วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

คุมตัว 4 มือระเบิดศาลอาญา ศาลทหารอนุมัติ 5 หมายจับข้อหา 'ก่อการร้าย-อั้งยี่'

ควบคุมตัว 4 มือระเบิดศาลอาญา ฝากขังศาลทหารแล้ว โดน 7 ข้อหาหนัก "มีอาวุธสงคราม-พยายามฆ่า" ด้าน ศาลทหารอนุมัติอีก 5 หมายจับ ข้อหาก่อการร้าย-อั้งยี่

14 มี.ค. 2558 ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่าเมื่อเวลา 09.12 น. วันที่ 14 มี.ค. ที่ศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ กระทรวงกลาโหม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวนได้นำตัวผู้ต้องหาชุดแรกที่มีการออกหมายจับในคดีขว้างระเบิดสังหารอาร์จีดี-5 ลอต 57 เข้าใส่ลานจอดรถของศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก กทม. เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2558 และถูกควบคุมตัวครบตามกฎอัยการศึกครบ 7 วัน จำนวน 4 คน ได้แก่ นายมหาหิน ขุนทอง ที่ทำหน้าที่ขี่รถจักรยานยนต์ นายยุทธนา เย็นภิญโญ ทำหน้าที่ปาระเบิด น.ส.ณัฎฐ์พัชร์ อ่อนมิ่ง ซึ่งเป็นภรรยาของนายมหาหิน และน.ส.ธัชพรรณ ปกครอง ภรรยาของนายยุทธนาที่มีส่วนรู้เห็น ร่วมกันประชุมวางแผนจัดเตรียมอาวุธก่อเหตุ

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาทั้งหมดร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, กระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ของผู้อื่น, มีและใช้กระสุนปืนสงคราม, มีและใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน, พกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านและสาธารณะโดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์, มียุทธภัณฑ์ทางทหารไว้ในครอบครองไว้โดยไม่ได้รับอนุญาต, ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือชุมชน รวมถึงฝ่าฝืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 50/2557 เพื่อมาขออำนาจศาลทหารกรุงเทพฝากขังผัดแรก โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีเจ้าหน้าที่ทหารทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยด้านหน้าอาคารเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น

จากนั้นเวลา 12.00 น. คณะตุลาการศาลทหารกรุงเทพได้ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาอ่านคำร้องที่เจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวนยื่นขอฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 4 คน เป็นระยะเวลา 12 วัน ระหว่างวันที่ 14-25 มี.ค. 2558 ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวนให้เหตุผลว่า ยังคงต้องสืบพยานต่ออีกรวม 15 ปาก รวมทั้งตรวจสอบใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนจากนายทะเบียนกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และตรวจสอบทะเบียนประวัติอาชญากร โดยคณะตุลาการศาลทหารกรุงเทพพิเคราะห์แล้วเห็นว่ามีเหตุผลเพียงพอจึงอนุญาตให้ฝากขังตามที่เจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวนยื่นคำร้อง โดยให้นำตัวนายมหาหินและนายยุทธนาไปฝากขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วน น.ส.ณัฎฐ์พัชร์ และ น.ส.ธัชพรรณ ถูกนำตัวไปฝากขังไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง อย่างไรก็ตามทั้ง 4 คนไม่ได้คัดค้านการฝากขังแต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวรายงาน ในส่วน น.ส.ธัชพรรณ นั้นมีมารดาเตรียมนำหลักฐานและหลักทรัพย์ 4 แสนบาท เพื่อมายื่นขอประกันตัวต่อไป โดยขณะนี้ น.ส.ธัชพรรณ กำลังตั้งครรภ์ 5 เดือน อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องหาทั้ง 4 คนไม่ได้มีสีหน้าเคร่งเครียดแต่อย่างใด

ด้าน พ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ รอง ผบก.น.6 ในฐานะพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าว ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า วันนี้เป็นการนำผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมและถูกออกหมายจับจำนวน 4 ราย มายื่นคำร้องขอฝากขังต่อศาลทหารกรุงเทพ โดยผู้ต้องหาทั้ง 4 รายไม่คัดค้านการฝากขัง โดยศาลฯได้อนุญาตให้ฝากขังเป็นเวลา 12 วัน เพื่อรอการสอบสวนพยานเพิ่มเติม รวมถึงรอผลตรวจอาวุธปืนและระเบิด ส่วนอีกเรื่องคือในวันนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาขอให้ศาลฯออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมจำนวน 5 ราย ในข้อหาการก่อการร้ายเป็นอั้งยี่ และเป็นผู้จ้างวาน รวมถึงได้กระทำความผิด สำหรับรายละเอียดนั้นทาง พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จะเป็นผู้แถลงรายละเอียดรายชื่อผู้ต้องหา ซึ่งขณะนี้มีผู้ถูกหมายจับรวมแล้ว 14 ราย

อย่างไรก็ตามใน วันพรุ่งนี้ (15 มี.ค.) เจ้าหน้าที่ทหารจะนำตัวผู้ต้องหาที่ถูกคุมเพิ่มมามอบให้ตำรวจอีกส่วนหนึ่ง ส่วนเรื่องการประกันตัวถือเป็นซึ่งที่ผู้ต้องหาสามารถทำได้

พ่อเฌอเล็งฟ้องกลับตร. 'ข่มขืนใจ' พามา สน.ปทุมวัน


งงแค่เดินเท้าจากบ้านจะมารายงานตัวจันทร์นี้กลับถูกรวบมาส่ง สน.ปทุมวัน เล็งฟ้องกลับ ตร.สภ.บางบัวทองข่มขืนใจ ลั่นจะฟ้องตร.ปทุมวัน ละเว้นปฏิบัติหน้าที่หากไม่รับฟ้อง ด้านกลุ่ม ศนปท.เตรียมเดินจาก มธ.ท่าพระจันทร์ มาส่งข้าวส่งน้ำ ถาม เจอความยุติธรรมหรือยัง
คลิปพันศักดิ์ ศรีเทพ เริ่มกิจกรรม "พลเมืองรุกเดิน" เดินเท้าจากบ้านที่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เพื่อมารายงานตัวที่ สน.ปทุมวัน วันที่ 16 มีนาคม 2558 ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวและนำส่ง สน.ปทุมวัน
8.25 น ตร.รวบตัวพันศักดิ์ พลเมืองรุกเดิน บริเวณปั้ม ปตท.แยกบางพลู ระบุจะนำตัวไป สน.ปทุมวัน
 

เวลาประมาณ 9.05 น. เจ้าหน้าที่นำตัว พันศักดิ์ พลเมืองรุกเดิน ถึง สน.ปทุมวันแล้ว
โดยควบคุมตัว บริเวณปั้ม ปตท.แยกบางพลู หลังเดินได้ 5 กม.
14 มี.ค. 2558 พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ หนึ่งในผู้ต้องหาคดีฝ่าฝืนประกาศ คสช. จากการจัดกิจกรรมที่หน้าหอศิลปวัฒนธรรมเมื่อ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา ให้สัมภาษณ์สื่อหลังถูกตร.สภ.บางบัวทอง นำตัวมาที่ สน.ปทุมวันว่า สืบเนื่องจากตนเองได้จัดกิจกรรมเลือกตั้งที่(รัก)ลัก ในนามพลเมืองโต้กลับ เมื่อวันที่ 14 ก.พ. และถูกควบคุมตัวมาที่ สน.ปทุมวัน โดย ตร.แจ้งข้อหาฝ่าฝืนประกาศฉบับที่ 7/2557 ของ คสช. เรื่องห้ามชุมนุมเกิน 5 คน
พันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า สน.ปทุมวันได้นัดให้ปากคำเพิ่มเติมในวันที่ 16 มี.ค. ที่จะถึงนี้ จึงวางแผนเดินมาจากบ้านที่บางบัวทองวันนี้เพื่อให้ทันรายงานตัวในวันจันทร์ ระหว่างทางจะมีกิจกรรม อาทิ จัดงานที่สดมภ์นวมทอง หน้าไทยรัฐ คืนวันอาทิตย์จัดงานที่ลานปรีดี มธ.ท่าพระจันทร์ เช้าวันที่ 16 มี.ค.ทำบุญวันเกิดลูกชายที่ถูกทหารยิงเสียชีวิต 
พันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า หลังเดินจากบ้านได้ประมาณ 5 กิโลเมตร มีจนท.ตร.สภ.บางบัวทอง เจรจาว่าจะเชิญตัว แต่ตนเองยืนยันว่านัดทาง สน.ปทุมวันไว้วันที่ 16 ด้าน จนท.ยืนยันจะพามาส่ง และทำการล้อมจับตนเอง พอมาถึง ตร.สน.ปทุมวันยังถามว่า นัดวันจันทร์ไม่ใช่หรือ
พันธ์ศักดิ์ ระบุว่า ปัญหาคือ เขาถูกจับมาโดยไม่มีหนังสือนำส่งเลย จึงปรึกษากับทนายความเพื่อแจ้งความ ตร.สภ.บางบัวทอง ข้อหาข่มขืนใจ และหาก สน.ปทุมวันไม่รับฟ้อง ตนเองจะฟ้องด้วยมาตรา 157 ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอว่าตร.ปทุมวันจะรับฟ้องหรือไม่
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมทำผิดอะไร เพราะเราเดินมารายงานตัว ไม่ใช่เราจะหลบหนีแล้วถูกจับกุม แต่นี่เราเดินมารายงานตัว แล้วมาจับเรา เราก็งงเหมือนกันว่า จับข้อหาอะไร" พันธ์ศักดิ์กล่าวและว่า ตอนเดินก็เดินมาคนเดียว โดยมีพี่น้องสื่อมวลชนและตำรวจทั้งสันติบาลทั้งในและนอกเครื่องแบบที่ประสานงานกันอยู่แล้วเดินประกบมาตลอด เพราะเขากลัวมือที่สามจะแทรกแซงหรือกลัวประชาชนจะแห่มาให้กำลังใจแล้วกลายเป็นข้อหาอื่นอีก
10.25 น. ที่ สน.ปทุมวัน พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เดินทางมาชี้แจงกรณีจับกุมพันศักดิ์ พร้อมมอบเอกสารแก่ผู้สื่อข่าว เอกสารดังกล่าวระบุว่า กรณีพันธ์ศักดิ์ประกาศเดินเท้ามา สน.ปทุมวันนั้น "เป็นการกระทำโดยไม่สุจริต มีนัยยะทางการเมือง" โดยมีการนัดหมายล่วงหน้าเพื่อทำกิจกรรมบริเวณหน้า สนง.ไทยรัฐ ซึ่งเป็นจุดที่ นวมทอง ไพรวัลย์ "ผู้ร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง" เสียชีวิต ทั้งยังนัดหมายเสวนาทำกิจกรรมทางการเมืองโดยไม่ขออนุญาตจาก คสช. ร่วมกับบุคคลอื่น "ซึ่งจะก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นได้ในบ้านเมือง จึงให้ท่านยกเลิกกิจกรรมดังกล่าว" 


 


 
ศนปท.ลั่นเดินเท้าจาก มธ.ไป สน.ปทุมวัน 
ด้าน ปิยรัฐ จงเทพ นักศึกษาจากศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย (ศนปท.) ระบุว่า เที่ยงตรง ตนเองกับเนติวิทย์ และเพื่อนๆ จาก ศนปท. จะออกเดินเท้า จาก มธ. ท่าพระจันทร์ บริเวณลาน 6 ตุลา หน้าหอใหญ่ ไป สน.ปทุมวัน เพื่อถามพันธ์ศักดิ์ว่า เจอความยุติธรรมหรือยัง? พร้อมนำข้าวกล่องและน้ำไปให้ด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเวลา 16.00 น. ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'พลเมืองโต้กลับ Resistant Citizen' รายงานว่า พันธ์ศักดิ์ ได้รับการปล่อยตัวแล้ว พร้อมยืนยันยังคงเดินหน้ากิจกรรม พลเมืองรุกเดิน ต่อไปในวันพรุ่งนี้เช้า จุดเริ่มต้นที่บริเวณหน้าไทยรัฐ ตามหมายกำหนดการเดิม ส่วนกิจกรรมเสวนาเย็นนี้ ยกเลิก ตามคำขอร้องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
 
พลเมืองโต้กลับ รายงานด้วยว่า การควบคุมตัวในวันนี้ ยังคงหามูลความผิดที่แน่ชัดไม่พบ ไม่ทราบแน่ว่าใช้อำนาจตามกฏหมายข้อใด ในการควบคุมตัว คุณพันธ์ศักดิ์กล่าวว่า การกระทำของ จนท.ตำรวจในวันนี้ ถือเป็นการข่มขืนจิตใจ เข้าข่ายกักขังหน่วงเหนี่ยว กำลังพิจารณายื่นฟ้องการปฏิบัติงานของจนท.ตำรวจ ในลำดับต่อไป
 
ต่อมา เวลา 17.20 น. หลังจากนายพันธ์ศักดิ์ ได้รับการปล่อยตัวจาก สน.ปทุมวันแล้ว เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน' รายงานด้วยว่าเขาได้เดินทางมาถึงกองบังคับการปราบปราม เพื่อแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม สภ.บางบัวทอง และพล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ), มาตรา 309,(ข่มขืนใจ), และมาตรา 310 (กักขังหน่วงเหนี่ยง)
 
โดย พ.ต.ท.สมนึก สันติภาตะนันท์ พนักงานสอบสวน กองบังคับการ 2 ผู้รับแจ้งความ ได้สอบปากคำนายพันศักดิ์ และลงบันทึกประจำวันไว้

เงิบอีก! เพจทหารปฏิรูปฯ ใส่ไข่ อ้างเหตุ ตร.นำตัว ‘พ่อเฌอ’ ไปเพราะกัน ‘ถูกประชาทัณฑ์’

เพจทหารปฏิรูปประเทศไทย นำภาพของประชาไท ไปใส่ใข่ อ้างเหตุ ตร.นำตัว ‘พ่อเฌอ’ ขณะเดิน ‘พลเมืองรุกเดิน’ ไปเพราะกัน ‘ถูกประชาทัณฑ์’ แถมมโนด้วยว่าระหว่างทางถูก ‘ตะโกนด่า สาบแช่ง’ ทั้งที่เดินด้วยความสงบ 
เมื่อเวลา 13.27 น. เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘ทหารปฏิรูปประเทศไทย’ ซึ่งมีการกดไลค์ 1.8 แสนไลค์ โพสต์ภาพนายพันศักดิ์ ศรีเทพ ผู้เดินรณรงค์เรียกร้องยุติการนำพลเมืองขึ้นศาลทหาร ภายใต้ชื่อกิจกรรม ‘พลเมืองรุกเดิน’ ขณะถูกควบคุมตัวมายัง สน.ปทุมวัน เพจ ทหารปฏิรูปฯ ยังโพสต์ข้อความบรรยายประกอบ ระบุว่ากิจกรรมดังกล่าวเป็นการสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง เพื่อดึง องค์การสหประชาชาติ หรือ UN เข้ามาแทรกแซงภายในประเทศ อ้างว่าชอบระบอบประชาธิปไตย
นอกจากนั้น เพจทหารปฏิรูปฯ ยังระบุด้วยว่าเหตุที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องนำตัวนายพันศักดิ์ มาที่ สน.ปทุมวัน เนื่องจาก “ระหว่างทางมีแต่เสียงตะโกนด่า สาบแช่ง และมีคนรอประเคนไม้หน้า 3 ที่ทัดดอกไม้ และไข่เน่าจากที่สูงตลอดเวลา จนตำรวจต้องไปเอารถไปรับ ควบคุมตัวที่ สน.ปทุมวัน ก่อนจะโดนประชาทัณฑ์ตายไปเสียก่อน ขบวนการล้มเจ้าจึงรอดตายหวุดหวิด” เพจทหารปฎิรูปฯ ระบุ
โพสต์โดยเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘ทหารปฏิรูปประเทศไทย’ 
นอกจากนี้ เพจทหารปฏิรูปฯ ยังวางกติกาสำหรับผู้แสดงความเห็นในเพจท้ายโพสต์ดังกล่าวด้วยว่า “โปรดงดความเห็นในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในตอนนี้, งดนำข่าวลือเขาว่ามา , คำหยาบ , ป่วน , งดลิ้งใดๆ ทุกชนิด , งดข้อความจากแหล่งอื่น , งดภาพ , การให้ร้ายดูหมิ่นเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกพิจารณาบล็อกเข้าเพจนี้”
โพสต์ดังกล่าวมีผู้กดถูกใจถึง 1,400 
อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวประชาไท ระบุว่า ภาพนายพันศักดิ์ที่เพจทหารปฏิรูปฯ โพสต์ เป็นภาพที่ถ่ายและอัพโหลดครั้งแรกบนเฟซบุ๊กแฟนเพจประชาไท เมื่อเวลา 9.29 น.
รวมทั้ง ผู้สื่อข่าวประชาไท ซึ่งตามบันทึกภาพการเดินของนายพันธ์ศักดิ์ ตั้งแต่หน้าโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนนทบุรี จนหน้าสถานีจำหน่ายนำมันปตท. แยกบางพลู ตลอดเส้นทางไม่พบการตะโกนด่าหรือเสียงสาบแช่งแต่อย่างใด รวมทั้งการเดินเป็นไปด้วยความสงบ
วีดีโอคลิปจังหวะที่นายพันศักดิ์ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัว ไม่มีการพูดถึงสาเหตุตามที่เพจทหารปฏิรูปฯ กล่าวอ้างแต่อย่างใด แม้กระทั่ง เวลา 10.25 น. ที่ สน.ปทุมวัน พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ซึ่งตามมาชี้แจงกรณีเหตุควบคุมตัว ในฐานะผู้บังคับบัญชาในท้องที่ ยังไม่มีการกล่าวถึงแต่อย่างใด

 

 

 

สำหรับ นายพันธ์ศักดิ์ เขาเป็นพ่อของนายสมาพันธ์หรือ 'เฌอ' เด็กหนุ่มที่ถูกยิ่งเสียชีวิตช่วงสลายการชุมนุมเสื้อแดง พ.ค.53 นายพันศักดิ์ นายอานนท์ นำภา ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน นายวรรณเกียรติ ชูสุวรรณ หรือ 'กึ๋ย' อาชีพขับแท็กซี่ และ นายสิริวิชญ์ เสรีวิวัฒน์ หรือจ่านิว นักศึกษาม.ธรรมศาสตร์ และสมาชิกกลุ่มศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย (ศนปท.) ทั้งหมดถูกแจ้งข้อกล่าวหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.ชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน ส่วนอานนท์นั้นโดนแจ้งข้อกล่าวหาผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เพิ่มเนื่องจากมีการโพสต์เฟซบุ๊กพาดพิงทหารระหว่างถูกควบคุมตัวโดยตำรวจหลังงานเลือกตั้งที่(รัก)ลัก 14 ก.พ.ที่ผ่านมา

กลุ่มสังเกตการณ์สิทธิมนุษยชน เรียกร้องหยุดคุกคามทางกระบวนการยุติธรรมต่อ 'ทนายอานนท์'


กลุ่มที่มาจากความร่วมมือขององค์กรสิทธิมนุษยชนและองค์กรต้านทารุณกรรมเรียกร้องกรณีมีผู้ฟ้อง อานนท์ นำภา ทนายความผู้พิทักษ์สิทธิฯ ด้วย พรบ.คอมพิวเตอร์ ให้เลิกการคุกคามทางกระบวนการยุติธรรมต่ออานนท์ และผู้พิทักษ์สิทธิฯ รายอื่นๆ ในไทย รวมถึงให้ปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล
14 มี.ค. 2558 กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อการคุ้มครองผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน (The Observatory for the Protection of Human Rights Defenders) ซึ่งเป็นโครงการร่วมกันระหว่าง สมาพันธ์สิทธิมนุษยชนสากล (International Federation for Human Rights หรือ FIDH) และองค์กรต่อต้านการทารุณกรรมโลก (World Organisation Against Torture หรือ OMCT) เรียกร้องให้มีการแทรงแซงต่อกรณีการคุกคาม อานนท์ นำภา ทนายความผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชนในไทย
กลุ่มสังเกตการณ์ระบุว่าพวกเขาได้รับข่าวจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ว่ามีการคุกคามทางกระบวนการยุติธรรมต่อ อานนท์ นำภา ทนายอาสาจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนไทย ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่กลุ่มผู้ถูกกล่าวหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและกลุ่มนักกิจกรรมที่ตะเป็นเป้าหมายของรัฐบาลเผด็จการหลังการรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พ.ค. องค์กรนี้ได้รับรางวัลสิทธิมนุษยชนจากสถานทูตฝรั่งเศสในกรุงเทพฯ เมื่อเดือน ธ.ค. 2557 แม้ว่าจะก่อตั้งยังไม่ถึงปี อีกทั้งทนายอานนท์ยังช่วยว่าความให้ลูกความหลายคนที่ถูกกล่าวหาจากกฎหมายมาตรา 112 ด้วย
เว็บไซต์ FIDH ระบุว่า มีการคุกคามทางกระบวนการยุติธรรม (Judicial Harassment) หลังจากที่อานนท์ นำภา ถูก พ.ท. บุรินทร์ ทองประไพ อ้างว่าเขาได้ทำผิดกฎหมายมาตราที่ 14(2) ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ซึ่งระบุว่า "นําเขาสูระบบคอมพิวเตอรซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอรอันเปนเท็จ โดยประการที่นาจะเกิดความเสียหายตอความมั่นคงของประเทศ" เนื่องจากมีการโพสต์เฟซบุ๊ควิพากษ์วิจารณ์บทบาทของทหารในช่วงที่อยู่ภายใต้กฎอัยการศึก
อานนท์ ได้โพสต์ข้อความดังกล่าวในขณะถูกควบคุมตัวโดยตำรวจจากการจัดกิจกรรม 'เลือกตั้งที่(รัก)ลัก' เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2558 รวมกับนักกิจกรรมรายอื่นอีก 3 คน ด้วยข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ห้ามไม่ให้มีการชุมนุมในที่สาธารณะเกิน 5 คน โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อรำลึกครบรอบ 1 ปีการเลือกตั้งที่ถูกตัดสินให้เป็นโมฆะในไทย
กลุ่มสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนประณามการคุกคามทางกระบวนการยุติธรรมต่ออานนท์ นำภา จากการที่เขาเป็นผู้จัดกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนอย่างถูกต้องชอบธรรมเพียงเท่านั้น กลุ่มสังเกตการณ์ยังเรียกร้องให้ทางการไทยยกเลิกข้อกล่าวหาทั้งหมดต่ออานนท์และให้หยุดการคุกคามทางกระบวนการยุติธรรมโดยทันที
กลุ่มสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนมีข้อเรียกร้อง 4 ข้อคือ
1.) เรียกร้องให้ยกเลิกข้อกล่าวหาต่ออานนท์ นำภา ทุกข้อกล่าวหาและหยุดการคุกคามทางกระบวนการยุติธรรมต่ออานนท์และผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชนรายอื่นๆ ในไทย
2.) เรียกร้องให้มีการรับรองสวัสดิภาพทั้งทางร่างกายและทางใจของอานนท์ และผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชนรายอื่นๆ ในไทย ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม
3.) เรียกร้องให้มีการปฏิบัติตามบทบัญญัติของปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน ซึ่งได้รับการรับรองจากที่ประชุมใหญแห่งสหประชาชาติวันที่ 9 ธ.ค. 2541 โดยเฉพาะข้อที่ 1 ที่ระบุว่า "บุคคลทุกคนมีมิทธิ โดยลำพังหรือร่วมกับผู้อื่นที่จะส่งเสริมและต่อสู้เพีอให้เกิดการคุ้มครอง และตระหนักถึงสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ในระดับประเทศและระหว่างประเทศ" รวมถึงข้อที่ 12.2 ซึ่งระบุว่า "รัฐต้องดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อประกันให้มีการคุ้มครองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก่บุคคลทุกคน โดยลำพังหรือโดยร่วมกับผู้อื่น จากความรุนแรง การข่มขู่ การตอบโต้ การเลือกปฏิบัติที่เป็นการปฏิบัติโดยพฤตินัยหรือนิตินัย การกดดัน หรือการปฏิบัติโดยพลการอื่นใด ที่เป็นผลจากการที่บุคคลนั้นได้ใช้สิทธิอย่างชอบธรรมตามที่อ้างถึงในปฏิญญานี้"
4.) เรียกร้องให้เคารพในสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์ตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากลและตราสารระหว่างประเทศในทุกกรณี

ทหารคุม 4 ผู้ต้องหาระเบิดศาลอาญาส่งตำรวจสอบเพิ่ม

ทหารคุม 4 ผู้ต้องหาร่วมวางแผนขว้างระเบิดศาลอาญาส่งตำรวจสอบปากคำ ขณะที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เชื่อมีผู้ร่วมขบวนการอีกเร่งไล่ล่าผู้บงการหนีกบดานต่างประเทศ

15 มี.ค. 2558 สำนักข่าวไทยรายงานว่าเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัว นายสรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน  นายชาญวิทย์ จริยานุกูล  นายวิชัย อยู่สุข  และนายนรพัฒน์ เหลือผล หรือ บาส  ผู้ต้องหาที่ร่วมกันวางแผนขว้างระเบิดอาร์จีดีไฟว์ ใส่ศาลอาญา รัชดาภิเษก เมื่อคืนวันที่ 7 มีนาคม ส่งมอบให้ตำรวจเพื่อสอบปากคำ ทำประวัติ และแจ้งข้อกล่าวหา โดยมีพลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อม พลตำรวจโทศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ร่วมสอบปากคำ

พลตำรวจเอกสมยศ ระบุว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดได้ร่วมกันประชุม วางแผน และแบ่งหน้าที่กันทำ และจากการสอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหา ให้การว่ารู้จักกับนางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือ เดียร์ ผู้จ้างวาน พร้อมพบหลักฐานการโอนเงินจำนวน 1 หมื่นบาท / 2หมื่นบาท และ 5 หมื่นบาท รวมทั้งแจ้งข้อกล่าวหาก่อการร้าย และอั้งยี่ซ่องโจร เพิ่มเติมกับผู้ต้องหาบางคนด้วยหลังพบพฤติการณ์เข้าข่ายความผิด มีการวางแผนจัดหาอาวุธ เพื่อก่อเหตุตามจุดต่างๆ  และเชื่อว่ายังมีผู้ร่วมขบวนการอีก ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างสอบสวนหาความเชื่อมโยง

สำหรับคดีนี้ตำรวจออกหมายจับผู้ต้องหารวม 14 คน คุมตัวฝากขังศาลทหารแล้ว 4 คน ประกอบด้วย นายมหาหิน ขุนทอง  นายยุทธนา เย็นภิญโญ  นางสาวณัฏฐพัชร์ อ่อนมิ่ง และนางสาวธัชพรรณ ปกครอง และรับมอบตัวในวันนี้อีก 4 คน และอยู่ในความควบคุมของทหารตามกฎอัยการศึก อีก 4 คน ประกอบด้วยนางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือ เดียร์ ผู้จ้างวาน / นางวาสนา บุษดี ผู้โอนเงิน / นายนเรศ อินทรโสภา เจ้าของสถานที่วางแผนก่อเหตุ / และนายเจษฎาพงษ์ วัฒนพรชัยสิริ ผู้ร่วมประชุมวางแผน ซึ่งทั้ง 4 คนนี้ ทหารจะส่งมอบตัวให้ตำรวจในวันพุธที่ 18 มีนาคมนี้

ส่วนนายมนูญ ชัยชนะ หรือ เอนก ซานฟราน ผู้บงการ  และนายวิระศักดิ์ โตวังจร หรือ ใหญ่ พัทยา ผู้จัดหาระเบิด ทหารและตำรวจอยู่ระหว่างติดตามตัวมาดำเนินคดี โดยมีข้อมูลว่า นายมนูญ หลบหนีอยู่ที่ต่างประเทศ ส่วนนายวิระศักดิ์ เชื่อว่ายังหลบหนีอยู่ในประเทศไทย

ส่วนที่กลุ่มผู้ต้องหา ให้การว่าจะมีการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ตามจุดสำคัญพร้อมกันในวันนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ทางรัฐบาลได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ เฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยจัดกำลังนอกเครื่องแบบกระจายตามจุดต่างๆ มั่นใจควบคุมสถานการณ์ได้ และไม่น่าจะเกิดเหตุใดๆขึ้น แต่หากประชาชนพบสิ่งผิดปกติ หรือ บุคคลต้องสงสัย ให้แจ้งตำรวจในพื้นที่ทันที

ทหารบุกอุ้มพยานคดีหกศพวัดปทุม ทนายชี้ปฏิบัติการละเมิดสิทธิมนุษยชน


ทหารในเครื่องแบบ 2 นายและนอกเครื่องแบบ 3 นาย บุกจับตัว น.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา พยาบาลอาสาสมัคร พยานสำคัญในคดีสังหาร 6 ศพวัดปทุมฯ  ที่บ้านพัก ต.แพรกษา จ.สมุทรปราการ ไปตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา ญาติไม่กล้าแจ้งความ กลัวถูกคุกคาม ทนาย กนส.ชี้ละเมิดสิทธิ ขัดต่อหลักการ ควบคุมตัวโดยไม่ระบุวัตถุประสงค์ ประกาศบุกตามตัว พรุ่งนี้
วิญญัติ ชาติมนตรี กลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน(กนส.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุ  เรียกร้อง คสช. หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการคุมตัว น.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือ แหวน พยาบาลอาสาสมัคร พยานสำคัญในคดีสังหาร 6 ศพวัดปทุมฯในเหตุการณ์สังหารหมู่ 19 พ.ค.2553 ให้ปล่อยตัว น.ส.ณัฏฐธิดา โดยทันที  โดยนายวิญญัติแจ้งว่าได้ทราบข้อมูลถึงการหายไปอย่างชัดเจน ว่ามีทหารในเครื่องแบบ 2 นายและนอกเครื่องแบบ 3 นาย มาควบคุมตัว น.ส.ณัฏฐธิดา  ที่บ้านพัก ต.แพรกษา จ.สมุทรปราการ ไปตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา
การควบคุมตัวดังกล่าว ไม่มีหมายจับและหมายค้นโดยเจ้าหน้าที่ได้อ้างใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก ตอนนี้ทางคนใกล้ชิดยังไม่ทราบที่คุมตัวหรือวัตถุประสงค์ที่กลุ่มทหารได้กระทำการเช่นนั้น

ทนายความจากกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน ( กนส.)ระบุว่า ขอให้ คสช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมตัวชี้แจงถึงการดำเนินการดังกล่าว เพราะถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างน่าวิตกอย่างมากต่อสิทธิความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศ และขอให้ปล่อยตัว น.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือ แหวน โดยทันที โดยในวันที่ 16 มี.ค. เวลา 10.00 น. กนส.ในฐานะทนายความสิทธิมนุษยชนจะติดตามสถานะความเป็นอยู่และขอเข้าเยี่ยมตามสิทธิของผู้ถูกจับกุม ตามป.วิ.อาญา มาตรา 7/1 ซึ่งจะอ้างกฎอัยการศึกไม่ได้ หรือจะอ้างก็ต้องมีความชัดเจนในวัตถุประสงค์ที่ต้องมีความชอบธรรมและให้เคารพสิทธิความเป็นมนุษย์ของประชาชนด้วย

นายวิญญัติกล่าวว่า เหตุที่ทราบเรื่องเนื่องจากตนเห็นในเฟซบุ๊กกลุ่มคนที่ทำงานช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม มีการแชร์ให้ช่วยตามหา น.ส.ณัฏฐธิดา  เนื่องจากถูกทหารจับตัวไป จึงตรวจสอบไปทางญาติที่เป็นลูกพี่ลูกน้องก็ยืนยันว่าเป็นความจริง ส่วนที่ญาติไม่แจ้งความเพราะหวาดกลัวเรื่องการถูกคุกคาม ตนในฐานะนักกฎหมายเห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แม้จะใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก แต่ต้องใช้โดยเคารพสิทธิประชาชนและสิทธิมนุษยชน ตามป.วิ.อาญา มาตรา 7/1 ซึ่งต้องแจ้งว่าเขาอยู่ที่ไหน สถานภาพเป็นอย่างไร ต้องให้สิทธิได้พบญาติและได้รับการปรึกษาจากทนายความ โดยทางกลุ่ม กนส.จะไปติดตามสถานะความเป็นอยู่ของผู้ถูกจับกุมที่กองบัญชาการ คสช.วันที่ 17 มีนาคม นี้.
ญาติยันชายแต่งทหารพาไป
ข่าวสดรายงานว่า ลูกพี่ลูกน้องของ น.ส.ณัฏฐธิดา เผยว่า วันเกิดเหตุแหวนมาพักที่บ้านตน และบอกว่ามีคนโทรศัพท์ติดต่อขอซื้อที่ดิน จึงนัดหมายมาที่บ้านตน จากนั้นเวลาประมาณ 15.30 น. ก็มีทหารในเครื่อง 2 นาย และนอกเครื่องแบบ 3 นายเข้ามาหา บอกว่าใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกจึงไม่จำเป็นต้อง มีหมายเรียก ถ้าไม่ผิดอะไรก็จะปล่อยตัวภายใน 7 วัน และให้นำเสื้อผ้าติดตัวไปด้วย โดยไม่ได้แจ้งว่าจับข้อหาอะไร และจะนำตัวไปที่ไหนและไม่ให้ถ่ายรูป ด้วยความกลัวจึงไม่กล้าไปแจ้งความ
ข่าวสดรายงานเพิ่มเติมว่า เพื่อนชายของ น.ส.ณัฏฐธิดากล่าวว่า ตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ขณะแหวนถูกจับตัว แต่ทราบจากลูกพี่ลูกน้องของแหวนว่ามีทหารมาจับตัวไป หากไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็น่าจะปล่อยตัวภายใน 7 วัน ตั้งแต่คบกันมา น.ส.ณัฏฐธิดา เป็นพยาบาลอาสาที่เข้าไปช่วยเหลือคนทุกกลุ่มเวลาชุมนุม ทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดงหรือกลุ่มอื่นๆ คิดว่าถ้าเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามข้อเท็จจริง แหวนคงไม่มีความผิด เพราะเขาไม่ได้ทำอะไร ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีเจ้าหน้าที่ติดต่อมาแจ้งอะไรเลยกระทั่งถูกจับกุมดังกล่าว ส่วนการติดตามตัวคงต้องปรึกษากับทนายที่จะไปพบกับ คสช.
ผู้สื่อข่าวจากข่าวสด สอบถามไปยังพ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก และโฆษก คสช. ปฏิเสธว่ายังไม่ทราบเรื่องขอตรวจสอบก่อน ก่อนจะวางสาย
ข่าวสดสัมภาษณ์ สุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาฮิวแมนไรต์วอทช์ ประจำประเทศไทย กล่าวถึงกรณีน.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือน้องแหวน พยาบาลอาสาสมัคร พยานปากสำคัญในคดี 6 ศพวัดปทุมฯ เมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 หายตัวไปว่า ฮิวแมนไรต์ฯยังคงติดตามหาข้อมูลอยู่ว่าถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวไปจริงหรือไม่ แต่จุดยืนเดิมของฮิมแมนไรต์ฯ คือไม่เห็นด้วยกับการควบคุมตัวบุคคลโดยพลการไม่จำเป็นต้องมีหมายศาลระหว่างการบังคับใช้กฎอัยการศึก ที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การรัฐประหารวันที่ 22 พ.ค. 57 เนื่องจากขัดต่อกติกาสิทธิมนุษยชนสากลระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคีอยู่  จึงขอเรียกร้องให้คสช. ยกเลิกมาตรการดังกล่าวทันที เบื้องต้นขอเรียกร้องให้คสช.ติดตามตรวจสอบกรณีดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่แค่รับโทรศัพท์แล้วก็ปฏิเสธ 
 
ที่ปรึกษาองค์กร ฮิวแมนไรต์วอทช์ ประจำประเทศไทย กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ที่มีการรัฐประหารได้ไม่นาน คสช.เคยออกประกาศเรียก น.ส.ดวงใจ พวงแก้ว 1 ในพยานคดีสลายการชุมนุม 6 ศพ วัดปทุมฯ เข้าไปรายงานตัว การหายตัวไปของน้องแหวน ที่ให้การว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารมาควบคุมตัวไปอีกนั้น สะท้อนชัดเจนว่า กองทัพพยายามคุกคามพยานในเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 ที่เต็มไปด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชน มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก หรือกล่าวได้ว่าพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากมีผู้นำกองทัพหลายคนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยและพยายามหาทางไม่ยอมรับผิด ซึ่งเห็นได้จากการปฏิเสธต่อกรณีดังกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ทหารสลายการชุมนุมตามคำสั่งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯขณะนั้นและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯที่ดูควบคุมศอฉ.ในขณะนั้นเท่านั้น