วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ประยุทธ์ ชี้ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว เหลือแค่ทำให้คนไม่ดีกลายเป็นคนดีให้ได้



Thu, 2015-05-28 21:53


นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างรับประทานอาหารกลางวันกับ ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบ ชี้เมืองไทยอุดมสมบูรณ์ เหลือแค่ทำให้คนไม่ดีกลายเป็นคนดีให้หมด พร้อมเข้าใจว่าขึ้นอยู่กับพื้นฐานการเลี้ยงดู ด้านการปฏิรูปจะสำเร็จได้คนไทยต้องมีส่วนร่วม

28 พ.ย. 2558 เว็บไซต์รัฐบาลไทย รายงานว่า เวลา 12.00 น. ณ บริเวณที่พักผู้สื่อข่าว ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีให้กล่าวระหว่างรับประทานอาหารร่วมกับผู้สื่อข่าวสายการเมือง ประจำทำเนียบรัฐบาลว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่โชคดี มีความอุดมสมบูรณ์ทุกเรื่อง ยกเว้นคนในประเทศบางคนที่ไม่ดี ต้องทำให้คนไทยที่ไม่ดีกลายเป็นคนดีทั้งหมด แต่ต้องเข้าใจว่าพื้นฐานของแต่ละคนแตกต่างกันไปทั้งการเลี้ยงดู รวมไปถึงสังคมความเป็นอยู่ และปัจจัยอื่นๆ เมื่อเกิดการรวมกลุ่มขึ้นมา และถูกนำพาด้วยการเมืองทำให้เกิดเป็นความขัดแย้ง เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องใช้อำนาจในการบริหารประเทศไปในทางที่ดีตามระบอบ ประชาธิปไตยอย่างมีเสถียรภาพเพื่อทำให้สังคมเกิดความมั่นคง และยั่งยืน

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการปฏิรูปว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้ทำการปฏิรูปมาตลอด ตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศซึ่งจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่ กับประชาชน ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้รับฟังและพยายามศึกษาข้อมูลจากทุกช่องทางเพื่อนำมา ใช้กับการทำงานเพื่อปฏิรูปประเทศไทย ให้ประเทศไทยเกิดความสงบเรียบร้อย นำไปสู่การเลือกตั้ง โดยประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศไทย

ทั้งนี้ แนวทางการปฏิรูปของรัฐบาลที่ผ่านมาคือระงับความรุนแรงที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 22 พ.ค. 2557 และบริหารราชการโดยใช้วิธีการตามปกติ ส่วนเรื่องเร่งด่วนก็จะพิจารณาเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อเตรียมการปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งตอนนี้ถือว่าเป็นการปฏิรูปขั้นที่ 2 ตามโรดแมป เป็นการทำงานระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติกับรัฐบาล เช่น การปฏิรูประบบราชการ การทำงบประมาณเป็นกลุ่มแผนงาน รวมถึงการแก้ไขปัญหาพื้นที่เพาะปลูกการเกษตร การบริหารจัดการน้ำ และจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น เพราะฉะนั้นประชาชนต้องช่วยเหลือและให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ช่วยกันแก้ไขปัญหาโดยต้องไม่รอให้รัฐบาลแก้ปัญหาฝ่ายเดียวเพื่อให้การปฏิรูป สำเร็จมากขึ้น

ผบ.ทบ.ยื่นฟ้อง ทักษิณ ข้อหาหมิ่นประมาท พ่วง 112




Thu, 2015-05-28 22:55


ผบ.ทบ. ยื่นฟ้อง ทักษิณ ชินวัตร ฐานหมิ่นประมาทและ ม.112 ด้านบอร์ดพิจารณาถอดยศชี้ ทักษิณเข้าเงื่อนไขถูก "ถอดยศ" เหตุต้องอาญาหนีคดี เตรียมเสนอ ผบ.ตร. ชี้ ภายใน 2 วัน


28 พ.ค. 2558 สำนักข่าวไทยรายงานว่า พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก ได้มอบหมายให้ พล.ต.ศรายุทธ กลิ่นมาหอม ผู้อำนวยการสำนักพระธรรมนูญ กองทัพบก เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลอาญา คดีดำเลขที่ 1824/2558 ตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา ฐานความผิดคดีหมิ่นประมาท กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, 326 และ 328

สำนักข่าวไทยระบุว่า ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศเกี่ยวกับการเข้ามาบริหารประเทศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่ามีองคมนตรีอยู่เบื้องหลัง จนเป็นเหตุให้วานนี้ (27 พ.ค.) กระทรวงการต่างประเทศยกเลิกหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ

วันเดียวกัน มติชนออนไลน์ รายงานว่า นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีอัยการสำนักงานต่างประเทศ และโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.)ส่งสำนวนคดีให้อัยการ เพื่อให้ดำเนินคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า เบื้องต้นทางสำนักงานอัยการสูงสุดได้รับสำนวนคดีดังกล่าวจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นความผิดที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร ตามขั้นตอนแล้วจึงต้องเสนอเรื่องให้นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณา โดยทางอัยการสูงสุดจะเป็นผู้สั่งตั้งพนักงานสอบสวนที่เป็นผู้รับผิดชอบสำนวนคดีนี้เพื่อพิจารณาต่อไป แต่ขณะนี้สำนวนคดียังไม่ได้ส่งไปยังอัยการสูงสุดเนื่องจากทางอัยการเพิ่งจะได้รับสำนวนมาจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ชี้ "ทักษิณ" เข้าเงื่อนไขถูก "ถอดยศ" เหตุต้องอาญาหนีคดี เตรียมเสนอ ผบ.ตร. ชี้ ภายใน 2 วัน
มติชนออนไลน์ รายงานว่า ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา (สบ10) ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการถอดยศตำรวจ กล่าวถึงการดำเนินการพิจารณาถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดิน ถ.รัชดาภิเษก ซึ่งถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 2 ปี ขณะนี้อยู่ระหว่างหลบหนีคดี ว่า กรณีนี้ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้หนังสือลับ ด่วนที่สุด ที่ผผ.20/351 ลงวันที่ 7 สิงหาคม 2557 แจ้งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำข้อเท็จจริงในประเด็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ที่มิได้อยู่ในราชการหรือหน่วยงานของรัฐ และตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา แล้วหลบหนีไป ตามหมายจับของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรวม 5 คดี และกองทะเบียนประวัติอาชญากร ได้ออกประกาศสืบจับผู้กระทำความผิด ฉบับที่ 489 /2551 ซึ่งอยู่ในหลักเกณฑ์ตามข้อ 1 (6) แห่งระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547 มาประกอบการพิจารณาดำเนินการถอดยศตำรวจ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547 และ แนวทางปฏิบัติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเป็นบรรทัดฐานเดียวกันต่อไป

พล.ต.อ.ชัยยะ กล่าวว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการถอดยศตำรวจ ตามคำสั่ง ตร.ที่ 256/2558 ลงวันที่ 1 พ.ค.2558 โดยมีตนเองเป็นประธาน มี พล.ต.ท.กวี สุภานันท์ ผู้ช่วยผบ.ตร. เป็นรองประธาน มีผู้บัญชาการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ผบช.สง.ก.ตร.) ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล (ผบช.สกพ.) ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี ( ผบช.กมค.) หรือ ผู้แทน ผบก.กองวินัย เป็นกรรมการและเลขานุการ โดยคณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจหน้าที่พิจารณาให้เป็นไปตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547

พล.ต.อ.ชัยยะ กล่าวต่อว่า สำหรับเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งในการถอดยศตำรวจ ตามระเบียบ ตร.ว่าด้วยถอดยศ มีด้วยกัน 7 ข้อ แต่คณะกรรมการชุดนี้พิจารณาเฉพาะในข้อ 1 (6) ที่ระบุว่า ต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนีไป สำหรับผู้ที่มิได้อยู่ในราชการหรือหน่วยงานของรัฐ เท่านั้น โดยที่ประชุมได้มีการตรวจสอบแล้วพบว่า

“มีเอกสารยืนยันเป็นที่ประจักษ์จากหน่วยงานราชการหลายหน่วยงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดีอาญา จึงเข้าข่ายเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดในการถอดยศ ตามระเบียบ ตร.ว่าด้วยการถอดยศ เตรียมนำเสนอ ผบ.ตร.พิจารณาได้ ภายใน 1-2 วันนี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างทบทวนในรายละเอียด รวมทั้งการรวบรวมเอกสารต่างๆ ที่จะนำมาประกอบในการพิจารณาให้ครบถ้วนสมบูรณ์กว่านี้ การพิจารณาเรื่องนี้เป็นการทำงานในรูปคณะกรรมการ เป็นการทำงานทั้งระบบใหญ่ มีทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง มาร่วมพิจารณา ขณะเดียวกันที่ประชุมได้มีการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน อย่างรอบคอบ มีการอภิปรายในทุกประเด็นที่เกี่ยวข้อง จนได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เพราะเราเข้าใจว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่เราดำเนินการตามขั้นตอน ตามระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง" ที่ปรึกษา (สบ10) กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าคณะกรรมการได้มีการนำหนังสือตอบกลับจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ให้ความเห็น ว่าควรให้ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ มาพิจารณาด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.ชัยยะ กล่าวว่า ได้มีการนำหนังสือของคณะกรรมการกฤษฎีกามาพิจารณาด้วย เราดูทุกมิติ

“เพราะการพิจารณาครั้งนี้ค่อนข้างละเอียด เนื่องจากถูกท้วงติงมาจากสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ว่า การพิจารณาของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ผ่านมา ยังมีบางประเด็นที่ตกหล่น ไม่ครบถ้วน” พล.ต.อ.ชัยยะ กล่าวและว่า สำหรับกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ อาจเข้าเงื่อนไขในการถอดยศข้ออื่น ซึ่งได้มีการพิจารณาไปส่วนหนึ่งแล้วในรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ซึ่งตนไม่ขอพูดถึง แต่ครั้งนี้เราพิจารณาจากคำท้วงติงของหน่วยงานของรัฐอีกหน่วยงานที่เข้ามาตรวจสอบ ทั้งนี้ มีการส่งหนังสือท้วงติงมาตั้งแต่เดือน สิงหาคม 2557 เราก็ทำมาโดยตลอดไม่ได้เพิ่งมาทำ จึงมีการพิจารณาอย่างครบถ้วนทุกด้าน

เมื่อถามว่าคณะกรรมการชุดนี้ได้สรุปความเห็นว่าควรถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ พล.ต.อ.ชัยยะ กล่าวว่า ผลสรุปของคณะกรรมการรอให้ ผบ.ตร. เป็นผู้ให้สัมภาษณ์ ตนบอกได้เพียงว่าคณะกรรมการได้สรุปความเห็นไปแล้ว ยืนยันว่าการพิจารณาครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่างแล้ว มีทุกมิติ สามารถตอบคำถามได้ทั้งหมด



อนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 บัญญัติว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี

มาตรา 326 บัญญัติว่า ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้น เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 328 บัญญัติว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาท กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฏไม่ว่าด้วยวิธีใดๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจาย เสียง หรือกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวร้องด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท

เพื่อไทยยกเลิกประชุมที่ร้อยเอ็ด หลังฝ่ายความมั่นคงคุมเข้ม


พรรคเพื่อไทยยกเลิกประชุมที่ร้อยเอ็ด หลังเดินสายเหนือ-อีสานหลายจังหวัด เหตุฝ่ายความมั่นคงคุมเข้มถึงโรงแรม ยันจัดคุยชี้แจงคดี ไม่ได้ชุมนุมทางการเมือง
28 พ.ค. 2558 ข่าวสดออนไลน์ รายงานว่า นายชูศักดิ์ ศิรินิล หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่ทีมงานฝ่ายกฎหมาย นำโดยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค เดินสายทำความเข้าใจแนวทางการชี้แจงของอดีต ส.ส.ที่จะถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ถอดถอนออกจากตำแหน่ง กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง ที่จ.เชียงใหม่และจ.อุดรธานีนั้น เป็นไปด้วยความเรียบร้อยแม้จะมีปัญหาอยู่บ้าง โดยที่จ.อุดรธานี ได้เชิญทหาร ตำรวจ ฝ่ายความมั่นคง เข้ารับฟังด้วยเพื่อยืนยันว่าการชี้แจงไม่ใช่การเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ และขอขอบคุณฝ่ายความมั่นคงของจ.อุดรฯ ที่เข้าใจเป็นอย่างดี

นายชูศักดิ์ กล่าวว่า เดิมวันนี้ นัดชี้แจงที่ จ.ร้อยเอ็ด แต่ทราบว่าผู้ว่าฯ มีคำสั่งห้ามดำเนินการดังกล่าวและส่งฝ่ายทหารตำรวจมาเฝ้าระวังที่โรงแรมตลอดเวลา แม้จะประสานทำความเข้าใจ แต่ก็ลำบาก เพื่อไม่ให้เกิดความไม่เรียบร้อยใดๆ ขึ้น แม้เราจะเห็นว่ามิใช่การชุมนุมทางการเมืองใดๆ และเพื่อความสบายใจของอดีตส.ส.ในพื้นที่ และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง จึงขอเลื่อนการชี้แจงออกไปก่อน โดยจะหาวิธีการที่เหมาะสมต่อไปในโอกาสหน้า ส่วนการชี้แจงที่จ.อุบลราชธานีในวันที่ 29 พ.ค. จะต้องติดตามสถานการณ์ว่าจะมีลักษณะคล้ายกับที่จ.ร้อยเอ็ดหรือไม่ ก็ต้องพิจารณากันอีกที
นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การประชุม อดีต ส.ส. ที่ จ.ร้อยเอ็ด ยกเลิกจริง แต่นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด ได้เชิญทางแกนนำพรรคมาดูโครงการช่วยเหลือคนพิการ โครงการปรับปรุงรถเข็นช่วยเหลือคนพิการที่บ้านพักของนายนิรันดร์ ซึ่งเห็นว่ามีประโยชน์ ก็เดินทางมา
โดยมีอดีตส.ส.ในโซนอีสานมาดูด้วยเหมือนกัน จึงถือโอกาสพูดคุยเรื่องการต่อสู้คดี มีนายชูศักดิ์ ศิรินิล นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ร่วมชี้แจงทำความเข้าใจด้วย ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทั้งทหาร ตำรวจ มาที่บ้านนายนิรันดร์ พวกตนจึงเชิญเจ้าหน้าที่เข้ามารับฟังการชี้แจงการต่อสู้คดี ชูเอกสารให้ดูด้วยจนจบ
“พวกผมได้ถามเจ้าหน้าที่ด้วยว่าฟังแล้วเห็นว่ามีปัญหาหรือไม่ เป็นการชุมนุมทางการเมืองหรือไม่ เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่มีปัญหา เรียบร้อยดี ผมยืนยันเป็นการต่อสู้คดีถอดถอน อย่างไรก็ตาม เห็นว่าจะยกเลิกนัดชี้แจงที่ จ.อุบลราชธานี ในวันที่ 29 พ.ค.นี้ เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย” นายสามารถ กล่าว

ป.ป.ช.ฟัน 'สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล' รวยผิดปกติ



Fri, 2015-05-29 14:56
ป.ป.ช.ลงมติเอกฉันท์ สั่งฟันเฮียตือ ‘สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล’ ร่ำรวยผิดปกติ กรณีสร้างบ้านใน จ.อ่างทอง ช่วงเป็น รมช. และรมว.ศึกษาธิการ ราคากว่า 16 ล้าน และเจ้าตัวไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินได้ เตรียมยื่นศาลฎีกาฯ ยึดบ้านตกเป็นของแผ่นดิน

29 พ.ค. 2558 ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ในการประชุม ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดการไต่สวนกรณีการร่ำรวยผิดปกติของนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีต รมว.ศึกษาธิการ พรรคชาติไทยพัฒนา จากการไต่สวนพบว่า นายสมศักดิ์ ได้ปลูกสร้างบ้านเลขที่ 5/5 ต.ไผ่จำศีล อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง ในปี 2541 ช่วงที่นายสมศักดิ์เป็นรมช.ศึกษาธิการ ซึ่งมีการก่อสร้างต่อเนื่องจนมาแล้วเสร็จปี 2544 ในช่วงที่นายสมศักดิ์เป็น รมว.ศึกษาธิการ ใช้เงินปลูกสร้างประมาณ 16 ล้านบาทเศษ

ทั้งนี้ จากการเรียกนายสมศักดิ์มาชี้แจงถึงที่มาของเงินจำนวนดังกล่าว พบว่าคำชี้แจงฟังไม่ขึ้น เพราะไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินได้ชัดเจน โดยนายสมศักดิ์อ้างว่า เป็นเงินของครอบครัว และเงินที่เหลือจากการเลือกตั้ง แต่เมื่อ ป.ป.ช.ตรวจสอบข้อเท็จจริงกลับไม่พบว่ามีการนำเงินจากที่มาดังกล่าว ไปใช้ก่อสร้างบ้าน และนายสมศักดิ์ไม่สามารถหาพยานหลักฐานมาสนับสนุนการชี้แจงให้ ป.ป.ช.เชื่อถือได้

ดังนั้น ป.ป.ช.จึงลงมติด้วยคะแนนเสียงข้างมากว่า นายสมศักดิ์ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ จึงส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อให้ยึดบ้านหลังดังกล่าวเป็นของแผ่นดินต่อไป

ล่าสุด นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ได้ทราบข่าวดังกล่าวแล้ว โดยเตรียมจะแถลงข่าวถึงรายละเอียดคำตัดสินของป.ป.ช. ต่อสื่อมวลชน ในวันจันทร์ ที่ 1 มิ.ย. นี้ ที่พรรคชาติไทยพัฒนา ในเบื้องต้นจะเกี่ยวกับมติชี้มูลของป.ป.ช.ต่อกรณีดังกล่าวที่ไม่เป็นเอกฉันท์ เพราะดำเนินการตามเสียงข้างมาก

มีรายงานเพิ่มเติมว่า นายสมศักดิ์ ได้แจ้งขอยกเลิกการแถลงข่าวดังกล่าว โดยระบุ ในฐานะที่เป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ให้ความเคารพในเสียงของป.ป.ช.ทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในคดีดังกล่าว แต่เรื่องนี้ยังต้องนำไปสู่กระบวนการทางศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เรื่องจึงยังไม่จบ อีกทั้งในวันที่ 1 มิ.ย.เป็นวันวิสาขบูชา จึงยกเลิกการแถลงข่าว

'สมชาย' ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาคดี 'สลายการชุมนุมปี 51'


Fri, 2015-05-29 14:45

ศาลฎีกาฯ นัดพิจารณาคดี ป.ป.ช. ยื่นฟ้อง "สมชาย-พล.อ.ชวลิต-พล.ต.อ.พัชรวาท-พล.ต.ท.สุชาต" สั่งสลายการชุมนุม 7 ต.ค.51 ทำให้มีผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บจำนวนมาก จำเลยทั้ง 4 ให้การปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา จะต่อสู้คดีตามความเป็นจริง เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานของโจกท์-จำเลย 18 ส.ค. 58


29 พ.ค. 2558 สำนักข่าวไทยรายงานจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ว่า เวลา 09.30 น. วันนี้ (29 พ.ค.) นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี , พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เดินทางมายังศาลฎีกาฯ ตามที่ศาลได้นัดพิจารณาคดีครั้งแรกในคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550

จากกรณีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 นายสมชาย ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ปิดล้อมทางเข้ารัฐสภา กระทั่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 471 คน โดยศาลได้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยทั้ง 4 ฟัง ซึ่งจำเลยทั้ง 4 แถลงต่อศาลให้การปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา ศาลพิจารณาแล้ว จึงมีคำสั่งให้นัดตรวจพยานหลักฐานของคู่ความทั้งสองฝ่ายในวันที่ 18 สิงหาคม 2558 เวลา 10.00 น. และให้จำเลยทั้ง 4 ยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรภายในวันที่ 30 มิถุนายนนี้

ส่วนที่นายสมชาย และ พล.อ.ชวลิต ยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาคดีลับหลังนั้น ศาลเห็นว่าจำเลยต้องมาศาลทุกครั้ง หากไม่สามารถเดินทางมาได้ ให้ยื่นคำร้องเป็นครั้งคราวไป และกำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยทั้ง 4 เดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการสอบถามจำนวนพยานของโจทย์และจำเลย ป.ป.ช.เตรียมพยานได้ 50 ปาก นายสมชาย เตรียมพยานไว้ 60 ปาก พล.อ.ชวลิต เตรียมพยานไว้ 30 ปาก พล.ต.ท.สุชาติ เตรียมพยานไว้ 180 ปาก ขณะที่ พล.ต.อ.พัชรวาท ยังไม่ได้เตรียมพยาน เนื่องจากยังไม่ได้มีการแต่งตั้งทนายสู้คดีดังกล่าว

นายสมชาย เปิดเผยว่า เบื้องต้นเตรียมพยานไว้ 60 ปาก ส่วนจะเป็นบุคคลใดบ้าง ทนายความเป็นผู้พิจารณา และจะต่อสู้คดีตามความเป็นจริง เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และช่วงนี้ยังไม่มีกำหนดเดินทางไปต่างประเทศ พร้อมพูดติดตลกว่าไม่มีค่าเครื่องบิน

ส่วน พล.ต.ท.สุชาติ กล่าวว่า ไม่รู้สึกหนักใจในการต่อสู้คดี ซึ่งได้ให้การตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ที่เตรียมพยานไว้ 180 ปาก ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ที่ประจำตามจุดต่าง ๆ ในวันที่มีการสลายการชุมนุม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังสอบคำให้การแล้วเสร็จ จำเลยทั้ง 4 คนได้เดินทางกลับทันที เนื่องจากก่อนหน้านี้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เพื่อขอปล่อยชั่วคราวแล้ว ซึ่งองค์คณะผู้พิพากษาพิจารณาให้ประกันตัวทั้ง 4 คน โดยตีราคาประกันสำหรับนายสมชาย 9,500,000 บาท , พล.อ.ชวลิต 8 ล้านบาท , พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.ต.ท.สุชาติ ตีราคาประกันคนละ 6 ล้านบาท

ทั้งนี้การเดินทางมาศาลฎีกาฯ ของจำเลยทั้ง 4 คนในวันนี้ (29 พ.ค.) ไม่พบว่ามีกลุ่มใด ๆ เดินทางมาให้กำลังใจ มีเพียงนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภรรยานายสมชายและบุตร นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา แกนนำกลุ่มวาดะ แต่เจ้าหน้าที่ศาลยังคงดูแลความปลอดภัยอย่างเต็มที่

ศาลยกคำร้อง 'พลเมืองโต้กลับ' ฟ้อง 'ประยุทธ์-คสช.' ข้อหากบฏ


29 พ.ค. 2558 เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์รายงานว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา กลุ่มพลเมืองโต้กลับ นำโดยนายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ หรือพ่อน้องเฌอ กับพวก 15 คน พร้อมด้วยนายอานนท์ นำภา ทนายความกลุ่ม เดินทางมายังศาลอาญา รัชดาภิเษก เพื่อเป็นโจทก์ยื่นฟ้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพวกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.รวม 5 คน ประกอบด้วย
 
พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย  พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว  พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ในข้อหาเป็นกบฏ ที่เป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 จากกรณีเข้ายึดอำนาจทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ซึ่งกลุ่มมองว่าเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย
 
ล่าสุดเมื่อช่วงสายวันนี้ (29 พ.ค.) ศาลได้พิจารณาคดีดำที่ อ. 1805/58 และคดีแดงที่ อ.1760/58 ตามที่ฝ่ายโจทก์ได้ยื่นคำร้องไว้แล้วนั้น ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาไม่มีความผิด โดยยึดหลักกฎหมายมาตรา 48 ศาลจึงมีคำสั่งยกคำร้อง

วอนประชาชนเสียสละความสุข เพิ่มเวลารายการ 'เดินหน้าประเทศไทย'


"สรรเสริญ แก้วกำเนิด" รองโฆษกรัฐบาลวอนประชาชนเห็นใจ เพิ่มเวลาออกอากาศรายการ 'เดินหน้าประเทศไทย' จาก 15 นาที เป็น 30 นาทีทุกวัน เหตุบ้านเมืองไม่ปกติ ต้องเสียสละความสุขกันบ้าง
 
29 พ.ค. 2558 เว็บไซต์เดลินิวส์รายานว่าที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มีแนวคิดเสนอเพิ่มเวลารายการ “เดินหน้าประเทศไทย”ที่ออกอากาศทุกวัน ในช่วงเวลา 18.00 น. จาก 15 นาที เป็น 30 นาที ว่า นายกรัฐมนตรีเห็นว่าที่ผ่านมาการสื่อสารข้อมูลในเรื่องสำคัญเพียง 15 นาที ยังไม่สามารถทำความเข้าใจให้ชัดเจนได้ จึงต้องลงพื้นที่เพื่อดูความเป็นจริง อย่างไรก็ตามเข้าใจดีว่าสังคมต้องการบริโภคข้อมูลข่าวสารด้านอื่นด้วย อาทิ รายการบันเทิง แต่ต้องทำความเข้าใจว่าในช่วงที่บ้านเมืองกำลังเดินหน้าปฏิรูป จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับสังคมด้วยว่ารัฐบาลได้ดำเนินการใดแล้วบ้าง มีปัญหาอะไร รวมถึงขอความร่วมมือจากสังคมเพื่อให้สังคมเกิดการรับรู้ ความเข้าใจร่วมกันเพื่อประโยชน์ของประเทศในวันข้างหน้า การเพิ่มเวลาเป็น 30 นาที คงไม่มากนัก ต้องเสียสละเรื่องความสุขบ้าง 
 
“หากคิดเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจอย่างเดียว อาจมองว่าเป็นการเพิ่มเวลาเยอะไป ทำให้ต้องดันเวลาออกไป ฉะนั้นเรื่องนี้ต้องขอความเห็นใจด้วย อาจเป็นไปได้ที่ต้องไปพูดคุยต่อรองกัน แต่ขั้นต้นได้เสนอขอเพิ่มเวลาเป็น 30 นาที”พล.ต.สรรเสริญ กล่าว และว่าสำหรับรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" จะมีในทุกวันศุกร์เช่นเดิม แต่จะปรับรูปแบบให้รองนายกรัฐมนตรี 5 คน ไปพูดในรายการ "เดินหน้าประเทศไทย" แทน โดยวันจันทร์ เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง วันพุธ เป็นรองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ วันพฤหัสบดี เป็นรองนายกฯ ด้านสังคม วันเสาร์ เป็นรองนายกฯ ด้านต่างประเทศ วันอาทิตย์ เป็นรองนายกฯ ด้านกฎหมาย ขณะที่วันอังคารเปิดพื้นที่ให้ทีมโฆษกรัฐบาล เรื่องผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ส่วนจะเริ่มได้เมื่อไหร่นั้น ต้องดูฝ่ายที่ประสานติดต่อกับสถานีโทรทัศน์ แต่อยากให้ดำเนินการให้เร็วที่สุด