วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

ผบ.ทบ. มอบรางวัลเหล่าทัพแข่งแฮก-ป้องกันระบบ ชี้ไทยเริ่มเป็นเป้าโจมตีด้านไซเบอร์


จากกรณีที่ เว็บไซต์ศูนย์เทคโนโลยีทางทหาร หรือ ศูนย์ไซเบอร์ของกองทัพบก กรมการทหารสื่อสาร กองทัพบก เผยแพร่กำหนดการกิจกรรม ArmyCyber Contest 2015  วันที่ 9 ก.ย.2558 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 15.00 น. ณ กองบัญชาการกองทัพบก โดยมี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก มาเป็นประธานในงานดังกล่าว
โดยผู้ร่วมงานประกอบด้วย กำลังพลจากกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กองบัญชาการกองทัพไทย และกระทรวงกลาโหม ที่สำคัญจะมีการแข่งขันทักษะด้านการปฏิบัติการไซเบอร์ระหว่างเหล่าทัพขึ้นเป็นครั้งแรก โดยรูปแบบเป็นการแข่งขันป้องกันและขัดขวางการเจาะระบบและการโจมตีของทีมฝ่ายอื่นๆ รวมทั้งการตรวจสอบช่องโหว่ของระบบ Server เพื่อทำการหาวิธีการเจาะระบบฯ โดยมีวัตถุประสงค์ เสริมสร้างและพัฒนาขีดความสามารถ ศักยภาพ ทักษะ และประสบการณ์ให้กับกำลังพลให้มีความพร้อมรับมือกับภัยคุกคามด้านไซเบอร์ (อ่านรายละเอียด)
ล่าสุดวันนี้ (9 ก.ย.58) สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ได้เป็นประธานมอบรางวัล การแข่งขันดังกล่าว โดย พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า การจัดงานดังกล่าว ถือเป็นประโยชน์เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติการด้านไซเบอร์ ตามนโยบายของกองทัพบก ในการสร้างบุคลากรทั้งในส่วนของ กระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพ เพื่อตระหนักถึงภัยคุกคามด้านไซเบอร์ พร้อมทั้งพัฒนาหน่วยงานด้านไซเบอร์ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อนำความรู้ไปขยายผลไปยังกำลังพลของตัวเอง ในหน่วยงานของกองทัพทุกระดับ
“วันนี้ทำให้ตนได้เห็นถึงความก้าวหน้า ของนโยบายของกระทรวงกลาโหมและกองบัญชาการกองทัพไทย ที่ได้ให้ความสนใจงานด้านไซเบอร์ เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาประเทศไทย ได้กลายเป็นเป้าการโจมตีด้านไซเบอร์ จึงต้องมีการพัฒนากำลังพลด้านไซเบอร์ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ ให้มีความก้าวหน้าต่อไป ถือเป็นความจำเป็นของทุกหน่วยที่ต้องตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้ โดยเฉพาะกองทัพ ที่ถือเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคง” พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า
สำนักข่าวไทย รายงานด้วยว่า ทีมที่ได้รางวัลชนะชนะเลิศ ที่ 1 คือทีมจากกรมทหารสื่อสาร ที่ 2 ทีมจากศูนย์เทคโนโลยีทหาร ที่ 3 ทีมจากกระทรวงกลาโหม ที่ 4 ทีมจากศูนย์เทคโนโลยีทหาร ที่ 5 ทีมจากกองบัญชาการกองทัพไทย  ส่วนรางวัลชมเชย ประกอบด้วย ทีมจากกรมยุทธศึกษาทหารบก ทีมจากกรมข่าวทหารบก ทีมจากกองทัพเรือ ทีมจากกองทัพอากาศ
นอกจากนี้ ยังมีในส่วนการบรรยายพิเศษ ได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิ จาก สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และผู้เชี่่ยวชาญในสาขาการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ชั้นนำของประเทศมาเป็นวิทยากร พร้อมทั้งจะได้รับชมการถ่ายทอดสดภาพผลการแข่งขันไซเบอร์ในแบบ Real time ตลอดจนถึงการบรรยายสรุปผลการแข่งขัน โดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์
สำหรับนิทรรศการจะมีบริษัทต่างๆที่มีความเชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ทั้งในและต่างประเทศ มานำเสนอผลิตภัณฑ์ และระบบงานจำลองการฝึกด้านไซเบอร์ (Cyber Range) ที่ถือเป็นระบบงานที่หลายหน่วยงานของกองทัพให้ความสนใจและอาจจะถูกบรรจุไว้ในระบบของศูนย์ไซเบอร์ของกองทัพในอนาคตด้วย

ทหารพา ‘พิชัย’ เข้าค่ายครั้งที่ 7 คาดอีก 7 วันออก เหตุวิจารณ์งานเศรษฐกิจ


พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน ใน รบ.ยิ่งลักษณ์ ถูกเรียกเข้าค่ายทหารเป็นครั้งที่ 7 คาดเป็นเวลา 7 วัน เหตุวิพากษ์วิจารณ์การบริหารงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล
9 ก.ย. 2558 เมื่อเวลา 8.04 น. พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Pichai Naripthaphan’ ในลักษณะสาธารณะว่า “ถูกเชิญปรับทัศนคติอีกแล้วเช้านี้ ทหารจะมารับที่บ้านครับ 9:30 น”
หลังจากนั้นเวลา 9.42 น. พิชัย โพสต์ภาพผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในลักษณะสาธารณะอีกเป็นภาพเขาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ทหารในเครื่องแบบ 2 นาย ซึ่งเป็นโพสต์สุดท้าย
โพสต์สุดท้ายของ พิชัย
โดย มติชนออนไลน์ รายงานด้วยว่า เจ้าหน้าที่ทหาร มารับ พิชัย ที่บ้านพักย่านประตูน้ำ ซึ่ง พิชัยได้นั่งรถยนต์ส่วนตัวตามรถเจ้าหน้าที่ทหารจาก ส.พัน.12รอ. เพื่อเดินทางไปยังกองทัพภาคที่หนึ่ง
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงาน มติชนออนไลน์ ด้วยว่า การเรียกปรับทัศนคติครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งที่ 7 แล้ว สำหรับ พิชัย และคาดการณ์ว่าอาจจะถูกควบคุมตัวเป็นเวลา 7 วัน เหตุเพราะ พิชัยได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในเชิงวิพากษ์วิจารณ์การบริหารงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลว่า จะมีปัญหามากยิ่งขึ้น หากมีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้พยายามติดต่อนายพิชัยตลอดตั้งแต่ช่วงเที่ยงวันที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถติดต่อนายพิชัยได้
ล่าสุด มติชนออนไลน์ และเดลินิวส์ รายงานตรงกัน โดยระบุว่า แหล่งข่าวที่เป็นนายทหารจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ได้ควบคุมตัว พิชัย เพื่อปรับทัศนคติ เป็นเวลา 7 วัน ภายหลังจากเชิญนายพิชัยร่วมพูดคุยกับเจ้าหน้าที่กกล.รส. ภายในกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1 เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เนื่องจากที่ผ่านมา พิชัย ยังคงแสดงความคิดเห็นไม่เหมาะสมกับสถานการณ์อยู่อย่างต่อเนื่อง คาดว่า เจ้าหน้าที่ กกล.รส. จะนำตัว พิชัยไปไว้ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งในจ.สระบุรี ทั้งนี้ ยืนยันว่าเมื่อครบกำหนดแล้วจะปล่อยตัวนายพิชัยกลับบ้านต่อไป

ศาลฎีกาให้ประกัน 'เฉลียว' ช่างตัดเสื้อคดี 112 หลังนอนคุก 5 วัน


9 ก.ย.2558 ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนแจ้งว่า เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา นายเฉลียว วัย 56 ปีช่างตัดเสื้อผู้ตกเป็นจำเลยในคดี 112 ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในเวลาราว 20.00 น. เนื่องจากศาลฎีกาพิจารณาแล้วอนุญาตปล่อยชั่วคราวจำเลย โดยญาติได้ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวไว้ 400,000 บาท
เฉลียวอยู่เรือนจำมาตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.ซึ่งเป็นวันที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลย 5 ปีรับสารภาพลดกึ่งหนึ่ง เหลือ 2 ปี 6 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ ขณะที่ศาลชั้นต้นลงโทษต่ำกว่าและให้รอการลงโทษไว้ คือ โทษจำคุก 3 ปีรับสารภาพลดกึ่งหนึ่ง เหลือ 1 ปี 6 เดือน
เฉลียวถูกฟ้องจากกรณีโพสต์คลิปเสียง ‘บรรพต’ ที่เว็บฝากไฟล์ 4Share ก่อนหน้านั้นเขาถูกคุมขังที่เรือนจำในชั้นสอบสวนรวม 7 ผัดหรือ 84 วันก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาและทำให้เฉลียวได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำ
ทนายความระบุด้วยว่า วันที่ 3 ต.ค.นี้จะครบกำหนดที่จำเลยจะต้องยื่นฎีกา และทนายความเตรียมขอยื่นขยายระยะเวลายื่นฎีกาออกไปอีก 

นก สินจัย แจ้งปอท. เอาผิดคนโพสต์แอบอ้างดูถูก ‘เสื้อแดง’ ปมหนังที่ตนสร้าง


10 ก.ย.2558 มติชนออนไลน์ รายงานว่า ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี นักแสดงชื่อดัง นก สินจัย เปล่งพานิช พร้อมด้วย นก ฉัตรชัย เปล่งพานิช สามีและทนายความ วิรัตน์ กัลยาศิริ เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ข้อหาหมิ่นประมาททางโซเชียลมีเดียทำให้เสียชื่อเสียง
สินจัย กล่าวว่า การเข้าแจ้งความในวันนี้ เนื่องจากเมื่อวันที่ 2 กันยายน ที่ผ่านมาได้ทราบจากคนรู้จักว่า มีการพบเห็นโพสต์ข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยมีรูปของตนและมีข้อความที่สร้างความเกลียดชังว่า "หนังที่ฉันสร้าง สำหรับคนมีความรู้ มีระดับไม่เหมาะกับชนชั้นต่ำโดยเฉพาะชาวอีสานและพวกเสื้อแดง จากดาราสนับสนุน กปปส.-คสช. นางสินจัย หงษ์ไทย" โดยใช้ชื่อบัญชีเฟซบุ๊ก Tanawit Kalanthdepan ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นการตั้งโพสต์แบบสาธารณะ ไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24  ส.ค. ที่ผ่านมา และมีการแชร์ต่อกันจำนวน 800 ครั้ง ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และได้รับการว่ากล่าวอย่างหยาบคายจากผู้ที่พบเห็นข้อความดังกล่าว
ต่อมาเมื่อวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา บัญชีเฟซบุ๊ก Tanawit Kalanthdepan ได้เปลี่ยน ชื่อบัญชีใหม่ เป็น Redfriends thailand และมีการเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นรูปบุคคลเพศชาย ใส่แว่น ผมสั้น จากนั้นได้มีมาเปลี่ยนชื่อไปมาอีกหลายครั้ง
สินจัย กล่าวต่อว่า ขอยืนยันว่าข้อความดังกล่าว ไม่ใช่ข้อความของตน และมีการโพสต์หรือคิดอย่างข้อความที่แชร์แต่อย่างใด ดังนั้น จึงอยากฝากเตือนถึงผู้ที่มีพฤติกรรมดังกล่าว อย่าสร้างความเกลียดชังให้กับผู้อื่น "หากยังมีความเป็นมนุษย์ด้วยกันอยู่ก็ไม่ควรทำร้ายกัน" ส่วนกรณีคนที่กดแชร์ควรมีการพิจารณาให้ดีก่อนว่าข้อความดังกล่าวมีความจริงหรือไม่
ด้านทางพนักงานสอบสวน ที่ได้รับแจ้งความร้องทุกข์พร้อมทั้งลงบันทึกประจำวันไว้ เบื้องต้นได้แจ้งข้อกล่าวหากับบัญชีเฟซบุ๊ก Tanawit Kalanthdepan ในฐานความผิด "นำเข้าสู่ระบบความพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน" "หมิ่นประมาทและหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา" และ"ใส่ความให้เกิดความเสียหายดูถูก หมิ่นหรือเกลียดชัง สร้างความเสียหายให้กับชื่อเสียง"ก่อนจะสืบสวนเพื่อติดตามจับกุมตัวผู้กระทำผิด มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

กิตติรัตน์สวนประยุทธ์ ยัน ‘จำนำข้าว’ คุ้มค่าผ่านตัวทวีคูณ ชี้ ‘รถคันแรก’ ไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย


อดีตรมว.คลัง ยัน ‘โครงการรับจำนำข้าวเปลือก’ คุ้มค่าทั้งทางเศรษฐกิจ-สังคม ผ่านตัวทวีคูณ ชี้ภาษีสรรพสามิตเก็บสินค้าฟุ่มเฟือย หากยอมรับ ‘รถคันแรก’ ไม่ใช่ก็ไม่ควรเก็บ
10 ก.ย. 2558 กิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘กิตติรัตน์ ณ ระนอง’ ชี้แจงกรณี "โครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล" และ "โครงการรถยนต์คันแรก" หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา วิจารณ์ทั้ง 2 โครงการว่าสร้างความเสียหายกับรัฐและเศรษฐกิจ
กิตติรัตน์ กล่าวว่า ได้ทราบความเห็นดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยความประหลาดใจในความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างมากต่อ โครงการทั้ง 2 ซึ่งตนคาดเดาว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับฟังข้อมูลที่บิดเบือนจากทีมเศรษฐกิจชุดก่อน ที่ตนเคยให้ฉายาว่า รำไม่ดี โทษปี่โทษกลอง ซึ่งก็เป็นชุดที่ถูกท่านปลดออกไปหมาดๆ การปลดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะไม่มีฝีมือในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ ให้ประเทศสามารถบรรลุวัตถุประสงค์หลักทางเศรษฐกิจ 3 ประการ อันได้แก่ (1) การเจริญเติบโต (2) ความมีเสถียรภาพของราคา และ (3) การกระจายรายได้ของประชาชน แล้วใช้วิธีแก้ตัว ด้วยการเอาแต่โยนความผิดให้รัฐบาลก่อน จนเกิดความเข้าใจผิดอย่างฝังใจมาจนถึงวันนี้
ยัน ‘จำนำข้าว’ คุ้มค่าทั้งทางเศรษฐกิจ-สังคม ผ่านตัวทวีคูณ
กิตติรัตน์ กล่าวถึงโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ว่า เป็นโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล ที่มุ่งดูแลชาวนาที่เป็นกระดูกสันหลังที่กำลังผุกร่อนของชาติ โดยมีจำนวนชาวนาที่ได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมของโครงการฯ จำนวนถึงกว่า 3.7 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็นประชากรกว่าร้อยละ 23 ของประชากรทั้งประเทศ การรับจำนำข้าวในราคาที่ถูกกล่าวหาว่าสูงเกินสมควรนั้น ถือว่าไม่สูงเลยเมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิต และรายได้สุทธิ ที่พวกเขาชาวนาผู้มีพระคุณของเราควรได้รับ แม้ว่า นโยบายสาธารณะที่สำคัญนี้จะต้องจัดสรรงบประมาณรายปี เข้าชดเชยโครงการฯ ที่ดูเหมือนจะมากสักหน่อย ก็ยังอยู่ในกรอบเพียงประมาณร้อยละ 5 ของงบประมาณประจำปีเท่านั้น จึงเป็นโครงการที่คุ้มค่าเพราะสามารถช่วยกลุ่มคนรายได้น้อยที่สุดในภาคเกษตรกรรม ได้ถึงร้อยละ 23 ให้พอลืมตาอ้าปากได้ ตัวเลขห้าแสนล้านที่ถูกหยิบขึ้นมากล่าวอ้างราวกับว่าเป็นภาระความเสียหายนั้น แท้ที่จริงเป็นเพดานเงินหมุนเวียน ที่ใช้ดูแลโครงการฯ มาแล้วถึง 5 ฤดูการผลิต โดยยังมีข้าวในคลังที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาทที่ยังไม่ได้จำหน่ายออกไป การระบายข้าวที่มีความล่าช้าเกินสมควรจนเกิดเป็นต้นทุนที่เพิ่มเติมขึ้นมานั้น รัฐบาลนี้ควรตรวจสอบการดำเนินงานว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้การระบายข้าวของโครงการฯ มีความล่าช้าเป็นอย่างมากในช่วงระยะเวลาปีเศษที่ผ่านมา และเดาว่าทีมเศรษฐกิจชุดเดิมคงไม่เคยใส่ใจที่จะอธิบายถึงประโยชน์ และความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากกลไกของตัวทวีคูณ (Multiplier Effect) ผ่านหลักการการบริโภคเมื่อรายได้ดีขึ้น (Marginal Propensity to Consume) ทำให้เศรษฐกิจรวมของประเทศ ขยายตัวได้ปีละกว่า 3 แสนล้านบาทในปี 2555 ถึงปี 2556 หรือคิดเป็น ร้อยละ 2.7 ถึง 2.8 ของ GDP ของประเทศ
ซึ่งแปลว่าผู้คนทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจล้วนได้รับประโยชน์โดยถ้วนทั่ว โครงการรับจำนำข้าวเปลือก เป็นโครงการที่ดี และมีความคุ้มค่าทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคม ภายใต้การบริหารการเงินและการคลังที่มีวินัยอย่างดี ทั้งในประเด็นระดับหนี้สาธารณะ และการบริหารงบประมาณของรัฐบาล
ภาษีสรรพสามิตเก็บสินค้าฟุ่มเฟือย หากยอมรับ ‘รถคันแรก’  ไม่ใช่ก็ไม่ควรเก็บ
สำหรับโครงการรถคันแรก นั้น กิตติรัตน์ กล่าวว่า เคยอธิบายแล้วหลายครั้ง ทั้งในช่วงที่ยังอยู่ในหน้าที่ รัฐมนตรีคลัง และเมื่อหมดหน้าที่แล้ว เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่เมื่อยังคงมีความเข้าใจผิดอยู่ ตนก็มีหน้าที่ต้องอธิบายอีกครั้ง
โครงการนี้ นอกจากจะช่วยส่งเสริมโรงงานประกอบรถยนต์ ขนาดคันเล็กๆ ที่ประหยัดการใช้พลังงานให้ลงหลักปักฐานในประเทศไทย แทนที่จะยกขบวนไปอยู่ประเทศอื่นหลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 แล้ว ยังช่วยให้ผู้คนจำนวนหนึ่งสามารถมีรถยนต์ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยที่ห้าของชีวิตเป็นของตนเองได้ในราคาสุทธิที่ไม่สูงนัก ด้วยการที่รัฐ มอบคืนภาษีสรรพสามิต ที่ผู้ซื้อรถเป็นคันแรกของชีวิต และต้องเป็นรถขนาดเล็กสมแก่ฐานะอันไม่ฟุ่มเฟือยเท่านั้น ให้ได้รับคืนภาษีฯ ในจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินหนึ่งแสนบาท จากค่าภาษีฯ ที่ตนเองชำระไว้เต็มจำนวนเมื่อแรกซื้อ กลับคืนไปเมื่อถือครองใช้ประโยชน์ของรถครบหนึ่งปีเต็ม ไม่นำไปขายต่อให้กับคนอื่น ภาษีที่เสียดายหนักหนานั้น ไม่ใช่เงินภาษีของกองกลางที่ไหนสักหน่อย ก็ภาษีของผู้ซื้อรถเองที่จ่ายมาให้รัฐ เมื่อตัดสินใจซื้อรถ ตามโครงการฯ รัฐบาลก็เอาเงินค่าภาษีสรรพสามิตของเขาดังกล่าว มาถือรอข้ามปีเพื่อดูใจว่า คนซื้อฯ ซื้อรถไว้ใช้เองจริง มิได้นำไปขายต่อเอากำไรพิเศษ กับใครทั้งนั้น ขออธิบายให้หายข้องใจอีกด้านว่า โดยหลักการแล้ว ภาษีสรรพสามิต เป็นภาษีสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้น หากเรายอมรับว่ารถคันเล็กๆ ไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือย เราก็ไม่ควรไปเก็บภาษีคนซื้อ แต่รัฐบาลในเวลานั้นเห็นว่าควรค่อยๆ ทำเป็นขั้นเป็นตอน แทนที่จะยกเลิกภาษีสรรพสามิตรถคันเล็กๆ ไปเสียเลย ก็ให้ดำเนินการ แบบมีเงื่อนไขว่าเป็นผู้ใช้รถจริง ไม่ใช่ผู้ค้ารถ และมีการซื้อไปเพื่อใช้เพียงคันเดียว มิใช่มีใช้กันคนละหลายคันจนล้นเหลือเกินแก่ความสมถะอันสมควร และเมื่อรัฐบาลรับภาษีสรรพสามิต ของพวกเขามาเข้าคลังไว้เป็นปี ถึงคราวจ่ายคืนก็ย่อมต้องตั้งงบประมาณประจำปีของปีถัดไปจ่ายคืนค่าภาษีสรรพสามิต ของเขา กลับไป อย่าไปเสียดายเลยครับ เราไม่ควรเก็บมาตั้งแต่แรกเสียด้วยซ้ำ คนเขาซื้อรถเล็กๆ เป็นครั้งแรกในชีวิต ไม่ใช่ความฟุ่มเฟือยหรอกครับ ถ้าฟุ่มเฟือยจริง ต้องมีหลายคัน แต่ละคัน หรูๆ หราๆ
กิตติรัตน์ มองว่า พล.อ.ประยุทธ์ คงเข้าใจผิดคิดว่ารัฐบาลต้องไปเอารายได้ภาษีจากกองกลางมาจ่ายให้คนซื้อรถคันแรก ตามโครงการฯ จนคนซื้อฯ เหล่านั้นเปรมปรีดิ์ ขอย้ำเงินที่คืนเป็นเงินของเขาที่รัฐเก็บมาทั้งๆ ที่ไม่ควรต้องเก็บ
“ไม่มีใครหรอกครับที่มีความอุตสาหะ ไปซื้อรถคันแรกมาจอดไว้ เพียงเพื่อหวังจะเอาเปรียบรัฐบาลด้วยการได้รับเงินของตนเองคืน” กิตติรัตน์ กล่าว
ประยุทธ์ ติง 'รถคันแรก' สร้างดีมานเทียม แต่คนซื้อยังขับไม่เป็น
สำหรับข้อวิจารณ์ทั้ง 2 โครงการดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น Voice TV รายงานว่า เมื่อวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ พูดในฐานะประธานในพิธีมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง โดยตอนหนึ่งกล่าวว่า วันนี้ต้องปรับรูปแบบการบริหารราชการแผ่นดินใหม่ โดยรัฐบาลจะเป็นผู้อำนวยความสะดวก ลดขั้นตอน เริ่มต้น จากนั้นเอกชนต้องไปเดินต่อคู่ขนานกันไป ถ้าแบบนี้จะทำให้ไปเร็วขึ้น ถ้ารัฐมัวแต่ลงทุนจะเอาเงินที่ไหน หาเงินก็ยังไม่ได้ ถ้าลงทุนอีกก็จะเป็นหนี้ผูกพัน หนี้สาธารณะ รัฐบาลนี้จะลงทุนเฉพาะเท่าที่จำเป็น อาจจะต้อมีกู้บ้าง เพราะที่ผ่านมามีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หลายอย่าง ต้องแก้ปัญหาชดใช้หนี้ไป
พล.อ.ประยุทธ์ บอก ไม่อยากจะพูดว่าคดีไหน คดีที่หนักที่สุดคือโครงการรับจำนำข้าว ถ้าไม่หยุดวันนี้จะเป็นหนี้อีกเท่าไหร่ ทำไป 2 ปีถ้าไม่หยุดทำ จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ กระทบที่ละ 5 แสนเกิดความเสียหายมากมาย รับจำนำมาตันละ 15,000 ซึ่งราคาตลาดมันไม่ถึงอยู่แล้ว เอาล่ะช่วยประชาชนผมไม่ว่า แต่เอามาแล้วจำหน่ายได้ไหม ขายใครได้ไหม ต้นทุน 15,000 บาท วันนี้กลายเป็น 2 หมื่นกว่าบาท และก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็น 3 หมื่น เพราะต้องมีค่าคลังเก็บรักษา ค่าเจ้าหน้าที่ดูแล แต่ผมให้โอกาสเพราะให้เกียรติคนทำงาน เพราะไม่มีใครที่จะแก้ปัญหานี้ได้ 
 
นอกจากคนที่อยู่ในกระบวนการที่รับรู้ และผมก็ไว้ใจ ไม่ต้องกลัว ทำไปให้ดีที่สุด ทุกเรื่อง และเรื่องที่เสียหายมากอีกคือรถคันแรก เดือดร้อนไปหมด เป็นการสร้างดีมานเทียม บางคนซื้อยังขับรถไม่เป็น แต่จองไว้เพื่อเอาเงินแสน เสียเงินไป 8 หมื่นกว่าล้าน ธุรกิจรถยนต์เสียหาย เพราะทุกอย่างบิดเบือน พล.อ.ประยุทธ์กล่าว