วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เปิดตลาดน้ำข้างทำเนียบ-พล.อ.ประยุทธ์ขอให้มอบกล้วยไม้แทนกุหลาบในวันวาเลนไทน์

เปิดตลาดน้ำคลองผดุงกรุงเกษม 12 ก.พ. ถึง 1 มี.ค. นี้ - นายกรัฐมนตรีเผยต่างชาติชื่นชมไทยมีกฎอัยการศึก การท่องเที่ยวดีขึ้น เพราะประเทศปลอดภัย ไม่มีการชุมนุม พร้อมเชิญชวนคนไทยมอบดอกกล้วยไม้แทนกุหลาบในวันวาเลนไทน์ และที่บ้านภรรยาต้องเป็นใหญ่กว่าสามี
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดงานตลาดน้ำคลองผดุงกรุงเกษม ภายใต้ชื่อ “ตลาดน้ำวิถีไทย คลองผดุงกรุงเกษม” (ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย)
12 ก.พ. 2558 - เมื่อเวลา 17.00 น. ที่คลองผดุงกรุงเกษม บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ถึงบริเวณสะพานอรทัย ข้างทำเนียบรับฐาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดงานตลาดน้ำคลองผดุงกรุงเกษม ภายใต้ชื่อ “ตลาดน้ำวิถีไทย คลองผดุงกรุงเกษม” โดยมีนายสัญญา ชีนิมิต ปลัดกรุงเทพมหานคร คณะรัฐมนตรี คณะทูตานุทูต ผู้บริหารกรุงเทพมหานคร หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนกระทรวงฯ ประชาชาชนเข้าร่วมงานในครั้งนี้ ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะจัดระหว่างวันที่ 12 ก.พ. ถึง 1 มี.ค. 2558 รวม 18 วัน ไม่มีวันหยุดราชการ เริ่มตั้งแต่เวลา 11.00 น. – 19.00 น. ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีไทยให้ดำรงไว้ซึ่งคุณค่าของมรดกวัฒนธรรม การดำรงอัตลักษณ์ความเป็นไทย รวมทั้งเพื่อพัฒนาบริเวณคลองผดุงกรุงเกษม ส่งเสริมให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจแห่งใหม่ของประชาชน ตลอดจนเพื่อเผยแพร่แหล่งท่องเที่ยว แหล่งเรียนรู้ที่มีคุณค่าบริเวณคลองผดุงกรุงเกษมให้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณะ และเพื่อกระตุ้นให้เกิดความเติบโตทางเศรษฐกิจส่งเสริมการตลาดในการสร้างรายได้ให้กับประชาชนในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ และผู้ที่เกี่ยวข้อง
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงาน โดยในเว็บไซต์รัฐบาลไทย ระบุคำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า เป็นการส่งเสริมคุณค่าของคลองผดุงกรุงเกษมให้เป็นแหล่งรวมของวิถีไทยเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่กลางใจเมืองหลวง ซึ่งปัจจุบันได้เกิดกระแสนิยมในการเดินทางท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์หรือการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนมากขึ้น เพื่อที่จะได้สัมผัสกับธรรมชาติและได้เรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น และแสดงให้เห็นวิถีชีวิต ประเพณีและวัฒนธรรมได้อย่างชัดเจน
พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยส่งเสริมการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในประเทศทั้งที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเดิมและแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ซึ่งมีลักษณะโดดเด่นร่วมกันหรือจัดเป็นกลุ่มได้ เช่น กลุ่มธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นและสุขภาพ รวมทั้งการเชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาจากวิถีชีวิตชุมชน นอกจากนี้ยังมีการสร้างหลักประกันความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว เพื่อชักจูงนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาเที่ยวในประเทศไทย โดยเฉพาะการสนับสนุนการท่องเที่ยวในเชิงวิถีไทย ซึ่งในปีนี้รัฐบาลกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ และได้ทำการเปิดงานปีท่องเที่ยววิถีไทย 2558 ในวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา และเน้นศิลปะความเป็นไทย ทั้งศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติ โดยจุดสนใจที่สำคัญคือวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ซึ่งได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นอกจากนี้ ตัวเลขการท่องเที่ยวของไทยปีนี้ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมามาก ประมาณร้อยละ 20-30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งชาวต่างชาติมาเที่ยวประเทศไทย เพราะประเทศไทยมีวัฒนธรรมที่ดีงาม และที่เป็นที่รู้จักเพราะในสมัยโบราณประเทศอื่นๆ ในโลกอีก 190 กว่าประเทศรู้จักประเทศไทยเพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชกรณียกิจที่เสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศไทย ซึ่งทุกคนต้องรักษาความเป็นไทย และความสามัคคีนี้ไว้ให้มั่นคงในทุกแห่ง อย่ายอมให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดมาทำลายได้ อีกทั้ง ตนได้มีโอกาสเดินทางไปเยือนต่างประเทศในหลายประเทศ เขาก็ชื่นชมประเทศไทยว่า บ้านเมืองสงบเรียบร้อยดี มีกฎหมายพิเศษ หรือกฎอัยการศึก ซึ่งการท่องเที่ยวไทยนั้นดีขึ้น เพราะประเทศไทยมีความปลอดภัย ไม่มีการชุมนุมทางการเมือง พร้อมกล่าวเชิญชวนกระตุ้นคนไทยมอบดอกกล้วยไม้ในวันวาเลนไทน์แทนดอกกุหลาบ โดยไม่ต้องซื้อหาในราคาแพง โดยยึดหลักเศรษฐกิจแบบพอเพียงตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย
ทั้งนี้ตอนหนึ่งของการกล่าวเปิดงาน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "รัฐบาลทำงานทุกวัน อะไรที่ไม่เคยทำได้ เราจะทำให้ได้ แต่เวลาก็มีแค่นี้ เราไม่ได้บังคับใครมากนัก ผมเคยบอกแล้วว่าคนไทยบังคับกันไม่ได้ ยกเว้นภรรยาบังคับสามีได้หน่อยหนึ่ง หรือใครบังคับไม่ได้ เขาบอกเวลาอยู่บ้านภรรยาต้องเป็นใหญ่ เราเป็นสุภาพบุรุษ ในบ้านเราให้เขา ส่วนนอกบ้านเราก็ทำหน้าที่สุภาพบุรุษที่ดี"
ตอนท้ายนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ได้ดำเนินการจัดโครงการตลาดน้ำวิถีไทยคลองผดุงกรุงเกษมขึ้น โดยดึงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในวิถีแห่งความเป็นไทย ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของคนไทยที่ผูกพันกับสายน้ำ เป็นการดำรงไว้ซึ่งคุณค่าของมรดกวัฒนธรรม โดยพัฒนาบริเวณคลองผดุงกรุงเกษม ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจแห่งใหม่ในเมืองหลวงแห่งนี้
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ทำพิธีเปิด ณ ริมคลองผดุงกรุงเกษม โดยกดปุ่มไฟสายธาราและดอกไม้เพลิงโบราณ พร้อมชมการแสดงต่าง ๆ อาทิ การแหล่สด “วิถีไทยกับสายน้ำ” และ “5 ตลาดบก 6 ตลาดน้ำ จากนายชินกร ไกรลาศ และนางขวัญจิตร ศรีประจัน ศิลปินแห่งชาติ ก่อนเดินเยี่ยมชมร้านค้า ต่าง ๆ รอบ ๆ บริเวณงาน

'ซูนาร์' นักเขียนการ์ตูนมาเลเซียถูกจับหลังวาดรูปเสียดสีศาลมาเลเซียกรณี 'อันวาร์ อิบราฮิม'

'ซูนาร์' กับบางส่วนของการ์ตูนล้อเลียนการเมืองมาเลเซียที่เขาวาด (แฟ้มภาพ: ประชาไท, 2555)

กลุ่มคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ARTICLE 19 เรียกร้องให้ปล่อยตัวนักเขียนการ์ตูนชื่อ 'ซูนาร์' ซึ่งถูกตำรวจบุกจับเพื่อไต่สวนข้อหา 'ปลุกระดม' เพียงเพราะเขียนการ์ตูนเสียดสีวิพากษ์วิจารณ์ว่าศาลมาเลเซียเอียงข้างรัฐบาล กรณีตัดสินลงโทษผู้นำฝ่ายค้านฐานมีเพศสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกัน
13 ก.พ. 2558 ซูคิฟลิ อัลวาร์ อุลาฮัค นักวาดการ์ตูนที่ผู้คนรู้จักในนาม 'ซูนาร์' ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซียบุกจับกุมที่บ้านพักของเขาเมื่อวันที่ 10 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยอ้างว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัยข้อหาปลุกระดมต่อต้านรัฐบาลหลังจากที่เขานำเสนอภาพการ์ตูนเกี่ยวกับกรณีที่ศาลพิพากษาให้อันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำพรรคฝ่ายค้านมาเลเซียจำคุก 5 ปีฐานมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน
ก่อนหน้านี้ซูนาร์โพสต์รูปการ์ตูนเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ว่าศาลมาเลเซียที่ยอมจำนนต่อการกดดันของรัฐบาลทำให้มีการพิพากษาอิบราฮิม ซึ่งอันวาร์ อิบราฮิม เคยให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวบีบีซีว่าคดีของเขาเป็นความพยายามของพรรรัฐบาลที่จะกีดกันเขาออกไปจากการเมือง
ซุนาร์มีแผนการต้องไปพูดคุยกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่กรุงเจนีวาภายในเดือนหน้าในงานที่จัดโดยกลุ่ม ARTICLE 19 ซูนาร์ต้องการชี้แจงให้ยูเอ็นทราบถึงความสำคัญของการคุ้มครองการแสดงออกทางศิลปะ นอกจากนี้ซูนาร์ยังถูกจัดให้แถลงข่าวต่อยูเอ็นในเรื่องการปราบปรามกลุ่มผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน
โธมัส ฮิวจ์ส ผู้อำนวยการบริหารของกลุ่ม ARTICLE 19 ซึ่งเป็นกลุ่มคุ้มครองด้านเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเรียกร้องให้ทางการมาเลเซียปล่อยตัวซูนาร์โดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยบอกว่าการจับกุมในครั้งนี้ถือเป็นการโจมตีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นภายในมาเลเซียและเป็นความพยายามปิดกั้นคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างถูกต้องชอบธรรมต่อรัฐบาลทั้งในและนอกอินเทอร์เน็ต
กฎหมายที่ทางการมาเลเซียนำมาใช้กับซูนาร์ คือกฎหมายว่าด้วยการปลุกระดมปี 2491 (Sedition Act 1948) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีมาตั้งแต่ช่วงยุคอาณานิคมของอังกฤษที่สั่งลงโทษจำคุกนานสุด 3 ปีกับผู้ที่ "มีแนวโน้มยุยงปลุกระดม" ซึ่งรวมถึง "การกระตุ้นให้เกิดความไม่ชอบ" หรือ "ทำให้เกิดการดูหมิ่นหรือเกลียดชัง" ต่อรัฐบาลหรือผู้ปกครองประเทศ แต่กฎหมายก็มีปัญหาตรงที่ฝ่ายอัยการไม่จำเป็นต้องพิสูจน์เจตนาของผู้กระทำ
เมื่อไม่นานมานี้มีการพยายามใช้กฎหมายเพื่อปราบปรามฝ่ายต่อต้านรัฐบาลในมาเลเซียมากขึ้น โดยนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2557 จนถึงตอนนี้มีผู้ถูกจับกุมด้วยข้อหานี้มากกว่า 20 คนแล้ว
ซูนาร์เคยถูกไต่สวนในข้อหาปลุกระดมเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ก่อนหน้านี้เขาถูกควบคุมตัวเป็นเวลา 2 วันเมื่อปี 2553 และอีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในเดือน พ.ย. 2557 ซึ่งเขาถูกไต่สวนพร้อมกับอีกข้อกล่าวหาคือการละเมิดกฎหมายอาญาว่าด้วยสื่อสิ่งพิมพ์และการจัดตีพิมพ์
กระทรวงกิจการภายในของมาเลเซียเคยสั่งแบนหนังสือของซูนาร์ 5 เล่ม และในเดือน พ.ย. 2557 ผู้ช่วยของซูนาร์ 3 คน ก็ถูกจับกุมเพราะขายหนังสือของเขา อีกทั้งผู้จัดการเว็บไซต์ยังถูกไต่สวนในข้อหาปลุกระดมด้วย เมื่อวันที่ 28 ม.ค. ที่ผ่านมาตำรวจยังบุกตรวจค้นสำนักงานของเขาเพื่อยึดหนังสือสองปกจำนวน 155 เล่ม
ซูนาร์วาดการ์ตูนให้กับสำนักข่าว 'มาเลเซียกีนี' และหนังสือพิมพ์อื่นๆ เขาเคยได้รับรางวัลนักเขียนผู้กล้าหาญจากฮิวแมนไรท์วอทช์ เขามักจะเขียนล้อเลียนการเมืองมาเลเซียหลายประเด็นรวมถึงการบังคับใช้กฎหมายและเรื่องการทุจริต
ซูนาร์เคยกล่าวให้สัมภาษณ์กับประชาไทว่ามีคนชอบอ่านการ์ตูนเขามากเพราะในมาเลเซียมีการ์ตูนในเชิงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอยู่น้อยส่วนใหญ่จะมีแต่การ์ตูนชมรัฐบาล และตัวเขาเองคิดว่าการวิจารณ์รัฐบาลเป็นเรื่องที่เขาต้องทำแม้จะเสี่ยงต่อการถูกจับกุมหรือถูกยึดหนังสือก็ตาม
"คุณกำหนดไม่ได้อยู่แล้วว่าตำรวจจะมาจับกุมคุณหรือเปล่า แต่ที่สำคัญคือเราต้องทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ และทำให้ดีที่สุด และเตรียมรับมือกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น และเตรียมตนเองให้พร้อมอยู่เสมอ" ซูนาร์กล่าวให้สัมภาษณ์กับประชาไทเมื่อปี 2555

ทหารลั่นให้ชาวบ้านโคกหนองสิม ออกจากพื้นที่ภายใน 1 วัน รวบพระไป 1 รูป


ทหารกดดันชาวบ้านโคกหนองสิม อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด 42 ครอบครัวออกจากพื้นที่สถานเดียว หากไม่ปฎิบัติตามจะเข้ามาทำการอพยพออกเอง ชาวบ้านระบุจับพระไปหนึ่งรูป ยังไม่รู้ชะตากรรม
เมื่อวานนี้ (12 ก.พ. 2558) เวลาประมาณ 12.00 น. เจ้าหน้าที่ทหาร ฝ่ายปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งนายอำเภอ นายกฯ อบต.และเจ้าหน้าที่กระทรวงทรัพย์ฯ สนธิกำลังเข้ามาในพื้นที่สาธารณประโยชน์โคกหนองสิม อำเภอปทุมรัตต์  จังหวัดร้อยเอ็ด ขีดเส้นให้ชาวบ้านไปลงชื่อที่ อบต.โพนทอง เพื่อยืนยันถึงการยอมออกจากพื้นที่ภายในวันศุกร์ที่ 13 ก.พ.นี้หากไม่ปฎิบัติตาม จะเข้ามาทำการอพยพออกเอง ทั้งได้จับพระไป 1 รูป พร้อมข่มขู่ หากพบว่าได้หลบเข้ามาที่วัดนี้อีก จะจับสึกโดยทันที

ชาวบ้านในพื้นที่ แจ้งว่า กองกำลังเจ้าหน้าที่ประกอบด้วยจังหวัดทหารบกร้อยเอ็ด กองทัพภาคที่สอง นายอำเภอโพนทอง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโพนสูงเจ้าหน้าที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดร้อยเอ็ด กว่า 60 นาย เข้ามาลงตรวจสอบพื้นที่สาธารณะโคกหนองสิมช่วงประมาณ 12.00 น. จากนั้นได้กลับเข้ามาในหมู่บ้าน พร้อมกับจัดเวทีรับฟังข้อมูล โดยชาวบ้านเข้ามาร่วมเวที และได้พยายามชี้แจงความเป็นมานับแต่ช่วงปี 2519  เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดร้อยเอ็ดสาขาเกษตรวิสัยร่วมกับสภาตำบลโพนสูง ได้เข้ามาสำรวจและรังวัดปักแนวเขตที่สาธารณประโยชน์ “โคกหนองสิม”  โดยการดำเนินงานดังกล่าวปรากฏว่าได้ปักแนวเขตที่สาธารณประโยชน์ไปซ้อนทับที่ดินของราษฎร และชาวบ้านได้ต่อสู้เรียกร้องในเรื่องที่ดินทำกินเรื่อยมานับแต่นั้น กระทั่งปัจจุบันปัจจุบันอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหา  ตามที่จังหวัดร้อยเอ็ดมีหนังสือที่ รอ 0019/10569  และหนังสือ ที่  รอ 0019/10570 ลงวันที่  28  มิถุนายน  2550  เรื่องขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับที่ดินสาธารณประโยชน์ “โคกหนองสิม”  โดยให้ชะลอการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในส่วนที่มีการคัดค้านไว้ก่อน

ชาวบ้านแจ้งต่อว่า ได้ร่วมกันยื่นหนังสือแสดงเอกสารประกอบว่า ในพื้นที่ได้มีกระบวนการแก้ไขปัญหาอยู่อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ไม่ยอมรับฟังในกระบวนการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาแต่อย่างใด นอกจากยืนยันให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่สถานเดียว โดยขีดเส้นให้ชาวบ้านทั้ง 42 ครอบครัว ไปลงชื่อแจ้งความประสงค์ที่จะอพยพออกจากพื้นที่ต่อหน่วยงานที่องค์การบริหารส่วนตำบลโพนสูง ภายในวันศุกร์นี้ หากไม่ปฎิบัติตาม จะเข้ามาทำการอพยพออกเอง พร้อมทั้งจะจับกุมและดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเด็ดขาด

นอกจากนี้ชาวบ้านยังระบุว่าทหารได้จับพระ ที่วัดโคกหนองสิมไป 1 รูป พร้อมทั้งขู่บังคับว่าห้ามกลับเข้ามาหากพบว่าได้หลบเข้ามาที่วัดนี้อีก จะจับสึกโดยทันที ซึ่งขณะนี้ชาวบ้านกำลังตามสืบอยู่ว่าตอนนี้เจ้าหน้าที่จับพระไปไว้ที่ไหนแต่เดิมนั้นในพื้นที่เป็นหมู่บ้านเก่าชื่อหมู่บ้านว่าโคกเพ๊กและชาวบ้านได้สร้างวัดขึ้น  1  แห่ง เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและเป็นศูนย์รวมจิตใจและได้ก่อสร้างสิม(โบสถ์) ตั้งอยู่ในหนองน้ำ จึงได้เรียกว่าหนองสิมในเวลาต่อมาถึงปัจจุบันได้มีพระจำพรรษาสืบต่อกันมาอยู่ที่วัดตอนนี้ 1 รูป กระทั่งเมื่อวานนี้ถูกเจ้าหน้าที่จับไปดังที่ได้กล่าวมา

ล่าสุด วันนี้ (13 ก.พ.58) เวลาประมาณ 10.00 น. ชาวบ้านในพื้นที่รายงานเพิ่มเติมว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว ยืนยันจะขอต่อสู้ในเรื่องที่ดินทำกินที่ได้รับการสืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ โดยไม่ไปร่วมลงชื่อเพื่อแสดงความประสงค์ออกจากพื้นที่ตามที่เจ้าหน้าที่กำชับ ทั้งนี้จะเตรียมหนังสือ เอกสาร หลักฐาน เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงในพื้นที่และในกระบวนการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา ไปยื่นต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นการต่อไป

เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ร้องถูกผู้ต้องหาคดีหมิ่น ข่มขู่ให้ละเลยทำหน้าที่

เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.ร้องกองปราบฯ ถูกกลุ่มผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูง ข่มขืนใจให้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ระหว่างตรวจค้นบ้านต้องสงสัยคดียาเสพติด

13 ก.พ. 2558 สำนักข่าวไทยรายงานว่านายเลปกร ศิริมังกร เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ระดับ 5 เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษกับพันตำรวจเอกอัครเดช พิมลศรี รักษาราชการแทนผู้บังคับการปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับนายชากานต์ ภาคภูมิ และนายปรีชา ดาราไตร ในความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจให้ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามมาตรา 112

กรณีเมื่อวันที่ 16 กัยายน 2557 ได้นำหมายตรวจค้นยาเสพติด เข้าค้นบ้านทาวน์โฮมหลังหนึ่งของนายปรีชา แต่เมื่อไปถึงพบเพียงผู้เช่าบ้าน จึงทำบันทึกผลการตรวจค้น แต่ต่อมานายปรีชา ได้เดินทางมาที่บ้านหลังนี้ พร้อมแสดงความไม่พอใจ ก่อนต่อสายโทรศัพท์ให้ พูดคุยกับนายชากานต์ ซึ่งได้อ้างตัวเป็นเลขานุการของ ว่าที่ พันตรีณัฐพล อัครปรีชา นามสกุลในขณะนั้น  โดยนายชากานต์ ได้ต่อว่าชุดตรวจค้น พร้อมแอบอ้างเบื้องสูงเพื่อให้เจ้าหน้าที่ละเว้นการปฏิบัติการตรวจค้นบ้านนายปรีชา ต่อมาวันรุ่งขึ้น นายชากานต์ และนายปรีชา ได้เดินทางมาที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ปปส. พร้อมเรียกนายเลปกร พร้อมชุดทำงานเข้ามาพบ เพื่อบังคับให้ขอโทษ ซึ่งผู้เสียหายจำยอมต้องปฏิบัติตาม และยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้รู้สึกไม่สบายใจมาโดยตลอด จนกระทั่งทราบข่าวว่าเครือข่ายของนายชากานต์ เป็นผู้ที่แอบอ้างเบื้องสูงกระทำผิดหลายกรณี จึงปรึกษาผู้บังคับบัญชา และได้ข้อสรุปว่าควรเข้าแจ้งความเพื่อปกป้องศักดิ์ศรี

สำหรับนายชากานต์ อยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นเบื้องสูง ด้วยการแอบอ้างสถาบัน ในการอุ้มทวงหนี้ อุ้มขอลดหนี้ และอ้างต่อสถาบันการศึกษาชื่อดังในการขอเวลาเรียน ซึ่งขณะนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วนนายปรีชา ได้ถูกศาลจังหวัดพระโขนงออกหมายจับฐานร่วมกับนายชากานต์ แอบอ้างเบื้องสูงอุ้มขอลดหนี้ และอยู่ระหว่างการหลบหนี

ศาลยกคำร้องขอประกันตัว 'กฤษณ์' ด้านตำรวจเผยพบต้นตอแถลงการณ์ปลอมแล้ว

ศาลยกคำร้องขอประกันตัว 'กฤษณ์' คดีโพสต์แถลงการณ์ปลอม เนื่องจากพนักงานสอบสวนไม่ได้มาให้ข้อมูล ด้านโฆษกตำรวจเผยพบตัวผู้เผยแพร่แถลงการณ์ปลอมลำดับต้นๆ แล้วโดยเผยแพร่ช่วงเวลา 18.40 น. โพสต์เข้าในกลุ่มไลน์ก่อนกฤษณ์เผยแพร่ต่อ เชื่อว่าต้นตอยังกบดานอยู่ในกรุงเทพ คาดได้ตัวมาดำเนินคดีเร็วๆ นี้

13 ก.พ. 2558 มติชนออนไลน์รายงานว่าที่ศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ นายศุภวัส ทักษิณ ทีมทนายของนายกฤษณ์ เผยว่าศาลได้ยกคำร้องในการปล่อยตัวชั่วคราวนายกฤษณ์ เนื่องจากพนักงานสอบสวนไม่ได้มาให้ข้อมูลในวันนี้ ศาลจึงไม่สามารถสอบถามข้อมูลจากพนักงานสอบสวนได้ อีกทั้งศาลเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีด้วย จึงไม่ให้ประกันตัว ทั้งนี้เมื่อวันที่ 10 ก.พ. ที่ผ่านมา ได้ยื่นขอประกันตัวชั่วคราวไปแล้ว ซึ่งพนักงานสอบสวนไม่ได้คัดค้านการประกันตัวแต่อย่างใดอย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ นายศุภวัส ยืนยันจะยื่นขอประกันตัวนายกฤษณ์อีกครั้ง โดยจะใช้เงินสด 4 แสนบาท เพื่อขอประกันตัวในครั้งต่อไปด้วย

โฆษกตำรวจเผยพบตัวผู้เผยแพร่แถลงการณ์ปลอมแล้ว

วันเดียวกันนี้ (13 ก.พ.) สำนักข่าวไทยรายงานว่าพลตำรวจโทประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยความคืบหน้าคดีทำและเผยแพร่แถลงการณ์สำนักพระราชวังปลอมว่า ล่าสุดตรวจสอบพบผู้เผยแพร่แถลงการณ์ปลอมลำดับต้น ๆ โดยเผยแพร่ช่วงเวลา 18 นาฬิกา 40 นาที โพสต์เข้าในกลุ่มไลน์ ก่อนที่นายกฤษณ์ จะนำข้อมูลดังกล่าว ไปเผยแพร่ต่อในโซเชียลมีเดีย ยังไม่ยืนยันว่าเป็นผู้ผลิต แต่เชื่อว่าต้นตอยังกบดานอยู่ในกรุงเทพฯ คาดได้ตัวมาดำเนินคดีเร็ววันนี้
 

ป้ายถามหาประชาธิปไตยโผล่ ม.เชียงใหม่-ก่อนที่ จนท.จะปลดลงช่วงสาย


Sat, 2015-02-14 10:47

ป้าย "วันแห่งรักที่สดใส แต่ประชาธิปไตยมืดมน" ถูกติดตรงทางเดินริมถนน ใกล้หอพักชายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีผู้เห็นป้ายดังกล่าวตั้งแต่เช้ามืด ก่อนที่ช่วงสายจะมีเจ้าหน้าที่มาปลดลง

14 ก.พ. 2557 - ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า เช้าวันนี้ (14 ก.พ.) มีป้ายผ้าเขียนข้อความว่า "วันแห่งรักที่สดใส แต่ประชาธิปไตยมืดมน" ถูกติดไว้บริเวณทางเดินใกล้หอพักชาย อาคาร 3 ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยป้ายหันออกถนนหลักของมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตามไม่ทราบว่าผู้ใดนำมาติด

ทั้งนี้ มีผู้เห็นป้ายดังกล่าวตั้งแต่เวลา 06.00 น. เศษ จนกระทั่งเวลา 09.00 น. เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัยได้ปลดป้ายดังกล่าวลง

สำหรับความเคลื่อนไหวดังกล่าว เกิดขึ้นในขณะที่กลุ่ม "พลเมืองโต้กลับ Resistant Citizen" เตรียมจัดกิจกรรมที่หน้าหอศิลป์ กทม. ในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ เพื่อรำลึกถึงการเลือกตั้งทั่วไป 2 กุมภาพันธ์ 2557