วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

‘ทักษิณ’ มอบอำนาจทนายเอาผิด ‘แนวหน้า’ ผิด พ.ร.บ.คอมพ์ฯ เหตุกล่าวหาล้มเจ้า

ทักษิณ ชินวัตร มอบอำนาจทนายความแจ้งความเอาผิดเว็บไซต์แนวหน้า ลงข่าวบิดเบือน เชื่อมโยงบุคคลที่มีพฤติกรรมหมิ่นสถาบัน ทำเสียหายต่อเกียรติยศ ชื่อเสียง เตรียมยื่นฟ้องฐานหมิ่นประมาท-ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ สัปดาห์หน้า
 
14 ส.ค. 2557 นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนได้รับมอบอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ให้แจ้งความดำเนินคดีกับ สำนักงานข่าวออนไลน์แห่งหนึ่ง (แนวหน้า) ที่ใช้ภาพและข้อมูลบิดเบือนข้อเท็จจริง รายงานข่าวโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเครือข่ายล้มเจ้า เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 ส.ค. และวันที่ 9 ส.ค. โดยภาพที่ปรากฏในข่าวเป็นภาพเก่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยเกี่ยวข้องกับการกระทำของผู้ใดที่เป็นการกล่าวหาว่าหมิ่นเบื้องสูง และเป็นเรื่องปกติที่บุคคลระดับอดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะจะมีคนมาขอถ่ายรูปด้วย
 
สื่อออนไลน์ดังกล่าวได้ลงข่าวในลักษณะใส่ร้าย กล่าวหาโดยเชื่อมโยงการกระทำของบุคคลอื่นที่ไม่ได้เป็นการกระทำของอดีตนายกฯ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดเสียหายต่อเกียรติยศ ชื่อเสียง อันเป็นการนำเข้าระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ
 
นายวิญญัติ กล่าวด้วยว่า ข้อเท็จจริงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ คือผู้มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น ตนในฐานะผู้รับมอบอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณจะแจ้งความดำเนินคดีอาญา กับสำนักข่าวออนไลน์ดังกล่าว ฐานหมิ่นประมาท และผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในสัปดาห์หน้าต่อไป
 
“การกระทำใดของบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นความย่อมเป็นการกระทำของแค่ละบุคคลที่จะต้องรับผิดชอบแต่ละบุคคลไม่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณและขอเรียกร้องไปยัง ขบวนการทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ขอให้เลิกพฤติกรรมเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เพื่อมากล่าวหาว่าเป็นขบวนการล้มเจ้าด้วย” นายวิญญัติกล่าว
 
ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า สำหรับเว็บไซต์แนวหน้าออนไลน์ เป็นเจ้าของเดียวกับหนังสือพิมพ์แนวหน้า ซึ่งมี นายวารินทร์ และ นางผาณิต พูนศิริวงศ์ เป็นผู้บริหาร ข้อมูลจากจุลสารราชดำเนิน ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เมื่อเดือนมีนาคม 2557 นั้น กองบรรณาธิการเว็บไซต์มี น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก แกนนำ กปปส. เป็นบรรณาธิการข่าวออนไลน์

คุย นศ.อีสานต้านรัฐประหาร หลังถูกสั่งออกนอกพื้นที่


วรวุฒิ เทือกชัยภูมิ เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยมหาสารคาม 1 ใน 6 คน ซึ่งถูกเรียกเข้ารายงานตัวหลังจัดกิจกรรมต่อต้านรัฐประหาร แต่เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ถูกนำตัวเข้าพบเจ้าหน้าที่ถึง 3 ครั้ง ภายในระยะเวลา 3 วัน และท้ายสุดเขาถูกสั่งให้ออกนอกพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม ประชาไทสัมภาษณ์วรวุฒิถึงเหตุการณ์ที่เขาถูกเรียกเข้ารายงานตัว เพื่อถ่ายทอดไว้เป็นเรื่องราวในห้วงเวลาหลังการรัฐประหารโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

จุดเริ่มต้นมาจากที่ว่า เมื่อเกิดการยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งขึ้นในช่วงเย็นของวันที่ 22 พ.ค. 2557 วรวุฒิและกลุ่มนักกิจกรรมของมหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งได้มาพูดคุยกันเพื่อกำหนดแนวทางการต่อต้านรัฐประหาร หลังจากนั้น พวกเขาจึงทำการรวบรวมค่าใช้จ่าย และซื้ออุปกรณ์ เช่น ป้ายผ้า สี กระดาษ ปากกา แล้วนำมาเขียนข้อความต่อต้านรัฐประหาร วันรุ่งขึ้น (23 พ.ค. 57) กลุ่มนักศึกษาได้นำป้ายเหล่านั้นไปติดรอบบริเวณวงเวียนหอนาฬิกาของจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งอยู่ใกล้ที่ว่าการอำเภอเมืองมหาสารคาม  ขณะที่ติดป้ายต่างๆ อยู่นั้น ได้มีอาสาสมัครรักษาดินแดน หรือ อส. เข้ามาถ่ายรูปพวกเขา

หลังจากนั้น พวกเขาจึงคิดกันต่อว่า จะทำอย่างไรให้การต่อต้านนั้นเป็นไปอย่างกว้างขวางมากกว่านี้? ได้ข้อสรุปว่า การต่อต้านเชิงสัญลักษณ์โดยการพับนกกระดาษและจุดเทียน น่าจะเป็นวิธีการแสดงออกที่เหมาะสม พวกเขาจึงเลือกเอาตัวเมืองจังหวัดมหาสารคามเป็นพื้นที่แสดงออก

ในขณะที่พวกเขาจัดกิจกรรมดังกล่าวในวันที่ 25 พ.ค. 57 ก็พบว่า มีนายทหารหนึ่งนายได้มาสังเกตการณ์ และถ่ายรูปพวกเขาไป เวลาผ่านไปประมาณเพียง 30 นาที นายทหารกว่า 30 นาย พร้อมอาวุธ รถหุ้มเกราะติดอาวุธปืน และรถลำเลียงกำลังพล ก็มาถึงบริเวณที่พวกเขากำลังทำกิจกรรม ทหารกลุ่มดังกล่าวได้เข้ามากระชากป้ายผ้าที่มีข้อความ อาทิ “ไม่เอารัฐประหาร”, “ไม่เอารัฐบาลโจร”, “ต่อต้านรัฐประหารทุกรูปแบบ” เป็นต้น ก่อนจะทำการควบคุมตัวนักศึกษาที่จัดกิจกรรม อาจารย์ท่านหนึ่งที่มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว จึงได้เข้าไปเจรจาไม่ให้เจ้าหน้าที่คุมตัวพวกเขาออกไป แต่อนุญาตให้ยึดอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำกิจกรรมรณรงค์ไปได้ เจ้าหน้าที่ทหารยินยอมทำตามที่อาจารย์ท่านนั้นขอร้อง แต่ก่อนที่เจ้าหน้าที่ทหารจะกลับไป กลุ่มนักศึกษาก็ได้รับคำขู่จากเจ้าหน้าที่ทหารคนหนึ่งว่า “เดี๋ยวพวกมึงโดนแน่ กูจะจับพวกมึงไปขังซะให้เข็ด”

หลังจากเหตุการณ์ที่ทหารเข้าขัดขวางกิจกรรมต้านรัฐประหารของกลุ่มนักศึกษาในวันนั้นเพียง 1 วัน (วันที่ 26 พ.ค. 2557) ก็มีหนังสือจากกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดมหาสารคาม เลขที่ กห 0482.2/26 ขอความร่วมมือไปยังอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ให้เขาและเพื่อนนักศึกษารวมทั้งหมด 6 คน ไปรายงานตัว ณ อาคารหอประชุมจังหวัดมหาสารคาม ศูนย์ราชการจังหวัดมหาสารคาม ในวันที่ 27 พ.ค. 57 เวลา 11.00 น.

พวกเขาไปรายงานตัวตามคำสั่งดังกล่าวแต่โดยดี ในเวลา 09.00 น. ในระหว่างนั้น พวกเขาได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมตัวด้วยถ้อยคำขู่ต่างๆ เช่น “มึงเคยโดนไหม แบบนี้ อุ้มหายและไม่มีกระทั่งรอยนิ้วมือ”, “ตอนนี้กูคุมอำนาจทั้งประเทศอยู่ มึงอยากมีเรื่องหรอ”, “มึงอยากนักหรอสันติ กูไม่ให้มึงหรอก มึงจะได้แต่สันแตด”, “มึงอยากได้นักหรอประชาธิปไตย มึงเคยโดนอุ้มหายแบบไม่รู้ตัวหรือเปล่า”, “ตอนนี้กูจะฆ่ามึงก็ไม่ผิดกฎหมาย จะซ้อมมึงก็ไม่ผิดกฎหมาย เพราะพวกกูกุมอำนาจทั้งประเทศอยู่”  

ลักษณะของคำขู่ส่วนมากจะวนเวียนอยู่ที่ การอุ้มหาย และการซ้อม ตลอดเวลาของการควบคุมตัวและซักถามรวมกลุ่มนานกว่า 2 ชั่วโมง

เวลาประมาณ 12.00 น. เขาและเพื่อนจึงถูกปล่อยตัวออกมา ขณะที่ตัวเขากลับไปที่มหาวิทยาลัย ก็พบว่า ทหารจำนวน 4 นาย ได้มาที่มหาวิทยาลัยอีก และเชิญตัวเขาไปอีกเป็นครั้งที่ 2 โดยบอกว่า “จะพาตัวไปกักไว้ที่ค่ายสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จังหวัดร้อยเอ็ด” เขาจึงตัดสินใจโทรหาเพื่อนที่อยู่ข้างนอก เพื่อแจ้งว่าเขาจะถูกนำตัวไปกักขังที่ใด และให้เป็นธุระช่วยติดต่อทนายให้เขา (เจ้าหน้าที่ไม่ได้แจ้งเรื่องสิทธิใดๆ แก่เขา เช่น สิทธิในการพบทนาย) หลังจากนั้น จึงมีทนายโทรหาเขา ในช่วงเวลา 16.00 - 17.00 น. แต่เขาจำไม่ได้ว่าเป็นทนายมาจากหน่วยงานใด โดยทนายบอกว่าให้พวกเขาให้ความร่วมมือไปก่อน ทางทนายจะประสานและติดตามอยู่เป็นระยะ และจะหาวิธีช่วยในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด วรวุฒิได้แจ้งกับทนายว่า ตอนนี้เขาถูกกักตัวพร้อมเพื่อนอีก 1 คน และมี 2 คน ถูกปล่อยตัวไปแล้ว

ในขณะที่พวกเขาถูกควบคุมตัวกลับไปที่ศาลากลางจังหวัดอีกครั้ง และคาดว่าจะถูกนำตัวต่อไปที่ค่ายทหาร เขาและเพื่อนถูกขู่ด้วยถ้อยสบถต่างๆ เช่นเดิม เช่น “พวกมึงเก่งนักใช่ไหม กูจะคอยดูว่า ถ้าพวกมึงอยู่ในค่ายทหารพวกมึงจะยังเก่งอยู่ไหม” เขาจึงพยายามติดต่อกับเพื่อนข้างนอกโดยกำชับว่า ช่วยรายงานเรื่องนี้ให้กระจายออกไปในพื้นที่สาธารณะให้ได้ เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัย เมื่อไปถึงที่กักตัวที่เดิม เวลา 13. 00 น. เขาและเพื่อนจึงถูกสั่งว่า “รอพบ ‘เสธ’ อยู่ที่นี่ก่อน” เขาทราบภายหลังว่า ‘เสธ.’ คือ พันเอก นรธิป โพยนอก ในระหว่างที่พวกเขาใช้เวลารอนัดดังกล่าวกว่า 2 ชั่วโมง โดยไม่มีน้ำดื่มให้ พวกเขาจึงพยายามขอน้ำดื่ม แต่ได้รับการปฏิเสธ

นอกจากนี้ มีทหารยศร้อยตรี เดินมาทักทายพวกเขาว่า “มึงเคยโดนยิงไหม รู้ไหมว่ามันเจ็บขนาดไหน”, “มึงเคยโดนทรมานไหม กูถนัดเรื่องการทรมานคน” และก็ถามกับเขาว่า “มึงคิดยังไงกับสถาบันกษัตริย์ ?”เขาจึงตอบว่า “คนอื่นคิดอย่างไรต่อสถาบันกษัตริย์ ผมก็คิดอย่างนั้น” ก่อนที่นายทหารคนดังกล่าวจะตอบสวนกลับมาว่า “พวกกูรู้ว่าพวกมึงคิดยังไงกับสถาบันกษัตริย์”, “พวกมึงเสพข่าวเสื้อแดงมากเกินไป” 

ในห้องที่ควบคุมตัว มีโต๊ะเพียง 1 ตัว และเก้าอี้จำนวนหนึ่ง พวกเขาถูกสั่งให้นั่งบนเก้าอี้ บริเวณรอบๆ มีเจ้าหน้าที่ทหารสวมเครื่องแบบเต็มยศพร้อมอาวุธปืนยืนคุมอยู่ไม่ห่างตลอดเวลา วรวุฒิถูกยึดโทรศัพท์ กระเป๋าเงิน และบัตรประจำตัวประชาชนไป จนถึงเวลาประมาณ 18 .00 น. ทหารจึงเอาโทรศัพท์มาคืน เพื่อให้เขาโทรบอกเพื่อนๆ ข้างนอกว่า ให้นำอาหารมาส่งให้พวกเขา (ตลอดทั้งวันเขายังไม่ได้ทานอะไร) แต่ไม่มีใครกล้าเอาอาหารมาส่ง เนื่องจากทหารไม่สามารถรับรองได้แม้แต่ว่า จะควบคุมตัวเขาไว้นานเพียงใด

เวลาในการรอพบ ‘เสธ’ ที่ยาวนานนั้นดำเนินต่อไป ระหว่างนั้น สำนักข่าวประชาไทได้รายงานข่าวว่าพวกเขาถูกจับอยู่ นายทหารคนหนึ่งเดินมาบอกกับเขาว่า “พวกมึงนี่เก่งนะ ขณะกูกักตัวพวกมึงอยู่ มึงยังมีปัญญาส่งข้อมูลออกไปข้างนอกได้ มึงทำตัวแบบนี้แหละ กูก็จะขังมึงไว้ไม่ปล่อยเลย มึงทำแบบนี้มึงคิดว่าเขาจะช่วยอะไรมึงได้หรอ พวกกูยึดประเทศได้หมดแล้ว” หลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกขู่อีกเรื่อยๆ เช่น มีการนำปืนมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วถามว่า “มึงรู้ไหมว่าปืนกระบอกนี้ยิงคนมาแล้วกี่ศพ กูเอาไว้ยิงคนเหี้ยๆ แบบพวกมึงนี่แหละ”

พวกเขาต้องทนฟังคำซ้ำซากไปจนกระทั่งเกือบจะสี่ทุ่ม ‘เสธ.’ จึงได้ลงมาพบพวกเขาพร้อมกล่าวว่า “วันนี้ผมจะปล่อยพวกคุณไปก่อน ผมไม่อยากให้เป็นประเด็น ผมเห็นข่าวที่ถูกนำไปลงแล้วแหละ เมื่อคุณออกไปช่วยไปแก้ข่าวด้วยว่า เรานำตัวพวกคุณมาปรับทัศนคติทางการเมืองเท่านั้น ไม่มีอะไรที่เกินเลย” ในระหว่างนั้น ทหารได้พานักจิตวิทยามาคุยกับพวกเขาด้วย แต่เป็นแค่การถามคำถามทั่วไป เช่น เป็นอย่างไรบ้าง? สบายดีไหม? และให้พวกเขากรอกประวัติ ชื่อ ที่อยู่ อีเมลล์ และสื่อออนไลน์ที่เขาเข้าใช้กันอยู่  โดยไม่ได้ให้เขาแสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด จากนั้น เวลาประมาณ 22.00 น. พวกเขาจึงถูกนำตัวมาปล่อยที่วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

วันต่อมา (28 พ.ค. 57) วรวุฒิและเพื่อนจำนวนหนึ่งเข้าไปที่วิทยาลัยการเมืองการปกครอง เพื่อพบปะพูดคุยกันตามปกติ เจ้าหน้าที่ทหารก็จู่โจมเข้ามาอีกครั้ง โดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัย ประมาณ 4 คน และเจ้าหน้าที่กองกิจการนิสิตของมหาวิทยาลัย เป็นผู้พาทหารเข้ามา ทหารพวกนั้นเข้ามาเตือนแกมข่มขู่ และยึดตำราเรียน สมุด กระดาษที่เขาใช้ในการเรียนไป โดยกล่าวว่า “ขออนุญาตเก็บไปก่อน ผมเตือนคุณแล้วนะครับ” เขาพบว่า ทุกวันนับตั้งแต่รัฐประหาร มีเจ้าหน้าที่ทหารทั้งในและนอกเครื่องแบบสับเปลี่ยนกันเข้ามาตรวจตราในบริเวณมหาวิทยาลัยตลอดเวลา มีทั้งที่พูดจาสุภาพและหยาบคาย

วันเดียวกันนั้น วรวุฒิได้รับโทรศัพท์ให้เข้าไปรายงานตัวที่เดิมอีกเป็นครั้งที่ 3 โดยไม่มีหนังสือถึงมหาวิทยาลัยเช่นครั้งแรก เขาพยายามขอหนังสือเรียกตัวดังกล่าว แต่ทหารให้เขาเข้าไปรายงานตัวก่อน แล้วจะส่งหนังสือตามมาทีหลัง การเข้ารายงานตัวครั้งที่ 3 นี้ เขาก็ต้องเผชิญกับคำพูดเดิมๆ คือสั่งให้หยุดการเคลื่อนไหวใดๆ และขู่ว่า ถ้าไม่หยุดครอบครัวจะเดือดร้อน ภายหลังเขาได้มีโอกาสโทรถามมารดาว่า มีเจ้าหน้าที่ไปหาที่บ้านไหม มารดาก็ตอบว่า  มีทหารไปพักที่วัดและเข้ามาสอบถามที่บ้านบ้าง นอกจากนั้นก็เคยมีเจ้าหน้าที่โทรมาหา แจ้งว่าเขาทำความผิดอะไรในช่วงที่ทหารประกาศกฎอัยการศึก

ที่สำคัญ ในการเข้ารายงานตัวครั้งนี้ วรวุฒิถูกสั่ง “ให้ออกจากพื้นที่” เขาตั้งข้อสังเกตว่า คำสั่งของทหารดูจะสับสนไปมา กล่าวคือ ในครั้งแรกที่เข้ารายงานตัว เขาและเพื่อนถูกสั่งห้ามเดินทางไปไหนมาไหนออกนอกพื้นที่ หากต้องการไปที่ใดต้องทำหนังสือขออนุญาตเจ้าหน้าที่ทหารก่อนทุกครั้ง แต่ในครั้งนี้ ทหารกลับสั่งให้เขาออกจากพื้นที่อย่างกะทันหัน ทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้ละเมิดคำสั่งของเจ้าหน้าที่ทหารเลย และแม้ว่าเขาจะอยู่ในพื้นที่ก็ถูกเจ้าหน้าที่รบกวนตลอดเวลา ทั้งการเข้าไปตรวจตราร้านอาหารข้างมหาวิทยาลัยที่เขาทำงานอยู่ หรือการเข้าไปยึดเอกสารในมหาวิทยาลัย การเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารเช่นวันแรกๆ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย อีกทั้ง เจ้าหน้าที่ทหารก็ยืนยันเองด้วยว่า “ผมส่งคนติดตามคุณตลอด อย่าคิดว่าจะรอดสายตาผมไปได้ และอย่าคิดว่าในมหาวิทยาลัยจะไม่มีสายของพวกผม” ดังนั้น การที่ทหารสั่งให้เขาออกนอกพื้นที่จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เขากล่าวอีกว่า หลักฐานที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้กล่าวหาว่า เขาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารหลายครั้งก็ไม่ใช่ของเขา “กระดาษที่พิมพ์คำว่า ‘จะเอารัฐบาลเลือกตั้ง ไม่เอาการรัฐประหารที่แต่งตั้ง’ ไม่ใช่ของผมเลย”

หมายเหตุ: วรวุฒิ เทือกชัยภูมิ ปัจจุบัน เพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ในสาขาวิชาการเมืองการปกครอง วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และอยู่ในวงดนตรีโปงลางของมหาวิทยาลัย เราสัมภาษณ์เขาในวันที่ 9 สิงหาคม 2557 ที่สนามกีฬาแห่งชาติ หลังจากที่เขาและวงโปงลางเดินทางมาแข่งขันโปงลางชิงชนะเลิศระดับประเทศ ในงาน “รวมพลคนรักแม่ มหกรรมนันทนาการและออกกำลังกายเทิดไท้องค์ราชินี” ตัวเขาและวงโปงลางของเขาได้รับรางวัลชนะเลิศในงานดังกล่าว

ศาลทหารเชียงรายพิพากษาคดีแรกชูป้ายต้าน รปห.คุก 3 เดือนปรับ 5 พัน-ลดโทษรอลงอาญา


ศาลจังหวัดทหารบกเชียงรายพิพากษาคดีชุมนุมต้านรัฐประหารคดีแรก สั่งจำคุก 3 เดือน ปรับ 5,000 บาท และศาลเห็นมีเหตุอันควรปราณีเพื่อให้กลับตัวเป็นพลเมืองดี จึงให้รอการลงโทษจำคุกเป็นเวลา 1 ปี
14 ส.ค.57 - เวลา 8.30 น. ศาลจังหวัดทหารบกเชียงราย นัดถามคำให้การและอ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ 1ก./2557 ระหว่างพนักงานอัยการศาลจังหวัดทหารบกเชียงราย กับนายสราวุทธิ์ กุลมธุรพจน์ คนเสื้อแดงในจังหวัดเชียงราย ในข้อหาความผิดจากการฝ่าฝืนประกาศ คสช.เรื่องห้ามชุมนุมทางการเมือง
คดีนี้เกิดจากกิจกรรมที่นายสราวุทธิ์ กับเพื่อนได้นัดกันไปชูป้ายในหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงรายเรียกร้องให้มีการปล่อยผู้ทำกิจกรรมกินแมคโดนัลด์ต้านรัฐประหาร 7 คน ที่ถูกทหารควบคุมตัวไปเมื่อวันที่ 25 พ.ค.57 โดยในป้ายมีคำว่า “ชูป้ายไม่ใช่อาชญากร” “ปล่อยลูกพ่อขุน” และป้ายแสดงความไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร (ดูรายงานข่าวก่อนหน้านี้) โดยในคำฟ้องคดีนี้ระบุว่าจำเลยได้บังอาจมั่วสุมชุมนุมทางการเมืองกับบุคคลอื่นรวมประมาณ 8 คน บริเวณร้านยาดองไม่มีชื่อหน้าสนามกีฬากลางจังหวัดเชียงราย อันเป็นการฝ่าฝืนประกาศคสช.เรื่องการชุมนุมทางการเมือง
หลังจากศาลทหารได้อ่านคำฟ้องในคดีนี้ให้จำเลยฟัง และสอบถามว่าจำเลยจะยอมรับสารภาพหรือปฏิเสธข้อกล่าวหา ซึ่งนายสราวุทธิ์ได้เบิกความว่าตนยินยอมรับสารภาพ และพนักงานอัยการศาลทหารก็เบิกความว่าไม่คัดค้านคำร้องขอให้ศาลรอลงอาญา ซึ่งฝ่ายจำเลยได้ยื่นมาก่อนหน้านี้ ศาลจึงได้อ่านคำพิพากษาของคดีนี้ทันที
โดยศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานร่วมกันฝ่าฝืนประกาศ คสช. ฉบับที่ 7/2557 เรื่องห้ามชุมนุมทางการเมือง ฝ่าฝืนมาตรา 8 และ 11 ของพ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 จึงพิพากษาให้จำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท แต่จำเลยให้การรับสารภาพจึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 3 เดือน ปรับ 5,000 บาท และจำเลยได้ยื่นคำร้องให้ศาลลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุก พร้อมแนบหนังสือรับรองความประพฤติของจำเลยจากผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งรับรองว่าจำเลยมีถิ่นที่อยู่แน่นอน ประกอบอาชีพสุจริต มีความประพฤติดี มีภาระเลี้ยงดูภรรยาและบุตรที่เยาว์วัย และไม่เคยต้องโทษในคดีอาญามาก่อน คดีจึงมีเหตุอันควรปราณีเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้เป็นเวลา 1 ปี และให้จ่ายค่าปรับ 5,000 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคดีของนายสราวุทธิ์เป็นคดีแรกจากกรณีการชุมนุมต่อต้านการรัฐประหาร ที่ศาลทหารมีคำพิพากษาออกมา หลังจากก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ศาลแขวงปทุมวันได้มีคำพิพากษาในคดีของนายวีระยุทธ คงคณาธาร ผู้ชุมนุมต่อต้านการรัฐประหารในกรุงเทพฯ โดยศาลให้รอลงอาญาโทษจำคุกไว้ในลักษณะเดียวกันกับคดีนี้ (ดูรายงานข่าวที่เกี่ยวข้อง)
นอกจากนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคดีชุมนุมต่อต้านการรัฐประหารอีกสองคดี ซึ่งประกอบด้วยจำเลยจำนวน 7 คน ที่ถูกควบคุมตัวจากกิจกรรมกินแมคโดนัลด์ที่จังหวัดเชียงรายเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา (ดูรายงานข่าวที่เกี่ยวข้อง) ศาลจังหวัดทหารบกได้นัดสอบถามคำให้การในวันที่ 25 และ 26 ส.ค.57 นี้ และศาลสามารถอ่านคำพิพากษาเช่นเดียวกับคดีนายสราวุทธิ์นี้ทันที หากฝ่ายจำเลยยินยอมรับสารภาพ 

จับ นศ.ขอนแก่น ฐานหมิ่นสถาบัน เหตุเล่นละครรำลึก 40 ปี 14 ตุลา เตรียมส่งศาลวันนี้!

ผกก.สส.สน.ชนะสงครามเผย ตามจับผู้ต้องหาถึงที่มหาวิทยาลัย เหตุร่วมแสดงละครเวทีเจ้าสาวหมาป่า ชี้เนื้อหาหมิ่นพระมหากษัตริย์ เบื้องต้นเจ้าตัวยอมรับไปร่วมแสดง แต่ปฏิเสธข้อหาหมิ่น  เจ้าหน้าที่คุมตัวไว้ สน.ชนะสงคราม ก่อนนำตัวส่งศาลอาญารัชดา เช้า 15 ส.ค.นี้
 
14 ส.ค. 2557 เมื่อเวลา 15.00 น. พ.ต.ท.สมยศ อุดมรักษาทรัพย์ รอง ผกก.สส.สน.ชนะสงคราม นำกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ชนะสงคราม เข้าจับกุมนายปติวัฒน์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 23 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา เลขที่ 988/2557 ลงวันที่ 6 มิ.ย. 2557 ในข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ตามมาตรา 112 โดยสามารถจับกุมได้ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ถนนมิตรภาพ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น
 
การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 6 และ 13 ต.ค. 2556 ผู้ต้องหาได้ร่วมแสดงละครเวทีของกลุ่มประกายไฟ เรื่อง เจ้าสาวหมาป่า ที่จัดแสดงในงานรำลึก 40 ปี 14 ตุลาฯ ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร ซึ่งมีเนื้อหาหมิ่นพระมหากษัตริย์ พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม จึงรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดาฯ ไว้ ก่อนติดตามจับกุมตัวได้ดังกล่าว
 
จากการสอบปากคำเบื้องต้นเจ้าตัวยอมรับว่าได้ไปร่วมแสดงละครเรื่องดังกล่าวจริง แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้หมิ่นแต่อย่างใด  เจ้าหน้าที่จึงนำตัวมาควบคุมไว้ที่ สน.ชนะสงคราม ก่อนนำตัวส่งศาลอาญารัชดา ในวันที่ 15 ส.ค.นี้ เวลา 09.00 น.ต่อไป

เผย 29 รายชื่อ ผู้ถูกเสนอชื่อสรรหาเป็น สปช.วันแรก

            การเปิดให้องค์กรเสนอชื่อบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็น สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ วันแรก มีบุคคลเสนอรายชื่อแล้ว 29 คน ครบทั้ง 11 ด้าน
 
            14 ส.ค. 2557 รายชื่อผู้ถูกเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) จำนวน 29 คน ในวันแรกที่มีการเปิดรับสมัครโดยสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค. - 2 ก.ย. ทั้งนี้ รายชื่อผู้เหมาะสมจากองค์กรนิติบุคคลจะเข้าสู่กระบวนการสรรหาและคัดเลือกเป็น สปช.ในแบบทั่วไปรวม 11 ด้าน ประกอบด้วย
 
  • ด้านการเมือง ประกอบด้วย นายวิชิต ดิษฐประสพ จากพรรคชาติประชาธิปไตยก้าวหน้า นายนราวิชญ์ ชะยะ จากพรรคไทยรักไทย  นายทวีศักดิ์ อิ่มจิตต์ จากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ครู จ.ปราจีนบุรี นายสุรทิน พิจารณ์ จากพรรคประชาธิปไตยใหม่ นายพูลเดช กรรณิการ์ จากพรรคเพื่ออนาคต
  • ด้านบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย  นายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ จากมูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามเพื่อการศึกษาและพัฒนา นายประมวล รุจนเสรี จากมูลนิธิพ่อค้าไทย
  •  ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ประกอบด้วย นางลีน่า จังจรรจา จากพรรคมหาประชาชน  นายวัส ติงสมิตร จากสมาคมสถาบันคุ้มครองสิทธิประโยชน์ผู้บริโภค
  •  ด้านการปกครองท้องถิ่น พ.ต.อาณันย์ วัชโรทัย จากมูลนิธิคนไทยรักษ์แผ่นดิน นายสรณะ เทพเนาว์ จากสมาคมพนักงานเทศบาลแห่งประเทศไทย
  •  ด้านการศึกษา ประกอบด้วย นายบรรจง โซ๊ะมณี  จากมูลนิธิเพื่อคุณธรรม
  •  ด้านเศรษฐกิจ ประกอบด้วย นายปรีดา เตียสุวรรณ์  จากมูลนิธิเครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
  •  ด้านพลังงาน ประกอบด้วย นายวชิระ เปล่งปลั่ง จากมูลนิธิสถาบันโลจิสติกส์แห่งเอเชีย
  •  ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย  นายเก่งกาจ จงใจพระ จากมูลนิธิเก่งกาจโหราศาสตร์
  •  ด้านสื่อสารมวลชน  ประกอบด้วย นายคิด จินดากุล จากสมาคมสื่อมวลชน จ.ยโสธร นางประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด จากมูลนิธิสถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา
  •  ด้านสังคม ประกอบด้วย นายชัญปรวิชญ์ อิ่มใจ จากพรรคประชาธิปไตยใหม่ นางสุภาวดี บางใหญ่เทะมะ จากสมาคมพลังแผ่นดินต้านภัย นางพิมพ์ษิริ ดุรงค์ฤทธิ์ชัย จากมูลนิธิสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านสระบุรี นายวิสิทธิ์ ช่วยดู จากองค์การบริหารส่วนตำบลโนนดินแดง นายณัฐกฤตย์ แก้วโสวัฒนะ จากพรรคเพื่ออนาคต นายพิมาน บินตำมะหงง จากมูลนิธิอิสลามศาสนุปถัมถ์ นายเสกสรร ประเสริฐ จากมูลนิธิเบาะแส
  •  ด้านอื่นๆ ประกอบด้วย นายยงยุทธ หมอยาดี  จากวัดไร่อ้อย นายสนธยา กาวิใจ  จากพรรคไทยรักไทย และนายนิรันทร์ พันทร์กิจ จากมูลนิธิมัจลิซุดีนี ว่าที่พ.ต.อาชร์ โครงกาพย์ จากสมาคมสถาบันคุ้มครองสิทธิประโยชน์ผู้บริโภค (สสคบ.) นายสมมาต ขุนเศรษฐ จากสมาคมนายจ้างประกอบการเครื่องนุ่งห่มแห่งประเทศไทย
 
ขณะที่ สำนักข่าวแห่งชาติรายงานว่า นายภุชงค์ นุตราวงค์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. กล่าวสรุปภาพรวมการเปิดให้องค์กร นิติบุคคล ที่ไม่แสวงหาประโยชน์หรือผลกำไร เสนอชื่อบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็น สปช. ว่า ในส่วนกลางวันแรก มีองค์กร นิติบุคคล พรรคการเมือง มูลนิธิ สมาคม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม 25 องค์กร ยื่นเอกสารเสนอชื่อบุคคลที่มีความเหมาะสมเข้ารับการสรรหาแล้วจำนวน 29 คน ครบทั้ง 11 ด้านการปฏิรูป โดยด้านสังคมมีผู้ยื่นเอกสารประสงค์เข้ารับการสรรหามากที่สุด 7 คน รองลงมาคือ ด้านการเมือง และด้านอื่นๆ ด้านละ 5 คน ซึ่งถือว่าเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
 
ขณะที่การสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติในส่วนจังหวัด ที่ดำเนินการควบคู่กับส่วนกลางวันนี้ (14 ส.ค.57) ปรากฏมีการเสนอชื่อบุคคลเข้ารับการสรรหา รวม 43 คน ใน 16 จังหวัด ซึ่งจังหวัดที่มีการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหามากที่สุด คือ จังหวัดนครสวรรค์ 7 คน พังงา และหนองบัวลำพู จังหวัดละ 6 คน รวมรายชื่อผู้เสนอชื่อเข้ารับการสรรหาทั่วประเทศ 71 คน