วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558

พลเอกเลิศรัตน์ เผย รธน. ใหม่ จะให้เสรีภาพสื่ออย่างเต็มที่ แต่สั่งปิดได้ถ้าสร้างความเกลียดชัง

กมธ.ยกร่างฯ เผย ให้เสรีภาพสื่อฯเต็มที่ แต่อย่าสร้างความเกลียดชัง พร้อมห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเจ้าของ หรือถือหุ้นกิจการสื่อเด็ดขาด<--break- />
15 ม.ค. 2558 เว็บข่าวรัฐสภา รายงานว่า พลเอกเลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาและโฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึง ความคืบหน้าการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราว่า ในวันนี้ กมธ.ได้พิจารณาในภาค 1 หมวด 2 ประชาชน ส่วนที่ 2 สิทธิและเสรีภาพของบุคคล โดยมีการปรับแก้ไขในมาตราที่ 16 กำหนดให้บุคคลย่อมมีสิทธิเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย สะดวก รวดเร็ว อย่างเท่าเทียมกัน และได้รับการเยียวยาในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รับรองไว้โดย รัฐธรรมนูญหรือโดยกฎหมาย
ขณะที่มาตรา 18 กำหนดให้ครอบครัวย่อมมีสิทธิได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลือจากรัฐอย่างเป็นสุข เพียงพอและมีมาตรฐานการครองชีพที่เหมาะสม
สำหรับในส่วนของเสรีภาพของสื่อมวลชนได้เพิ่มเสรีภาพของสื่อมวลชนในมาตรา 20 โดยให้เสรีภาพในการประกอบวิชาชีพตามจริยธรรม เพื่อประโยชน์สาธารณะในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนอย่างถูกต้อง รอบด้าน รวมทั้งมีความรับผิดชอบต่อสังคมย่อมได้รับความคุ้มครอง และการสั่งปิดกิจการหรือสั่งห้ามสื่อมวลชนเสนอข่าวหรือแสดงความคิดเห็นเพื่อ ลิดรอนเสรีภาพตามมาตรานี้จะกระทำมิได้ เว้นแต่เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเกลียดชังกันระหว่างคนในชาติ หรือศาสนา หรือการใช้ความรุนแรงระหว่างกัน
พร้อมกำหนดให้เจ้าของกิจการสื่อมวลชนต้องเป็นพลเมือง และพลเมืองไม่สามารถเป็นเจ้าของกิจการหรือผู้ถือหุ้นสื่อไม่ว่าโดยทางตรงและ ทางอ้อมหลายกิจการ ในลักษณะที่อาจจะมีผลเป็นการครอบงำ ผูกขาด ขัดขวางเสรีภาพในการนำเสนอรับรู้ข้อมูลข่าวสาร อีกทั้งผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นใน กิจการสื่อมวลชนมิได้ ไม่ว่าในนามของตนเองหรือให้ผู้อื่นดำเนินการแทน รวมไปถึงรัฐจะให้เงินหรือทรัพย์สินอื่นหรือสิทธิประโยชน์อื่นใด เพื่ออุดหนุนกิจการสื่อมวลชนของเอกชนไม่ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังได้มีการบัญญัติคำว่า กลุ่มการเมือง ในมาตราที่ 27 กำหนดให้พลเมืองย่อมมีสิทธิทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญนี้ และมีเสรีภาพในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมือง เพื่อสร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองของพลเมืองให้เป็นไปตามเจตนารมณ์นั้นตามวิถี ทางการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ทั้งนี้พลเอกเลิศรัตน์ กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะพิจารณาเป็นรายมาตราให้เสร็จทั้ง สิ้น 89 มาตราตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยขณะนี้พิจารณาไปแล้ว 63 มาตรา เหลือการพิจารณาอีก 26 มาตรา ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับบททั่วไป และสิทธิเสรีภาพหน้าที่ของพลเมือง โดยในสัปดาห์หน้าจะเป็นการพิจารณาในภาค 3 ว่าด้วยนิติธรรม ศาลและองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ

‘นิคม-สมศักดิ์’ แจงละเอียด ปมถอดถอน ชี้ทำไปตามหลักการกฏหมาย

‘นิคม-สมศักดิ์’ แจงละเอียด ปมถอดถอน ชี้ทำไปตามหลักการกฏหมาย หวัง สนช. ให้ความเป็นธรรม ด้านวิชา มหาคุณย้ำ แม้ไม่มีรัฐธรรมนูญ 50 แล้วก็ยังถอดถอนได้ ส่วนพรเพรชระบุ 23 ม.ค. นี้ รู้ผลการถอดถอน
 15 ม.ค. 2558 เว็บข่าวรัฐสภา รายงานว่า ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งมีพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ซึ่งได้มีการประชุมเพื่อดำเนินกระบวนการถอดถอน นิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา จากกรณีพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว. โดยวันนี้เป็นขั้นตอนของการซักถาม
ก่อนเริ่มกระบวนการ พรเพชร ได้ย้ำว่า สมาชิก สนช. ไม่สามารถถามเพิ่มเติม จากคำถามของกรรมาธิการซักถามได้อีก  พร้อมกับได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า จะนัดแถลงปิดคดีถอดถอนนิคม และสมศักดิ์ ในวันที่ 21 ม.ค. นี้ เวลา 10.00 น.  ขณะที่ 22 ม.ค. จะเป็นวันแถลงปิดคดีถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่วนในวันที่ 23 ม.ค. จะเป็นวันลงมติถอดถอนทั้ง 2 สำนวน
จากนั้นเข้าสู่ขั้นตอนของกรรมาธิการซักถาม โดยได้ถาม ปปช. ซึ่งประเด็นคำถามมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินการของปปช. ต่อกรณีการทำหน้าที่ของนิคม ในฐานะรองประธานรัฐสภา และสมศักดิ์เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ประเด็นที่มา ส.ว.
วิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตอบข้อซักถามของกรรมาธิการซักถาม โดยย้ำว่าตามประกาศรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังให้อำนาจ ป.ป.ช. มีอำนาจในการไต่สวนชี้มูลความผิดได้  แม้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ยุติไปแล้ว และแม้ว่าบุคคลทั้งสองจะพ้นจากตำแหน่งแล้ว แต่ความผิดจะผูกพันกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดไป ซึ่งสามารถถอดถอนได้  โดยพบว่าการกระทำของนิคม ในฐานะรองประธานรัฐสภา และสมศักดิ์ ในฐานะประธานรัฐสภา ได้กระทำการจงใจส่อขัดกับรัฐธรรมนูญ และผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง เนื่องการไม่รับฟังความเห็นของสมาชิกเสียงข้างน้อย เป็นการรวบรัดตัดสิทธิ์ผู้จะอภิปรายในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ในวาระ 2 การกระทำของทั้งสองคน จึงถือว่าไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่รับฟังอย่างรอบด้านจะส่งผลกระทบต่อการปกครองประเทศครั้งใหญ่  เพราะรัฐธรรมนูญถือเป็นกฎหมายสูงสุด   
ทั้งนี้การทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ต้องคำนึงถึงหลักนิติธรรม ใช้อำนาจโดยสุจริต ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน รับฟังเสียงข้างน้อย เพื่อให้ความเป็นธรรม แต่การกระทำของทั้งสองกลับตรงข้าม ทั้งนี้นิคมในฐานะที่เป็นสมาชิกวุฒิสภา แต่หวังแก้รัฐธรรมนูญให้สมาชิกวุฒิสภาสามารถดำรงตำแหน่งได้เกิน 1 วาระ จึงถือว่านายนิคมมีผลประโยชน์ทับซ้อน
ขณะที่ในส่วนของสมศักดิ์ นอกจากความผิดที่เหมือนกันกับนายนิคมแล้ว ยังพบว่า มีหลายข้อที่ส่อว่าทำหน้าที่โดยมิชอบ คือ การนำเอาญัตติรองคือญัตติขอปิดประชุม มาใช้กับญัตติหลักคือการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งตามหลักไม่สามารถทำได้   / การนับเวลากำหนดการแปรญัตติย้อนหลังจนทำให้เหลือเวลาแปรญัตติเพียง 1วัน / การให้ลงมติในวาระ3 ทั้งที่กระบวนการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ถูกต้อง / ส่วนกรณีการสับเปลี่ยนร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขที่เสนอโดยอุดมเดช รัตนเสถียร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นฉบับอื่นโดยไม่มีสมาชิกรัฐสภาลงชื่อรับรอง มาพิจารณาในวาระรับหลักการ ยังอยู่ในระหว่างการไต่สวนว่าจะเป็นคดีอาญาด้วยหรือไม่
ด้านนิคม อดีตรองประธานรัฐสภา ตอบคำถามกรรมาธิการซักถาม โดยกล่าวว่า ตนไม่ได้ปิดประชุมเพื่อเร่งรัดแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งการขอปิดประชุมนั้น ได้มีผู้เสนอเป็นญัตติ โดยตนได้ถามในที่ประชุมว่ามีใครเห็นเป็นอื่นหรือไม่ ปรากฎว่าไม่มีผู้เห็นเป็นอื่น ตนจึงสามารถสั่งปิดประชุมได้ตามข้อบังคับการประชุม ส่วนกรณีไม่ให้สมาชิกรัฐสภา 57 คน อภิปรายในการประชุมแก้ไขรัฐธรรมนูญเนื่องจากพบว่า แปรญัตติขัดหลักการจึงขอยืนยันว่า  ตนไม่ได้กระทำการขัดต่อข้อบังคับการประชุมและรัฐธรรมนูญตามที่ถูกกล่าวหาพร้อมระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรี  ส.ส. ส.ว.  ประชาชน และตนไม่ได้คิดว่าการแก้รัฐธรรมนูญ ให้ ส.ว. มาจาการเลือกตั้งทั้งหมด จะทำให้ตนได้เป็น ส.ว. อีก
ขณะที่สมศักดิ์ อดีตประธานรัฐสภา ตอบคำถามกรรมาธิการซักถาม โดยขอปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงในข้อหาปลอมแปลงร่างรัฐธรรมนูญ เพราะร่างดังกล่าวนายอุดมเดชได้มีการแก้ไขในขั้นตอนธุรการ ซึ่งสำนักการประชุมก็ได้ตรวจสอบและอนุญาตให้แก้ไขได้ เพราะตนยังไม่ได้ลงนามบรรจุลงระเบียบวาระ ดังนั้นจึงยังแก้ไขร่างได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ  ซึ่งต่อมาตนได้ดำเนินการบรรจุลงระเบียบวาระภายใน 15 วัน ตามรัฐธรรมนูญกำหนด จึงขอยืนยันว่า ร่างที่เข้าสู่การพิจารณาคือ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับอุดมเดช ของแท้อย่างแน่นอน ส่วนที่ไม่ได้ขอให้สมาชิกลงชื่อรับรองฉบับที่แก้ไขใหม่ ตนได้ถามไปยังเจ้าหน้าที่แล้ว ทราบว่า ตามแนวทางปฏิบัติ จะให้ผู้เสนอหลักคือ อุดมเดช เป็นผู้นำเสนอเพื่อขอแก้ หลังจากนั้นก็จะแจ้งให้สมาชิกทราบโดยผ่านคณะกรรมการประสานงานของแต่ละพรรคทราบ  เพราะที่ผ่านมาในสมัยพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย ก็ปฏิบัติกันมาเช่นนี้ ตนจึงขอถามกลับไปว่า หากเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เหตุใดจึงไม่ทักท้วง แต่กลับปล่อยมาจนถึงขณะนี้     
ส่วนกรณีแปรญัตติ 1 วันนั้น ขอยืนยันว่า ตามข้อบังคับข้อ 96  ให้นับกำหนดวันแปรญัตติ  15 วัน ถัดจากวันที่รับหลักการ ซึ่งรัฐสภารับหลักการ 4 เม.ย.56 ดังนั้นครบกำหนดแปรญัตติ 19 เม.ย. 56 ซึ่งถูกต้องและไม่ได้เหลือวันแปรญัตติเพียง 1 วันตามที่ถูกกล่าวหา    
ขณะที่การกดบัตรแทนกัน ตนได้ทราบหลังจากที่มีข่าว และได้ตั้งกรรมการตรวจสอบ แล้วตามหน้าที่ประธาน  ซึ่งประเด็นกดบัตรแทนเป็นความผิดเฉพาะบุคคลที่ทำ จึงไม่ได้เป็นมูลเหตุให้มาถอดถอนตน  ขณะที่ประเด็นการตัดสิทธิ์ผู้อภิปราย 57 คนนั้น มีรายงานว่าแปรญัตติขัดข้อบังคับ กรรมาธิการจึงนำเสนอเข้าที่ประชุมเพื่อพิจารณา ซึ่งตนในฐานะประธานมีสิทธิ์ที่จะวินิจฉัย แต่ตนกลับเปิดให้มีการหารือ ขอให้สิทธิ์ 57 คนได้อภิปรายต่อโดยหารือต่อที่ประชุมกว่า 10 ชั่วโมง  และสุดท้ายก็ได้มีการขอมติที่ประชุมตามข้อบังคับ 117  ซึ่งสุดท้ายที่ประชุมลงมติว่า 57 คน แปรญัตติขัดข้อบังคับ ตนจึงต้องถือตามมตินี้เป็นเด็ดขาด ขอย้ำว่าตนไม่ได้รวบรัดการประชุมเพื่อลงมติ และไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ    
ส่วนกรณีไม่ได้มาร่วมแถลงเปิดคดีนั้น  ตนได้ชี้แจงไว้ในเอกสารอย่างละเอียด จึงคิดว่าจะไม่รบกวนเวลาของ สนช. พร้อมยืนยันว่า ตนไม่ได้ทำอะไรผิด ที่จะนำไปสู่การถอดถอน ตนมาในวันนี้เพื่อตามหาความยุติธรรม หาก สนช. ให้ความกับตนไม่ได้ ตนก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหนได้อีก
ขณะที่ในวันพรุ่งนี้ (16 ม.ค. 2558) จะเป็นการประชุมเพื่อซักถาม ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปมถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ฐานปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว

ทนาย 'ยิ่งลักษณ์' แจงเหตุไม่มาตอบข้อซักถาม สนช.

ทนายยิ่งลักษณ์แจงเหตุมอบหมายรัฐมนตรีที่รับผิดชอบโครงการรับจำนำข้าวตอบข้อซักถาม สนช.แทน เพราะรู้รายละเอียดในฐานะผู้ปฏิบัติ ชี้แถลงคัดค้านครบทุกข้อกล่าวหาแล้ว แต่ยืนยันมาแถลงปิดคดี 22 มกราคมแน่นอน
 
16 ม.ค. 2558 สำนักข่าวไทยรายงานว่านายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ไปตอบข้อซักถามที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในการพิจารณาถอดถอนวันนี้ (16 ม.ค.) ว่า ข้อบังคับการประชุมสนช. ข้อที่ 154 เปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องสามารถมอบหมายผู้แทนเป็นผู้ชี้แจงได้ ผู้ถูกกล่าวหาจึงขอใช้สิทธิตามข้อบังคับที่จะให้ผู้แทนคดีตอบข้อซักถามแทนจนกว่าจะเสร็จ อีกทั้งที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แถลงคัดค้านและชี้แจงต่อเรื่องที่ถูกการกล่าวหาทุกประเด็นครบถ้วนแล้ว
 
“ขั้นตอนนนี้หากมีข้อซักถามใดคณะทนายความเห็นว่าบรรดารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในฐานะผู้บริหารกำกับแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าวสามารถเป็นผู้รู้และทราบข้อเท็จจริงโดยละเอียด ที่จะชี้แจงตอบข้อซักถามได้ เพราะเป็นผู้ปฎิบัติงานในโครงการรับจำนำข้าวโดยตรงอยู่แล้ว คณะทนายความจึงเสนอน.ส.ยิ่งลักษณ์ว่าควรมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้แทนคดีเป็นผู้ตอบข้อซักถามในวันนี้ ประกอบกับขั้นตอนการพิจารณาคดียังไม่เสร็จสิ้น ยังเหลือวาระในเรื่องของการแถลงปิดคดีอีก” นายนรวิชญ์ กล่าว
 
นายนรวิชญ์ กล่าวว่า ขอให้สนช.วางตัวเป็นกลาง ไม่มีอคติ และขอให้ฟังข้อมูลข้อเท็จจริงที่อดีตรัฐมนตรีทุกคนชี้แจง จะได้ทราบว่าอดีตนายกรัฐมนตรีไม่เคยละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และไม่ได้กระทำผิดกฎหมาย อีกทั้งขอให้สมาชิก สนช. ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรม ไม่มีวาระซ่อนเร้นทางการเมืองเพียง เพื่อต้องการล้มล้างคณะรัฐมนตรีที่มาจากระบอบประชาธิปไตยและมาจากการเลือกตั้งของประชาชนเท่านั้น ทั้งนี้ในวันแถลงปิดคดี ในวันที่ 22 มกราคม น.ส.ยิ่งลักษณ์จะมาแถลงปิดคดีด้วยตนเอง

ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาคดีซ้อมทรมาน 20 ม.ค. นี้


ศาลปกครองสูงสุดเตรียมพิจารณาคดีครั้งแรก คดีนายรายู ดอคอ ผู้เสียหายที่ถูกซ้อมทรมาน ฟ้องกระทรวงกลาโหมกองทัพบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักนายกรัฐมนตรี 20 มกราคม 2558 นี้
 
​16 ม.ค. 2558 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมแจ้งข่าวว่าศาลปกครองสูงสุดกำหนดวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกวันที่ 20 มกราคม 2558 เวลา 09.30 น. ณ ห้องพิจารณาคดีที่ 12 อาคารศาลปกครองชั้น 3 (ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ) ในคดีของศาลปกครองสูงสุด หมายเลขดำที่ อ.464/2555 ซึ่งคดีดังกล่าว นายรายู ดอคอ ในฐานะผู้ฟ้องคดี ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสงขลา เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2553 เรียกค่าเสียหายจาก กระทรวงกลาโหม กองทัพบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึง ที่ 3 ตามลำดับ และต่อมาในระหว่างพิจารณาคดี ศาลปกครองสงขลาได้มีคำสั่งเรียกสำนักนายกรัฐมนตรีเข้ามาในคดี เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 39 อยู่ในความควบคุมบังคับบัญชาและรับผิดชอบของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ซึ่งสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี. ศาลปกครองสงขลาได้แสวงหาข้อเท็จจริงทั้งจากผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีเป็นเวลากว่า 2 ปี จนมีคำสั่งศาลปกครองสงขลาเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2555
 
ทั้งผู้ฟ้องคดี และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ต่างก็ได้ยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองสุดสุดจึงได้กำหนดออกนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก ในวันที่ 20 มกราคม 2558 เวลา09.30 น. ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งในวันนัดดังกล่าวนี้ คู่ความทั้งสองฝ่ายต่างก็มีสิทธิทำคำแถลงเป็นลายลักษณ์อักษรและแถลงด้วยวาจา ต่อองค์คณะตุลาการผู้พิจารณาคดี
 
คดีนี้เป็นคดีสองคดีแรกที่เหยื่อผู้ถูกควบคุมตัวและซ้อมทรมานตามอำนาจของกฎอัยการศึกในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ใช้สิทธิทางศาลในการฟ้องคดีเพื่อให้หน่วยงานรัฐ(กองทัพบกและกระทรวงกลาโหม) รับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ซึ่งอยู่ในสังกัดของตนที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 โดยยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2552 และต่อมาศาลแพ่งได้โอนคดีไปศาลปกครองสงขลา เนื่องจากการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกอยู่ในอำนาจศาลปกครอง ผู้ฟ้องคดี ได้นำคดีมาฟ้องใหม่ที่ศาลปกครองเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2553 ศาลได้แสวงหาข้อเท็จจริงทั้งจากผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีเป็นเวลากว่า 2 ปี จนมีคำสั่งศาลปกครองสงขลาเมื่อวีนที่ 14 มีนาคม 2555
 
อีกทั้งคดีนี้จึงเป็นคดีหนึ่งในสองคดีแรกในกระบวนการยุติธรรมไทยที่มีการยื่นรายงานทางการแพทย์จากการทรมานเพื่อประกอบการพิจารณาของศาลและเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรการเยียวยาความเสียหายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 32 ซึ่งบัญญัติถึงสิทธิของบุคคลที่จะไม่ถูกทรมานและสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสม ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อไป
 
ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์
 
เมื่อวันที่ 19 ถึง 21 มีนาคม 2551 ต่อเนื่องกัน เจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ควบคุมตัวนายรายู ดอคอ รวมทั้งอิหม่ามยะผา กาเซ็ง และบุคคนอื่น ๆ ในครอบครัวอิหม่ามยะผา ไปแถลงข่าวว่าเป็นสมาชิกกลุ่มก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แล้วนำตัวไปควบคุมในรถคุมขังผู้ต้องหาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งจอดอยู่ฐานปฏิบัติการทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 39 และเจ้าหน้าที่ทหารหลายคนได้ร่วมกันซ้อมทรมานนายรายู และอิหม่ามยะผา เพื่อให้รับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเหตุให้นายรายูได้รับบาดเจ็บต่อร่างกายและความทุกข์ทรมานต่อจิตใจ ส่วนอิหม่ามยะผาถึงแก่ความตาย
 
นายรายูขณะเกิดเหตุอายุเพียง 18 ปี ขณะถูกนำตัวไปซักถาม และถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ จากการทรมานอย่างทารุณโหดร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นเหตุให้นายรายู ดอคอฟ้องคดีโดยขอความช่วยเหลือทางคดีจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรมและมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม เรียกค่าเสียหายจากหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ และศาลปกครองสงขลารับคดีไว้พิจารณา โดยศาลได้ไต่สวนและมีคำสั่งอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลตามที่ผู้ฟ้องคดียื่นคำร้องขอด้วย ​
 
การดำเนินคดีและผลของคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นจังหวัดสงขลา
 
คดีนี้ นายรายู ได้ฟ้องขอให้ศาลปกครองได้โปรดมีคำพิพากษาให้หน่วยงานของรัฐ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึง ที่ 3 รับผิดชอบดังต่อไปนี้
 
1. ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าสินไหมทดแทนค่าเสียหายต่อร่างกายและอนามัย ค่าเสียหายอันเกิดจากการได้รับทุกขเวทนาต่อจิตใจ จำนวน จำนวน 918,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้องเงินจำนวน 750,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดี
 
2. ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ชำระเงินค่าสินไหมทดแทนค่าค่าเสียหายต่อชื่อเสียงจำนวน 306,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 250,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดี
 
3. ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าสินไหมทดแทนค่าขาดไร้ประโยชน์จากการทำมาหาได้ และค่าเยียวยาความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพในร่างกาย อนามัย และจิตใจจากการที่ถูกเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสาม จับกุม คุมขัง ทำร้ายร่างกาย ทรมาน ทารุณกรรม หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายไร้มนุษยธรรม จำนวน 773,465 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 631,400 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดีรวมทั้งสิ้น รวมเรียกร้องค่าเสียหายทั้งสิ้น 1,998, 465 บาทรวมดอกเบี้ย
 
ในวันที่ 14 มีนาคม 2555 ศาลปกครองชั้นต้น (ศาลปกครองสงขลา) ได้มีคำสั่งให้สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดให้แก่ผู้ฟ้องคดี เป็นค่าเสียหายต่อร่างกายและอนามัย การได้รับความทุกขเวทนาต่อจิตใจ ความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพ เป็นเงินจำนวน 200,000 บาท ค่าขาดประโยชน์จากการทำมาหาได้ เป็นเงินจำนวน 10,800 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 210,800 บาท และเมื่อหนี้ดังกล่าวเกิดจากการกระทำละเมิด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 จึงต้องรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 19 มีนาคม 2551 ซึ่งเป็นวันกระทำละเมิด โดยดอกเบี้ยดังกล่าวคิดถึงวันที่ 22 มิถุนายน 2553 ซึ่งเป็นวันฟ้องเป็นเวลา 827 วัน เป็นเงิน 35,821.56 บาท และต้องเสียดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2553 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดีด้วย โดยให้ชำระให้เสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด คำขอนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ทั้งนี้เนื่องจากศาลปกครองสงขลาได้วินิจฉัยว่าการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 39 ซึ่งสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ทำร้ายร่างกายผู้ฟ้องคดี

แบนไอจีน้องสาวพระเอกดัง : แหกกฎสื่อโซเชียลฯ ละเมิดเด็ก, ลูกบุญธรรมและสินค้า

นักสิทธิเด็ก-แอดมินเพจดังหนุนกฎเหล็กไอจี-โซเชียลฯ ย้ำเจตนาดี พบประถมกว่า 80% แหกกฎเฟซบุ๊ก เสี่ยงภัยอาชญากรอินเทอร์เน็ต จิตแพทย์ชี้เกิดเหตุล่อลวงแล้ว นักกฎหมายจี้รัฐและสถานศึกษาเร่งบรรจุทักษะเท่าทันสื่อเข้าระบบการสอน
ประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ขณะนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องบัญชีอินสตาแกรมของน้องสาวบุญธรรมนักแสดงหนุ่มช่องน้อยสี ที่ถูกทางอินสตาแกรมให้เหตุผลการระงับบัญชีผู้ใช้งาน เนื่องจากละเมิดนโยบายห้ามผู้ใช้งานอายุต่ำกว่า 13 ปี เป็นเจ้าของบัญชี และไม่ได้ใช้งานบัญชีเองซึ่งงานนี้เหล่าแฟนคลับถึงกับช่วยกันถล่ม IG ของผู้บริหาร Instagram ว่า Please, Don't delete พร้อมกับแฮชแท็ก ให้กำลังใจจากพี่ชายสุดหล่อ #supportxxxเพื่อให้ยุติการระงับใช้งานบัญชีอินสตาแกรมดังกล่าว
ยังคงกินพื้นที่สื่อจนเป็นกระแสสังคมได้อย่างต่อเนื่อง กรณีน้องสาวบุญธรรมสุดท้องของพระเอกสามพี่น้องช่องน้อยสี ที่อยู่ในความสนใจของสังคมตลอดเวลา ตั้งแต่งรับเข้าอุปการะ โดยจากการใช้งานอินสตาแกรมที่ผ่านมาของครอบครัวดังกล่าว มีการลงรูปครอบครัวและกิจกรรมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มรับเด็กน้อยคนดงกล่าวเข้ามาอุปการะ รวมถึงอัพเดทกิจกรรมและพัฒนาการอันน่ารักน่าชังต่อเนื่องเกือบทุกวัน จนมีแฟนคลับจำนวนถึง 1 ล้าน 1 แสนคนภายในเวลา 2 ปี 
ความฮอตฮิตของเด็กน้อยและภาพลักษณ์ที่ดีของครอบครัวสามารถดึงดูดให้เจ้าของผลิตภัณฑ์สินค้าในกลุ่มเป้าหมายครอบครัวใช้บริการครอบครัวคนดังได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการใช้พื้นที่ทางอินสตาแกรมของสมาชิกครอบครัวและเด็กน้อยคนดังในการเป็นอีกช่องทางในการโปรโมตด้วย
ก่อนหน้านี้ หนูน้อยคนดังกล่าว เป็นประเด็นของการวิพากษ์วิจารณ์เมื่อที่นิตยสารแฟชั่นฉบับหนึ่งนำน้องมาขึ้นปก นำเสนอในลักษณะเป็น “คู่จิ้น” และมีภาพประกบปากกับพระเอกสุดฮอตจาก แม้คนไทยจะมองในมุมน่ารัก จนถึงกับตั้งกลุ่มแฟนคลับจับคู่เด็กน้อยวัยไม่เพิ่งครบ 2 ขวบกับนักแสดงชาย อายุ 21 ปี แต่ถ้าหากมองในอีกมุมหนึ่งในต่างประเทศค่อนข้างเคร่งครัดกับการนำเสนอภาพของเด็กในลักษณะดังกล่าว ซึ่งล่อแหลมต่อการถูกมองว่าเป็นการการสนับสนุนทางอ้อมให้เกิดการละเมิดสิทธิเด็ก เมื่อภาพที่ลงไปในนิตยสารสื่อออกมาในเรื่องของการละเมิดสิทธิเด็กแบบที่คนไทยมองข้าม ในกลุ่มแฟนคลับมีการใช้สื่อสังคมออนไลน์นำเสนอกันจับคู่กันอย่างสาธารณะ ในลักษณะที่สื่อสารออกมากลายเป็นเรื่องของการละเมิดสิทธิเด็กอย่างชัดเจนโดยไม่รู้ตัว
และหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ทางอินสตาแกรมจะทำการระงับบัญชีเด็กน้อยคนดัง ผู้ปกครองได้ทำการการลงวิดีโอเด็กในลักษณะห่มผ้าเช็ดตัวทาครีม แม้หลายคนจะมองว่าวิดีโอที่อัพโหลดลงสื่อออกไปเป็นในมุมของความน่ารัก แต่ถ้ามองในเรื่องของสิทธิเด็กถือว่าผู้ปกครองนั้นละเมิดเด็กเองแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นสิ่งที่ทำให้คนไทยต้องกลับมาอ่อนไหวต่อประเด็นดังกล่าวอย่างหนัก เพราะผู้ใช้สื่อนั้นคือผู้ที่มีประชาชนติดตามหลักล้านและเป็นบัญชีสาธารณะ ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ แม้แต่ผู้ที่ไม่ประสงค์ดีต่อตัวเด็ก ในหลายภาคส่วนคงต้องกลับมาคำนึงอย่างหนักโดยเอาความรู้สึกของตัวเด็กเป็นที่ตั้ง ถ้าหากเมื่อถึงช่วงอายุที่ตัวของเด็กนั้นเริ่มมีวุฒิภาวะมากพอ ตัดสินใจอะไรเองได้ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย จะรู้สึกอับอายต่อรูปภาพ วิดีโอ ที่ถูกนำเสนอออกไปอย่างสาธารณะนั้นมากน้อยแค่ไหน คงเป็นสิ่งที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เพราะในช่วงเวลาที่ชีวิตของเด็กได้ถูกนำเสนอเป็นรูปแบบของเรียลลิตี้รายวันนั้น ตัวเด็กเองยังไม่มีสถานะที่สามารถรับรู้ได้ว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่ทำคือการถูกละเมิด เพราะฉะนั้นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะผู้คุ้มกันทักษะเท่าทันสื่อเองก็ต้องเอาเรื่องความความรู้สึกของเด็กเป็นหลักมากกว่า จะทำเพื่อตอบสนองแต่ความต้องการของตัวเอง จนกลายเป็นเรื่องละเมิดสิทธิเด็กแบบไม่ตั้งใจ
นักพิทักษ์เด็กชี้หากเกิดปัญหาในอนาคตลบไม่ได้ ย้ำปิดมีเจตนาดี
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงการใช้อินสตาแกรมของผู้ปกครองว่าเป็นละเมิดเด็กผ่านการใช้สังคมออนไลน์ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก วาสนา เก้านพรัตน์ กล่าวว่า ไม่อยากให้มองเป็นการเจาะจงเป็นเรื่องของเด็กคนดัง แต่ควรจะมองเป็นภาพรวม เพื่อเป็นการปกป้องสิทธิเด็ก ทำเพื่อการปกป้อง จะพูดถึงเรื่องของเด็กที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นเจ้าของแอคเคาท์เมื่อเด็กมีวุฒิภาวะมากพอ สามารถเลือกในสิ่งที่รับรู้ได้ ซึ่งในปกติถ้าเด็กอายุน้อยเกินไปวุฒิภาวะยังไม่มี และสิ่งที่มีการโพสต์เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ทำ ส่วนเด็กไม่รู้ผลที่ตาม หน่วยงานอาจมองภาพของเด็กไปปรากฏอยู่ตามสื่อ เป็นเรื่องของผลกระทบที่มองได้สองมุม มุมหนึ่งเป็นเรื่องการนำเสนอข้อมูลเคลื่อนไหวรายวันของเด็ก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจจะมีความเป็นห่วง เพราะว่าผลกระทบของการที่เด็กมีภาพไปปรากฏในออนไลน์ ในอีกมุมคือคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วรู้เท่าทันสามารถลุกขึ้นมามองในแง่ของการปกป้อง เป็นการดูในเรื่องของละเมิด โดยส่วนตัวอยากให้ดูที่เจตนารม ถ้าเกิดว่าการที่ไปปรากฏภาพแบบนั้น แล้วมีโอกาสที่ได้รับผลกระทบจากการไปโพสต์ว่าอยู่ที่ไหนทำอะไรวันไหนคนที่คิดร้ายอยู่ ก็จะเกิดความเสี่ยง แบบนี้ถือว่ามองต่างมุม แต่ถ้ามองในแง่ของเรื่องสิทธิเด็ก ในเรื่องของสิทธิการตัดสินใจ แบบนั้นก็ต้องไปดูเรื่องของวุฒิภาวะ เป็นเรื่องวุฒิภาวะโดยตรงหรือเป็นการกระทำของผู้ใหญ่ต่อเด็ก ทำเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเราเองหรือทำเพื่อตอบสนองความต้องการของเด็ก
“การที่ผู้ใหญ่โพสต์ภาพเด็กลงไปในออนไลน์การลงรูปแล้วลงเลย ถ้าเกิดเป็นภาพที่ดีแง่บวกก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเกิดจริงๆเด็กเขาไม่รู้เรื่องด้วยไง ถ้าเกิดปัญหามันตามมาในอนาคตเป็นอย่างไร มันไปลบตรงนั้นมันไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นมองในมุมของการที่ไปละเมิดเด็กในสิทธิในเรื่องของไอจี แต่ว่าเอาเข้าจริงๆคนที่เขาคุมระบบแล้วเค้าปิด เขาก็มีเจตนาดี” ผอ.มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก กล่าว
พลเมืองเน็ตฯ ชี้เป็นแค่เรื่องละเมิดนโยบายของผู้ให้บริการ
ขณะที่ อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ต ได้แสดงความคิดเห็นต่อกรณีเด็กคนดังถูกปิดอินสตาแกรมว่า อยากให้มองเฉพาะประเด็นในเรื่องการถูกทางอินสตาแกรมปิดบัญชี เนื่องจากละเมิดนโยบายผู้ใช้งานอายุต่ำกว่า 13 ปี เป็นเจ้าของบัญชี และไม่ได้ใช้งานบัญชีเอง เป็นแค่เรื่องของการผิดนโยบายของทางผู้ให้บริการ ไม่อยากให้มองในเรื่องเป็นการละเมิดเด็กของผู้ปกครอง
แอดมินเพจดังหนุนกฎจำกัดอายุเด็กไอจีและสื่อโซเชียลฯ
ด้านเพจแอดมินเพจ ‘ความรู้สนุกๆแบบหมอแมว’ โพสต์แสดงความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าวว่าเนื่องจากอายุน้อยกว่า 13 ปี เกิดข้อสงสัยว่าทำไม IG เข้มงวด เพราะคนที่โพสต์และดูแลก็คือผู้ปกครอง หลายคนเกิดการโมโหเรียกร้อง Instagram ให้ยกเลิกกฎนี้ ในความเป็นจริงไม่ใช่กฎของ Instagram แต่คือกฎหมาย The Children's Online Privacy Protection Act หรือ COPPA เป็นกฎหมายของสหรัฐที่ใช้ในปี 2000 เพื่อควบคุมอายุของเด็กที่ใช้โซเชียลมีเดียกฎหมายนี้ร่างในปี1998หลังกรณีเด็กวัย12ปีถูกเพื่อนกลั่นแกล้งอย่างรุนแรงผ่านทางโซเชียลมีเดียจนฆ่าตัวตาย
แอดมินเพจ‘ความรู้สนุกๆแบบหมอแมว’กล่าวเสริมด้วยว่า กฎหมายนี้มีการสร้างขึ้นมาบนหลักการที่ว่า
-           มีงานวิจัยว่าเด็กที่อายุน้อยกว่า 12 ปี มีความเติบโตทางสมองในแง่การตัดสินใจและรับรู้ที่ยังไม่สมบูรณ์ มีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดต่อสื่อสารที่ผิดพลาดและส่งผลเสียต่อตนเองและผู้อื่นได้
-           เด็กอายุ 12 ในเมื่อยังไม่เดียงสาพอ ภาพและข้อมูลที่ออกไปจากตัวเด็กมีโอกาสส่งผลต่อความลับและความเป็นส่วนตัวของเด็กในอนาคต ดังนั้นหากจะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว ต้องมีผู้ดูแล(ผู้ปกครอง) รวมทั้งทางผู้จัดหาบริการsocial media รายนั้นๆ จะต้องจัดการระบบให้คุ้มครองความลับของเด็ก รวมทั้งต้องจัดการให้อยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
“ในปัจจุบัน Social media หลายตัวเช่น Facebook Twitter Instagram ต่างก็มีกฎนี้อยู่ในตอนสมัครและในYoutube ห้ามไปถึง 18 ปี โดยถ้าอายุน้อยกว่า18แต่มากกว่า13ปี สร้างได้หากผู้ปกครองจัดการให้” แอดมินเพจความรู้สนุกๆแบบหมอแมวกล่าว
ตัวอย่างนโยบายข้อกำหนดผู้ใช้งานเจ้าของบัญชี ของเฟซบุ๊ก
ประถมโกงปีเกิดเล่นเฟซบุ๊ก
จากกรณีที่เฟซบุ๊กมีนโยบายจำกัดการใช้งานของเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี ดังกล่าว ซึ่งเกณฑ์อายุการเข้าใช้งาน มาจากทางสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก เนื่องจากปัญหาอาชญากรรมเกี่ยวกับเด็กค่อนข้างบ่อย เช่น เรื่องการละเมิดเด็ก ปัญหาเด็กหายและการขโมยเด็ก เป็นต้น(ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ สมบัติ บุญงามอนงค์ ประธานมูลนิธิกระจกเงา) โดยการใช้งานเฟซบุ๊กเป็นการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้ผู้อื่นเข้าถึงตัวผู้ใช้ได้ง่าย ดังนั้นทางเฟซบุ๊กจึงออกนโยบายเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว (Privacy) โดยไม่มีการเปิดเผยข้อมูลของเด็กที่อายุต่ำกว่า 13 ปี เป็นการป้องกัน ถึงกระนั้นในประเทศไทยเราสามารถพบเห็นการใช้ของเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี ได้จำนวนมาก ซึ่งเกณฑ์อายุอยู่ในสภาวะเสี่ยงถูกล่อลวง ล่วงละเมิด หรือการแสวงหาผลประโยชน์จากตัวเด็กได้ในทุกรูปแบบ
เด็กประถมกทม.กว่า80%เล่นเฟซบุ๊ก
การสำรวจของหนังสือพิมพ์ “หอข่าว” ปีที่ 22 ฉบับที่ 1 ประจำวันที่ 27 มกราคม – 1 กุมภาพันธ์ 2557 ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยสุ่มสอบถาม ระหว่างวันที่  24 - 27 ธ.ค. 2556 ถึงการใช้งานเฟซบุ๊กของเด็กนักเรียนอายุต่ำกว่า 13 ปี ในระดับประถมศึกษา จำนวน 100 คน โรงเรียนละ 20 คน จาก ทั้งหมด 5 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนแสงอรุณ โรงเรียนวิชูทิศ โรงเรียนราชวินิต โรงเรียนพิบูลอุปถัมภ์ โรงเรียนประชาราษฎร์ บำเพ็ญ ในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานครพบว่า เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี จำนวน 100 คน มีบัญชีและมีการใช้งานเฟซบุ๊ก จำนวน 86 คน โดยสมัครเองด้วยวิธีโกงปีเกิดจำนวน 78 คน ผู้ปกครองสมัคร ให้จำนวน 5 คน และมีเพียง 3 คนเท่านั้นที่เพื่อนสมัครให้ ใน ด้านการใช้งานส่วนใหญ่เด็กบอกเพื่อติดต่อพูดคุยกับเพื่อน ตาม มาด้วยเล่นเกมส์ และสุดท้ายคือติดตามข่าวในเรื่องที่ตนสนใจ
เด็กนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาจำนวนมากเข้าถึงการใช้งานเฟซบุ๊กผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ผู้สื่อข่าวจึงได้ทำการลงพื้นที่สุ่มสอบถามการใช้งานเฟซบุ๊กของเด็กประถมที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี จำนวน 100 คน พบว่า มีผู้ใช้งานเฟซบุ๊กจำนวน 86 คน โดยสมัครเองด้วยการโกงปีเกิดจำนวน 78 คน ผู้ปกครองสมัครให้จำนวน 5 คน เพื่อนสมัครให้จำนวน 3 คน การใช้งานเฟซบุ๊กของเด็กโดยส่วนใหญ่เพื่อติดต่อพูดคุยกับเพื่อน เล่นเกมส์ ติดตามข่าวที่สนใจ
ในเฟซบุ๊กมักมีการโพสต์ข้อความคอมเมนต์พูดคุยกันด้วยภาษาที่ไม่เหมาะสม ใช้ถ้อยคำที่รุนแรง หยาบคาย หรือการแชร์รูปภาพและข้อความที่มีลักษณะไปทางลามก อนาจาร ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น รวมไปถึงเพจอันตรายในเฟซบุ๊ก เช่น การพนัน ยาเสพติด ขายอาวุธเถื่อน ลามก เป็นต้น
รายงานของหนังสือพิมพ์ “หอข่าว” ดังกล่าวยังระบุจากการสุ่มสัมภาษณ์ถามเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี ที่ใช้งานเฟซบุ๊กโดยปัญหาส่วนใหญ่คือ ทราบว่าเฟซบุ๊กมีเพจที่ไม่เหมาะสมอะไรบ้าง แต่ไม่เห็นถึงความเสียหายหรือภัยอาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้นกับตนแฝงมากับการใช้งานเฟซบุ๊ก ที่สำคัญคือเด็กเหล่านั้นไม่ทราบเรื่องกฎหมายการกระทำความผิดเกี่ยวกับการใช้อินเทอร์เน็ตที่เป็นส่วนสำคัญมากในการใช้งานโซเชียลมีเดียหรือการท่องโลกออนไลน์
รวมทั้งจากการสัมภาษณ์ของอาจารย์ประจำวิชาสารสนเทศและผู้อำนวยการโรงเรียนพร้อมพรรณพิทยานั้นได้กล่าวไปในทำนองเดียวกันว่า การห้ามไม่ให้เด็กใช้งานนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ แต่ทางกระทรวงศึกษาธิการควรเร่งบรรจุทักษะเท่าทันสื่อเข้าระบบการเรียนการสอน เพื่อให้เด็กรู้จักใช้สื่อและเท่าทันสื่อ เช่นเดียวกันกับประธานเครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า การกรอกแค่ วัน เดือน ปีเกิด ในการสมัครเข้ารับบริการเฟซบุ๊กนั้นเป็นมาตรการที่ไม่สามารถดูแลหรือป้องกันได้ เพราะว่าใครจะโกงอายุก็ได้การป้องกันที่ดีคือการสร้างภูมิคุ้มกันด้านการรับสื่อให้กับเด็ก ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลรามคำแหงและทราบข้อมูลกรณีตัวอย่างของคนไข้ที่มาปรึกษากับจิตแพทย์นั้นเป็นเด็กอายุ 11 ขวบ ที่ถูกล่อลวงทางเฟซบุ๊ก ในด้านกฎหมายที่ควบคุมอาชญากรรมในอินเทอร์เน็ตที่อาจเกิดขึ้นผ่านเฟซบุ๊กนั้น อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ชี้แจงในเรื่องนี้ว่า ช่องโหว่ทางกฎหมายเยอะมากและไม่ครอบคลุม ทางที่ดีที่สุดที่จะยับยั้งการเกิดปัญหาคือ พ่อแม่ สถานศึกษา และภาครัฐต้องร่วมกันให้ความรู้แก่เด็กและเยาวชน
จิตแพทย์เตือนเด็กอาจถูกล่อลวงทางเพศ
พญ.เมทินี ทับทิมไทย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลรามคำแหง เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์หอข่าวฉบับดังกล่าวว่า มีข้อมูลตัวอย่างผู้ป่วยอายุ 11 ปี ถูกล่อลวงให้ถ่ายภาพลามกลงเฟซบุ๊ก โดยบุคคลที่เข้าหาผู้ป่วย ผ่านเฟซบุ๊กนั้นมีพฤติกรรมอันตราย เช่น การเชิญชวนให้นัดเจอ กับคนแปลกหน้าโดยที่ไม่รู้จักกันมาก่อน การล่อลวงให้ผู้ป่วย มีเพศสัมพันธ์แบบผ่านการสนทนาทางข้อความส่วนตัวในเฟซบุ๊กลามไปถึงรูปแบบเซ็กส์โฟน ผู้ป่วยโต้ตอบคู่สนทนาโดยไม่รู้ว่า ตนกำลังถูกหลอก ส่วนในเรื่องของภาษาถ้อยคำที่ใช้สนทนา ระหว่างเพื่อนในเฟซบุ๊กจะเกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศทั้งหมด ผู้ป่วยเปิดใช้บัญชีเฟซบุ๊ก 6 บัญชี และมีผู้อื่นมาติดตามเป็น จำนวนมาก ชื่อที่ใช้ทั้งหมดเป็นไปทางด้านไสยศาสตร์และเซ็กส์
พญ.เมทินีกล่าวต่ออีกว่า สภาวะเด็กอายุ 9 ขวบขึ้นไป เป็นสภาวะเริ่มต้นเข้าสู่วัยรุ่น ถ้าหากผู้ปกครองไม่สามารถสร้าง ความสัมพันธ์แบบใกล้ชิดสนิทสนมได้ เด็กจะมีพฤติกรรมไม่ไว้ใจ พ่อแม่ การเลี้ยงลูกเป็นสิ่งที่ทิ้งไม่ได้ผู้ปกครองหรือพ่อแม่ต้อง คอยเฝ้าระวัง สอดส่อง ดูแลบุตรหลานเรื่องการใช้งานเฟซบุ๊ก อย่างใกล้ชิดเสมือนเป็นเพื่อน การห้ามไม่ให้ใช้งานเฟซบุ๊กเป็น เรื่องที่ไม่สามารถทำได้ เฟซบุ๊กยังมีด้านที่เป็นประโยชน์อยู่ เช่น การสอนหนังสือ ติวข้อสอบ เป็นต้น
แนะครู-ผู้ปกครอง ติดปีกความรู้สื่อออนไลน์
ขณะที่ จอมพล พิทักษ์สันตโยธิน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้แจงเรื่องการ บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับอาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้นในเฟซบุ๊กว่า ด้านกฎหมายยังไม่มีกฎหมายที่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการ ป้องกันเหตุตรงนี้ ทำได้ดีที่สุดคือการให้ความรู้แก่เด็กและเยาวชน การป้องกันในปัจจุบันยังเป็นเรื่องยาก การใช้กฎหมายจะเป็น ในลักษณะของการเกิดคดีขึ้นมาก่อนตำรวจรู้ถึงค่อยดำเนินการ คดีเหล่านี้ไม่ ค่อยถูกเผยแพร่ไม่ ปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือเพราะ สื่อให้ความสนใจน้อย คดีล่อลวงเด็กในเฟซบุ๊กไม่ใช่ปัญหาใหม่ ในอดีตเคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงของเอ็มเอสเอ็นและไอซีคิว เพียงแต่ในปัจจุบันถูกพัฒนารูปแบบมาเรื่อยๆ
ทั้งนี้ จอมพล ฝากไปยังผู้ ปกครอง คุณครู และภาครั ฐเกี่ยวกับเฟซบุ๊กว่า ผู้ปกครองต้องติดความรู้ให้ตนเองก่อน และ ทางภาครัฐ สถานศึกษา ต้องช่วยกันเผยแพร่ความรู้ว่าเฟซบุ๊ก คืออะไร ทำงานอย่างไร ครูและผู้ปกครองต้องช่วยกันเฝ้าสังเกต พฤติกรรมและปลูกฝังเด็กให้รู้จักระวังตัวอยู่ตลอดกับการใช้ คอมพิวเตอร์ เฟซบุ๊ก อินเทอร์เน็ต ในตอนนี้ยังอยู่ในยุคเฟซบุ๊กและ ยังไม่รู้ว่ายุคถัดไปจะเป็นอย่างไร สุดท้ายแล้วต้องกลับมาสู่จุดเดิม คือการให้ความรู้เป็นเรื่องสำคัญหรือการบังคับใช้กฎหมาย เด็ก ต้องรู้ว่าการใช้งานโซเชียลมีเดียมีความเสี่ยง ความเสี่ยงบาง อย่างอาจถึงแก่ชีวิตได้และการให้ความรู้ถึงจุดๆหนึ่งก็ต้องปล่อย ให้เขาตัดสินใจเองเพราะอย่างน้อยเขารู้แล้วว่าตรงนี้มีความเสี่ยง
ส่วนเรื่องวิธีการป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นนำข้อมูลส่วนบุคคล ในเฟซบุ๊กไปใช้ในทางที่ไม่ดีนายจอมพลแนะนำว่า อันดับแรกเฟซบุ๊ก สามารถตั้งค่าความปลอดภัย (Security) ให้สูง โดยมองเห็นได้ เฉพาะเพื่อนและต้องเป็นเพื่อนที่เราเคยเห็นหน้า รู้จัก มีตัวตน การรับแอดเพื่อนที่ไม่รู้จักย่อมทำได้แต่ต้องระมัดระวัง อันดับที่ สองอย่าโพสต์รายละเอียดส่วนบุคคลของตนเองมาก เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ การเช็คอินตามสถานที่ทั่วไป เป็นการเปิดโอกาส ให้ผู้ที่ไม่ประสงค์ดีรู้ว่าเราทำอะไร อยู่ที่ไหน จึงอาจเกิดอันตราย ต่อตนได้ อันดับที่สามรูปที่โพสต์ควรตั้งค่าพิกเซล (Pixel) ให้ต่ำลงเพื่อลดความคมชัดของภาพ ป้องกันผู้ที่ไม่ประสงค์ดีนำรูปไป ใช้ในทางที่เสียหาย
จอมพล กล่าวเสริมอีกว่า หากผู้กระทำความผิดคือเด็กและเยาวชนที่ยังไม่มีความรู้มากเท่า ที่ควร รัฐบาล สถาบันการศึกษาและผู้ปกครอง ต้องร่วมกันให้ ความรู้อย่างน้อยที่สุดต้องให้เด็กรู้ว่าการใช้สื่อแชร์รูป ข้อความ วีดีโอ ถ้าเกิดผลเสียขึ้นมาจะเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาท มีโทษจำคุกและโทษปรับถือเป็นความผิดทางกฎหมายอาญา
“ภาระที่จะทำให้เด็กและเยาวชนใช้อินเทอร์เน็ตได้อย่าง ถูกต้องเหมาะสมอยู่ที่ผู้ปกครอง สถาบันการศึกษา ส่วนภาค รัฐทำหน้าที่เป็นได้แค่ผู้เสริม เพราะปัจจุบันทำหน้าที่ไล่บล็อค เพจและเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมอย่างเดียว ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไม่มี ประสิทธิภาพเท่าไหร่” จอมพลกล่าว
เตือนภัยโลกออนไลน์ ภัยแฝงคุกคามเด็ก 
เด็กเล็กจำนวนมากกระโดดเข้าสู่โลกออนไลน์และ ใช้งานสื่อดิจิทัลโดยไม่ทราบถึงภัยอันตรายต่างๆที่แฝงมา ดังนั้นเรื่องเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญหลักๆที่เด็กควรเรียนรู้
1.การเผยแพร่ประวัติส่วนตัว การที่เด็กๆโพสต์ทุกอย่าง ทั้งที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ข้อมูลส่วนตัวอย่างละเอียดเป็นการเปิด โอกาสให้ผู้ไม่ประสงค์ดีนำข้อมูลไปใช้ได้
2.ไวรัสทางคอมพิวเตอร์ ถูกแฝงมาในรูปแบบลิงก์ เมื่อคลิกเข้าไป ไวรัสจะเริ่มทำงานและฝังตัวอยู่ในระบบ คอมพิวเตอร์
3.การเลือกรับ-กลั่นกรอง-ตีความ ข้อมูลของสื่อในโลก ออนไลน์ที่มีเพจและเว็บไซต์ไม่เหมาะสมอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น เว็บไซต์ลามก การพนัน สิ่งเสพติด แบบไร้การเซ็นเซอร์ หรือจำกัดอายุเข้าใช้งาน ทำให้เด็กเข้าถึงสื่อที่ไม่ดีได้ง่ายและ อาจเกิดปัญหากับเด็กในภายหลัง
4.การตกเป็นเหยื่ออาชญากรในอินเทอร์เน็ต เช่น ด้านพาณิชย์ (ถูกหลอกให้ซื้อสินค้าและบริการที่หลอกลวงผู้ บริโภค) ด้านเพศ (การถูกล่อลวงไปทำอนาจาร ล่วงละเมิด ทางเพศ ลักพาตัว ฯลฯ) เป็นต้น
5.การรับบุคคลในโลกออนไลน์เป็นเพื่อน เด็กไม่ควร รับทุกคนโดยเฉพาะคนที่ไม่รู้จักในโลกแห่งความเป็นจริงเพราะผู้ไม่หวังดีมักจะสร้างบัญชีผู้ใช้ปลอมขึ้นมาและแฝงตัว เข้ามาเป็นเพื่อนเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวเราไปใช้ในทาง ที่ไม่ดีได้
6.การทำผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ การที่เด็กแชร์ข้อมูล โพสต์ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ แม้จะไม่รู้ โดยเป็นข้อมูลที่สร้างความเสียหาย ต่อบุคคลอื่น ความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศที่ ทำให้ประชาชนตื่นตระหนก ข้อมูลอันเป็นความผิดเกี่ยว กับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับ การก่อการร้าย ข้อมูลลามก อนาจาร หรือข้อมูลที่ทราบ อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลเท็จ โดยบุคคลใดกระทำความผิดที่ระบุ ไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่ เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้อาจยังมีภัยร้ายอื่นอีกมากมาย ในเมื่อการ ป้องกันไม่สามารถทำได้ครอบคลุม ผู้ปกครอง ครู คน ใกล้ชิด จึงต้องคอยดูแลให้ข้อมูล ความรู้ แนะนำวิธีการ ใช้งานที่ถูกต้องเหมาะสมกับวัยเพื่อเป็นเกราะป้องกันให้กับ ตัวเด็กเอง
หมายเหตุ:
เนื้อหาในส่วนประเด็น ‘ประถมโกงปีเกิดเล่นเฟซบุ๊ก’ เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือพิมพ์ฝึกปฏิบัติ “หอข่าว” ที่ผู้สื่อข่าวจัดทำโดยในฐานะนักศึกษาสาขาวิชาวารสารศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยปีที่ 22 ฉบับที่ 1 ประจำวันที่ 27 มกราคม – 1 กุมภาพันธ์ 2557

ฝรั่งเศสกวาดจับประชาชน 54 คน อ้างแสดงออก 'สนับสนุนก่อการร้าย'

Dieudonne M'Bala M'Bala placed in custody
อีกหนึ่งความย้อนแย้งที่ชวนให้เกิดข้อถกเถียงไม่กี่วันหลังจากการเดินขบวนของกลุ่มผู้นำแสดงการ 'สนับสนุนเสรีภาพสื่อ' ทางการฝรั่งเศสจับกุมตัวประชาชนบางส่วนอ้างแสดงข้อความยกย่องหรือปกป้องการก่อการร้าย รวมถึงจับกุมนักแสดงตลกที่มักจะล้อเลียนชาวยิวหลังจากที่เขาได้ไปร่วมชุมนุมครั้งใหญ่ของประชาชนฝรั่งเศสด้วย
16 ม.ค. 2558 สำนักข่าวคอมมอนดรีมส์รายงานว่าหลังจากที่กลุ่มผู้นำโลกร่วมชุมนุมที่กรุงปารีสเพื่อแสดงการสนับสนุนเสรีภาพสื่อเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็มีคำสั่งจับกุมตัวประชาชน 54 คน ในข้อหา "ยกย่อง" หรือ "ปกป้อง" การก่อการร้าย
รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของฝรั่งเศสกล่าวว่า การจับกุมในหลายกรณีมีการสั่งดำเนินคดีภายใต้มาตรการพิเศษโดยทันที ซึ่งตามกฎหมายของฝรั่งเศส ผู้ต้องหา "ยุยงให้เกิดการก่อการร้าย" จะถูกสั่งจำคุก 5 ปี หรือถูกสั่งจำคุก 7 ปี ในกรณีใช้พื้นที่อินเทอร์เน็ตยุยงให้เกิดการก่อการร้าย อย่างไรก็ตาม คอมมอนดรีมส์ระบุว่า คนที่ถูกจับกุมตัวเหล่านี้ไม่มีใครเลยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก่อความรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา
หนึ่งในผู้ที่ถูกควบคุมตัวคือ 'ดิเยอดงเน่' ดาราตลกชาวฝรั่งเศสที่ชอบเล่นมุขตลกชวนให้เกิดข้อถกเถียง เขาถูกควบคุมตัวในช่วงเช้าวันพุธที่ผ่านมาจากการโพสต์ข้อความเชิงเสียดสีในเฟซบุ๊กว่า "คืนนี้ โดยส่วนตัวแล้ว ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็น 'ชาร์ลี คูลิบาลี' " ซึ่งเป็นการผสมชื่อของนิตยสาร 'ชาร์ลี เอบโด' ที่ถูกคนร้ายบุกยิงกับชื่อของผู้ก่อการร้ายรายหนึ่งคือ 'อเมดี คูลิบาลี' ที่ก่อเหตุสังหารตัวประกัน 4 คนในร้านค้าชาวยิว
ดิเยอดงเน่โพสต์ข้อความดังกล่าวในเฟซบุ๊กหลังจากที่เขาไปเข้าร่วมการเดินขบวนต่อต้านกลุ่มหัวรุนแรงในกรุงปารีสเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาซึ่งมีคนเข้าร่วมมากกว่า 1.5 ล้านคน ข้อความดังกล่าวของดิเยอดงเน่เป็นการเสียดสีคำขวัญที่ว่า "ฉันคือชาร์ลี เอบโด" ซึ่งใช้รณรงค์แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับสื่อที่ถูกคนร้ายบุกยิงจนมีผู้เสียชีวิตสิบกว่าคน
ดิเยอดงเน่ มีชื่อเต็มว่า ดิเยอดงเน่ แอมบาลา แอมบาลา เป็นนักแสดงตลกที่มีคู่หูเป็นชาวยิวชื่อ เอลลี เซมุน เขาเคยกำกับและแสดงภาพยนตร์ร่วมกับโรเบิร์ต เฟาริสสัน ผู้ตั้งทฤษฎีว่าการสังหารหมู่ชาวยิวไม่ได้เกิดขึ้นจริง ในภาพยนตร์เขาแสดงเป็นเจ้าหน้าที่นาซีในงานเลี้ยงและมีภาพในเชิงล้อเลียนเสียดสีค่ายกักกันเอาชวิทซ์ ซึ่งในอดีตเป็นสถานที่ซึ่งมีชาวยิวเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
นักแสดงตลกของฝรั่งเศสรายนี้มักจะถูกวิจารณ์เรื่องเนื้อหา "ต่อต้านชาวยิว" แต่ตัวเขาเองก็ไม่ยอมขอโทษเรื่องการกล่าวล่วงเกินและยังประกาศว่ามี "การล็อบบี้ของชาวยิว" ที่พยายามควบคุมสิ่งต่างๆ อย่างไรก็ตามดิเยอดงเน่เคยเป็นผู้รณรงค์ต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติมาก่อน
แม้ว่าจะมีการล้อเลียนเสียดสีคำขวัญ "ฉันคือชาร์ลี เอบโด" แต่ดิเยอดงเน่ก็บรรยายถึงการเดินขบวนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่าเป็น "ช่วงเวลามหัศจรรย์ที่เทียบได้กับการระเบิดครั้งใหญ่ในช่วงกำเนิดจักรวาล" ซึ่งดิเยอดงเน่ได้นำข้อความที่ถูกกล่าวหาออกจากเพจของตนเองแล้ว
สำนักข่าวต่างประเทศระบุว่าหลังจากเกิดเหตุก่อการร้ายเมื่อสัปดาห์ที่แล้วรัฐบาลฝรั่งเศสได้สั่งการให้มีการปราบปรามสิ่งที่ทางการฝรั่งเศสเรียกว่า "เฮชสปีช" (การแสดงออกให้เกิดความเกลียดชังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง) "การต่อต้านชาวยิว" และ "การส่งเสริมการก่อการร้าย"
แต่สำนักข่าวคอมมอนดรีมส์ก็ระบุว่ามันเป็นเรื่องน่าย้อนแย้งประชดประชัน ที่กลุ่มผู้นำยุโรปเดินขบวนแสดงการปกป้องนิตยสารที่ถูกโจมตีโดยมีการสันนิษฐานแรงจูงใจว่าน่าจะมาจากศาสนาอิสลาม แต่ในขณะเดียวกันก็ใช้กฎหมายสั่งดำเนินคดีกับคนที่แสดงความคิดเห็นของตน
เกลน กรีนวัลด์ นักข่าวและผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ The Intercept ที่เปิดโปงเรื่องการสอดแนมของรัฐระบุในเว็บไซต์ของตนว่า การจับกุมตัวและ "ปราบปราม" ผู้คนเพราะคำพูดของพวกเขาเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นด้านที่หลอกลวงของกลุ่มผู้นำที่แสร้งแสดงออกในเชิงส่งเสริมเรื่องเสรีภาพสื่อ
กรีนวัลด์ยังได้กล่าวเปรียบเทียบการอ้างข้อหา "ส่งเสริมให้เกิดการก่อการร้าย" ว่าการใช้กฎหมายลงโทษคนที่กล่าวในเชิงปกป้องการก่อการร้ายแทนที่จะให้มีการแสดงความรังเกียจจากสังคมเป็นลักษณะสองมาตรฐานเพราะในอีกมุมหนึ่งก็ปล่อยให้คนอ้างความชอบธรรมหรือส่งเสริมให้เกิดการรุกรานอิรักหรือกระทำการโหดร้ายต่อพลเรือน การอ้างใช้กฎหมายเหล่านี้จึงดูเหมือนเป็นความพยายามควบคุมวาทกรรมทางการเมืองมากกว่า
อิเนส โปห์ล หัวหน้าบรรณาธิการนิตยสาร 'ดี ทาเกสไซตุง' ซึ่งเป็นสื่อเชิงเสียดสีในเยอรมนีแสดงความคิดเห็นในสื่อของตนเตือนให้ระวังกลุ่มผู้นำทางการเมืองฉวยโอกาสใช้วิกฤติความรุนแรงนี้เป็นเครื่องมือผลักดันเรื่องการปิดกั้นพรมแดนและส่งเสริมแนวคิดเชื้อชาตินิยม เช่นกรณีที่นักการเมืองฝ่ายขวาของเยอรมนีที่ชื่ออเล็กซานเดอร์ เกาแลนด์ เรียกร้องให้เกิดความกลัวต่ออิทธิพลของวัฒนธรรมมุสลิมและให้ปกป้องคุณค่าดังเดิมของชาวคริสต์
โปห์ลระบุอีกว่าจะมีการเผยแพร่รายงานเรื่องการทารุณกรรมของซีไอเอในเยอรมนีภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งเป็นรายงานที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถหลงไปในทางที่ผิดได้ถ้าหากปกครองด้วยความหวาดกลัว
 

คู่มือเรียนรู้ระบบการเมืองแบบใหม่ ฉบับโยนหินถามทาง


เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2557 ที่ผ่านมา บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้เผยถึง หลักการใหม่เกี่ยวกับระบอบการเมือง นักการเมือง และสถาบันการเมือง โดยจะเป็นแนวทางสำหรับการร่างรัฐธรรมนูญรายมาตรา ซึ่งได้ดำเนินการร่างแล้วตั้งแต่วันที่ 12 ม.ค.  2558 ที่ผ่านมา
กระนั้นก็ตาม บวรคักดิ์กล่าวว่าหลักการนี้เป็นเพียงหลักการเบื้องต้น และยังสามารถปรับแก้ไขได้จนถึงวันที่ 23 ก.ค. 2558 ประชาไทสรุปหลักการดังกล่าวมานำเสนอ
1. การเลือกตั้งระบบผสมแบบอิงสัดส่วน(Mixed Member Proportional - MMP)
  • จะมีการเลือกตั้งทั้ง แบบแบ่งเขต / แบบบัญชีรายชื่อ
  • แต่ว่าจะมีการนับรวมกันระหว่าง แบ่งเขต / บัญชีรายใหม่ แบบใหม่ จากเดิมที่เคยนับรวมกัน เช่น พรรค ก ได้แบ่งเขต 70 ที่นั่ง ได้บัญชีรายชื่อ 85 ถ้านับเป็นการเลือกตั้งแบบเดิมระบบ MMM พรรค ก จะได้จำนวนที่นั่งในสภาทั้งหมด
70(ที่นั่งแบ่งเขต) + 85(ที่นั่งบัญชีรายชื่อ) = 155(ที่นั่งทั้งหมด) ที่นั่ง
แต่ถ้านับแบบ MMP พรรค ก จะได้ที่นั่งทั้งหมด 
70(ที่นั่งแบ่งเขต)+ X(ที่นั่งที่จะได้เพิ่มโดยเป็นที่นั่งจากบัญชีรายชื่อ) = 85(ที่นั่งบัญชีรายชื่อ=ที่นั่งรวมทั้งหมด) ที่นั่ง
  • ถ้าในกรณีที่ พรรค ข ได้ที่นั่งแบบแบ่งเขตมากกว่าที่นั่งแบบบัญชีรายชื่อจะไม่มีการตัดที่นั่งแบบแบ่งออก เช่น ได้ที่นั่งบัญชีรายชื่อ 4 ที่นั่ง แต่ได้ที่นั่งแบ่งเขต 16 พรรค ข จะมีที่นั่งทั้งหมด 16 ที่นั่ง โดยเป็นที่จากระบบแบ่งเขตทั้งหมด
  • กำหนดให้มี ส.ส. ทั้งหมดไม่เกิน 480 คน แบ่งสัดส่วนเป็นระบบแบ่งเขต 250 คน และระบบบัญชีรายชื่อ 200 คน
  • การเลือกตั้งในระบบนี้ จะทำให้ความห่างของจำนวนที่นั่งระหว่างพรรครัฐบาลกับ พรรคฝ่ายค้านลดน้อยลง เพื่อควบคุมเสียงข้างมากในรัฐสภา ถึงที่สุดอาจทำให้เกิดรัฐบาลผสม
  • ปัจจุบันมี 9 ประเทศที่ใช้ระบบนี้ คือ เยอรมนี แอลเบเนีย เลโซโท โบลิเวีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ เวเนซุเอลา อิตาลี ฮังการี
2. ข้อเสนอเรื่องที่มานายกรัฐมนตรี ในสภาวะปกติ นายกมาจากการโหวตของ ส.ส. แต่ในสภาวะวิกฤตสามารถนำ “คนกลาง” ที่ไม่ใช่ ส.ส. เข้ามาเป็นนายกได้ ผ่านการโหวตของ ส.ส.
3.ที่มาและอำนาจของ ส.ว.
  • เดิม ส.ว. มี 150 คน แต่จะเพิ่มเป็น 200 คน
  • เดิม ส.ว. มาจากการเลือกตั้ง 76  และแต่งตั้ง 74 แต่จะเปลี่ยนเป็นแต่งตั้ง 4 ส่วน และเลือกตั้งทางอ้อม 1 ส่วน
  • เดิม ส.ว. มีอำนาจแค่ พิจารณากฏหมาย  ควบคุมการบริหารราชการผ่นดิน แต่งตั้งบุคคลดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมกำหนด และถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง แต่จะเพิ่มอำนาจให้ ส.ว. ร่วมกับ ส.ส. ให้ความเห็นชอบวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ และแผนสำคัญประเทศให้ฝ่ายบริหารนำไปปฏิบัติ และมีอำนาจตรวจสอบรายชื่อคณะรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรี ต้องส่งรายชื่อรายชื่อคณะรัฐมนตรีให้ ส.ว. ตรวจสอบก่อนอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนจะนำขึ้นทูลเกล้า ฯ
4.การกำหนดวันเลือกตั้ง เดิมเป็นอำนาจของรัฐบาล แต่เปลี่ยนเป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
5.เสนอให้มีการตั้งสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ
  • ให้มีสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิและคุณธรรมเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง มีหน้าที่ส่งเสริมและพิทักษ์คุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลของ นักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ และเอกชนทุกระดับ มีหน้าที่ตรวจสอบ ไต่สวนการละเมิดจริยธรรมของบุคคลสาธารณะ และประกาศผลให้สาธารณชนทราบ พร้อมส่งเรื่องให้ผู้มีอำนาจถอดถอนต่อไป
6.ระบบการตรวจสอบถ่วงดุลภายในรัฐสภา
  • พรรคที่ได้คะแนนอันดับที่ 2 และ 3 ในเลือกการประธานสภาผู้แทนฯ เป็นรองประธานสภาผู้แทน เพื่อให้พรรคฝ่ายค้านได้เป็นมีตำแหน่งด้วย
  • ให้ฝ่ายค้านเป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการชุดตรวจสอบที่สำคัญ
  • ครม.สามารถส่งเรื่องให้สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ตรวจสอบจริยธรรมองค์กรอิสระ ส.ส. ส.ว. ได้หากพบว่ามีความผิดทางจริยธรรม เสนอให้ถอดถอนได้
7.มาตราการป้องกัน นายทุนพรรคการเมือง
  • กำหนดให้ผู้ซึ่งมีหลักฐานอันควรเชื่อว่าเป็นผู้ครอบงำ นำชัก หรือสั่งการให้พรรคการเมืองผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง หรือข้าราชการกระทำการใด ๆ ต้องมีความรับผิดทางอาญา ทางวินัย การเงินการคลัง และงบประมาณ และความรับผิดอื่น เช่นเดียวกับผู้ที่ตนสั่ง ครอบงำ หรือนำชัก