วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

ผบ.ตร.แจงกรณีข่าวจะบรรจุ 'ตั๊น จิตภัสร์' ระบุอยู่ในขั้นตอนตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร


ผบ.ตร.แจงข่าวกรณีจะมีการบรรจุทายาทนักธุรกิจชื่อดัง ตั๊น จิตภัสร์ เป็นรองสารวัตร สังกัด 191 ย้ำในฐานะ ผบ.ตร. ทุกอย่างต้องถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย และเป็นธรรมกับทุกคน ระบุรับรายงานว่าอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาและตรวจสอบข้อมูลประวัติและคุณสมบัติของผู้สมัครเท่านั้นยังไม่เป็นข้อยุติว่าจะบรรจุ ผบก.สปพ. เผย 'จิตภัสร์' ยื่นถอนตัวสมัครตำรวจพรุ่งนี้
 
20 ก.ย. 2558 สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงข่าวที่ปรากฏตามสื่อว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะบรรจุ ตั๊น จิตภัสร์ กฤดากร เป็นรองสารวัตร สังกัด บก.สปพ. หรือ 191 นั้นขอชี้แจงว่า กระบวนการบรรจุแต่งตั้งบุคคลภายนอกเข้าเป็นข้าราชการตำรวจตามคุณวุฒิขาดแคลนนั้น หน่วยงานต้นสังกัดจะต้องนำเสนอความต้องการที่จะบรรจุแต่งตั้งบุคคลภายนอกที่มีคุณวุฒิ ความรู้ ความสามารถพิเศษตรงตามความต้องการของหน่วย ในสาขาวิชาต่าง ๆ ตามที่แต่ละหน่วยงานมีความต้องการ โดยเสนอขออนุมัติหลักการมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเมื่ออนุมัติหลักการแล้ว แต่ละหน่วยงานมีหน้าที่ไปดำเนินการคัดเลือกและสรรหาบุคคลที่มีความเหมาะสมบรรจุลงในตำแหน่งนั้น ๆ ในกรณีนี้เป็นหน้าที่ของกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (บก.สปพ.) หรือ 191 เป็นผู้รับผิดชอบในการคัดเลือกและสรรหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถและคุณวุฒิตามที่ต้องการมาบรรจุลงในตำแหน่งดังกล่าว โดยเสนอผ่านผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นเพื่อขออนุมัติ และขอความเห็นชอบจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
 
ทั้งนี้ ได้รับรายงานว่า อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาและตรวจสอบข้อมูลประวัติและคุณสมบัติของผู้สมัครเท่านั้น ยังไม่เป็นข้อยุติว่าจะบรรจุแต่งตั้งผู้ใด หากบุคคลเหล่านั้นมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามระเบียบข้อบังคับและกฏหมาย ก็ไม่สามารถที่จะบรรจุแต่งตั้งบุคคลเหล่านั้นได้ อีกทั้งหากผ่านการพิจารณาของหน่วยงานเหล่านั้นแล้ว ก็ยังต้องเสนอขออนุมัติขอความเห็นชอบจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกด้วย ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสำนักงานกำลังพล (สกพ.) จะต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ โดยยึดหลักความถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับและกฏหมายอีกชั้นหนึ่ง ตนในฐานะ ผบ.ตร. ขอยืนยันกับเพื่อนข้าราชการตำรวจว่า จะใช้อำนาจหน้าที่ตามกฏหมาย พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ โดยยึดหลักความถูกต้องเหมาะสม ระเบียบข้อบังคับ ตลอดจนกฏหมายเป็นสำคัญ และจะให้ความเป็นธรรมกับทุกคน
 
สื่อเผย 'จิตภัสร์' ยื่นถอนตัวสมัครตำรวจพรุ่งนี้
 
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้บังคับการกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ หรือ 191 (ผบก.สปพ.) เปิดเผยถึงกรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะบรรจุ น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร หรือตั๊น อดีตหนึ่งในแกนนำ กปปส.ที่เคยนำมวลชนบุกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าเป็นข้าราชการตำรวจ ในตำแหน่งรองสารวัตรฝ่ายอำนวยการ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาลว่า เบื้องต้นทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) เป็นผู้เปิดรับสมัครบุคคลภายในเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับชั้นสัญญาบัตรในสังกัด บช.น. ทาง น.ส.จิตภัสร์ ได้สมัครเข้ามาสู่ขั้นตอนการคัดเลือก
 
โดยได้มีการสอบสัมภาษณ์พร้อมทั้งตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว มีการเสนอชื่อไปให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้พิจารณา เมื่ออนุมัติก็ต้องเข้าสู่ขั้นตอนติดยศให้เป็น ส.ต.ต.ก่อน เมื่อผ่านการอบรมตำรวจชั้นสัญญาบัตรประมาณ 4-6 เดือนแล้วจึงจะสามารถเข้าบรรจุในตำแหน่ง รอง สว.ฝ่ายอำนวยการ บก.สปพ. ได้
 
พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ กล่าวอีกว่า ตนไม่มีอำนาจในการพิจารณาแต่งตั้งตำแหน่งดังกล่าว เนื่องจากต้องเป็นอำนาจของ บช.น. เสนอมาที่ บก.สปพ. โดยได้รับความเห็นชอบจากทาง ตร.อนุมัติ
 
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ น.ส.จิตภัสร์ เข้ามาสมัครเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะทาง บก.สปพ.ต้องการเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงที่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษมาทำงานร่วมกัน เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนที่กำลังจะมาถึง
 
ทั้งนี้ น่าเสียดายที่ทราบข่าวว่า น.ส.จิตภัสร์ จะไปยื่นเรื่องถอนชื่อออกจากการเสนอเข้ารับราชการตำรวจในวันพรุ่งนี้ (21 ก.ย.) ที่ ตร.

เผยมี สนช. เสนอตัวเป็น กรธ. บ้างแล้ว ด้าน 'ลีน่าจัง-เสกโลโซ' ถูกเสนอชื่อ สสร.ในฝัน


รองประธาน สนช. เผย วิป สนช.นัดหารือเลือก กรธ. 22 ก.ย.นี้ มี สนช.เสนอตัวบ้างแล้ว ระบุจะพยายามลดกรอบเวลาการร่างกฎหมายลูกให้เร็วกว่า 6 เดือน ด้าน ม.เที่ยงคืนอัพเดทรายชื่อสภาร่าง รธน.ในฝัน พบมี "ลีน่าจัง-เสกโลโซ" ถูกเสนอชื่อมาด้วย
 
20 ก.ย. 2558 สำนักข่าวไทย รายงานว่านายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงการคัดเลือกสนช.เพื่อดำรงตำแหน่งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ว่า ขณะนี้ในส่วนของสนช.ยังไม่มีความชัดเจน คาดว่าสัปดาห์หน้าน่าจะชัดเจนมากขึ้น ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันเสนอรายชื่อ
 
“เชื่อว่าจะเสนอรายชื่อกันในสัปดาห์นี้ และนายกรัฐมนตรีจะกลับมาพิจารณาในภาพรวมขั้นตอนสุดท้ายหลังจากสิ้นสุดภารกิจการประชุมสหประชาชาติ ที่สหรัฐอเมริกายอมรับว่ามีสมาชิกสนช.เสนอตัวผ่านทางนายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธาน สนช.หลายคน ซึ่งจะต้องนำไปหารือที่ประชุมวิป สนช.ในวันอังคารที่ 22 กันยายนนี้ คาดว่าน่าจะได้รายชื่อในเบื้องต้น ส่วนจะมีอดีตคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญกลับมาเป็นกรธ.หรือไม่ ผมมองว่าทุกคนมีความสามารถ มีความพร้อมที่จะเสียสละเพื่อบ้านเมือง จึงมีความเหมาะสมที่จะเป็นกรธ.ได้” รองประธานสนช. กล่าว
 
ส่วนขั้นตอนการร่างกฎหมายลูกที่ตามโรดแมปจะใช้ระยะเวลาถึง 6 เดือนนายสุรชัย ยืนยันว่า สนช.จะพยายามเร่งการร่างกฎหมายลูกให้เร็วกว่า 6 เดือน แต่ไม่สามารถประเมินได้ว่าลดระยะเวลาลงได้กี่เดือน แต่จะทำให้เร็วที่สุด ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับการร่างรัฐธรรมนูญของกรธ.ด้วย อย่างไรก็ตาม ก่อนที่กรธ.จะร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ สนช.อาจจะร่างกฎหมายลูกในภาพกว้างไปพลาง ๆ ก่อนได้ แต่สุดท้ายต้องรอจนกว่ารัฐธรรมนูญเสร็จเช่นกัน
 
อัพเดทรายชื่อ สภาร่าง รธน.ในฝันของ ม.เที่ยงคืน "ลีน่าจัง-เสกโลโซ" โผล่
 
เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2558 ที่ผ่านมา ม.เที่ยงคืน ได้อัพเดทรายชื่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญในฝันของ ม.เที่ยงคืน(อ่านเพิ่มเติม: ม.เที่ยงคืนชวนเสนอชื่อ 'สภาร่าง รธน.ในฝัน') โดยมีรายชื่อดังต่อไปนี้
 
นิธิ เอียวศรีวงศ์, เกษียร เตชะพีระ, อานันท์ ปันยารชุน, วีระ สมบูรณ์, สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิช, ไชยยันต์ ไชยพร, วรเจตน์ ภาคีรัตน์, แมน ปกรณ์, ไผ่ ดาวดิน, ลิขิต ธีระเวคิน, คณิน บุญสุวรรณ, พนัส ทัศนียานนท์, อเนก เหล่าธรรมทัศน์, ณัฐกร วิทิตานนท์, อรรถจักร สัตยานุรักษ์, พวงทอง ภวัครพันธุ์, สมชาย ปรีชาศิลปกุล, อุกฤษ มงคลนาวิน, จาตุรนต์ ฉายแสง, พฤ โอ่โดเชา, ดิเรก กองเงิน (เครือข่ายปฏิรูปที่ดิน), สุมิตรชัย หัตถสาร, นิวัตร ร้อยแก้ว (ครูตี๋), กนกศักดิ์ ดวงแก้วเรือน (อบต.แม่ทา), สุขุม นวลสกุล, เนติวิทย์, ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์, บัณฑิต เศรษฐวุฒิ, ผาสุก พงษ์ไพจิตร, ส.ศิวรักษ์, คำผกา, รังสิมันต์ โรม, จินตนา แก้วขาว, ยายไฮ ขันจันทา, ลีนา จังจรรจา (ลีน่าจัง), ยอดพล เทพสิทธา, สถิต ไพเราะ, บัณฑิต อนียา, ฉลาด วรฉัตร, สมบัติ จันทรวงศ์, บก.ลายจุด, รังสรรค์ ธนพรพันธุ์, ชำนาญ จันทร์เรือง, สมยศ พฤกษาเกษมสุข, กาจ ดิษฐาอภิชัย, จรัญ โฆษณานันท์, จอน อึ้งภากรณ์, มานิตย์ จิตจันทร์กลับ, ธเนศวร์ เจริญเมือง, นันทวัฒน์ บรมานันท์, อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา, ระพี สาคริก, สมเกียรติ อ่อนวิมล, ทนายวันชัย, โสภณ สุภาพงศ์, น้องเพนกวิน, สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อานันท์ กาญจนพันธุ์, ปริญญา เทวานฤมิตรกุล, บัณฑิต ศิริพันธุ์, อานนท์ นำภา, พระไพศาล วิศาโล, เสกสรร ประเสริฐกุล, ธเนศ วงศ์ยานนาวา, เสกสรร ศุขพิมาย (เสก โลโซ), ธีรยุทธ บุญมี, ประเวศ วะสี

'อุดมเดช' ชี้จะเอาผิดกลุ่มประชาธิปไตยใหม่หรือไม่ขึ้นอยู่กับตำรวจ


ผู้บัญชาการทหารบกระบุการเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ คสช.เปิดโอกาสให้แสดงความเห็นได้บ้าง ส่วนการดำเนินคดีแกนนำขึ้นอยู่กับการพิจารณาของตำรวจ
 
20 ก.ย. 2558 สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานว่าพลเอกอุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงกรณีกลุ่มนักศึกษาและกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ รวมตัวทำกิจกรรมบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วันครบรอบ 9 ปี รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นได้บ้าง ซึ่งตาม พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ กำหนดชัดเจนว่า การกระทำสิ่งใดที่ผิดกฎหมาย ผู้นำการเคลื่อนไหวต้องรับผิด ซึ่งขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะพิจารณาความผิดย้อนหลังหรือไม่ เจ้าหน้าที่ได้บันทึกหลักฐานไว้แล้ว ผู้บัญชาการทหารบก ยังกล่าวว่า ไม่อยากให้ยึดวันต่างๆ แสดงออกเชิงสัญญลักษณ์เช่นนี้อีก

ส่องท่าทีต่อสภาขับเคลื่อนฯ เพื่อไทย-นปช.ไม่ร่วม ขณะที่ ปชป.-กปปส.ไฟเขียว

ท่าที่ 2 ค่ายการเมืองใหญ่ เพื่อไทยไม่ส่งคนร่วม ใครร่วมแนะควรลาจากพรรค จตุพรประกาศนปช. พร้อมแยกทางพท.หากร่วม ด้านอภิสิทธิ์ไฟเขียวสมาชิกฯเข้า มูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ พร้อมเดินหน้าร่วมปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง
หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. เปิดเผยว่ากลุ่มคนที่จะเข้าไปเป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ (สปท.) ส่วนหนึ่งจะประกอบด้วยตัวแทนพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองด้วยนั้น  2 กลุ่มพรรคและขั้วการเมืองใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย นปช. พรรคประชาธิปัตย์และ กปปส. ออกมา แสดงทั้งตอบรับและปฏิเสธการเข้าร่วมดังนี้
เพื่อไทยไม่ส่งคนร่วมถ้าใครร่วมแนะควรลาจากสมาชิกพรรค
19 ก.ย.2558  พล.ต.ท. วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย  ออกมาแสดงความเห็นถึงกรณีที่มีข่าวปรากฏว่าจะมีการเชิญพรรคเพื่อไทยส่งตัวแทนเข้าร่วมในสปท. นั้น ว่า ตมขอเรียนชี้แจงว่าพรรคเพื่อไทยไม่สามารถส่งบุคคลากรหรือนักการเมืองของพรรคเข้าร่วมได้ด้วยเหตุที่มีความยากลำบากที่เราในฐานะพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นและเติบโตมาตามกระบวนการประชาธิปไตยจะเข้าไปดำเนินการร่วมกับกลุ่มใดๆ ในทางการเมืองในสถานการณ์ขณะนี้และที่สำคัญเรื่องดังกล่าวเป็นอำนาจของคณะกรรมการบริหารพรรคซึ่งไม่สามารถจัดการประชุมขึ้นได้ตามคำสั่งห้ามของคสช.และข้อบังคับของกกต.
“สำหรับสมาชิกท่านใดจะเข้าร่วมถือเป็นดุลยพินิจส่วนตัวแต่เมื่อเป็นไปโดยขัดเจตนารมณ์ของพรรคจึงสมควรลาออกจากสมาชิกภาพของพรรคด้วย” รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย   กล่าว
สุดารัตน์ ยันไม่ร่วม ขออยู่ซีกประชาธิปไตย
20 ก.ย. 58 สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกระแสข่าวกรณีผู้มีอำนาจฝั่ง คสช. ทาบทามให้เป็น สปท.ว่า ยืนยันว่าไม่ได้รับการติดต่อหรือพูดคุยกับใครทั้งสิ้น หากมีการติดต่อทาบทามยืนยันว่าไม่ขอเข้าร่วม เพราะเป็นสภาที่ คสช.แต่งตั้งขึ้น คนที่อยู่ในซีกประชาธิปไตยไม่น่าจะเข้าร่วม และคงไม่ส่งใครในสาย กทม.เข้าร่วมสภาดังกล่าว เพราะไม่มีอำนาจถึงเพียงนั้น
สุดารัตน์กล่าวว่า ส่วน สปท.ที่เกิดขึ้นจะทำงานได้เป็นรูปธรรมหรือไม่นั้น ยังไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ คงต้องรอดูผลงานและดูว่าจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนได้หรือไม่ หากทำได้จะเกิดประโยชน์ต่อบ้านเมือง สำหรับโรดแมป คสช.ที่มีอยู่เชื่อว่าทุกฝ่ายคงเห็นตรงกันว่าเลือกตั้งเร็วที่สุดเท่าใดจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากเท่านั้นและขอให้ทุกฝ่ายพิจารณาการเดินตามโรดแมปให้เหมาะสมด้วย
อภิสิทธิ์ไฟเขียวสมาชิกพรรคเข้าร่วม
ขณะที่ทางฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตอบคำถามถึงกรณีพรรคจะส่งคนเข้าไปร่วมใน สปท. หรือไม่ ว่า ไม่ทราบว่ามีระบบการสรรหาอย่างไร แต่ไม่มีปัญหา หากใครที่มีแนวคิดในการปฏิรูปจะเข้าไปร่วมทำงาน รวมถึงคนในพรรคเพราะไม่มีอำนาจอื่นใด นอกจากการผลักดันให้เกิดการปฏิรูป และเห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีที่จะไม่ตั้งบุคคลที่ไปวิ่งเต้น
ต่อมา 17 ก.ย.58 เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ จุติ ไกรฤกษ์ กล่าวถึงกรณีนี้ด้วยว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ หัวหน้าพรรคได้บอกแล้วว่ายินดีให้ความร่วมมือ ซึ่งขณะนี้มีหลายคนที่สนใจ และแสดงความจำนง จะไปทำหน้าที่นี้ แต่เมื่อทราบว่าหากเข้าไปเป็น สปท. แล้ว จะลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งหน้าไม่ได้ทำให้ถอนตัว ดังนั้นผู้ที่จะเข้าไปเป็น สปท. ต้องเป็นคนที่ไม่คิดจะลงสมัครรับเลือกตั้งอีกแล้ว โดยหลังจากการรัฐประหารมีอดีต ส.ส. ของพรรคหลายคน ที่มีความอาวุโสแสดงความจำนงไม่ลงเลือกตั้งประมาณ 11 คน เนื่องจากมีปัญหาเรื่องสุขภาพ แต่ไม่มีนายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค อยู่เป็นหนึ่งในนั้น
มูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ พร้อมเดินหน้าร่วมปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง
เมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขานุการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย กล่าวถึงกระแสข่าวที่นายกรัฐมนตรี เชิญร่วมเป็น สปท. ว่า ยังไม่ทราบท่าทีของ คสช. แต่หากเป็นจริงตามข่าว คงเป็นความหวังดีนายกรัฐมนตรี ที่จะให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมอย่างมีความรับผิดชอบ โดยมูลนิธิฯ สนับสนุนแนวทางนี้ และเห็นว่าทุกฝ่ายควรให้ความร่วมมือ ทั้งนี้ ทางมูลนิธิฯ ซึ่งเป็นตัวแทน กปปส. จะพิจารณาหากมีการติดต่อมา พร้อมยืนยันว่า มูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ จะเดินหน้าสานต่อการปฏิรูปและให้ความร่วมมือรัฐบาล องค์กรต่างๆ รวมถึงประชาชนคนไทย ผลักดันการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งวันนี้ก็ทำหน้าที่ในฐานะองค์กรที่เป็นตัวแทนประชาชนนำเสนอแนวทางการปฏิรูป การดำเนินการจัดโครงการที่เป็นรูปธรรมตัวอย่างของการปฏิรูปตามเจตนารมณ์ของมวลมหาประชาชนอยู่แล้ว
(ที่มา INN, 16 ก.ย.58)
จตุพรยันไม่เข้าร่วมปพร้อมประกาศแยกทางพรรคเพื่อไทยหากเข้าร่วม
จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ เมื่อวันที่ 18 ก.ย.58 และ 19 ก.ย.58 ซึ่งเรียบเรียงจากการกล่าวในรายการมองไกล ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับนักการเมืองหรือกลุ่มการเมืองเข้าร่วมเป็นสมาชิก สปท. เพราะเชื่อว่า ผู้มีอำนาจกำลังใช้วิธีการแบ่งแยก แล้วปกครอง เพราะต้องการสร้างภาพว่า มีคนเสื้อแดง มี นปช. เข้ามาร่วมด้วย
จตุพร กล่าวด้วยว่า ถ้าใครก็ตามเข้าไปแล้ว อ้างความเป็นเสื้อแดง หรือ นปช.จะไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย รวมทั้งพรรคเพื่อไทยต้องเอาคนที่เข้าร่วมออกจากสมาชิกพรรค และไม่ให้ญาติ พี่น้อง หรือลูก เมียลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคด้วย เพราะไม่ต้องการคนเห็นแก่ได้ ไม่เห็นแก่พรรคต้องพอกันที
“ผมประกาศชัด ไม่หน้าไหว้หลังหลอกด้วย ใครก็ตามเข้าไปโดยอ้างความเป็นคนเสื้อแดง หรือ นปช. ก็ตาม องค์กร นปช. ภายใต้ผมเป็นประธานจะไม่ร่วมสังฆกรรม ต่างคนต่างอยู่ ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบกัน และพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะมีตัวแทนคนผู้นี้เข้าไปในสภาขับเคลื่อน ญาติ พี่น้อง ลูกเมีย พรรคเพื่อไทยต้องยืนยันว่า จะไม่ส่งลงเลือกตั้งโดยเด็ดขาด ถ้าพรรคเพื่อไทยส่งผมในฐานะประธาน นปช. ขอแยกทางเดินกันชัดเจน ไม่อ้อมค้อม" จตุพร กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์บอก "ผมเป็นรัฐท่านเป็นประชาชน" มุ่งทำ'ประชารัฐ'แทน'ประชานิยม'

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในงาน "สานพลังประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก" เมื่อวันที่ 20 ก.ย. ที่ผ่านมา (ที่มาของภาพ: เว็บไซต์รัฐบาลไทย)
21 ก.ย. 2558 - เว็บไซต์รัฐบาลไทย รายงานว่า เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 

พล.อ.ประยุทธ์ลั่นจะลดความเหลื่อมล้ำ ไม่ให้คนถูกชักจูงง่ายๆ มุ่งทำ "ประชารัฐ" ไม่ใช่ประชานิยม ตามที่เนื้อเพลงชาติระบุ - ด้านสมคิดไล่สื่อนอกไปเรียนใหม่ หลังออกบทวิเคราะห์ให้สมคิดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานกระตุ้น GDP แทนอัดฉีดลงฐานราก - ขณะที่ นพ.ประเวศงัด "สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา" ชวนทุกฝ่ายออกจากหลุมดำ
เวลา 09.30 น. ณ ฮอลล์ 9 อิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดเวทีจุดประกาย "สานพลังประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก" โดยระบุว่า เพื่อประกาศการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการรวมพลังระหว่างภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และภาครัฐในการทำงานพัฒนาอย่างยั่งยืน และจะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และสร้างความเชื่อมั่นประเทศไทย
ทั้งนี้ มีสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี อิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานจัดงาน รวมทั้ง นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ และที่ปรึกษากรรมการการจัดงานฯ พร้อมด้วยผู้นำภาคธุรกิจ ผู้ทรงคุณวุฒิและเครือข่ายภาคประชาสังคม หน่วยงานส่วนท้องถิ่น เข้าร่วมงานประกาศเจตนารมณ์ กว่า 5,000 คน
จะไม่ทำประชานิยม เพราะประชานิยมทำให้ประชาชนนิยมภาครัฐ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายการประสานพลังประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก โดยสรุปความว่า วันนี้เป็นวันแห่งความสดใส ดีใจที่เห็นทุกคนมีรอยยิ้ม หน้าตามีความสุข วันนี้เรามาร่วมมือกันในการสร้างสรรค์ สร้างพลังเพื่อทำความดีให้ประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อตนเอง หรือข้าราชการ แต่ทำเพื่อประชาชนทุกคน ซึ่งไม่ใช่เป็นการทำประชานิยม เพราะประชานิยมเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความนิยมต่อภาครัฐ โดยรัฐบาลนี้เป็นความร่วมมือของรัฐบาลกับประชาชนในการแก้ไขปัญหา
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ผมเป็นรัฐท่านเป็นประชาชนมาสัญญาร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนประเทศชาติให้เจริญเติบโตไปข้างหน้า ขณะเดียวกันประเทศต้องเริ่มสร้างความเข้มแข็งตั้งแต่ฐานรากขึ้นมา วันนี้เราจะต้องร่วมมือกันทำให้เกิดความชัดเจนระหว่างภาครัฐ เอกชน ประชาชน และท้องถิ่น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจฐานราก ตลอดจนการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ การเข้าถึงการบริการของรัฐ และกระบวนการทางกฎหมายต่างๆ ทั้งนี้ หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถือเป็นสิ่งสำคัญที่เราทุกคนต้องยึดถือไว้ รวมทั้งต้องมีความรู้คู่คุณธรรม โดยเฉพาะผู้ปกครองที่เข้ามาบริหารบ้านเมืองจะต้องมีคุณธรรม ศีลธรรม มีหลักธรรมาภิบาล ซึ่งประชาชนเองก็จะต้องมีศีลธรรม
จะลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้คนไม่ถูกชักจูงง่ายๆ เพลงชาติบอกเป็นประชารัฐไม่ใช่ประชานิยม
รัฐบาลพยายามทำทุกอย่างให้เกิดความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อให้สังคมมีความมั่นคง และความสงบสุข สิ่งที่สำคัญเราจะต้องสร้างความเข้มแข็งไปด้วยกัน และเตรียมความพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน ขณะที่ความรู้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญและมีความจำเป็นเพื่อให้ทุกคนมีความเข้าใจอย่างถูกต้อง ไม่ถูกชักจูงไปง่าย ๆ อันจะทำให้เกิดความแตกแยกในประเทศ อย่างไรก็ตามประเทศชาติไม่ใช่ของตน หรือของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของคนทั้ง 70 ล้านคน ที่เรียกว่า “ประชารัฐ” หากฟังเพลงชาติไทยผู้ประพันธ์ได้เขียนไว้อย่างชัดเจนว่าประเทศไทย เป็นประชารัฐ ไม่มีคำว่าประชานิยม ประชารัฐหมายถึงประชาชนกับรัฐบาล ร่วมกัน รัฐบาลจะเป็นผู้ที่อำนวยความสะดวก เปิดช่องทางให้เอกชน ประชาชน เข้ามาร่วมมือกันตามกระบวนการประชาธิปไตย
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลนี้มีความห่วงใยทุกคน และมีความตั้งใจที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง และสร้างความเข้มแข็งในชุมชุมท้องถิ่นให้ได้ โดยรัฐบาลจะส่งเสริมทางด้านการตลาด ซึ่งมีแนวคิดที่จะเปิดตลาดกลางเพิ่มขึ้น เพื่อให้เกษตรกรมีการเชื่อมต่อและเจอกับผู้ค้าโดยตรง เป็นการสร้างเครือข่ายในท้องถิ่น และสร้างความสมดุลของราคาสินค้า โดยจะต้องมีการพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ ตลอดจนการทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางแห่งภูมิภาคอาเซียน
นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้เราต้องพึ่งพลังประชาชน ต้องมีหัวใจที่ทุ่มเท ถ้ารัฐทำดีก็ต้องส่งเสริม เพราะรัฐทำเพื่อคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งประเทศไทยเราเป็นรัฐหนึ่งรัฐเดียวแยกจากกันไม่ได้ ทั้ง นิตินัย และพฤตินัย ต้องเท่าเทียมกัน มีการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรให้ทั่วถึงทุกภูมิภาค ที่สำคัญวันนี้เราต้องเปิดมุมมองใหม่เปิดตาให้กว้างและฟังในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ที่จะร่วมมือขับเคลื่อนประเทศไปให้ได้ ต้องฟังและคิดว่าใครอยากให้ประเทศเดินหน้า ทั้งนี้ รัฐบาลยินดีช่วยเหลือทุกอย่าง แต่ทุกคนจะต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วนด้วย
การเมืองประชาธิปไตย รัฐบาลต้องมาจากการเลือกตั้ง-ธรรมมาภิบาล
นายกรัฐมนตรีกล่าวตอนท้ายว่า การเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ต้องแก้ด้วยการมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีธรรมาธิบาล ซึ่งการเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์​ต้องไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่สร้างปัญหาความขัดแย้ง และความแตกแยก โดยจะต้องสร้างความปลอดภัยให้กับประเทศ และสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามเรื่องเหล่านี้ไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง หรือเพียงแค่หน่วยงานรัฐบาล และข้าราชการเท่านั้น แต่ต้องขอความร่วมมือจากคนไทยทุกคน หากเรารวมพลังและสร้างความเข้าใจ ปัญหาทั้งหมดก็สามารถแก้ไขได้อย่างแน่นอน เพื่อร่วมกันทำให้บ้านเมืองเกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป
สมคิดย้ำรัฐบาลพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก ส่วนนักวิเคราะห์ต่างชาติที่ค้าน ขอให้กลับไปเรียนใหม่
ด้านสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กล่าวในฐานะตัวแทนจากภาครัฐบาลว่า สิ่งที่อยู่ในใจ พล.อ.ประยุทธ์ คือต้องการให้ประเทศไทยไม่มีการทะเลาะแบ่งสีเสื้อ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเองก็มีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศ และมีความต้องการให้ประชาชนเข้าใจว่าทำไมตนต้องเข้ามาทำหน้าที่นี้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากจะมา แต่ถ้าวันนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง บ้านเมืองก็จะไม่สงบ ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีความต้องการให้บ้านเมืองเกิดความสงบ วันนี้รัฐบาลประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่าจะต้องสร้างเศรษฐกิจรากฐานให้มั่นคง เพื่อให้เศรษฐกิจประเทศไทยยืนได้ด้วยสองขาของตัวเอง ซึ่งประกอบด้วยประชาชน และความสามารถในการผลิตของประเทศ ในฐานะของรัฐบาล ตัวเขาสามารถออกนโยบายได้ แต่รู้ว่าถ้าภาครัฐพยายามครอบงำวงจรฐานล่าง ก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้เมื่อพิจารณาดีๆ แล้วจะพบว่าทั้ง 3 ภาคส่วนนั้นล้วนมีจุดแข็งแตกต่างกันไป แต่ก็มีข้อจำกัด ซึ่งจุดมุ่งหมายก็คือว่า ทำอย่างไรให้ทั้ง 3 ภาคส่วนเชื่อมโยงกัน ซึ่งส่วนนี้ก็จะต้องมีกลไกที่ทำให้ทั้ง 3 ภาคส่วนมีความร่วมมือกันในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
"เมื่อวันที่เราประกาศนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ได้มีนักวิเคราะห์ชาวต่างชาติ เขียนว่าการใช้นโยบายนี้ไม่ได้เป็นการช่วยเศรษฐกิจจริงๆ แต่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างหากที่ค่า GDP ถึงจะได้ก้าวกระโดด จึงขอฝากสื่อมวลชนบอกนักวิเคราะห์ท่านนั้นว่ากลับไปเรียนเสียใหม่ ท่านยังมีความรู้เรื่องสภาพสังคมไทยไม่พอ ” นายสมคิด กล่าว
อย่างไรก็ดีนายสมคิด กล่าวอีกว่า ทั้งเขาและนายกรัฐมนตรีมีเวลาไม่มากในการดำเนินงาน ไม่ได้มีความคิดที่จะเล่นการเมืองในอนาคต ขอให้ไว้ใจว่าถ้าตนยังมีแรงอยู่จะทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจรากฐานให้ได้โดยปราศจากความคิดถึงอนาคตทางการเมือง ซึ่งอนาคตของตนที่มองเห็นก็คือภาพของตัวเองเล่นอยู่เล่นกับหลานๆ อย่างมีความสุข เห็นสังคมมีความสามัคคี
เกษียรบอกคำว่า "ประชารัฐ" ในเนื้อเพลงชาติ เดิมเขียนว่า "ประชาธิปไตย"
อนึ่ง ต่อกรณีปาฐกถาของนายกรัฐมนตรีดังกล่าว เกษียร เตชะพีระ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ในเฟซบุ๊คเพจของตน ระบุว่า "ที่มาของ "ประชารัฐ" ในเพลงชาติไทย คือมาเบียดขับปรับแก้ต้นฉบับเดิมว่า "ประชาธิปไตย" ออกไปจากเพลงชาติจ้า!"
ทั้งนี้บทประกวดเพลงชาติของหลวงสารานุประพันธ์ ส่งในนามกองทัพบกไทยในสมัยนั้น ขึ้นต้นว่า "ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชาธิปไตยของไทยทุกส่วน" อย่างไรก็ตามเนื้อหาของเพลงชาติไทยตามที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ใช้เนื้อร้องแทนว่า "ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐไผทของไทยทุกส่วน" แทน
นพ.ประเวศงัด "สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา" ชวนออกจากหลุมดำใหญ่ 6 ด้าน
ในงานสัมมนาเดียวกัน ในช่วงเสวนาหัวข้อ “ยุทธศาสตร์สานพลังประชารัฐ เพื่อเศรษฐกิจฐานราก” มี นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ และที่ปรึกษากรรมการการจัดงานฯ เป็นองค์ปาฐก โดยในรายงานของเอเอสทีวี ผู้จัดการรายวัน นพ.ประเวศ ได้กล่าวว่า เป็นวันฤกษ์ดีที่คนไทยมารวมตัวกัน เป็นวันประวัติศาสตร์เพื่อดึงประเทศไทยให้ออกจากวิกฤตการณ์ และไม่สามารถออกจากหลุมได้ ซึ่งหลุมดำวิกฤตประเทศไทยมี 6 ประการ คือ 1. การเมือง 2. เศรษฐกิจ 3. สังคม 4. สิ่งแวดล้อม 5. ศีลธรรม และ 6. การพัฒนาคุณภาพคน
วิกฤตการณ์ทั้ง 6 อย่างนี้ มีความเชื่อมโยงกัน จนทำให้เกิดหลุมดำใหญ่ และประเทศไทยไม่สามารถหลุดออกจากตรงนี้ได้ ไม่มีรัฐบาลใดสามารถนำประเทศหลุดออกจากวิกฤตการณ์ตรงนี้ได้โดยลำพัง และเกิดสภาพคนเหมือนไก่ จิกตีกันจนเลือดตกยางออก
ดังนั้นเราต้องมีหลักคิดในกระบวนทัศน์ใหม่ เพื่อพัฒนาประเทศ เพราะกระบวนทัศน์เก่าไม่สามารถใช้ได้ เนื่องจากเป็นกระบวนทัศน์เก่า ทำจากบนลงล่าง โดยยึดรูปแบบเจดีย์ โดยที่ผ่านมา อย่างเรื่องเศรษฐกิจ ก็จะทำตั้งแต่ด้านบน การศึกษา การเมือง โครงสร้างทั้งพระเจดีย์ ปิรามิด เพื่อฐานความมั่นคงแข็งแรง แล้วจะรองรับให้ด้านบนมั่นคง และรองรับประเทศได้ ตรงจุดนี้ถือว่าสำคัญ ซึ่งจากการประกาศของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นกระบวนทัศน์ใหม่โดยการทำจากล่างขึ้นบน โดยเป็นการสร้างฐานรากความเข้มแข็งของประเทศ โดยเปลี่ยนจากเดิมที่มักทำจากบนลงล่าง
ที่ผ่านมามีการดำเนินการมาแล้วหลายอย่าง ทั้งด้านเศรษฐกิจ กองทุนต่างๆ สิ่งแวดล้อม สุขภาพ หมออนามัย ที่มาร่วมงานในครั้งนี้ หลายหมื่นคน มีการทำงานมานานแล้ว และเกิดผู้นำท้องถิ่นหลายแสนคน หลายร้อยตำบล เป็นตำบลสุขภาวะ ความดีเป็นเครดิตสามารถใช้กู้เงินได้ อย่างที่ อ.พาน จ.เชียงราย มีธนาคารความดี สะสมความดี
นพ.ประเวศ กล่าวว่า อย่างที่นายสมคิด ประกาศกระบวนทัศน์ใหม่นั้น ที่ต่างไปจากเดิม และเมื่อรัฐบาลจะสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจฐานราก แล้วนำมาเชื่อมโยงกับประชาชน ที่มีการทำงานอยู่แล้ว ซึ่งถือเป็นโอกาสดีของประเทศไทยที่จะทำงานในเรื่องนี้ทั้งกว่า 8 หมื่นหมู่บ้าน 8,000 ตำบล 77 จังหวัด สามารถทำได้อย่างเต็มที่ โดยมีกลไกต่างๆ ควบคุมดูแล ในการขับเคลื่อนชุมชนทุกระดับ เป็นการสร้างความเข้มแข็งเต็มพื้นที่ทั้งประเทศ โดยจะไม่มีการแบ่งสีแบ่งพวก แต่เป็นการรวมตัวทุกภาคส่วนช่วยกันขับเคลื่อนประเทศ
สำหรับหัวใจการสร้างเศรษฐกิจฐานราก คือ การสร้างสัมมาชีพ กับสร้างวิสาหกิจชุมชนให้เต็มพื้นที่ข้างล่าง โดยการทำสิ่งต่างๆ 8 ข้อ อาทิเช่น 1. เรื่องเกษตรยั่งยืน 2. ผลิตสิ่งสินค้าที่จำเป็นและสินค้าวัฒนธรรมของชุมชน 3. สร้างการท่องเที่ยวชุมชนทุกตำบล 4. พลังงานชุมชน 5. เรื่องธนาคารต้นไม้ 6. การแพทย์แผนไทยและสมุนไพร 7. มีสถาบันการเงินระดับชุมชนทุกตำบล 8. โยงเศรษฐกิจชุมชนกับมหภาคให้เชื่อมโยงกัน
นพ.ประเวศ กล่าวด้วยว่า สำหรับสามเหลี่ยมเขยื้อนประเทศไทย ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาชน โดยมีสัมมาชีพเต็มพื้นที่วิสาหกิจชุมชน โดยมีฐานรากเศรษฐกิจที่มั่นคงแข็งแรง และเชื่อว่าในอีก 10 ปี ข้างหน้าหรือปี 2568 ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุด

ศาลปรับ 500 บาท 'สมบัติ บุญงามอนงค์' ไม่มารายงานตัว คสช.

สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด เดินทางมาที่ศาลทหารเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2557 (แฟ้มภาพ)

ศาลแขวงดุสิต อ่านคำพิพากษาคดีที่ 'สมบัติ บุญงามอนงค์' ถูกฟ้องข้อหาฝ่าฝืนประกาศ คสช. ฉบับที่ 41/2557 ไม่มารายงานตัวตามกำหนดตามคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 3/2557 โดยศาลสั่งปรับ 500 บาท
21 ก.ย. 2558 - ศาลแขวงดุสิต อ่านคำพิพากษาคดีที่นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ถูกฟ้องข้อหาฝ่าฝืนประกาศ คสช. ฉบับที่ 41/2557 ไม่มารายงานตัวตามกำหนดตามคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 3/2557 โดยศาลสั่งปรับ 500 บาท ทั้งนี้ตามรายงานของทวิตเตอร์ของ iLaw
ทั้งนี้ศาลตัดสินว่าเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา ม.368 ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานทั่วไป โดยสั่งปรับ 500 บาท
ก่อนหน้านี้หลังมีคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 3/2557 สมบัติ หรือ บ.ก.ลายจุด ไม่ยอมมารายงานตัว และเคลื่อนไหวทางทวิตเตอร์ในช่วงที่หลบหนีการติดตามของเจ้าหน้าที่ กระทั่งถูกจับกลางดึกวันที่ 5 มิถุนายน 2557 ที่บ้านหลังหนึ่ง ใน อ.พานทอง จ.ชลบุรี โดยการสนธิกำลังของ ผบก.ปอท. ร่วมกับ ร.21 รอ. และการตรวจไอพี โดยสำนักข่าวกรองแห่งชาติ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวสมบัติไปสอบสวนต่อที่กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) จ.ชลบุรี
กระทั่งครบกำหนดควบคุมตัว 7 วัน เจ้าหน้าที่ทหารได้นำไปขออำนาจศาลทหารกรุงเทพเพื่อฝากขังต่อ โดยนอกจากการดำเนินคดีฐานฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. แล้ว สมบัติยังถูกดำเนินคดีเพิ่มเติมในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ด้วย
ทั้งนี้สมบัติถูกศาลทหารฝากขัง 2 ครั้ง และในการขอฝากขังครั้งที่ 3 เขาได้รับอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
นอกจากนี้หลังการจับกุมในคดีฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. สมบัติยังถูกวิพุธ สุขประเสริฐ ชาวบ้าน จ.ร้อยเอ็ด แจ้งความเพิ่ม ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ สภ.เมืองร้อยเอ็ดด้วย อย่างไรก็ตามสมบัติได้รับการประกันตัว