วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ย้อนดูคดีและชีวิต 'ศศิวิมล' หลังศาลทหารพิพากษาจำคุก 28 ปี



วันศุกร์ที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็นวันสำคัญอีกครั้งหนึ่งสำหรับคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เมื่อศาลทหารได้ทำสถิติตัดสินคดีนี้ด้วยโทษจำคุกที่หนักที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อนถึง 2 คดีติดต่อกัน ได้แก่ ในช่วงเช้า ศาลทหารกรุงเทพได้ตัดสินในคดีพงษ์ศักดิ์ จำคุก 60 ปี ให้การรับสารภาพ จึงลดเหลือจำคุก 30 ปี (ดูรายงานคดี) และในช่วงบ่าย ศาลมณฑลทหารบกที่ 33 เชียงใหม่ ได้ตัดสินในคดีศศิวิมล จำคุก 56 ปี ให้การรับสารภาพ จึงลดเหลือจำคุก 28 ปี (ดูรายงานคดี)
ทั้งสองกรณีมาจากการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กจำนวนหลายข้อความเช่นเดียวกัน และจำเลยต่างให้การรับสารภาพ ไม่ต่อสู้คดีเช่นเดียวกัน แต่ในคดีศศิวิมล ซึ่งเกิดขึ้นในภูมิภาคและแทบไม่ปรากฏเป็นข่าวมากนัก คดีศศิวิมลมีที่มาที่ไปไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแสดงออกทางการเมืองโดยตรงเหมือนในคดีพงษ์ศักดิ์ (ดูรายงานข่าวกรณีพงษ์ศักดิ์) แต่กลับมีเหตุมาจากความขัดแย้งส่วนตัว ทั้งข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดนัก แม้ศาลจะได้ตัดสินพิพากษาโทษอย่างรุนแรง ภายใต้ “คำรับสารภาพ” ของจำเลยไปแล้วก็ตาม
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้เข้าติดตามคดีศศิวิมลนี้ ในช่วงที่เริ่มมีการส่งฟ้องคดีต่อศาล และจำเลยได้มีการว่าจ้างทนายความเข้าช่วยเหลือคดีเองแล้ว
ภายหลังศาลมีคำพิพากษา ศูนย์ทนายฯ จึงประมวลข้อมูลของคดีจากคำบอกเล่าของศศิวิมลและครอบครัว คำบอกเล่าของจำเลยว่าไม่ได้กระทำความผิด แต่กลับต้องจำยอมรับสารภาพในขั้นตอนต่างๆ รวมทั้งข้อมูลจากการสังเกตการณ์คดี มานำเสนอในรายงานชิ้นนี้

หญิงสาวแม่ลูกสอง

ศศิวิมล หรือโอ๋ ขณะเกิดเหตุในคดีนี้ อายุ 29 ปี เป็นคนจังหวัดเชียงใหม่โดยกำเนิด ประกอบอาชีพเป็นพนักงานแผนกเครื่องดื่มในโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ โดยทำงานดูแลเคาน์เตอร์บาร์ ชงชากาแฟและเครื่องดื่มต่างๆ ให้กับลูกค้า เธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของครอบครัว โดยมารดาเป็นคนจังหวัดกำแพงเพชร เมื่อแต่งงานกับพ่อจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เชียงใหม่ ก่อนที่จะจึงแยกทางกับสามีในเวลาต่อมา และเลี้ยงดูศศิวิมลมาเพียงลำพัง
ศศิวิมลจบการศึกษาในระดับชั้นม.6 โดยสอบเทียบจากการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) เคยทำงานเป็นคนเชียร์เบียร์ในร้านอาหาร ก่อนจะมาทำงานที่โรงแรมดังกล่าว เธอสมรสกับสามีที่ทำงานด้านงานช่าง ทั้งคู่มีบุตรสาวด้วยกัน 2 คน ปัจจุบันอายุ 10 ปี และ 7 ปี ตามลำดับ* กำลังศึกษาอยู่ในชั้น ป.4 และ ป.2 ที่โรงเรียนในจังหวัดเชียงใหม่
ต่อมา สามีของศศิวิมลได้ไปมีภรรยาใหม่ จึงได้มีการฟ้องหย่ากัน โดยลูกทั้งสองอยู่ในการดูแลของศศิวิมลจนถึงปัจจุบัน และไม่นานก่อนเกิดเหตุในคดีนี้ ศาลมีคำสั่งให้สามีช่วยค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร เป็นเงินเดือนละ 3 พันบาท จนกว่าบุตรสาวคนเล็กจะเรียนจบ แต่นอกจากค่าอุปการะดังกล่าว สามีเธอก็ไม่ได้ช่วยเหลือในการดูแลลูกๆ อีก
ก่อนหน้าถูกดำเนินคดี เธออาศัยอยู่ที่บ้านเช่ากับลูกสาวสองคน และแม่ในวัย 48 ปี ซึ่งทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดที่โรงแรมเดียวกันกับลูกสาว และได้เงินเดือนเดือนละ 9,000 บาทเท่ากันกับศศิวิมล แม่ของเธอยังป่วยเป็นโรคประจำตัว ต้องกินยาอยู่เป็นประจำ ศศิวิมลจึงเป็นตัวหลักในการเลี้ยงดูครอบครัวทั้งสี่ชีวิต
เธอและครอบครัวยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องทางการเมือง ไม่เคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มทางการเมืองใดๆ มาก่อนถูกดำเนินคดีนี้


จากการกลั่นแกล้งส่วนตัว สู่มาตรา 112

การดำเนินคดีนี้ เริ่มต้นจากเมื่อวันที่ 27 ก.ย.57 มีกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า “กลุ่มเฟซบุ๊กเชียงใหม่” ซึ่งนำโดยนายกฤตย์ เยี่ยมเมธากร พร้อมประชาชนอีก 8 คน ได้เข้าแจ้งความกล่าวโทษผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ชื่อ “รุ่งนภา คำภิชัย” ว่าได้โพสต์ข้อความที่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ โดยในช่วงดังกล่าวได้มีการแชร์ข้อความและรูปของเฟซบุ๊กชื่อ “รุ่งนภา คำภิชัย” เพื่อ “ล่าแม่มด” ในเพจออนไลน์บางแห่งด้วย
ก่อนที่ในวันที่ 29 ก.ย.57 ทางกลุ่มผู้ใช้เฟซบุ๊กเชียงใหม่ได้เข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน และมีการชูป้ายให้เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิด มีรายงานข่าวระบุด้วยว่ารุ่งนภา คำภิชัย ได้ติดต่อกับทางกลุ่มเฟซบุ๊กเชียงใหม่ โดยแก้ข่าวว่าตนไม่ใช่ผู้ที่โพสต์ข้อความดังกล่าวแต่อย่างใด แต่มีการกลั่นแกล้งและปลอมแปลงเฟซบุ๊กดังกล่าวโดยใช้ชื่อของตน ในเบื้องต้น ทราบว่ารุ่งนภาได้เข้าแจ้งความกลับต่อผู้ที่ทำการปลอมแปลงเฟซบุ๊กดังกล่าวขึ้นด้วย หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏรายงานข่าวในกรณีนี้อีก รวมทั้งข่าวการควบคุมตัวศศิวิมลในหลายเดือนถัดมา
จากปากคำของศศิวิมลเอง บุคคลที่ชื่อรุ่งนภาเป็นภรรยาใหม่ของสามีของเธอ และมีปัญหาการทะเลาะเบาะแว้งกับเธอมาก่อนหน้านี้
ต่อมา เธอเล่าว่าเพื่อนสาวคนหนึ่งที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยทำงานเชียร์เบียร์ ได้แนะนำให้แฉข้อมูลของภรรยาใหม่คนดังกล่าว โดยอาสาจะดำเนินการให้ เพื่อนคนดังกล่าวจึงได้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเธอเข้าสมัครอีเมล์ใหม่ และทราบต่อมาว่ามีการไปปลอมแปลงแอคเคาท์เฟซบุ๊กในชื่อของรุ่งนภาขึ้น แต่เธอไม่ทราบมาก่อนว่าเพื่อนคนดังกล่าวจะนำไปโพสต์ข้อความที่อาจเข้าข่ายมาตรา 112 จนนำไปสู่การดำเนินคดีนี้
เธอยืนยันว่าทราบเพียงว่ามีการสมัครแอคเคาท์เฟซบุ๊กขึ้น แต่ไม่เคยเข้าโพสต์เฟซบุ๊กในชื่อดังกล่าวเอง ไม่รู้รหัสผ่านที่จะเข้าใช้เฟซบุ๊กนี้ด้วยซ้ำ โดยปัจจุบันเพื่อนคนดังกล่าวก็ไม่สามารถติดต่อได้แล้ว


การหว่านล้อมและแรงกดดันให้รับสารภาพ

ในช่วงราวปลายเดือนกันยายน 57 เธอจำวันที่ไม่ได้แน่ชัด ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบเดินทางไปที่บ้านเช่าของเธอตั้งแต่เวลา 6 โมงเช้า เวลานั้นลูกๆ ยังไม่ตื่นนอน ส่วนแม่ของเธอเพิ่งออกไปทำงาน โดยเจ้าหน้าที่มีการนำหมายค้นมาขอตรวจค้นบ้าน และแจ้งว่าเป็นกรณีเกี่ยวกับการหมิ่นเบื้องสูง แต่เธอไม่ทราบว่าเป็นการดำเนินคดีกับตัวเธอเองหรือไม่ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะขอนำเครื่องคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง และมือถือ 2 เครื่อง ไปตรวจสอบ
ศศิวิมลเล่าว่าหลังจากการตรวจค้นนั้น ได้มีการเชิญตัวเธอไปที่สถานีตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์ เนื่องจากไม่มีใครดูแลลูก วันนั้นเธอจึงได้พาลูกสาวคนเล็กไปที่สถานีตำรวจด้วย และได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายทำการสอบสวนเธอ โดยนำข้อความที่บันทึกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์มาให้ดู ในตอนแรกเธอไม่ยอมรับว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าขอให้รับไปก่อน ไม่มีอะไรร้ายแรง แล้วจะปล่อยตัวไป ทั้งตำรวจสามารถจะเอาตำแหน่งไปช่วยได้
เธอยอมรับไม่ทราบถึง “ความร้ายแรง” ของข้อหามาตรา 112 นี้มาก่อน ทั้งไม่เคยต้องยุ่งเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่หรือต้องมาที่โรงพักมาก่อน จึงไม่ทราบกระบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้น ประกอบกับอยู่ในภาวะกดดันและบีบคั้นหลายทาง โดยในวันนั้นลูกสาวคนเล็กที่เธอพามาด้วยไม่ค่อยสบาย และหัวหน้าที่ทำงานก็โทรศัพท์มาตามตัวไปทำงานอยู่เรื่อยๆ ในขณะที่ตำรวจสอบสวน เธอจึงร้อนรนอยากให้เรื่องจบๆ ไป นึกแต่เพียงว่าพูดๆ ไปให้เรื่องมันจบ จะได้ไปทำภารกิจของตัวเองต่อ แทบไม่คิดว่าจะต้องติดคุกติดตาราง
ในที่สุด เธอให้การรับสารภาพกับพนักงานสอบสวน โดยไม่มีทนายความอยู่ด้วยเวลานั้น เมื่อเสร็จจากการสอบสวนนั้น เจ้าหน้าที่ก็ส่งตัวเธอกลับบ้าน
ช่วงเดือน ต.ค. 57 เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ติดต่อแจ้งศศิวิมล ว่าขอให้แม่ของเธอเข้าไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจด้วย แม่เล่าว่าตำรวจได้สอบถามเรื่องทั่วๆ ไป ว่าเห็นลูกสาวเล่นคอมพิวเตอร์บ้างไหม เล่นอะไร เล่นตอนไหนบ้าง หรือถามว่าลูกสาวหลับดึกไหม ซึ่งแม่ก็ตอบว่าเห็นแต่ลูกใช้คอมพิวเตอร์ดูหนังกับหลาน ส่วนเรื่องอื่นๆ แม่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องราว
หลังจากนั้นก็ไม่มีความคืบหน้าในเรื่องนี้อีก และศศิวิมลเองก็ไม่คิดว่าจะถูกดำเนินคดีหรือต้องติดคุก จึงไม่คิดจะหลบหนีใดๆ
จนในช่วงเดือนก.พ. 58 ระหว่างที่เธอกับแม่ได้เดินทางไปงานศพของตาที่จังหวัดกำแพงเพชร เจ้าหน้าที่ตำรวจได้โทรศัพท์ติดต่อมาให้เธอไปเซ็นเอกสารที่โรงพัก เธอจึงได้นัดหมายเข้าไปพบเจ้าหน้าที่เองในวันที่ 13 ก.พ.58
วันนั้นเอง เมื่อไปถึง เธอกลับถูกแจ้งข้อกล่าวหาความผิดตามมาตรา 112 จากการโพสต์เฟซบุ๊กในชื่อ “รุ่งนภา คำภิชัย” จำนวน 6 ข้อความ วันนั้นอีกเช่นกัน เธอได้ถูกนำตัวไปฝากขังที่ศาลทหาร โดยไม่ได้เตรียมตัวใดๆ มาก่อนล่วงหน้า ก่อนที่แม่ของเธอจะได้เดินทางตามไปเช่าหลักทรัพย์จากนายประกัน เพื่อยื่นขอประกันเป็นเงิน 4 แสนบาท แต่ศาลทหารก็ไม่อนุญาตให้ประกันตัว โดยอ้างเหตุว่ากลัวจะหลบหนี เธอจึงถูกนำตัวไปควบคุมที่ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่
แม่ของเธอยังได้พยายามยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวอีกสองครั้ง โดยเช่าหลักทรัพย์ยื่นประกันตัว เป็นเงิน 4.5 แสนบาท ทั้งสองครั้ง แต่ศาลยังคงไม่อนุญาตเช่นเดิม
อีกทั้ง ภายหลังถูกควบคุมตัวประมาณ 2 สัปดาห์ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาในความผิดตามมาตรา 112 เพิ่มอีกหนึ่งข้อความ รวมแล้วเธอถูกกล่าวหาว่าได้โพสต์ข้อความเข้าข่ายความผิดนี้จำนวน 7 ข้อความ โดยเป็นข้อความที่อยู่ในช่วงระหว่างเดือนกันยายน 57
ศศิวิมลถูกฝากขังเรื่อยมาจนครบทั้ง 7 ผลัด ก่อนที่อัยการทหารจะยื่นฟ้องคดีต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 33 เมื่อวันที่ 7 พ.ค.58 วันสุดท้ายของการครบกำหนดฝากขังผลัดสุดท้ายพอดี


“กระบวนการยุติธรรม” กับความจริงที่หายไป

ในระหว่างนั้น แม่ของศศิวิมลได้วิ่งหาทนายความมาช่วยเหลือ จนได้มีการว่าจ้างทนายความจากสำนักงานแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่เข้าช่วยเหลือในคดี
ทนายความได้พูดคุยถึงแนวทางคดีกับศศิวิมล โดยเธอยืนยันกับทนายว่าไม่ใช่ผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว จึงเห็นร่วมกันว่าจะขอให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา เพื่อขอนัดตรวจพยานหลักฐานไปก่อน และคิดถึงแนวทางการต่อสู้คดีอีกที โดยเบื้องต้นมีการคิดถึงการต่อสู้เรื่องพยานฐานที่อยู่ต่างๆ ว่าในช่วงเวลาที่มีการโพสต์ข้อความตามฟ้อง จำเลยกำลังเข้าทำงานอยู่ และไม่สามารถเข้าใช้อินเทอร์เน็ตได้ เพราะในที่ทำงานไม่อนุญาตให้ใช้
ในวันสอบคำให้การเดือนมิ.ย.58 เธอจึงให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยวันนั้น ศาลทหารได้พิจารณาคดีเป็นการลับ เนื่องจากเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีความมั่นคง และกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน โดยให้ญาติและผู้ไม่เกี่ยวข้องออกจากพิจารณา ก่อนที่ศาลจะอ่านคำฟ้องให้คู่ความฟังและถามคำให้การ
ในเดือนถัดมา คู่ความได้นัดตรวจพยานหลักฐาน โดยมีการยื่นบัญชีพยาน และทนายความได้ตรวจพยานเอกสารของฝ่ายโจทก์ จากนั้นศาลได้สอบถามแนวทางการนำสืบของคู่ความ อัยการโจทก์แถลงว่าจะนำพยานบุคคล เอกสาร และวัตถุตามบัญชีพยานมาสืบต่อศาล เพื่อชี้ให้เห็นว่าจำเลยกระทำความผิด ส่วนทนายจำเลยแถลงว่าจะสืบเรื่องตัวผู้กระทำผิด โดยพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์ไม่เพียงพอจะพิสูจน์ว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้อง
ในนัดนี้ เจ้าหน้าที่ศาลยังอนุญาตให้ญาติและผู้สังเกตการณ์เข้าฟังการพิจารณาได้ โดยแจ้งว่าเป็นนัดตรวจพยานหลักฐานเฉยๆ แต่ในการสืบพยานจะไม่อนุญาต เนื่องจากพิจารณาคดีลับ
แต่ก่อนหน้าการเริ่มสืบพยาน ทนายความได้เข้าเยี่ยมและพูดคุยกับลูกความ พร้อมแนะนำให้กลับคำให้การเป็นรับสารภาพตามข้อกล่าวหา เนื่องจากภายหลังได้ตรวจพยานหลักฐานแล้ว ช่องในการต่อสู้คดีเหลือค่อนข้างน้อย ทั้งยังเคยให้การรับสารภาพไว้ในชั้นสอบสวนและลงชื่อรับเอกสารประกอบสำนวนต่างๆ ไว้ ทำให้พยานหลักฐานต่างๆ ค่อนข้างมัดตัว ถ้าหากสู้คดีไม่หลุด ศาลน่าจะลงโทษหนัก โดยทนายแจ้งว่าจะทำคำให้การประกอบขอให้ศาลรอการลงโทษหรือลงโทษสถานเบา และยังสามารถทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษได้ต่อไป
แม่ของเธอเล่าว่าตอนแรก เธอไม่แน่ใจว่าควรจะรับสารภาพดีหรือไม่ เนื่องจากลูกเธอบอกว่าไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา แต่ศศิวิมลก็บอกแม่ว่าโทษน่าจะไม่หนักมาก และเธอยังสงสารแม่ที่ต้องวิ่งเต้นอยู่คนเดียว แม่เองก็ไม่คิดว่าโทษจะร้ายแรงถึงเพียงนั้น
ในที่สุด เธอตัดสินใจกลับคำให้การเป็นรับสารภาพตามข้อกล่าวหา
ไม่ว่าเรื่องราวที่ศศิวิมลเล่าจะเป็นจริงหรือไม่ ใครเป็นผู้โพสต์ข้อความตามที่ถูกกล่าวหา และความจริงในกรณีนี้จะเป็นเช่นไร ภายใต้กระบวนการในคดีมาตรา 112 และการควบคุมตัวผู้ต้องหาโดยไม่ให้ประกันตัว สร้างแนวโน้มจะบีบให้ผู้ต้องหาจำยอมรับสารภาพตามข้อกล่าวหา โดยไม่ต่อสู้คดี จนทำให้การพิสูจน์พยานหลักฐานต่างๆ เพื่อนำไปสู่ข้อเท็จจริงในศาล ถูกกลบฝังทิ้งหายไป…


โทษทัณฑ์จำคุก 28 ปี ในวัย 29 ปี

ไม่มีใครรู้ว่าหลังยื่นขอกลับคำให้การแล้ว ศาลทหารจะพิพากษาในทันที
วันนั้น (7 ส.ค.58) ทนายจำเลยไม่ได้เดินทางมาศาล แต่ให้ผู้ช่วยทนาย ซึ่งรับมอบอำนาจเข้ามายื่นคำร้องขอกลับคำให้การ และคำร้องประกอบคำรับสารภาพในช่วงเช้าก่อนนัดพิจารณาคดี โดยเดิม คาดว่าศาลจะนัดพิพากษาในเดือนถัดไป โดยใช้เวลาพิจารณาคำร้องต่างๆ และเขียนคำพิพากษาเสียก่อน แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น
วันนั้น เรือนจำพาตัวศศิวิมลมาที่ศาลช้า ทำให้ญาติที่เดินทางมาให้กำลังใจต้องรอกันตั้งแต่เช้า ส่วนพยานทีเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจยังเดินทางมาที่ศาลตามกำหนดนัดเบิกความ เจ้าหน้าที่ศาลเองก็เพิ่งทราบในเช้าวันนั้น ว่าจะมีการยื่นขอกลับคำให้การ
บ่ายวันนั้น หลังจากศาลได้อ่านกระบวนการพิจารณาในเรื่องการงดสืบพยานและขอกลับคำให้การของจำเลยเสร็จสิ้น ศาลก็อ่านคำพิพากษาต่อในทันที โดยศาลได้อ่านข้อความตามฟ้องของโจทก์ จำนวน 7 ข้อความ โดยอ่านข้ามบางข้อความไป เนื่องจากศาลแจ้งว่าจะไม่อ่านข้อความไม่เหมาะสม ก่อนวินิจฉัยว่าเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามข้อกล่าวหาของโจทก์ จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
ศาลจึงให้ลงโทษจำคุกจำเลยความผิดกรรมละ 8 ปี รวมเป็นจำคุก 56 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงให้ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 28 ปี
ขณะเดียวกัน แม้ทนายจำเลยจะยื่นคำร้องประกอบคำรับสารภาพ ขอให้ศาลลงโทษสถานเบาและให้รอการลงโทษ โดยระบุเหตุผลประกอบคำร้องว่าจำเลยมีภาระต้องดูแลบุคคลในครอบครัว ทั้งแม่และลูกสาวทั้งสองคน โดยมีจำเลยเพียงผู้เดียวที่ช่วยหาเลี้ยงครอบครัวเนื่องจากได้หย่าร้างกับสามีแล้ว ทั้งจำเลยประกอบอาชีพสุจริต ไม่เคยกระทำความผิดทางอาญามาก่อน และไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยมีพฤติกรรมอันก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายกับผู้หนึ่งผู้ใดหรือสังคมส่วนรวมมาก่อน พร้อมแนบเอกสารรายละเอียดของครอบครัว และหลักฐานรับรองความประพฤติต่างๆ ของจำเลยประกอบ
แต่คำร้องดังกล่าว ก็ถูกศาลวินิจฉัยในคำพิพากษาว่า “คำร้องที่จำเลยขอให้ศาลลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษ ศาลเห็นว่าความผิดของจำเลยเป็นการล่วงละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ประชาชนเคารพสักการะ การกระทำของจำเลยจึงกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนอย่างร้ายแรง และศาลได้ลงโทษจำเลยในสถานเบาอยู่แล้ว จึงให้ยกคำร้องในส่วนนี้”
ในวัย 29 ปี หญิงสาวคนหนึ่งถูกพิพากษาจำคุก 28 ปี…เธอร้องไห้โฮกลางโถงของศาลทหาร


ชีวิตหลังคำพิพากษา

ระหว่างถูกดำเนินคดี แม่ของศศิวิมลเป็นผู้เดินเรื่องต่างๆ ให้ศศิวิมลอยู่ภายนอกเรือนจำ ทั้งการกู้หนี้ยืมสินเพื่อนำมาเป็นค่าจ้างทนายความ ค่าเช่าหลักทรัพย์ในการขอประกันตัว รวมๆ แล้วแม่เล่าว่าใช้เงินไปเกือบ 1 แสนบาท ทั้งจากการหยิบยืมเงินจากญาติๆ การนำสร้อยทองไปจำนำ และการนำรถจักรยานยนต์ไปเข้าไฟแนนซ์
ตั้งแต่ลูกติดคุก แม่ของเธอยังต้องรับภาระเลี้ยงดูหลานสาวสองคน รวมๆ แล้วเงินเดือนแม่เพียงคนเดียว หักค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าไฟแนนซ์ และค่าใช้จ่ายไปโรงเรียนของหลานทั้งสองคน เดือนหนึ่งเหลือค่ากินค่าอยู่ต่างๆ ในครัวเรือนสำหรับสามชีวิตอย่างจำกัดจำเขี่ย ยังไม่นับค่าเล่าเรียนของหลาน และค่าใช้จ่ายในเรือนจำสำหรับลูกสาวของเธอ ทางญาติๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนหาเช้ากินค่ำเหมือนกัน ไม่ได้มีฐานะมากมาย ทำให้ส่วนใหญ่แม่ต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง แต่ดีที่เพื่อนที่ทำงานยังพอเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ้าง
ทุกวันนี้ แม่ต้องตื่นไปเข้างานตั้งแต่ 6.30 น.ของทุกวัน มีเพียงวันเสาร์ที่เป็นวันหยุด ทำให้ต้องใช้รถจักรยานยนต์ไปส่งหลานทั้งสองคนที่โรงเรียนตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนไปทำงาน เมื่อเลิกงาน 15.30 น. จึงค่อยมารับหลานกลับ หน้าที่เหล่านี้เคยเป็นของศศิวิมลมาก่อน ส่วนในช่วงวันอาทิตย์ ที่แม่ยังต้องไปทำงาน ก็ต้องให้หลานทั้งสองคนอยู่ที่บ้านกันเอง โดยโทรศัพท์กลับมาพูดคุยเป็นพักๆ
ในช่วงก่อนเที่ยงวันธรรมดา แม่ยังต้องหลบจากงานออกไปเยี่ยมลูกสาวที่เรือนจำในบางวัน
แม่เล่าความรู้สึกในวันหลังทราบคำพิพากษาว่าไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมโทษในคดีนี้ถึงหนักขนาดนี้ หนักเสียยิ่งกว่าการฆ่าคนอีก ราวกับจะไม่ให้ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป
“แม่ยังคิดเลยว่า แม่มีโรคประจำตัวอยู่แบบนี้ โอ๋ถูกตัดสิน 28 ปี ถ้าได้ออกมาตอนนั้น โอ๋จะได้เจอแม่ไหม” แม่ของศศิวิมลกล่าวทั้งน้ำตา

พล.อ.ธนะศักดิ์เตรียมเยือนเกาหลีเหนือ-เผย 'คิม จอง อึน' ฝากความระลึกถึงชาวไทย

(ซ้าย) พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รมว.ต่างประเทศ ต้อนรับ นายรี ซู ยอง รมว.ต่างประเทศ เกาหลีเหนือ ระหว่างเดินทางเยือนประเทศไทย (ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ) (ขวา) คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ไปเลือกตั้งสภาท้องถิ่นเกาหลีเหนือ เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2558 (ที่มา: Rodong Sinmun12)

พล.อ.ธนะศักดิ์ เผย 'คิม จอง อึน' ฝากความระลึกถึงรัฐบาลและชาวไทยทุกคน ส่วนไทยยินดีเป็นสื่อกลางหากชาติใดต้องการฝากบอกเกาหลีเหนือ-ก็มาพูดคุยที่เมืองไทยได้ - ด้าน รมว.ต่างประเทศเกาหลีเหนือถวายพระพรสมเด็จพระราชินีนาถฯ และจะกลับมาประเทศไทยอีกครั้งเพื่อดูงานโครงการพระราชดำริ โดยเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเกาหลีเหนือ
11 ส.ค. 2558 - สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย รายงานว่า พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้การต้อนรับนายรี ซู ยอง รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือ ที่เดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและเกาหลีเหนือพล.อ.ธนะศักดิ์ เปิดเผยภายหลังการหารือกับนายรี ซู ยอง ว่า นายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือได้ฝากความระลึกถึงรัฐบาลและประชาชนชาวไทยทุกคน ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือ ได้ถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 12 สิงหาคม 2558
ส่วนการหารือทวิภาคี เกาหลีเหนือได้ขอให้ไทยช่วยประสานกับประเทศสมาชิกในอาเซียนเพื่อขอเป็นประเทศคู่เจรจากับอาเซียน ซึ่งตนเองได้รับปากที่จะประสานในเรื่องดังกล่าว แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอนและกระบวนการของอาเซียน นอกจากนี้ เกาหลีเหนือได้เชิญนักธุรกิจไทยไปลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่เกาหลีเหนือกำลังจะเปิดขึ้นและเสนอจะให้สิทธิพิเศษในการลงทุนกับไทยด้วย
ส่วนฝ่ายไทยยินดีที่จะให้ความร่วมมือทางวิชาการ ไอที สาธารณสุข และการศึกษา รวมถึงแนวความคิดเศรษฐกิจพอเพียง ส่วนความร่วมมือด้านพหุภาคีและยืนยันจะเป็นเพื่อนที่ดีกับเกาหลีเหนือ และทุกประเทศ รวมทั้งยินดีที่จะเป็นผู้ประสานและสื่อกลางหากเกาหลีเหนือต้องการสื่อไปยังประเทศใด เนื่องจากไทยเป็นมิตรกับทุกประเทศ หรือถ้าประเทศใดต้องการฝากบอกอะไรกับเกาหลีเหนือ ไทยยินดีให้สามารถมาพูดคุยที่ประเทศไทยได้
นอกจากนี้ พล.อ.ธนะศักดิ์ ได้ตอบรับคำเชิญทางการเกาหลีเหนือที่จะเดินทางไปยังเกาหลีเหนือในช่วงปลายปีนี้ ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือ จะเดินทางมายังประเทศไทยอีกครั้ง เพื่อดูงานในโครงการพระราชดำริ เนื่องจากเห็นว่า เป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาพื้นที่เกาหลีเหนือ

ธาริตได้ประกัน-หลังศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ย้าย ผบ.สำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญามิชอบ


ศาลอาญาพิพากษาว่าธาริต เพ็งดิษฐ์ ย้าย พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา เกิดขึ้นในช่วงคดีแชร์สลากกินแบ่งรัฐบาล จึงถือว่าธาริตละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จึงให้จำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญา ก่อนให้ประกันตัววงเงิน 2 แสนบาท
11 ส.ค. 2558 - ศาลอาญามีคำพิพากษา กรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในเวลานั้น เสนอให้ย้าย พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ อดีตผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2555 ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะคดี โดยศาลเห็นว่าเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดย นายธาริต ศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ส่วนนายชาญเชาว์ จำเลยที่ 2 ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบว่ามีเจตนากลั่นแกล้งให้เกิดความเสียหายจึงพิพากษายกฟ้อง
ทั้งนี้จากรายงานของ มติชนออนไลน์ พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ อดีตผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นโจทก์ฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ และนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ถึง 8 ตุลาคม 2555 นายธาริต และนายชาญเชาว์ ได้ทำหนังสือโยกย้าย พ.อ.ปิยะวัฒก์ จากตำแหน่ง ผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา ดีเอสไอ ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะคดี ซึ่งมีระดับต่ำกว่าเดิม ก่อนหน้านี้ศาลอาญามีคำสั่งไม่รับฟ้อง แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ศาลอาญารับไว้พิจารณา
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าหลังถูกโยกย้าย พ.อ.ปิยะวัฒก์ ได้ยื่นร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมของสำนักงาน ก.พ. ซึ่งคณะกรรมการฯ มีคำวินิจฉัยว่าคำสั่งโยกย้าย พ.อ.ปิยะวัฒก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และปลัดกระทรวงยุติธรรมก็มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งย้าย พ.อ.ปิยะวัฒก์ และให้กลับมาปฎิบัติหน้าที่ตามเดิม และเห็นว่าการเสนอย้าย พ.อ.ปิยะวัฒก์  ซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงต้องใช้ความระมัดระวังและรอบคอบ ซึ่ง พ.อ.ปิยะวัฒก์ นำสืบว่า การเสนอขอย้ายน่าจะมีเหตุความขัดแย้งเรื่องการสั่งสำนวนคดีหลายคดีโดยเฉพาะคดีแชร์สลากกินแบ่งรัฐบาล ที่มีความเห็นไม่ตรงกันกับนายธาริต ส่วนนายธาริต ได้นำสืบต่อสู้ว่า การเสนอย้าย พ.อ.ปิยะวัฒก์  ไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง และไม่เกี่ยวกับการทำสำนวนคดี
อย่างไรก็ตามศาลเห็นว่าช่วงระยะเวลาที่มีการเสนอขอย้าย พ.อ.ปิยะวัฒก์ กับการอายัดและยกเลิกการอายัดทรัพย์สินในคดีแชร์สลากกินแบ่งรัฐบาล มีความเชื่อมโยงสอดคล้องกัน เชื่อว่าการเสนอขอย้าย พ.อ.ปิยะวัฒก์ มาจากความขัดแย้งในการปฏิบัติหน้าที่ การที่นายธาริต เสนอให้ย้าย พ.อ.ปิยะวัฒก์ จึงเป็นความผิด ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ขณะที่ศาลอาญา มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนายธาริต โดยตีราคาประกัน 2 แสนบาท และไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใดๆ

โฆษกข้าหลวงใหญ่ยูเอ็นวิตกอย่างมาก ศาลทหารลงโทษแรง จี้ แก้ ม.112


โฆษกข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ แสดงความวิตกต่อการลงโทษในคดีหมิ่นเบื้องสูง หลังศาลทหารจำคุกหลายกรณี 50-60 ปี จี้ปล่อยตัวผู้แสดงความคิดเห็นที่ถูกขังก่อนการพิพากษา และแก้มาตรา 112 รวมทั้งบังคับใช้ให้เป็นตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล
11 ส.ค.2558 ราวีนา ซัมดาซานี โฆษกประจำตัวข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ แสดงความวิตกอย่างมากเกี่ยวกับสถานการณ์คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทย หลังศาลทหารพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยอย่างน้อย 3 รายในความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นเวลา 60 ปี 56 ปี 50 ปีตามลำดับ เนื่องจากโพสต์ข้อความวิจารณ์สถาบันกษัตริย์บนเฟซบุ๊ก
โฆษกประจำตัวข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า สำนักงานข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติมีความหวาดวิตกอย่างมากจากคำพิพากษาจำคุกคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในหลายๆ เดือนที่ผ่านมาซึ่งมีการระวางโทษจำคุกอย่างไม่มีสัดส่วน (disproportionate) อย่างมีความรุนแรงมาก ในวันที่ 7 สิงหาคม 2558 ศาลทหารกรุงเทพ ตัดสินจำคุกนายพงษ์ศักดิ์ เจ้าหน้าที่บริษัททัวร์เป็นระยะเวลา 30 ปีจากการละเมิดมาตรา 112   จากการเขียนความเห็นในเฟซบุ๊กวิพากษ์วิจารณ์ราชวงศ์ไทย นายพงษ์ศัดิ์ถูกตัดสินจำคุกเป็นระยะเวลา 60 ปี หรือ 10 ปี ต่อ 1 ความเห็น แต่ถูกลดลงเนื่องจากนายพงษ์ศักดิ์รับสารภาพ ในวันเดียวกันศาลทหารจังหวัดเชียงใหม่พิพากษาจำคุกนางสาวศศิวิมล พนักงานโรงแรมแห่งหนึ่ง เป็นระยะเวลา 28 ปี จากการแสดงความเห็นบนเฟซบุ๊กที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ คำตัดสินนี้ถูกลดลงจาก 56 ปี เนื่องจากนางสาวศศิวิมลรับสารภาพ ในเดือนมีนาคม 2558 ศาลทหารกรุงเทพได้มีคำพิพากษาที่รุนแรงโดยตัดสินจำคุกนายเธียรสุธรรม เป็นระยะเวลา 25 ปี (จากโทษเต็ม 50 ปี) จากการโพต์ความเห็น 5 ครั้งบนเฟซบุ๊กที่มีข้อความวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ 
“คำพิพากษาข้างต้นนับเป็นคำตัดสินคดีที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นปีที่เราเริ่มรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่ได้ถูกดำเนินคดีจากกฎหมายหมิ่นฯ จากการใช้สิทธิแสดงความเห็น” โฆษกระบุ
โฆษกประจำตัวข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ระบุอีกว่า มีความตื่นตระหนกต่อการที่ศาลทหารเพิ่มระยะเวลาจำคุก ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากลด้านสิทธิมนุษยชน และเป็นการไต่สวนที่ไม่เป็นธรรม โดยสาธารณชนไม่สามารถเข้ารับฟังการไต่สวน และผู้ถูกตัดสินจำคุก ไม่สามารถอุทธรณ์คำพิพากษาได้
นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า ในหลายๆ เดือนที่ผ่านมายังเห็นว่าบุคคลที่มีความพิการทางจิต-สังคม ได้ถูกตัดสินจำคุกภายใต้กฎหมายหมิ่นฯ ในวันที่ 6 สิงหาคม 2558 ศาลทหารเชียงรายตัดสินจำคุกนายสมัคร เป็นระยะเวลา 5 ปี จากการทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ช่วงที่กำลังเมาสุรา โรงพยาบาลในจังหวัดเชียงรายได้ตรวจทราบว่านายสมัครมีโรคทางจิตและอยู่ระหว่างการรักษาอาการประสาทหลอนทางตาและหู ในวันที่ 25 กรกฎาคม นายทะเนช ถูกศาลอาญากรุงเทพฯ ตัดสินจำคุกเป็นระยะเวลา 3 ปี 4 เดือนจากการส่ง URLs ที่มีข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปให้ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งหนึ่ง โดยมีรายงานว่านายทะเนชป่วยเป็นโรคจิตชนิดหวาดระแวง 
โฆษกประจำตัวข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเรียกร้องให้ศาลทหารต้องมีการรับประกันตามหลักกระบวนการอันควรของกฎหมาย ( Due process of law) ภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศทุกกรณี และเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ที่ถูกพิพากษาจำคุกอันเนื่องจากใช้สิทธิในการแสดงความคิดเห็น รวมถึงเรียกร้องให้รัฐบาลทหารแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากลระหว่างประเทศ โดยระหว่างที่ยังไม่มีการแก้ไขกฎหมาย ไม่ควรนำมาตรา 112 มาใช้ตามอำเภอใจ เพื่อจำกัดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของประชาชนในประเด็นที่เป็นประโยชน์สาธารณะ แม้จะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ประมุขของรัฐหรือผู้นำรัฐบาลก็ตาม

ผลหารือคณะทำงานกระทรวงยุติธรรม-ถอดยศ 'ทักษิณ' ทำได้-เป็นอำนาจ ผบ.ตร. ดำเนินการ

ผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สวมหน้ากากรูปอดีตนายกรัฐมนตรี ในงานทำบุญวันเกิดอายุครบ 61 ปี ที่วัดโรงธรรมสามัคคี อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เมื่อปี 2553 (ที่มา: ประชาไท)

ฝ่ายกฎหมายกระทรวงยุติธรรม-คณะกรรมการถอดยศ ตร.-กฤษฎีกา หารือเรื่องถอดยศทักษิณ - พล.อ.ไพบูลย์ ระบุที่ผ่านมามีการถอดยศตำรวจทั้งในและนอกราชการ 636 ราย กรณีทักษิณน่าจะใช้มาตรฐานเดียวกัน หลังจากนี้จะเสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปดำเนินการ โดยถือเป็นเรื่องภายใน กระทรวงยุติธรรมไม่สามารถสั่งได้
11 ส.ค. 2558 - ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม ดำเนินการติดตามเรื่องการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.กระทรวงยุติธรรม ระบุว่าจะเรียกคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของกระทรวงยุติธรรมมาหารือในวันที่ 11 ส.ค. และได้เชิญคณะกรรมการพิจารณาถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานกฤษฎีกามาเข้าร่วมหารือด้วยนั้น
ล่าสุดในรายงานของ มติชนออนไลน์ วันนี้ (11 ส.ค.) ระบุว่าที่ประชุมของคณะทำงานฝ่ายกฎหมายกระทรวงยุติธรรม คณะกรรมการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานกฤษฎีกา มีการหารือนานกว่า 2 ชั่วโมง จากนั้น พล.อ.ไพบูลย์ เปิดเผยว่าที่ประชุมได้หารือในประเด็นข้อกฏหมายที่มีการถกเถียงกันว่า การดำเนินการถอดยศข้าราชการตำรวจ จะต้องเป็นตำรวจที่กระทำผิดในขณะที่รับราชการอยู่หรือไม่
โดยที่ผ่านมาคณะกรรมการกฤษฎีกา เคยให้ความเห็นกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปแล้วว่าสามารถดำเนินการถอดยศได้ และที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็เคยถอดยศข้าราชการตำรวจที่กระทำผิด ทั้งที่อยู่ในราชการและตำรวจนอกราชการ โดยพบว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติเคยถอดยศตำรวจมาแล้วทั้งหมด 636 นาย คณะทำงานชุดนี้จึงเห็นว่ากรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ควรจะใช้มาตรฐานเดียวกัน
ในที่ประชุมหารือด้วยว่า การถอดยศ ต้องมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาหรือไม่ โดยที่ประชุมยึดตามมติของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่ให้ความเห็นว่าการถอดยศตำรวจ ไม่มีความจำเป็นต้องมีประกาศ จากนั้นจะทำความเห็นของคณะทำงานชุดนี้นำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป
ส่วนเรื่องการดำเนินการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ จากนี้คงเป็นอำนาจหน้าที่ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่จะรับไปดำเนินการ เพราะถือเป็นเรื่องภายในของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และส่วนตัวในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คงไม่สามารถไปสั่งการอย่างใดได้ โดย พล.อ.ไพบูลย์ ยืนยันว่าการหารือวันนี้เป็นไปตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง

แถลงการณ์สำนักพระราชวัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาประทับ ณ รพ.ศิริราช ฉบับที่ 14


สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ วันที่ 10 สิงหาคม 2558 เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาประทับ ณ รพ.ศิริราช ฉบับที่ 14 มีรายละเอียดดังนี้
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาประทับ ณ รพ.ศิริราช ฉบับที่ 14
ตามที่คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เชิญเสด็จพระราชดำเนินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อตรวจพระวรกายอย่างละเอียด และถวายการตรวจพิเศษพระสมองด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อติดตามผลการรักษา ผลการตรวจพบว่า ปริมาณน้ำในพระสมองเพิ่มขึ้น คณะแพทย์ฯ ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตปรับระดับการระบายน้ำในพระสมองอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเฝ้าติดตามพระอาการอย่างใกล้ชิด ผลการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์พระสมองติดตามพระอาการเมื่อเดือนกรกฎาคม 2558 พบว่าปริมาณน้ำในพระสมองลดลง
ในระหว่างที่ประทับอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระปรอทเป็นครั้งคราว อีกทั้งมีพระเสมหะมาก หายพระทัยเร็วขึ้น อัตราการเต้นของพระหทัยเร็วขึ้น ซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นผลสืบเนื่องจากพระอาการพระปัปผาสะ (ปอด) อักเสบ ตั้งแต่ครั้งก่อน ส่งผลให้ระดับความเข้มข้นของออกซิเจนในกระแสพระโลหิตลดลงบ้างเป็นครั้งคราว คณะแพทย์ฯ ได้ถวายกายภาพบำบัดสำหรับพระอุระ (อก) เพื่อช่วยให้การขับพระเสมหะสะดวกขึ้น พร้อมทั้งถวายพระโอสถละลายพระเสมหะร่วมกับการถวายออกซิเจนผสมอากาศเป็นระยะ
ผลการตรวจเอกซเรย์และเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ของพระอุระ (อก) ติดตามพระอาการไม่พบการอักเสบ ผลการตรวจพระหทัยและการตรวจด้วยเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้า พบว่าอัตราการเต้นของพระหทัยลดลงเป็นปรกติแล้ว อัตราการหายพระทัยลดลงเกือบเป็นปรกติ ความดันพระโลหิตปรกติ ผลการตรวจพิเศษด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์พระสมอง เมื่อวันที่ 5 ส.ค.2558 พบว่าปริมาณน้ำในพระสมองลดลงใกล้เคียงกับปริมาณเดิม คณะแพทย์ฯ ได้ขอพระราชทานถวายกายภาพบำบัดพระอุระ (อก) อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยการขับพระเสมหะต่อไป จนกว่าพระเสมหะจะลดลงเป็นปรกติ
จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
สำนักพระราชวัง
10 สิงหาคม พุทธศักราช 2558