วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558

สุเทพให้ปากคำ ป.ป.ช.คดีสลายแดง53 ยันจนท. “ไม่ได้เคลื่อนเข้าหาผู้ชุมนุมเลย”


'พระสุเทพ' ยื่น 'คลิป-ภาพนิ่งชายชุดดำ' ต่อ ป.ป.ช. คดีสลายแดงปี 53 รับจนท.ใช้กระสุนจริง พร้อมแจงสนช. ให้กำลังใจ 'ประยุทธ์' เสมอ วอนปฏิรูปอย่างที่ ปชช.ต้องการ ระบุ 'เชื่อมือ ศรัทธา มั่นคง' 
เมื่อวันที่ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พระสุเทพ ปภากโร หรือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้เข้าให้ถ้อยคำเพิ่มเติมต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีถูกกล่าวหาสั่งการสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นการให้ถ้อยคำต่อองค์คณะไต่สวน คณะกรรมการ ป.ป.ช.โดยใช้เวลาร่วม 3 ชม. นายสุเทพ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ได้อธิบายให้องค์คณะไต่สวน คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในหลายประเด็น โดยประเด็นสำคัญที่สุดคือได้นำคลิปและภาพนิ่งของกองกำลังชายชุดดำติดอาวุธซึ่งออกมาเข่นฆ่าประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเป็นคลิปที่เผยแพร่ทางสื่อมวลชนในขณะนั้น เพื่อให้เห็นชัดว่า เหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้ก่อเหตุร้ายแรง ทำให้เกิดความสูญเสีย
“เอาคลิปมาให้ ป.ป.ช. เห็นกันจะๆ ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร ชายชุดดำเป็นอย่างไร ใช้อาวุธอะไร เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมานานแล้ว คนก็ลืมไปหมดแล้วจำกันไม่ได้ว่าวันนั้นเป็นอย่างไร ลืมไปแล้วว่าคนกรุงเทพฯฝันร้ายขนาดไหน” นายสุเทพ กล่าว
“ให้เห็นชัดว่าในแต่ละเหตุการณ์นั้นได้มีผู้ก่อเหตุร้าย กระทำการด้วยด้วยความรุนแรงจนทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อประชาชนและเจ้าหน้าที่อย่างไร ที่เหลือก็เป็นการอธิบายการปฏิบัติการในคำสั่งแต่ละคำสั่ง ที่ได้ลงนามสั่งการไปในฐานะเป็นผู้อำนวยการ ศอฉ. เช่น การสั่งการเมือวันที่ 14 พ.ค. 53 ให้ตั้งด่านตรวจ จุดสกัด ล้อมรอบบริเวณพื้นที่สี่แยกราชประสงค์ที่ฝ่าย นปช. ใช้เป็นสถานที่ชุมนุม”
“อาตมาได้อธิบายเพิ่มเติมให้ชัดเจนว่าด่านตรวจจุดตรวจเหล่านั้นตั้งอยู่กับที่ เช่น ตั้งอยู่ที่ราชปรารภ ตั้งอยู่ที่ถนนพระราม 4 ตั้งอยู่ที่สนามกีฬาแห่งชาติ ไม่ได้เคลื่อนที่เข้าหาผู้ชุมนุมเลย การปะทะที่เกิดขึ้นที่ด่านต่างๆนั้น เนื่องจากกองกำลังติดอาวุธ ของฝ่าย นปช. เข้าทำการโจมตีต่างๆ”
“ได้ให้การเพิ่มเติมต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช.วันนี้ว่า เท่าที่อาตมาได้คุยกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติการที่ทำหน้าที่อยู่ในขณะนั้น ในแต่ละจุดในแต่ละด่าน เขาบอกกับอาตมาเป็นเสียงเดียวกันว่ากองกำลังติดอาวุธที่เข้าไปโจมตีด่านที่ตั้งของเจ้าหน้าที่ที่จุดต่างๆ โดยเฉพาะที่รุนแรงที่สุดถนนพระราม 4 แถวบ่อนไก่ กับถนนราชปรารภนั้น เป็นกองกำลังที่ได้มีการฝึกฝนมาอย่างดี เป็นผู้มีประสบการณ์ในการใช้อาวุธ มีความชำนาญในการใช้อาวุธ มียุทธวิธีในการปฏิบัติเหมือนกับเจ้าหน้าที่ของเราที่เรียนเรื่องเหล่านี้มา ยังสงสัยว่าเรียนมาจากโรงเรียนเดียวกันหรือเปล่า” นายสุเทพ กล่าว
ส่วนกรณีที่ปรับเปลี่ยนยุทธวิธีการควบคุมกลุ่มผู้ชุมนุมนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ เช่น เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 ได้ให้เจ้าหน้าที่กดดันขอคืนพื้นที่จราจร แต่ปรากฏว่าไม่ได้ผล และมีกองกำลังติดอาวุธชายชุดดำเข้ามาทำร้ายเจ้าหน้าที่ ทำให้เจ้าหน้าที่บาดเจ็บและเสียชีวิต จากนั้นเมื่อวันที่ 13-18 พ.ค. 2553 จึงปรับเปลี่ยนยุทธวิธีเป็นการตั้งด่านสกัดรอบพื้นที่ชุมนุมเพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนไหว และไม่ให้มีคนมาเพิ่มเติม ไม่ให้มีการขนอาวุธ และลดการใช้สาธารณูปโภคในพื้นที่ เพื่อกดดันให้เลิกการชุมนุมไปเอง ต่อมามีการยิงM79 ไปบนสถานีรถไฟฟ้า และทั่วสารพัดทิศในพื้นที่สวนลุมพินี จนทำให้เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต ซึ่งจัดตั้งด่านสกัดเหมือนเดิมไม่ได้ จึงต้องส่งกำลังคนเข้าควบคุมพื้นที่ ซึ่งไม่มีทางเลือก เหตุการณ์วันที่19 พ.ค. 2553 จึงเกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ติดใจเรื่องการใช้กระสุนจริงหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ใช้ปืนลูกซองและกระสุนยาง ต่อมาเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 มีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บและเสียชีวิต จึงมีคำสั่งให้ใช้อาวุธปืนและกระสุนจริง เพื่อป้องกันตัวเองและผู้บริสุทธิ์จากกลุ่มกองกำลังชายชุดดำ แต่ก็มีกฎในการใช้อาวุธเพื่อความจำเป็น ในการรักษาชีวิตเจ้าหน้าที่รัฐและผู้บริสุทธิ์ และต้องไม่มุ่งเอาชีวิตของเป้าหมาย
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเข้าให้ถ้อยคำครั้งนี้ถือว่าครบถ้วนหมดแล้วใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า คิดว่าครบถ้วน ส่วน ป.ป.ช. จะพิจารณาอย่างไร ก็อยู่ที่ดุลยพินิจของ ป.ป.ช. หากมีการชี้มูลในส่วนของการถอดถอน ก็พร้อมจะเข้าไปชี้แจงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็ดีเหมือนกันจะได้ห่มจีวรเข้าสภาสักครั้ง หากในส่วนของคดีอาญา ก็พร้อมจะไปขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่กังวลใจ และยืนยันว่าไม่หลบหนีไปไหน เป็นคนไทยต้องเคารพกฎหมายไทย นอกจากนั้นยังยืนยันว่า ไม่ต้องการเพิ่มพยาน เพราะเป็นคนออกทุกคำสั่งเอง และเจ้าหน้าที่ก็ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว
ขณะเดียวกันมีรายงานข่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช. แจ้งว่า กรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี โดยขอเพิ่มพยาน2 ปาก คือนายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่ชาติ (สมช.) และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กรณีการสั่งการสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. เมื่อปี 2553ขณะนี้ ป.ป.ช. ได้ประสานงานไปที่นายถวิลแล้ว โดยนัดหมายว่านายถวิลจะมาด้วยตัวเองในวันที่ 28 เม.ย. 2558 ส่วน พล.อ.อนุพงษ์ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการประสาน แต่เบื้องต้นทราบว่า อาจจะชี้แจงด้วยเอกสาร
ให้กำลังใจบิ๊กตู่ บอก เชื่อมือ ศรัทธา มั่นคง
นายสุเทพ กล่าวถึงกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการสร้างสันติสุขด้วยการออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ว่าด้วยการอภัยโทษ ว่า ประเทศจะมีความสันติสุขได้ถ้าคนมีธรรมะ เข้าวัดไปปฏิบัติธรรม หนุ่มๆไปบวชกันบ้าง
เมื่อถามว่า เป็นห่วงสถานการณ์ในประเทศขณะนี้หรือไม่ พระสุเทพ กล่าวว่า อาตมาเป็นพระแล้วจะเป็นห่วงอะไร เป็นหน้าที่คนอื่นไป
เมื่อถามว่า ให้กำลังใจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือไม่ พระสุเทพ กล่าวว่า ให้กำลังใจเสมอ ทั้งนายกรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ให้เขาทำกันให้เรียบร้อย ปฏิรูปประเทศให้ได้อย่างที่ประชาชนต้องการ เหนื่อยหน่อย เห็นใจ เมื่อถามย้ำว่า ยังเชื่อมืออยู่หรือไม่ พระสุเทพ กล่าวว่า “เชื่อมือ ศรัทธา มั่นคง”
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ต่อประเด็นที่พระสุเทพ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้เคลื่อนเข้าหาผู้ชุมนุมเลยนั้น หากย้อนกลับไปเมื่อวันที 20 พ.ค. 2553 พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสนาธิการทหารบ (ยศขณะนั้น) ได้แถลงถึงการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ที่แสดงให้เห็นว่ามีการเคลื่อนกำลังเข้าหากลุ่มผู้ชุมนุมว่า “เรามียานเกราะ มีการเคลื่อนที่เข้าไปในลักษณะเหมือนในสนามรบ ซึ่งต้องยอมรับว่าการจัดกำลังเข้าดำเนินการในครั้งนี้เราไม่ได้ทำเหมือนกับการควบคุมฝูงชน ถ้าหากย้อนไปก่อนหน้านี้จะเห็นภาพของทหารถือโล่ กระบอง เดินเข้าไปเป็นรูปขบวนปึกหนาๆ เข้าไปประจันหน้ากับผู้ชุมนุม อันนี้เป็นการควบคุมฝูงชนปกติ”  

สภาประชาชนเพื่อการปฏิรูปเตือนให้ตั้งสติก่อนหลงทางร่างรัฐธรรมนูญ


สภาประชาชนเพื่อการปฏิรูปมีข้อเสนอเพื่อตั้งสติร่วมกัน เพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญอยู่บนกรอบคิดว่า “รัฐธรรมนูญเป็นของทุกคน” และลดความเหลื่อมล้ำ ประชาชนต้องมีส่วนร่วมกำหนดนโยบาย ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง การจัดทำรัฐธรรมนูญต้องสร้างความเชื่อมั่นว่า ประชาชนร่วมขับเคลื่อนการปฏิรูปด้วยตนเอง ไม่ใช่รอการมีส่วนร่วมตามที่รัฐจัดให้ และประชาชนต้องลงประชามติก่อนประกาศใช้
เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2558 สภาประชาชนเพื่อการปฏิรูปได้เผยแพร่แถลงการณ์ "สภาประชาชนเพื่อการปฏิรูป ครึ่งทางรัฐธรรมนูญ ตั้งสติก่อนหลงทาง" มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
000
แถลงการณ์สภาประชาชนเพื่อการปฏิรูป
ครึ่งทางรัฐธรรมนูญ ตั้งสติก่อนหลงทาง
สภาประชาชนเพื่อการปฏิรูป จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2557 และ เปิดประชุมสภาประชาชนครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2557 เพื่อพิจารณาจัดทำข้อเสนอรัฐธรรมนูญประชาชน จากนั้นได้ติดตามการยกร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญมาอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันการร่างรัฐธรรมนูญได้มาถึงครึ่งทาง คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้จัดทำร่างแรกแล้วเสร็จ และอยู่ในช่วงรับฟังความคิดเห็นจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี และ คสช.
สภาประชาชนเพื่อการปฏิรูป ได้วิเคราะห์ร่างรัฐธรรมนูญ บนกรอบคิดว่า รัฐธรรมนูญเป็นของทุกคน และต้องเป็นรัฐธรรมนูญที่วางระบบหรือโครงสร้างเพื่อนำไปสู่ “การลดความเหลื่อมล้ำเพิ่มอำนาจประชาชน”
สภาประชาชนเพื่อการปฏิรูปมีข้อเสนอเพื่อตั้งสติร่วมกัน ก่อนหลงทางดังต่อไปนี้

การสร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่
1.ประชาชนต้องมีส่วนร่วมระดับตัดสินใจในการกำหนดนโยบาย การวางแผนการพัฒนา การกำหนดอนาคตตนเอง โดยใช้พื้นที่ท้องถิ่นเป็นหลักไม่ใช่การร่วมรับรู้ข้อมูล เสนอความคิดเห็นเพื่อประกอบการตัดสินใจ ดังที่บัญญัติไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ และต้องปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินให้ชุมชน ประชาชนในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นหน่วยตัดสินใจหลักในการพัฒนาท้องถิ่นของตน
2. ที่มาของวุฒิสมาชิก และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ต้องเชื่อมั่นและไว้วางใจพลเมือง
3.รัฐต้องมีมาตรการคุ้มครองบุคคล กลุ่มองค์กร มี่ดำเนินงานด้านการส่งเสริมคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ จากการคุกคาม การทำร้ายและการลอบสังหาร รวมทั้งมาตรการหรือกองทุนส่งเสริมความเข้มแข็งของภาคพลเมือง

การสร้างสังคมที่เป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้า
1. ชนเผ่า กลุ่มชาติพันธุ์ คนไทยพลัดถิ่นหรือคนไทยซึ่งไม่มีสถานะบุคคล ซึ่งตั้งถิ่นฐานมาดั้งเดิมต้องได้รับความคุ้มครองด้านสิทธิมนุษยชน และมีโอกาสเข้าถึงการพัฒนา ไม่ใช่มีสิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติหรือรัฐจัดให้
2.รัฐธรรมนูญต้องวางระบบเพื่อพัฒนาประเทศไทยไปสู่สังคมสวัสดิการที่เสมอภาคและไม่เลือกปฏิบัติ
3.การขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศในระยะต่อไป ต้องเชื่อมโยงกับประชาชน และสนับสนุนให้ประชาชนเป็นผู้ขับเคลื่อนการปฏิรูป เพื่อนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้า สร้างความเป็นธรรมที่ยั่งยืน
สภาประชาชนเพื่อการปฏิรูป สนับสนุนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบสัดส่วนผสม การให้มีสมัชชาพลเมือง สภาตรวจสอบภาคพลเมือง และเสนอให้ปรับปรุงบทบัญญัติด้านสิทธิมนุษยชน สิทธิพลเมือง และแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ในส่วนที่ว่าด้วย สิทธิผู้บริโภค สิทธิด้านสาธารณสุข สิทธิแรงงาน การมีส่วนร่วมในทุกระดับของหญิงและชาย สิทธิชุมชน ชุมชนท้องถิ่น ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม รวมทั้งการปฏิรูประบบการศึกษาก่อนเริ่มดาเนินการโครงการหรือกินกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อชุมชน ซึ่งได้จัดทำเป็นข้อเสนอในรายละเอียดแล้ว
สำหรับหมวดปฏิรูป เมื่อมีการจัดตั้งสภาขับเคลื่อนการปฏิรูป คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การปฏิรูป ร่างรัฐธรรมนูญไม่ควรกำหนดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปเฉพาะด้านซึ่งมีมากกว่า 7 คณะ ในลักษณะเป็นองค์กรซ้อนองค์กร ควรเป็นหน้าที่ของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปที่จะพิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปเฉพาะด้านตามความจาเป็น ทั้งนี้ควรให้มีสภาปฏิรูประดับจังหวัด เพื่อเป็นพื้นที่ให้เกิดปฏิบัติการประชาชนปฏิรูปประเทศ
สภาประชาชนเพื่อการปฏิรูป ยืนยันว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ต้องเป็นองค์กรเฉพาะ ไม่ควบรวมกับผู้ตรวจการแผ่นดิน เพราะสิทธิมนุษยชนเป็นพื้นฐานของการลดความเหลื่อมล้าสร้างความเป็นธรรม และให้วิธีการสรรหาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนที่มีอยู่แล้ว
คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญต้องทบทวนบทบัญญัติ บางประการเช่น “พลเมืองต้องไม่กระทำการที่ทำให้เกิดความเกลียดชังกันระหว่างคนในชาติหรือศาสนา หรือไม่ยั่วยุให้เกิดการเลือกปฏิบัติ เป็นปฏิปักษ์ หรือใช้ความรุนแรงระหว่างกัน” เพราะมีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชน
ควรทบทวนและตัดคำว่า ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ หรือวิธีการให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติที่มีอยู่มากในหลายมาตรา เพราะจะทำให้รัฐธรรมนูญไม่มีสภาพบังคับ ต้องขึ้นอยู่กับกฎหมายรองบัญญัติ
สภาประชาชนเพื่อการปฏิรูป ประสงค์จะร่วมพัฒนา รัฐธรรมนูญที่ดีกว่าเดิม นำไปสู่การปฏิรูปประเทศเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มอำนาจประชาชน และมุ่งดำเนินการเพื่อให้ประชาชนเป็นพลังสำคัญขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ
ผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารบ้านเมือง และจัดทำรัฐธรรมนูญจะต้องสร้างความเชื่อมั่นว่า ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ร่วมขับเคลื่อนการปฏิรูป ด้วยตนเอง ไม่ใช่รอการมีส่วนร่วมตามที่รัฐจัดให้ และข้อมูล เนื้อหาในแต่ละช่วงของการจัดทำรัฐธรรมนูญต้องเปิดเผย ประชาชนเข้าถึงได้โดยง่าย ไม่ปกปิด ห้ามเผยแพร่ เหมือนที่ผ่านมา
เพื่อให้รัฐธรรมนูญเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง จึงขอเรียกร้องประชาชน ร่วมกันผลักดันให้มีการออกเสียงลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญก่อนประกาศใช้
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องดีกว่าเดิม
ด้วยจิตคารวะ
สภาประชาชนเพื่อการปฏิรูป
20 เมษายน 2558

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำคุกลุงขายหนังสือกงจักรปีศาจ 2 ปี


หลังศาลชั้นต้นยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับลงโทษจำคุก 3 ปีลุงขายหนังสือกงจักรปีศาจวัย 66 ปี แต่ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษหนึ่งในสาม  ระบุมีประสบการณ์ขายหนังสือมานานกว่าสิบปีย่อมต้องรู้ อีกทั้งแผงหนังสือยังวางขายฟ้าเดียวกันฉบับปกโค้กที่เป็นหนังสือต้องห้ามด้วย
22 เม.ย.2558 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีนาย อ. อายุ 66 ปี จำเลยในคดีมาตรา 112 จากกรณีขายหนังสือกงจักรปีศาจ โดยศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี แต่เนื่องจากการนำสืบเป็นประโยชน์จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงเหลือโทษจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา เบื้องต้นทนายจำเลยจะทำการยื่นประกันตัวต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลอุทธรณ์ให้เหตุผลว่า จำเลยขายหนังสือในที่ชุมนุมทางการเมืองมานาน ทั้งยังเริ่มอาชีพขายหนังสือมาตั้งแต่ปี 2537 ย่อมต้องมีประสบการณ์ การอ้างว่ามีผู้มาฝากขายเพียงสองเล่มโดยที่จำเลยไม่รู้เนื้อหาของหนังสือเป็นการอ้างลอยๆ จากจำเลยเท่านั้น อีกทั้งในแผงจำหน่ายจำเลยก็ได้วางจำหน่ายวารสารฟ้าเดียวกันฉบับสถาบันกษัตริย์กับสังคมไทย (ปกโค้ก) ซึ่งเป็นหนังสือต้องห้ามอยู่ด้วย

ในช่วงบ่าย เยาวลักษณ์ อนุพันธ์ ทนายความจำเลยกล่าวว่า ภายหลังทราบผลคำพิพากษได้ยื่นประกันตัวด้วยหลักทรัพย์เงินสด 300,000 บาท ในช่วงบ่ายศาลมีคำสั่งส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา คาดว่าน่าจะทราบผลภายในวันศุกร์นี้หรือจันทร์หน้า
ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องนาย อ. เมื่อวันที่ 17 เม.ย.57 โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากยังมีเหตุแห่งความสงสัยว่า นายอ. ซึ่งเป็นเพียงผู้ขายหนังสือในลักษณะเร่ไปยังที่ต่างๆ จะรับทราบถึงเนื้อหาในหนังสือกงจักรปีศาจตามฟ้องและในทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏพฤติการณ์ใดของจำเลยอันจะทำให้เชื่อได้ว่าจำเลยได้รู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว (อ่านที่นี่
ในคำฟ้องของอัยการปรากฏข้อความ 6 ข้อความจากหนังสือกงจักรปีศาจ ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และคดีนี้ศาลสั่งพิจารณาคดีเป็นการลับ (อ่านที่นี่
นายอ. อายุ 66 ปี มีอาชีพขายหนังสือและขายของเบ็ดเตล็ดตามสถานที่ต่างๆ เขาถูกตำรวจ สน.ลุมพินีจับกุมเมื่อวันที่ 2 พ.ค.49 หลังจากไปตั้งแผงขายหนังสือบริเวณสวนลุมพินี ซึ่งมีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)โดยตำรวจได้ทำการยึดหนังสือกงจักรปีศาจและหนังสือฟ้าเดียวกัน ฉบับ สถาบันกษัตริย์กับสังคมไทย (ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 ตุลาคม - ธันวาคม 2548) หรือที่เรียกกันว่า ปกโค้ก ไปอย่างละ 1 เล่ม จากนั้น พ.ต.อ.โชติวัฒน์ เหลืองวิไล เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษว่านายอ.กระทำความผิดตามมาตรา 112  ในชั้นสอบสวนเขาให้การปฏิเสธและได้รับการประกันตัวโดยวางหลักทรัพย์เป็นเงิน 40,000 บาท ต่อมาอัยการได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้เมื่อวันที่ 27 ส.ค.57 และเขาถูกควบคุมตัวในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทันที จากนั้น 1 วันจึงได้รับการประกันตัวออกมาโดยใช้เงินสด 300,000 บาทจากกองทุนยุติธรรมเป็นหลักทรัพย์ (อ่านที่นี่)

ศาลทหารเลื่อนนัดฟังคำสั่งฟ้อง '4พลเมืองโต้กลับ' ฝืนคำสั่งคสช.เป็น 14 พ.ค.นี้


22 เม.ย.2558 หลังจากวันนี้ เวลา 10.00น. ศาลทหารนัดฟังคำสั่งอัยการสั่งฟ้องคดี 4 พลเมืองโต้กลับ ในข้อหา ฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. จากการจัดกิจกรรม "เลือกตั้งที่(รัก)ลัก" หน้าหอศิลปวัฒนธรรมเมื่อ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา
ล่าสุด ศาลได้เลื่อนนัดอีกครั้งเป็นวันที่ 14 พ.ค. เวลา 10.00 น. เนื่องจากต้องสอบพยานเพิ่มอีก 4 ปาก ดังนั้น อัยการจึงขอเลื่อนออกไปเป็นวันดังกล่าว
อนึ่ง ผู้ต้องหาหรือพลเมืองโต้กลับที่ถูกฟ้อง 4 รายประกอบด้วย 1.นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ พ่อของนายสมาพันธ์หรือ เฌอ เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายชุมนุมปี 53  2.นายอานนท์ นำภา ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน 3.นายวรรณเกียรติ ชูสุวรรณ หรือ 'กึ๋ย' อาชีพขับแท็กซี่ และ 4.นายสิริวิชญ์ เสรีวิวัฒน์ หรือจ่านิว นักศึกษาม.ธรรมศาสตร์ และสมาชิกกลุ่มศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย (ศนปท.) ทั้งหมดโดยแจ้งข้อกล่าวหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.ชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน ส่วนอานนท์นั้นโดนแจ้งข้อกล่าวหาผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เพิ่มเนื่องจากมีการโพสต์เฟซบุ๊กพาดพิงทหารระหว่างถูกควบคุมตัวโดยตำรวจหลังงานเลือกตั้งที่(รัก)ลัก
ขณะที่นายพันศักดิ์ เมื่อกลางดึกวันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา ยังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนำโดย พ.ต.ท.ทวีวงศ์ ดิษฐแย้ม สารวัตรกองกำกับการสืบสวน 4 บก.บช.น. ควบคุมตัวไปยัง สน.ชนะสงคราม ขณะกำลังจอดรถในวัดข้างบ้านเพื่อเตรียมเข้าบ้าน โดยเป็นหมายจับศาลทหารลงวันที่ 17 มี.ค. กรณีนายพันธ์ศักดิ์จัดการเดินเท้า "พลเมืองรุกเดิน" จากบ้านที่ อ.บางบัวทอง มาที่ศาลทหาร เหตุเกิดเมื่อ 15 มี.ค. ทั้งนี้การจับกุมครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนที่พันธ์ศักดิ์เตรียมการจะเริ่มเดินเท้าอีกครั้งในช่วงเช้าของวันที่ 26 มี.ค.เพื่อเข้ารายงานตัวที่ศาลทหารตามนัดหมาย ทำให้นายพันศักดิ์ถูกตั้งข้อหาอีก 3 ข้อหาได้แก่ 1.ขัดประกาศ คสช. ฉบับที่ 7   2.พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 และ3.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 หรือความผิดฐานกระทำให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน

พาณิชย์คาดปรับตัวเลขส่งออกใหม่ปีนี้ จาก 4% เหลือ1%


22 เม.ย.2558 พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ กล่าวภายหลังการหารือร่วมกับภาคเอกชน ถึงสถานการณ์ส่งออกในปีนี้ว่า ที่ประชุมคุยถึงสถานการณ์ส่งออกทั่วโลกโดยพบว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวมากนักและตัวเลขการส่งออกกว่า 40 ประเทศทั่วโลกก็ติดลบ รวมทั้งประเทศไทย คาดว่าในไตรมาสแรกการส่งออกของไทยจะติดลบ ส่วนตัวเลขการส่งออกทั้งปีก็จะมีการปรับประมาณการใหม่โดยลดลงจาก 4% และคาดว่าจะเหลือไม่ต่ำกว่า 1%
ทั้งนี้ในวันที่ 24 เม.ย. กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะหารือกับภาคเอกชนเพื่อผลักดันการส่งออกเป็นรายกลุ่มสินค้า แบ่งออกเป็น 10 กลุ่ม ได้แก่ 1.อาหาร 2.อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 3.ยานยนต์และชิ้นส่วน 4.สิ่งทอ 5.อัญมณีและเครื่องประดับ 6.วัสดุก่อสร้าง 7.สินค้ากลุ่มบริการและสุขภาพ เช่น สปา ร้านอาหาร 8.สินค้าไลฟ์สไตล์ 9.โลจิสติกส์ และ 10.กลุ่มตลาด CLMV โดยจะสรุปตัวเลขการส่งออกอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
"หลังจากประชุมกำหนดให้จัดทำแผนให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือนจากนั้นก็จะเดินทางไปยังประเทศต่างๆ หรือโรดโชว์ เพื่อบุกและขยายตลาดทันทีแม้ว่าเราคาดการณ์ว่าตัวเลขการส่งออกจะลดลงแต่ก็ไม่ยอมแพ้ยังต้องเดินหน้า" รมว.พาณิชย์ กล่าว
(ที่มา : มติชนออนไลน์, 22 เม.ย.58)
คลังเดินหน้าปล่อยสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์
22 เม.ย.58 นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการปล่อยสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ ว่า ขณะนี้ได้ออกใบอนุญาตให้กับบริษัทเอกชน 4 รายในการปล่อยสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ และอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาเอกสารอีก 11 ราย ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการปล่อยสินเชื่อได้ภายในไตรมาสนี้ โดยสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบมากขึ้น และลดสัดส่วนหนี้นอกระบบลง
(ที่มา : สำนักข่าวไทย, 22 เม.ย.58)
ครม.เห็นชอบ ตั้งราคาเก็บขยะบ้านละ150บ./เดือน
21 เม.ย.58 นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ ในหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วย สุขลักษณะการจัดการมูลฝอยทั่วไป โดยสาระสำคัญของเรื่องดังกล่าว คือ การให้อำนาจเทศบาลในการจัดการขยะอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะการกำหนดเกณฑ์ให้เทศบาลใช้เพื่อจัดเก็บค่าจัดการขยะ ได้ครัวเรือนละ150 บาทต่อเดือน   ซึ่งค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะดังกล่าวได้มีการศึกษาและวิจัยแล้วพบว่า ตามปกติแต่ละครัวเรือนจะสร้างขยะ คนละ 1 ก.ก.ต่อวัน เฉลี่ยให้แต่ละครัวเรือนมีสมาชิก 5 คน แต่ละเดือนจะเท่ากับสร้างขยะ 150 ก.ก. โดยค่ากำจัดขยะเฉลี่ยก.ก.ละ 1 บาท จะเท่ากับเดือนละ 150 บาท ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวเป็นค่ามาตรฐานกลาง กำหนดไว้เพื่อให้เทศบาลได้มีเกณฑ์อ้างอิงในการจัดเก็บ แต่หากครัวเรือนสามารถลดปริมาณขยะได้น้อยกว่าเกณฑ์ก็อาจจะเสียน้อยกว่าหรือไม่เสียก็ได้
ซึ่งหลักการดังกล่าวจะเป็นการกระตุ้นให้ครัวเรือนตระหนักในการคัดแยกขยะ รีไซเคิลขยะ เช่น ขวด กระดาษ ซึ่งเป็นขยะประเภทที่สามารถคัดแยกไว้ขายได้ ซึ่งเมื่อสร้างขยะน้อยก็จะไม่เสียค่าจัดการขยะ เป็นต้น โดยการเก็บค่ากำจัดขยะดังกล่าวเนื่องมาจากปัจจุบันปริมาณขยะมีมาก เเละต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงในการจัดการ จึงจำเป็นต้องจัดเก็บค่ากำจัดขยะเพื่อให้ครัวเรือนต่างๆมีความรับผิดชอบมากขึ้น  นอกจากครัวเรือนต้องรับผิดชอบขยะของครัวเรือนของตนเอง นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ก็ต้องมีส่วนร่วมด้วย โดยมีแนวคิดเก็บค่ากำจัดขยะรวมอยู่ในค่าที่พักวันละ 2 บาทต่อคน และให้สถานประกอบการเป็นผู้นำส่งเทศบาล
(ที่มา : มติชนออนไลน์, 22 เม.ย.58)
คลังเตรียมเสนอแนวทางรักษาวินัยการคลัง
21 เม.ย.58 นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กล่าวว่า กรณีนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงการคลังเร่งจัดทำรายละเอียดการจัดตั้งกองทุนช่วยผู้สูงอายุโดยเฉพาะผู้ยากไร้ เพราะแนวโน้มระยะยาวคาดว่าจะมีผู้สูงอายุมากขึ้นในสังคม จึงต้องหามาตรการดูแลนั้น กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) โดยมอบหมายให้ศึกษาแนวทางการดึงเงินภาษีบาปที่จัดสรรให้กองทุนต่าง ๆ กลับมาบางส่วน เพื่อนำเงินส่วนที่เหลือมาใช้ในกองทุนช่วยผู้สูงอายุ โดยให้รายงานความคืบหน้ากลับมาภายในเดือนพฤษภาคมนี้
ทั้งนี้ แนวทางที่ได้มอบหมายให้ สศค.ดำเนินการคือ ศึกษาเม็ดเงินภาษีที่เก็บจากสุรา และยาสูบที่จัดสรรให้กองทุนต่าง ๆ ทั้ง 3 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) และกองทุนส่งเสริมกีฬา โดยจัดสรรรายได้มาจากการจัดเก็บ “ภาษีบาป” หรือภาษีจากสุราและยาสูบของกรมสรรพสามิตอัตราร้อยละ 2 มาจัดสรรให้ทั้ง 2 องค์กร ประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี โดยให้พิจารณาดูด้านกฎหมายว่าสามารถจะนำกลับมา หรือจัดสรรให้เท่าที่จำเป็นได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังกำลังศึกษาแนวทางการรักษาวินัยการเงินการคลังให้รัดกุมมากขึ้น เพราะหากหน่วยงานใดต้องการนำเงินไปใช้จะมีการยกร่างกฎหมาย เพื่อให้กระทรวงการคลังจัดเก็บภาษีส่งให้โดยตรง เช่น กองทุนส่งเสริมกีฬา ซึ่งดำเนินการไปแล้วช่วงที่ผ่านมาจากภาษีสรรพสามิต เพื่อต้องการให้การจัดสรรเงินอยู่ในกรอบวิธีงบประมาณ ไม่เช่นนั้นจะมีหน่วยงานออกกฎหมายเพิ่มเพื่อให้กระทรวงการคลังจัดเก็บภาษีส่งให้ อาจกระทบต่อวินัยการคลังและวิธีงบประมาณได้ จึงเตรียมเสนอเรื่องให้รัฐมนตรีคลังพิจารณา
(ที่มา : สำนักข่าวไทย, 21 เม.ย.58)
ธปท.คาดจีดีพีทั้งปีขยาย 3.8%
21 เม.ย.58 นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการ สำนักเศรษฐกิจมหภาค ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. กล่าวว่า ธปท. อยู่ระหว่างการพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจทั้งปี 2558 ซึ่งจะมีการปรับประมาณการอีกครั้งในเดือนมิถุนายน โดยในประมาณการล่าสุดเดือนมีนาคม ธปท. คาดว่าจีดีพี ทั้งปี 2558 จะขยายตัวร้อยละ  3.8
(ที่มา : สำนักข่าวไทย, 21 เม.ย.58)
สศช. ยันเศรษฐกิจรัฐบาลคสช.ดีขึ้น คาดจีดีพีไตรมาสแรกโต 3%
21 เม.ย.58 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) แถลงผลงานรอบ 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2557-12 มีนาคม 2558 ภายใต้การบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า เห็นภาพเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น จากอัตราขยายตัวเศรษฐกิจ (จีดีพี) ที่ติดลบร้อยละ 0.5 ในไตรมาสแรกปี 57 เริ่มกลับมาขยายตัวได้จากการขับเคลื่อนของ 4 เครื่องยนต์หลัก คือ ความเชื่อมั่นของการบริโภคและเกษตรกร ที่ดีขึ้นจากการได้รับเงินค้างจ่ายจากโครงการรับจำนำข้าว ความเชื่อมั่นทางธุรกิจฟื้นตัวขึ้น ความเชื่อด้านการท่องเที่ยว จากการดูแลความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และความเชื่อมั่นการลงทุนภาครัฐ จากการเร่งรัดงบประมาณ การส่งเสริมการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจช่วง 2 เดือนแรกปี 58 (ม.ค.-ก.พ.58) ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า โดย สศช. คาดว่าจีดีพีไตรมาสแรกปี 58 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ร้อยละ 3 ซึ่งจะแถลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 พ.ค. 2558 ซึ่ง สศช. เชื่อว่ากลไกลต่างๆ กำลังทำงานตามปกติ เศรษฐกิจจะดีขึ้นต่อเนื่อง มั่นใจจีดีพีปีนี้ขยายตัวได้ร้อยละ 3.5-4.5 ตามเป้าหมาย
นายอาคม กล่าวว่า การท่องเที่ยว การผลิตภาคอุตสาหกรรม การลงทุนภาครัฐกลับมาขยายครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม เดือน ก.พ. 58 ขยายตัวร้อยละ 3.8 เป็นครั้งแรกในรอบ 23 เดือน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัญหาความต้องการเทียมในโครงการรถคันแรกเริ่มลดลงตามลำดับ อุตสาหกรรมรถยนต์กำลังเข้าสู่ภาวะปกติ ด้านการท่องเที่ยวขยายตัวสูงและเร่งขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ส่งผลให้นักท่องเที่ยว 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ.58) ขยายตัวร้อยละ 22.5 ในขณะที่การเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 71.9 สูงที่สุดในรอบ 23 เดือน ด้านการใช้จ่าย ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนเริ่มกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือน การลงทุนภาครัฐปรับตัวดีขึ้นตามความคืบหน้าการเร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 123.2
อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกยังคงซบเซาจากภาวะเศรษฐกิจโลกและการลดลงของสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย แต่หากหักการส่งออกน้ำมัน และ ทองคำออก การส่งออกไทยติดลบน้อยลง ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี 2 เดือนแรกของปี เงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -0.5 และเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 1.6 การว่างงานอยู่ในระดับต่ำอยู่ที่ร้อยละ 0.9
(ที่มา : สำนักข่าวไทย, 21 เม.ย.58)
ธุรกิจบัณฑิตย์ชี้คนกระเบียดกระเสียน เอสเอ็มอีหายใจระรวย
21 เม.ย.58 นายเกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้ช่วยรองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์สำรวจความเห็นของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำนวน 428 รายจาก 8 จังหวัด  เกี่ยวกับผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 2558  สำรวจวันที่25 มีนาคม ถึง 8 เมษายน 2558
พบว่าเมื่อเทียบกับที่คาดการณ์ไว้  โดยแบ่งตามขนาดของสถานประกอบการพบว่า  สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย (การจ้างงานไม่เกิน 5 คน)  54% ระบุว่า  ยอดขายน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้  34% ระบุว่า  ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ และอีก 12% ระบุว่า มากกว่าที่คาดการณ์ไว้  สำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็ก (การจ้างงาน 6 ถึง 50 คน) 44% ระบุว่า  ยอดขายน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้  38%  ใกล้เคียงกัน  และอีก 18%  มากกว่าที่คาดการณ์ไว้   และสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลาง (การจ้างงาน 51 ถึง 200 คน)  36% ระบุว่า  ยอดขายน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้  47% ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้  และอีก 17% มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยยอดขายในไตรมาสที่ 1ปีนี้เปรียบเทียบปีที่แล้วพบว่า รายย่อยขายลดลงประมาณ 32%ขนาดเล็กยอดขายลดลง 24% และผนาดกลางยอดขายลดลง 18%
”เอสเอ็มอีไทยมี 2.8 ล้านราย พบว่า 2 ล้านรายได้รับผลกระทบ และกลุ่มยอดขายลดลงพบว่าสภาพคล่องเหลือ15. วัน ซึ่งน่าเป็นห่วง ซึ่งก็คาดหวังรัฐจะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจเบิกจ่ายงบประมาณซึ่งหากทำได้เร็วก็จะเห็นผลในปลายไตรมาส2. หรือต้นไตรมาส3″ นายเกียรติอนันต์กล่าว
​​ด้านการคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสที่ 2  เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1  พบว่า  สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย  23% คาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้น  47%  ใกล้เคียงกัน  30%  แย่ลง  สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลาง  29%คาดว่าดีขึ้น  49% ใกล้เคียงกัน  22% แย่ลง  และสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลาง  31% คาดว่าดีขึ้น  55%  ใกล้เคียงกัน  14% แย่ลง
สำหรับอุปสรรคสำคัญ 5 อันดับแรกที่จะส่งผลต่อการทำธุรกิจ  ได้แก่  การลดลงของกำลังซื้อในประเทศ  การขาดสภาพคล่องและการเข้าถึงแหล่งทุน  กำลังซื้อจากต่างประเทศ  การเกิดภัยแล้ง  และต้นทุนวัตถุดิบและการขนส่ง ผู้ประกอบการปรับตัวมุ่งไปที่การกระตุ้นกำลังซื้อด้วยการลดราคา  การปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ พัฒนาให้บุคลากรทำงานให้ดีขึ้น  ควบคู่ไปกับการทำตลาดด้วยโซเชียลเน็ตเวิร์ค  เพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ  ซึ่งเป็นแนวทางในการสร้างรายได้ให้กับธุรกิจได้เร็วที่สุด
“ในขณะนี้คนกระเบียดกระเสียน ไม่จำเป็นไม่ซื้อประหยัดค่าใช้จ่าย ส่งผลต่อยอดขายเอสเอ็มอี มีผลทำให้เอสเอ็มอีอยู่ในข่ายเจ็บปวดหายใจระรวย แต่รายย่อยเริ่มหายใจถี่เตรียมจะจากลา การแก้ปัญหาผู้ประกอบการต้องปรับตัวเองให้อยู่รอดและภาครัฐต้องกำหนดแผนพัฒนาเอสเอ็มอีหากไม่ชัดเจนท้ายสุดไทยก็แข่งขันไม่ได้ เนื่องจากเอสเอ็มอีเป็นส่วนสำคัญที่เกิดการจ้างงานมั่นคงยั่งยืน” นายเกียรติอนันต์กล่าว
(ที่มา : สำนักข่าวไทย, 21 เม.ย.58)
บีโอไออนุมัติส่งเสริมลงทุน 3 เดือนแรกเกือบ 800 โครงการ
21 เม.ย.58 นางหิรัญญา สุจินัย รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปี 2558 บีโอไอพิจารณาอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว ซึ่งในช่วง 3 เดือนแรกปี 2558 (ม.ค.-มี.ค.) บีโอไอได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนไปแล้วทั้งสิ้น 793 โครงการ เงินลงทุนรวม 217,560 ล้านบาท สูงกว่ามูลค่าการอนุมัติโครงการลงทุนช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 5 เท่า (โครงการที่ได้รับการอนุมัติช่วง 3 เดือนแรกปี 57 มีมูลค่า 34,650 ล้านบาท)
สำหรับกิจการที่ได้รับการอนุมัติในช่วงไตรมาสแรก กระจายอยู่ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มกิจการบริการและสาธารณูปโภค 176 โครงการ เงินลงทุน 60,570 ล้านบาท อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 98 โครงการ เงินลงทุน 56,130 ล้านบาท เคมีภัณฑ์พลาสติก และกระดาษ 179 โครงการ เงินลงทุน 35,850 ล้านบาท กิจการ ผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง 145 โครงการ เงินลงทุน 29,880 ล้านบาท เกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร 139 โครงการ เงินลงทุน 19,790 ล้านบาท อุตสาหกรรมเบา 43 โครงการ เงินลงทุน 10,120 ล้านบาท และกิจการกลุ่มแร่ เซรามิกส์ และโลหะขั้นมุลฐาน 13 โครงการ เงินลงทุน 5,210 ล้านบาท

เลขาธิการ ‘เพื่อไทย’ ยันพรรคไม่หนุนใช้ ม.44 ชี้อันตรายเพราะผิดหลักถ่วงดุล


หลังทีมเศรษฐกิจฯเพื่อไทย หนุนรัฐบาลใช้ ม.44 ดันโครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา ล่าสุด ‘ภูมิธรรม’ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย แจงพรรคฯไม่สนับสนุน ม.44 ชี้อันตรายเพราะเป็นการใช้อำนาจที่ผิดหลักการตรวจสอบละถ่วงดุล
จากกรณีที่ อนุตตมา อมรวิวัฒน์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทยและคณะทำงานเศรษฐกิจเพื่อไทย กล่าวถึงโครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา จ.สตูล โดยระบุว่าเป็นโครงการที่พรรคเพื่อไทยเสนอในช่วงหาเสียงปี 54 พร้อมสนับสนุนให้รัฐบาลนี้เดินหน้าโครงการดังกล่าว โดยใช้อำนาจตาม ม.44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว (อ่านรายละเอียด)
ล่าสุดวันนี้(22 เม.ย.58)ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่าน ทวิตเตอร์ส่วนตัว '@phumtham' ระบุว่า เพื่อไทย ชัดเจน เรายึดมั่นในประชาธิปไตย ไม่เห็นด้วยกับกฏหมายและหลักการที่ไม่เป็นประชาธิปไตย กรณี ม.44 ตามรัฐธรรมนูญ อันตรายเพราะเป็นการใช้อำนาจที่ผิดหลักการตรวจสอบละถ่วงดุล
เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุว่ากรณีที่มีการวิจารณ์พรรคฯมีท่าทีสนับสนุนให้ใช้ ม.44 ไปผลักดันโครงการพัฒนาในภาคใต้ เป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนขอยืนยันว่าไม่ใช่ท่าทีพรรคฯ
เรายืนยันและแสวงหาความเป็นประชาธิปไตยให้กลับคืนสู่สังคมไทยโดยเร็ว การช่วยกันหาทางออกให้ปท.ยังเป็นภารกิจสำคัญที่คนไทยทุกคนต้องช่วยกัน ส่วนข้อผิดพลาดใดๆอันเกิดขึ้น เป็นเรื่องที่เราน้อมรับทุกคำวิจารณ์และพร้อมนำไปปรับปรุงให้พรรคสามารถร่วมสร้างประชาธิปไตยไทยให้มั่นคงในไทยต่อไป

‘จดหมายด่วนพิเศษ’ ศูนย์ปรองดองฯ เชิญนักวิชาการ ทนาย นักศึกษา ‘ประชุม’ ที่สโมสรทหารบก


22 เม.ย.2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้มีนักวิชาการ นักศึกษา สื่อมวลชน ประชาชนหลายคนได้รับจดหมายเชิญจากศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.) ให้เข้าร่วมการหารือเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาความขัดแย้ง ในวันพรุ่งนี้ (23 เม.ย.) ที่สโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดีรังสิต เวลา 9.30 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จดหมายลงวันที่ 17 เม.ย.2558 แต่ผู้ได้รับจดหมายได้รับกันในวันนี้ บ้างได้รับผ่านทางอีเมล์ บ้างมีเจ้าหน้าที่นำส่งจดหมายถึงที่บ้าน บ้างไปที่บ้านแล้วไม่เจอตัวจึงแจ้งผ่านโทรศัพท์แล้วส่งจดหมายให้ทางไลน์ เป็นต้น ในจดหมายระบุหัวเรื่อง ขอเชิญประชุม อ้างถึงคำสั่ง คสช. (เฉพาะ) ที่ 2/2558 ลงวันที่ 25 พ.ค.2557 ท้ายจดหมายลงชื่อ พิสิทธิ์ สิทธิสาร ผู้อำนวยการ ศปป.
“ท่านเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและเป็นผู้นำทางความคิดของกลุ่มคนในสังคม จึงเรียนเชิญท่านเข้าประชุม... เพื่อร่วมแสดงความเห็น อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติต่อไป ทั้งนี้ ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.) ได้เรียนเชิญ พลเอก ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณษจักร และรองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เข้ารับฟังความคิดเห็นจากท่านด้วย” จดหมายระบุ
รายงานข่าวแจ้งว่า มีผู้ได้รับจดหมายเชิญหลายราย บางรายประสงค์จะเข้าร่วม บางรายไม่สามารถเข้าร่วมได้เนื่องจากติดภารกิจและการเชิญเกิดขึ้นอย่างกระทันทัน ตัวอย่างรายชื่อผู้ได้รับการเชิญ เช่น
  • พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
  • ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
  • ยอดพล เทพสิทธา อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.นเรศวร
  • เอกชัย ไชยนุวัติ นักวิชาการกฎหมาย
  • เก่งกิจ กิตติเลียงลาภ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ ม.เชียงใหม่
  • พะเยาว์ อัคฮาด แม่ของหนึ่งในผู้เสียชีวิตในวัดปทุมฯ วันที่ 19 พ.ค.2553
  • อธึกกิต แสวงสุข สื่อมวลชน
  • ปิยรัฐ จงเทพ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ม.ธรรมศาสตร์
  • เยาวลักษณ์ อนุพันธ์ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
  • อานนท์ นำภา ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
  • วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความจากกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน
  • สุรชัย ตรงงาม ทนายความจากมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม
  • ปรีดา ทองชุมนุม มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา

เป็นต้น
"ผมพร้อมที่จะไปพบกับ ศปป. ในวันและเวลาดังกล่าว และหวังว่าทหารซึ่งมีเกียรติจะรักษาคำพูด ผมต้องกลับมาเลี้ยงลูก 3 คน เพราะไม่มีคนเลี้ยง" เอกชัยกล่าว
“ได้รับหนังสือเชิญประชุมจากศูนย์ปรองดองฯ ให้ไปแสดงความคิดเห็นเพื่อสร้างความปรองดองของคนในชาติในวันพรุ่งนี้ที่สโมสรกองทัพบก แต่เนื่องจากพรุ่งนี้ทนายอานนท์มีนัดต้องว่าความที่เชียงใหม่จึงไม่อาจไปตามหนังสือเชิญได้ ผมพยายามติดต่อกลับไปตามเบอร์โทรในหนังสือแล้ว แต่ท่านให้เบอร์โทรเกินมา 1 ตัว ผมจนปัญญาไม่รู้จะตัดเบอร์ใดออก จึงขอแจ้งผ่านเฟซบุ๊คแทน และได้โปรดพิมพ์เบอร์โทรกลับให้ครบถ้วนถูกต้องด้วยในโอกาสต่อไป” อานนท์ โพสต์ในเฟซบุ๊ก
“มีทหารทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบเดินทางมามอบหนังสือถึงบ้าน เพื่อเชิญให้คุณแม่ไปร่วมประชุมให้ความคิดเห็นเรื่องความปรองดองที่สโมสรของกองทัพบกในวันพรุ่งนี้ นายทหารที่ส่งหนังสือบอกว่าเป็นคำสั่งของ พลเอก ประวิตร วงศ์สุวรรณ ย้ำ!! คำสั่งจาก พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ” ลูกชายของพะเยาว์โพสต์ในเฟซบุ๊ก
“ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปเชิญบุคคลหลายภาคส่วนประชุมเพื่อการปรองดอง ได้มีหนังสือเชิญผม และคาดว่าน่าจะมีหลายฝ่าย เพื่อร่วมแสดงความเห็นอันจะก่อประโยชน์ในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ...ผมจะเข้าร่วมงานนี้ ในวันที่ 23 เมษายน 2558 เวลา 9.30 น. ณ ห้องมัฆวานรังสรรค์ สโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดี กรุงเทพฯ จึงหวังว่า คสช.จะมีความจริงใจและจริงจังเพื่อความปรองดองฯ” วิญญัติโพสต์ในเฟซบุ๊ก
“ผมคิดว่าจะไป เขาเปิดเวทีนี้เป็นการรับฟังก่อนจะไปสรุป ที่ผ่านมาเราปฏิเสธเขามาตลอด ถ้าครั้งนี้ปฏิเสธเราจะไม่เหลือทางเลือกต่อไป เขาอาจอ้างว่าเปิดเวทีแล้วแต่ไม่พูดเอง ถ้าเราได้พูดครั้งนี้เราอาจไม่ต้องไปอีกเลยเพราะเราถือว่าได้พูดทุกอย่างแล้วในครั้งนี้ คุณจะทำหรือไม่ก็เรื่องของคุณ...คิดว่าจะไม่มีปัญหาอะไรในการแสดงความเห็นเพราะถ้าเขาจะไม่ให้เราพูดเขาจะตั้งเงื่อนไขและแจ้งเราก่อนแล้วตั้งแต่ตอนเชิญ แต่นี่เขาไม่ได้แจ้งอะไรเพิ่มเติม... ผมคิดว่าเขาเชิญกระทันหันเพื่อป้องกันการเตรียมตัวไปแสดงออกทางการเมืองในงานครั้งนี้” ปิยรัฐกล่าว
ขณะที่ยอดพลระบุว่า ผู้เชิญเป็นทหารหญิง พูดจาดี แต่เขาปฏิเสธการเข้าร่วมเนื่องจากติดภารกิจอยู่จังหวัดพิษณุโลก
ส่วนปรีดาระบุว่า วันนี้เวลา 13.45 น.ได้รับโทรศัพท์จากผู้ที่แนะนำตัวว่าเป็นนายทหารชั้นประทวน ขอทราบเส้นทางการเดินทางไปยังที่พักของปรีดาเพื่อนำหนังสือเชิญเข้าร่วมการเสวนาที่หอประชุมกองทัพบกไปส่งให้ เธอรู้สึกผิดสังเกตแต่ยังไม่สามารถระบุว่านี่เป็นการคุกคามหรือไม่
"การพูดคุยในประเด็นปัญหาใหญ่ มีความสำคัญ แต่ไม่มีรายละเอียด หรือการปรึกษาหารือก่อนที่จะจัดพูดคุย และการส่งจดหมายเชิญก็เป็นการเชิญล่วงหน้าเพียงแค่หนึ่่งวัน มันไม่ถูกกาละเทศะ" ปรีดากล่าว

ปรีดาระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ เนื่องจากพรุ่งนี้จะจัดงานแถลงข่าวเรื่องปัญหาการจับกุมลูกของแรงงานข้ามชาติที่เกิดในไทยซึ่งปัจจุบันได้ถูกนำตัวส่งไปยังชายแดนเพื่อส่งตัวกลับพม่า เด็กส่วนใหญ่แม้พ่อแม่เข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย แต่เมื่อส่งลูกกลับพ่อแม่ก็จำเป็นต้องติดตามลูกกลับไปด้วย เธอกล่าวเพิ่มเติมว่าอาจเป็นเพราะประเด็นที่เธอทำงานรณรงค์อยู่มีความอ่อนไหว ทางทหารจึงได้ส่งจดหมายเชิญตัวเองเข้าร่วมประชุม

เก่งกิจกล่าวว่า วันนี้ได้รับโทรศัพท์จาก พ.อ.โภคา จอกลอย หัวหน้ากองข่าว มทบ.33 ค่ายกาวิละ จ.เชียงใหม่ระบุว่าจะนำหนังสือเชิญเข้าร่วมการประชุมมาให้ จึงได้แจ้งไปว่าพรุ่งนี้ติดภาระการสอนนักศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัย ไม่สามารถไปร่วมได้ พ.อ.โภคา จึงขอนำจดหมายมาส่งให้ที่มหาวิทยาลัย และขอถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานว่าได้ส่งจดหมายถึงมือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว