพลวงศ์” พระราชทานจาก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร หมายความว่า เผ่าพันธุ์ที่เจริญรุ่งเรืองด้วยพลังแห่งความสุจริต ในโอกาสวันคล้ายวันเกิด วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ )

ตำแหน่งงานทางสังคม 

  • - กรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • - รองเลขาธิการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • - กรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • - สมาชิกกิตติมศักดิ์สมาคมแม่บ้านมหาดไทย พ.ศ.2547
  • - กรรมการบริหารศูนย์ส่งเสริม และประสานงานครอบครัวอบอุ่นและเป็นสุข กระทรวงมหาดไทย
  • - กรรมการบริหาร และรองประธานฝ่ายหารายได้ ของมูลนิธิช่วยเหลือคนปัญญาอ่อน ในพระบรม      ราชูปถัมภ์
  • - เลขาธิการสมาคมแม่ดีเด่นแห่งชาติ สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • - กรรมการบริหารฝ่ายประชาสัมพันธ์ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
  • - กรรมการก่อตั้ง และกรรมการบริหาร มูลนิธิโรคทศวรรษกระดูกและข้อแห่งประเทศไทย
  • - รองประธานคณะกรรมการสงเคราะห์และพัฒนาเด็กและเยาวชน กรมพินิจคุ้มครองเด็กและ              เยาวชน กระทรงยุติธรรม (2547-2549)
  • - ที่ปรึกษาอธิบดีกรมพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชน


        การทำงานเคยเป็นอาจารย์พิเศษ สอนวิชาโฆษณา และประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยหลายแห่ง ส่วนตำแหน่งงานทางสังคมนั้น หมอหยองเป็นกรรมการในหน่วยงานต่างมากมาย อาทิ กรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, รองเลขาธิการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กรรมการบริหารฝ่ายประชาสัมพันธ์ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ฯลฯ

         ขณะที่ผลงานที่ผ่านตาสื่อต่างๆ หมอหยองเป็นพิธีกรรายการต่างๆ มากมายทั้งในไทยและต่างประเทศ แต่ปัจจุบันหมอคนดังหยุดทำนายดวงชะตาแบบธุรกิจเรียบร้อยแล้ว โดยมาทำงานเพื่อสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะการได้เป็นที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดงานกิจกรรมพิเศษโครงการ “ปั่นเพื่อแม่ Bike for Mom” และ “ปั่นเพื่อพ่อ Bike For Dad” และดำรงตำแหน่งอีกมากมาย

         หมอหยองมีความเชื่อว่า “มีพลังเหนือธรรมชาติ หรือ พลังทิพย์ ในการหยั่งรู้ดวงชะตาคน” โดยข้อมูลจาก moryongsan.com ระบุว่า พลังทิพย์ เกิดจากอุบัติเหตุรถตุ๊กตุ๊กชนสลบ 5 คืน กับ 6 วัน เมื่อหลายปีก่อน โดยหลังจากฟื้นหมอหยองเล่าว่า ได้พบกับหลวงปู่ทวด ในจิตใต้สำนึก และพาไปพบกับองค์พระพิฆเนศ ในศาลาแห่งหนึ่ง จากนั้นหลายปีต่อมาเกิดป่วยด้วยอาการประหลาดขึ้นมาอีก ก่อนที่จะพบแม่ชีวัดเพลงวิปัสสนา และบอกว่า “หมอหยอง” หมดอายุไปตั้งแต่สิบปีที่แล้ว ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ เพราะมีสัญญาตามเทวบัญชา จึงเพียงสัมผัสใบหน้า รู้วันเกิดของคน ก็สามารถรู้อนาคตและบอกอดีตของคนคนนั้นได้อย่างแม่นยำ แต่ไม่รู้ชะตาของตัวเองเลย

          นับจากนั้นเป็นต้นมา ความเชื่อนี้ก็พลิกชีวิตของเขาให้เข้าสู่ถนนนักโหราศาสตร์ ส่งผลให้กลายเป็นหมอดูที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ก่อนจะปิดฉากเส้นทางชีวิตด้วยการเป็นผู้ต้องหาในคดีแอบอ้างเบื้องสูง

        มาที่ “จิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์” หนึ่งในสามผู้ต้องหา หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อคุ้นหน้า โดยเท่าที่ทราบหนุ่มคนนี้เป็นเลขานุการส่วนตัวของ “หมอหยอง” ที่ว่ากันว่ามีความสนิทชิดเชื้อกับหมอดูดังเป็นอย่างมาก แต่เมื่อดูประวัติพบว่า เลขาฯหนุ่มของหมอดูดังไม่ธรรมดาทั้งที่อายุยังไม่แตะหลัก 3

        "จิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ ชื่อเดิมคือ “จิรวงศ์ ทองนา” ชื่อเล่นว่า “อาท” เกิดเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2529 เป็นชาว จ.ตรัง ต่อมาได้เปลี่ยนนามสกุลเป็น “วัฒนเทวาศิลป์” หนุ่มคนนี้ร่วมงานกับ “หมอหยอง” ในฐานะเลขานุการ โดยรับหน้าที่เป็นผู้ติดตาม และประสานงานต่างๆ เรียกได้ว่า หมอหยองให้ความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นที่สุด

       เลขาฯ คนสนิทหมอหยอง ยังมีดีกรีเป็นช่างภาพ โดยมีฉายาว่า “อาท ชัตเตอร์มหาเทพ” และเคยได้รับโล่เกียรติคุณรางวัลลูกกตัญญูกตเวทีอย่างสูงต่อแม่ ประจำปี 2558 เมื่อวันพุธที่ 12 สิงหาคม ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังเคย รับมอบเข็มเครื่องหมายประกาศเกียรติคุณจากหน่วยงานของกองทัพในฐานะผู้บำเพ็ญคุณงามความดีให้แก่กรมทหาร และกองทัพบก

        เมื่อตรวจสอบเฟซบุ๊ก “จิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์” จะพบภาพจำนวนมากระหว่างตัวเขากับหมอหยองในงานกิจกรรมต่างๆ มากมายที่บ่งบอกถึงความใกล้ชิดกันอย่างมาก รวมถึงยังมีภาพถ่ายร่วมกันกับนักธุรกิจ และเจ้าสัวชื่อดังอันดับต้นของประเทศตามงานเลี้ยง หรืองานสำคัญต่างๆ

       จะเห็นได้ว่า จิรวงศ์ มีชีวิตสู่ช่วงรุ่งโรจน์สูงสุดในฐานเลขาฯ คู่กายหมอดูคนดัง แต่สุดท้ายก็ตกมาเป็นผู้ต้องหาในคดีความผิดร้ายแรงที่กระทำการมิบังควรด้วยการแอบอ้างสถาบันที่คนไทยเคารพสูงสุด

      มาถึงผู้ต้องหาคนสุดท้าย “พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา” หรือ "สารวัตรเอี๊ยด” หนึ่งในผู้ต้องหาที่เป็นข้าราชการตำรวจเพียงหนึ่งเดียว ณ ตอนนี้ สารวัตรเอี๊ยดเป็นลูกชายของ พล.ต.ท.วัฒนชัย วารุณประภา สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากนั้นได้รับทุนจากกระทรวงกลาโหม ให้ไปศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยที่ประเทศอังกฤษ หลังจากสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร จึงเข้ารับราชการทหารในสังกัดศูนย์การทหารปืนใหญ่ ต่อมาได้เข้ามารับราชการตำรวจ
      ช่วงต้นของการรับราชการตำรวจได้สังกัดศูนย์ข้อมูลข่าวสาร โดยเคยรับหน้าที่เป็นอนุกรรมการจัดซื้อจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ทดแทน ระบบคอมพิวเตอร์เดิมที่ล้าสมัย จากนั้นได้เข้าอุปสมบทที่วัดบวรนิเวศฯ โดยช่วงที่บวชเป็นพระภิกษุและลาสิกขา ได้ทำหน้าที่ตามเสด็จสมเด็จพระสังฆราช มีหน้าที่คอยดูแลรับใช้ ดูหมายเสด็จ มีนามเรียกขานว่า “นว.รังษี 1” ผู้อ่านคงพอจำได้ คดีเครื่องราชฯ

     ต่อมา พ.ต.ต.ปรากรมถูกกล่าวหาเรื่องร้ายแรงจึงเป็นสาเหตุที่ถูกให้ออกจากราชการ แต่ภายหลัง พ.ต.ต.ปรากรม พ้นจากข้อกล่าวหาเนื่องจากอัยการสั่งไม่ฟ้องคดี และผ่าน พ.ร.บ.ล้างมลทิน กระทั่งวันที่ 22 มกราคม คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้สารวัตรเอี๊ยดกลับเข้ารับราชการในสังกัด บก.ปอท. โดยเพิ่มยศจาก ร.ต.อ.เป็น พ.ต.ต.พร้อมทั้งได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ตรวจสอบเว็บไซต์หมิ่นสถาบันเบื้องสูง

      นอกจากนี้ สารวัตรผู้นี้ยังเป็นนายตำรวจผู้ได้รับมอบหมายหน้าที่หลักในการตรวจสอบรวบรวมพยานหลักฐาน และข้อมูลต่างๆ อันเป็นที่มาของการทลายเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.ในคดีหมิ่นเบื้องสูง โดยล่าสุด พล.ต.อ.สมยศ ได้เซ็นคำสั่งไว้เมื่อวันที่ 30 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนจะเกษียณอายุราชการ โดยให้สารวัตรผู้นี้มาดำรงตำแหน่ง สว.กก.ปพ.บก.ป. โดยจะมีผลในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ แต่ปรากฏว่า พ.ต.ต.ปรากรม มาถูกจับกุมคดีหมิ่นสถาบันเสียก่อน...

เว็บรัฐยังล่มหลังถูกโจมตีต่อ ด้านไอซีทีมั่นใจป้องกันการโจมตีเว็บได้


 
24 ต.ค. 2558 Voice TV รายงานว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา (23 ต.ค.) กลุ่มแอนโนนิมัส ประกาศโจมตีเว็บไซต์รัฐบาลไทยเพิ่มเติม ทำให้เว็บไซต์กระทรวงพลังงาน และเว็บไซต์รัฐบาลไทย ไม่สามารถใช้การได้ 
 
กลุ่มแอนโนนิมัส กลุ่มแฮกเกอร์นิรนามชื่อดังระดับโลก  ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 กำหนดเป้าหมายการโจมตีระลอกใหม่ ซึ่งทั้งหมดเป็นของรัฐบาลไทย  เช่น สำนักคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และอื่นๆ
    
การโจมตีครั้งนี้ ทำให้เว็บไซต์รัฐบาลไทย และเว็บไซต์กระทรวงแรงงาน ใช้การไม่ได้ โดยเฉพาะเว็บไซต์รัฐบาลไทย หรือ thaigov.go.th  ที่ใช้การไม่ได้นานถึง 12 ชั่วโมง 
    
ก่อนหน้านี้ กลุ่มแอนโนนิมัส  ประกาศผ่านแถลงการณ์ฉบับแรก ต่อต้านนโยบายซิงเกิลเกตเวย์  โดยระบุว่าเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน  และขู่ว่าหากบริษัทหรือบุคคลใดช่วยผลักดันโครงการซิงเกิลเกตเวย์ อาจตกเป็นเป้าหมายในการโจมตีในครั้งต่อไป
 
ICT มั่นใจ ป้องกันกลุ่มแฮกเกอร์
 
วันเดียวกันนี้ (24 ต.ค.) Nation TV รายงานว่า นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้ระบุถึงกรณีที่มีกลุ่มแฮกเกอร์ปล่อยข้อมูลลูกค้าบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT ว่า นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ติดตามกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่จะคุกคามเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งได้มีการประสานกับทุกหน่วยงานระมัดระวังดูแลฐานข้อมูลต่างๆ ให้ดี ขณะเดียวกันต้องให้บริการประชาชนให้ได้ ยืนยันว่าประชาชนสามารถมั่นใจในการดูแลข้อมูลของประชาชนได้ ซึ่งระบบยังทันสมัย และขอให้ประชาชนพิจารณาข้อมูลที่มีการสื่อสารผ่านเว็บไซต์ต่างๆ อย่างระมัดระวัง เพราะบางครั้งก็มีการแอบอ้างข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง ในส่

พบช่องทีวีดิจิตอลเด็กรีรันรายการซ้ำ วันละ 2-3 รอบ


พบช่องทีวีดิจิตอลสำหรับเยาวชนออกอากาศรายการซ้ำมากถึงวันละ 2-3 รอบ โดยนำรายการเก่าจากฟรีทีวีเดิม เนื้อหาบางรายการยังจัดระดับความเหมาะสมไม่ถูกต้อง เครือข่ายครอบครัวมีข้อเสนอให้ กสท. กำกับดูแลช่องเด็กให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ ทบทวนปรับปรุงเกณฑ์การจัดเรตให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
 
การประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ครั้งที่ 36/2558 วันจันทร์ที่ 26 ต.ค. 2558 นี้ นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่ามีวาระการประชุมน่าจับตา ได้แก่ ผลสำรวจรายการโทรทัศน์ช่องเด็ก เยาวชน และครอบครัว หลังออกอากาศ (Post rate) และข้อเสนอเพื่อพิจารณาปรับปรุงเกณฑ์การจัดระดับความเหมาะสมของรายการโทรทัศน์และกำกับดูแลสถานีโทรทัศน์ จากเครือข่ายครอบครัวและเฝ้าระวังสร้างสรรค์สื่อ ได้มีหนังสือลงวันที่ 22 ก.ย. 58 ถึงประธานอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหา ได้ทำการสำรวจผังรายการและเนื้อหาโทรทัศน์ดิจิตอลทีวี หมวดหมู่ช่องเด็ก เยาวชน และครอบครัว ระหว่างเดือน เม.ย. – ก.ค. 58 ทั้ง 3 ช่อง ได้แก่ ช่อง 3 Family ช่อง MCOT Family และช่อง LOCA พบประเด็นสำคัญ ดังนี้ บางรายการสามารถจัดเรตความเหมาะสมเป็น ป3+ และ ด6+ ได้ ในขณะที่รายการส่วนใหญ่จัดระดับที่ ท ทั่วไป เนื้อหาบางรายการยังจัดระดับความเหมาะสมไม่ถูกต้อง บางสถานีมีการออกอากาศซ้ำหรือ Rerun รายการมากถึงวันละ 2 – 3 รอบ โดยเป็นการนำรายการเก่าจากช่องฟรีทีวีเดิม หรือสถานีอื่นๆ รวมทั้งพบว่าสถานียังไม่มีการลงทุนเพื่อหารายการที่มีคุณภาพและส่งเสริมกลุ่มเป้าหมาย อันได้แก่ เด็ก เยาวชน และครอบครัวมาออกอากาศ บางช่องพบว่ามีการโฆษณาที่ทำเป็นรายการออกอากาศยาว 20 – 24 นาที โดยมีเนื้อหากล่าวถึงคุณสมบัติของสินค้าและบริการ โดยไม่นับรวมเวลาโฆษณา  ซึ่งสำนักงานและอนุกรรมการฯได้เสนอให้กสท.เพื่อทราบข้อเสนอ และนำข้อมูลที่ได้มาเป็นข้อมูลในการกำกับดูแลต่อไป รวมทั้งเสนอให้สำนักงานตรวจสอบรายการตามที่ได้รับเรื่องร้องเรียนว่าได้กระทำผิดการโฆษณา และการจัดระดับความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร
 
เครือข่ายครอบครัวมีข้อเสนอให้ กสท. ดำเนินการ กำกับดูแลช่องเด็กให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ ทบทวนและปรับปรุงเกณฑ์การจัดเรตให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และขอให้ทบทวนพัฒนากระบวนการจัดเรตของรายการโทรทัศน์ ที่เน้นการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย 
 
วาระอื่นน่าจับตาได้แก่ วาระการพิจารณาหนังสือตอบสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทยกรณีการขอคัดค้านมติ กสทช. เรื่องการเรียงช่องตรงกันทุกแพลตฟอร์ม วาระเรื่องร้องเรียนผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องกับสัญญาการให้บริการกิจการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก วาระเรื่องร้องเรียนของผู้บริโภคขอให้ดำเนินการเปลี่ยนกล่องรับสัญญาณดิจิตอลทีวี Set Top Box

องค์กรสิทธิจี้ปิดเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี


มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ออกแถลงการณ์ "ปิดเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี เรียกร้องการถ่วงดุลตรวจสอบ" ระบุเนื่องจากไม่มีความพร้อมและไม่มีความเหมาะสม ทั้งนี้ขอให้ควบคุมตัวบุคคลในคดีการเมืองในเรือนจำปกติโดยจัดให้มีแดนควบคุมเฉพาะ ชี้การขังเดี่ยวผู้ต้องขังขัดกับหลักการด้านสิทธิมนุษยชน
 
25 ต.ค. 2558 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ออกแถลงการณ์ "ปิดเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี เรียกร้องการถ่วงดุลตรวจสอบ" ระบุเนื่องจากไม่มีความพร้อมและไม่มีความเหมาะสม ทั้งนี้ขอให้ควบคุมตัวบุคคลในคดีการเมืองในเรือนจำปกติโดยจัดให้มีแดนควบคุมเฉพาะ ชี้การขังเดี่ยวผู้ต้องขังขัดกับหลักการด้านสิทธิมนุษยชน โดยรายละเอียดทั้งหมดมีดังต่อไปนี้
 
ปิดเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี เรียกร้องการถ่วงดุลตรวจสอบ
 
เนื่องจากเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2558 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้มีคำสั่งกระทรวงยุติธรรม ที่ 314/2558 เรื่องกำหนดอาณาเขตเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี กรณีที่ระบุว่าเป็นสถานที่คุมขังผู้ต้องขังประเภทมีเหตุพิเศษ ที่ไม่ควรจะรวมคุมขังอยู่กับผู้ต้องขังอื่น โดยสถานที่คุมขังดังกล่าวเป็นเรือนจำที่อยู่ในพื้นที่ พัน.ร.มทบ. 11 ถนนพระรามที่ 5 กรุงเทพ มีพื้นที่อยู่ในค่ายทหาร แต่ปรากฎว่าเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พบว่าพ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภาผู้ต้องขังระหว่างสอบสวนในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ได้รับตัวไว้ควบคุมตามหมายขังของศาลทหารกรุงเทพตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม เสียชีวิตจากการผูกคอตัวเองกับลูกกรงห้องขังภายในเรือนจำชั่วคราวดังกล่าว
 
การดำเนินกระบวนการยุติธรรมในคดีที่มีความผิดร้ายแรงและมีลักษณะพิเศษมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใสตรวจสอบได้ ระบบยุติธรรมของไทยที่ได้พัฒนาปรับปรุงให้มีความทัดเทียมสากลและเคารพหลักนิติรัฐมาตลอดนั้นกลับถูกทำลายโดยข้ออ้าง“กรณีพิเศษ”โดยการแจ้งความ จับกุม ควบคุมตัว และการพิจารณาคดีโดยหน่วยงานเดียวกัน ความเป็นอิสระขององค์กรในการอำนวยความเป็นธรรมได้รับการพัฒนาเพื่อให้การทำงานของตำรวจ อัยการ ศาล มีการตรวจสอบซึ่งกันและกัน มีกลไกสิทธิมนุษยชนทั้งในตัวบทกฎหมายและในทางปฏิบัติโดยเน้นเรื่องการถ่วงดุลอำนาจเพื่อนำมาซึ่งการพิจารณาคดีเป็นธรรม นอกจากนี้ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติอื่นหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรีขององค์การสหประชาชาติตั้งแต่ปีพ.ศ. 2550 ซึ่งมีข้อห้ามเด็ดขาดในเรื่องการทรมาน ไม่ว่าจะกรณีใดใด ทั้งการก่อการร้าย การปราบปรามยาเสพติด การก่อความไม่สงบ ทั้งนี้หมายรวมถึงคดีที่มีความอ่อนไหวในสังคมไทยเช่นในกรณีมาตรา 112
 
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมมีความเห็นและข้อเรียกร้องต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังนี้
 
1. ขอให้ปิดเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรีเนื่องจากไม่มีความพร้อมและไม่มีความเหมาะสม ทั้งนี้ขอให้ควบคุมตัวบุคคลในคดีการเมืองในเรือนจำปกติโดยจัดให้มีแดนควบคุมเฉพาะ แม้จะมีคำสั่งให้เป็นสถานที่คุมขังตามคำสั่งกระทรวงยุติธรรมแต่การบริหารจัดการที่ขาดความรู้ ความเข้าใจ ความชัดเจนในบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ อีกทั้งสถานที่ตั้งเรือนจำอยู่ในเขตทหาร จนทำให้มีเหตุกังขาถึงสาเหตุการตายของผู้ต้องขังคนสำคัญรายนี้
 
2. ปรากฎในการแถลงข่าวของกรมราชทัณฑ์ว่า มีการขังเดี่ยวผู้ต้องขังกลุ่มดังกล่าว ซึ่งขัดกับหลักการด้านสิทธิมนุษยชน โดยห้ามไม่ให้มีการขังเดี่ยวผู้ต้องขังใดใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ต้องขังคดีทางการเมือง
 
3. กรณีดังกล่าวตามที่ระบุว่าจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น คณะกรรมการชุดนี้ต้องมีความเป็นกลางมีความน่าเชื่อถือเพื่อตรวจสอบการเสียชีวิตให้กระจ่าง รวมทั้งจัดให้มีการผ่าชันสูตรศพเพื่อหาสาเหตุการตายทางนิติเวช การตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ และมีการไต่สวนการตายอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย หากพบว่าเป็นการกระทำความผิดทั้งทางอาญาหรือวินัยของผู้ใดต้องมีการนำตัวคนผิดมาลงโทษตามกฎหมาย
 
4. ทางราชการต้องเปิดโอกาสให้มีการตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัวทุกแห่งโดยหน่วยงานที่เป็นอิสระ เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือองค์กรระหว่างประเทศเช่น OHCHR และ ICRC ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามพันธกรณีที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีและต้องปฏิบัติตาม
 
5. ขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการตามคำมั่นสัญญาที่จะลงนามในพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน เพื่อเปิดโอกาสให้หน่วยงานอิสระที่จัดตั้งขึ้นตามพิธีสาร OPCAT เพื่อตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัวทุกแห่งได้เพื่อป้องกันการทรมานและการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรม

อดีตครูวัย77 ขึ้นศาลทหาร ถูกตั้ง2ข้อหาหนัก หลังมอบดอกไม้พ่อเฌอขณะเดิน ‘พลเมืองไม่ขึ้นศาลทหาร’

ปรีชา แก้วบ้านแพ้ว ผู้ต้องหา 

26 ต.ค. 2558 เมื่อเวลา 14.30 น. เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘กลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน" - กนส. "Free Thai Legal Aid" FTLA‘ รายงานว่า วันนี้ เวลา 10.00 น. กลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน (กนส.) ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ปรีชา แก้วบ้านแพ้ว อายุ77 ปี ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการบำนาญ ถูกตั้ง 2 ข้อหาหนัก กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตาม ป.อ.ม.116(3) และร่วมกันฝ่าฝืนประกาศฯ ห้ามชุมนุมเกิน 5 คน ตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 7/2557 ถูกนำตัวจากเชียงรายส่งตัวมาสอบสวนที่สน.ชนะสงคราม
กนส. รายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ทราบข้อเท็จจริงเบื้องต้น ปรีชา เป็นเพียงประชาชนมาร่วมสังเกตการณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มพลเมืองโต้กลับ เมื่อเดือนมีนาคม 2558 ระหว่างนั้นถูกสายสืบสน.ชนะสงคราม พูดจาเพื่อให้ยอมให้หมายเลขโทรศัพท์แก่สายสืบ ต่อมาถูกออกหมายจับศาลทหารโดยไม่รู้ตัว
ล่าสุดเวลา 14.00 น. ศาลทหารกรุงเทพมีคำสั่งให้ ปล่อยตัวชั่วคราวนายปรีชา แก้วบ้านแพ้ว ผู้ต้องหา เรียบร้อยแล้ว ตีราคาหลักประกัน 150,000 บาท และให้ยึดสลากออมสินพิเศษกับเงินสดประกันการบังคับคดี 1,000 บาท ตามบัญชีท้ายคำร้องไว้เป็นประกัน
ผู้สื่อข่าวประชาไท สอบถามไปยัง วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความและเลขาธิการ กนส. เพิ่มเติมกรณีนี้ถึงสาเหตุที่เจ้าหน้าที่ดำเนินคดี โดยวิญญัติ กล่าวว่า เหตุการณ์ในคดีเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 มี.ค.58 ปรีชา ผู้ต้องหาในคดีนี้ ซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญ อดีตครูวัดธาตุทอง ได้ไปดู พ่อน้องเฌอ หรือ พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ เดินเท้าภายใต้ชื่อกิจกรรม ‘พลเมืองรุกเดิน’ เพื่อเรียกร้องให้ยุติการนำพลเมืองขึ้นดำเนินคดีในศาลทหาร (อ่านรายละเอียด : ประมวลภาพ ‘พันธ์ศักดิ์’ พลเมืองรุกเดินวันที่ 2 จากหมุดเฌอถึงลานปรีดี วอน ‘ยุติพลเมืองขึ้นศาลทหาร’และขณะที่พันศักดิ์ เดินมาถึงบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ปรีชาก็ยืนสังเกตการณ์อยู่ โดยระหว่างนั้นมีคนให้ดอกไม้พันศักดิ์ พร้อมกับเชิญชวนให้ปรีชานำดอกไม้ให้พันศักดิ์ด้วย ซึ่งปรีชาก็นำดอกไม้ไปให้ด้วย จากนั้นพันธ์ศักดิ์เดินต่อไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ลานปรีดี พนมยงค์ ปรีชาก็เดินตามไปดูด้วย
สำหรับการจับกุมปรีชานั้น วิญญัติ กล่าวว่าเนื่องจากปรีชาจะข้ามไปเที่ยวที่ลาว โดยผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองตามปกติ ทำให้ทราบว่าตัวเองมีหมายจับ เจ้าหน้าที่จึงนำตัวมายัง สน.ชนะสงคราม เมื่อวานนี้(25 ต.ค.58) และควบคุมตัวไว้ 1 คืน ก่อนที่จะนำตัวมาฝากขังกับศาลทหารในวันนี้ และทาง กนส. ได้ยื่นประกันตัว ศาลทหารจึงอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวออกมา สำหรับข้อหาเนื่องจากปรีชามอบช่อดอกไม้กลุ่มเดินขบวนที่เดินต่อต้านรัฐประหาร รณรงค์เรียกร้องเพื่อไม่ให้ขึ้นศาลทหาร กลายเป็นว่าปรีชา หรือผู้ต้องหาคนนี้เป็นผู้เข้าไปมีส่วนร่วมและตั้งข้อกล่าวหาร่วมชุมนุมเดิน 5 คน และมีการยั่วยุปลุกปั่นให้คนละเมิดอำนาจกฎหมาย