วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2557

‘อัมมาร’ ยันงบบัตรทองไม่เป็นภาระประเทศ แนะลดรายจ่าย ‘เลว’ ด้านอื่นดีกว่า


‘อัมมาร สยามวาลา’ ไม่เห็นด้วยแช่แข็งงบบัตรทอง เผยปัจจุบันใช้เงินไม่มาก แต่ถูกสร้างภาพว่าใช้เงินมาก จนเงินไม่พอ แนะลดงบประมาณที่ไม่จำเป็นด้านอื่นจะดีกว่า เสนอต้องเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการด้วย ก่อนจะบานปลายมากกว่านี้
 
 
9 ส.ค. 2557 ที่โรงแรมทีเคพาเลซ ถ.แจ้งวัฒนะ กทม. ในเวทีเสวนาเรื่อง “ความมั่นคง ความยั่งยืนของระบบหลักประกันสุขภาพ : ระบบการเงินการคลังที่เป็นธรรมและเหมาะสมกับสังคมไทย” ซึ่งจัดโดยกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ศ.ดร.อัมมาร สยามวาลา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามักตกเป็นจำเลยมาตลอดว่ามีเงินไม่พอ แต่นี่ไม่ใช่ความจริง ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของไทยคิดเป็น 4% ของจีดีพี ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง แต่สำนักงบประมาณก็มักจะตัดเงินในทุกปี และ 2-3 ปีที่ผ่านมาก็มีการแช่แข็งงบประมาณไว้ ทั้งที่เงินที่เพิ่มเพียงแค่ 2-4 % เท่านั้น หรือเพิ่มประมาณปีละ 5,000 ล้านบาท ทำไมไม่ประหยัดเงินในส่วนโครงการอื่นๆ ที่ไม่จำเป็น เช่น จำนำข้าว แต่ทำไมใช้เงินเพื่อสุขภาพประชาชนเพิ่มปีละ 5,000 ล้านบาท จึงกลายเป็นเรื่องยากมาก ทั้งที่กองทุนหลักประกันสุขภาพเป็นการใช้เงินที่เขียมที่สุด จำกัดจำเขี่ยที่สุด
 
“ผมคิดว่าถ้าจะประหยัดเงิน กรุณาอย่าพุ่งเป้ามาที่งบกองทุนหลักประกันสุขภาพนี้ อย่างเรื่องร่วมจ่ายก็ผลักภาระมาที่นี่ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการต่างหาก ที่ต้องไปจัดการทำให้มีประสิทธิภาพ ที่สำคัญอีกวิธีหนึ่งคือลดค่าใช้จ่ายเลวๆ ที่อุดมสมบูรณ์มากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา”
 
นพ.วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร ที่ปรึกษาสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยนั้น เป็นที่ยกย่องของต่างชาติมาก และเมื่อมาเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศอาเซียน เรามีรายจ่ายด้านสุขภาพไม่ถึง 4% ของจีดีพี ขณะที่ค่าเฉลี่ยยของอาเซียนอยู่ที่ 5% และเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศ OECD หรือ องค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 9.3% ดังนั้นของไทยยังต่ำมาก ไม่ได้มีปัญหาเรื่องการเงินอย่างที่มีการสร้างความเข้าใจผิด ดังนั้นการที่ถูกแช่งแข็งงบประมาณไว้ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เมื่อเทียบกับบริการสวัสดิการสุขภาพที่เราให้ประชาชน และประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ ขณะที่อัตราการเข้าถึงการรับบริการของเราก็ไม่ได้พุ่งสูงและยังอยู่ในค่าเฉลี่ยต่ำกว่าเกณฑ์อย่างมาก
 
“ตอนนี้งบประมาณจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาจากฐานภาษี เคยมีข้อเสนอว่า เพื่อความยั่งยืนของระบบ ให้กำหนดอัตราภาษีชัดเจน (earmark) เช่น นำไปผูกไว้กับภาษีหุ้นที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์จะดีกว่าหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดคือแนวทางที่จะป้องกันไม่ให้กองทุนนี้ถูกล้มไป ด้วยการสร้างภาพว่าเงินไม่พอ ทั้งที่ข้อเท็จจริง คือเราใช้เงินในสัดส่วนที่น้อยมาก ถ้าอยากจะลดงบประมาณ ไปลดในสิ่งที่ไม่จำเป็นจะดีกว่าหรือไม่ ดีกว่ามาลิดรอนสวัสดิการสุขภาพของประชาชน” นพ.วิโรจน์ กล่าว
 
นายจอน อึ๊งภากรณ์ กรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข ภาคประชาชน กล่าวว่า ปัญหาของเราคือระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นดอกไม้ แต่อยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ โดยเฉพาะระบบเอกชนต้องการทำลายระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ยกตัวอย่างเช่น บริษัทที่ผลิตสเต็นท์หรือขดลวดสายสวนหัวใจ ถ้าไม่มีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สามารถขายได้ 8 หมื่นบาท แต่เมื่อมีระบบหลักประกันสุขภาพ ขายได้หมื่นกว่าบาท แต่ก็ยังได้กำไร
 
นายจอน กล่าวต่อว่า อีกประเด็นที่เป็นปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ ซึ่งสังคมยังขาดความเข้าใจตรงนี้อยู่มาก และผู้ที่ต้องการจะทำลายระบบ ก็ฉวยเอาโอกาสความเข้าใจผิดนี้มาทำลาย แท้จริงเราใช้จ่ายด้านสุขภาพน้อยมาก ในกลุ่มประเทศที่มีระดับรายได้เดียวกัน แต่ก็จะมีการพูดเสมอๆ ว่า รายจ่ายไม่พอ ประเทศจะแย่แล้ว ต้องลดงบหลักประกันสุขภาพลง แต่ไม่เคยพูดเรื่องรายจ่ายด้านอาวุธ แต่กลับมาพุ่งเป้าที่ระบบหลักประกันสุขภาพของประชาชน พูดแต่ว่าของฟรีไม่ดี คนไข้ไปใช้สิทธิ์โดยไม่จำเป็น ตนอยากเห็นหลักฐานตรงนี้ เพราะนี่ไม่ใช่ของฟรี ประชาชนจ่ายผ่านภาษี
 
นายจอน กล่าวว่า การที่ยกตัวอย่างประเทศอื่นมาบอกว่าเขามีการร่วมจ่าย ตรงนี้ต้องบอกว่าจริงส่วนหนึ่ง แต่เขาไม่ได้ร่วมจ่ายเมื่อมารับบริการ ที่อังกฤษ ระบบหลักประกันสุขภาพที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง และประเทศไทยต้องการเดินแบบนั้น สิ่งที่ต้องจ่ายคือ เมื่อไปหาหมอ แล้วหมอเขียนใบสั่งยา เมื่อไปรับยาที่ร้านขายยา ผู้ป่วยจ่าย 8 ปอนด์หรือประมาณ 400 บาท เป็นการจ่ายแบบเหมาจ่าย ไม่ว่ายาจะแพงอย่างไร ก็จ่ายเท่านั้น ซึ่งค่าเงิน 8 ปอนด์ที่อังกฤษนั้นยังไม่สามารถซื้อหนังสือได้หนึ่งเล่ม แล้วคนที่จ่ายคือคนที่มีงานทำ ส่วนคนที่จะต้องซื้อยาเป็นประจำก็มีข้อยกเว้น
 
นายจอน กล่าวว่า ความเข้าใจผิดอีกอันคือ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าควรช่วยแต่คนจน แบบสงเคราะห์ ส่วนคนชั้นกลางขึ้นเป็นให้ดูแลตัวเอง ตรงนี้เป็นมายาคติอย่างมาก ระบบนี้เป็นสิทธิของทุกคน เป็นการรวมเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข นี่เป็นระบบที่เป็นธรรม ถ้าหากทำให้เป็นระบบสงเคราะห์ จะมีปัญหาเหมือนกับระบบสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา ที่มีราคาแพงมาก เพราะไม่มีการคุมราคาค่ายา เครื่องมือแพทย์ ทำให้ค่าใช้จ่ายต่อหัวแพงมาก แต่ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่เรามีขณะนี้ มีความยุติธรรมมากที่สุด เป็นระบบสิทธิ ทั้งการประหยัดค่าใช้จ่าย มีการต่อรองราคายา การทำให้คนไม่ล้มละลาย นี่เป็นระบบที่ยุติธรรมแล้ว แต่คนในสังคมยังไม่เข้าใจ เพราะมีโฆษณาชวนเชื่อมากมาย ถ้าจำเป็นต้องจ่ายเพิ่มก็ให้ไปจ่ายเพิ่มในระบบภาษี แต่ไม่ใช่ทุกข์อยู่แล้ว ไม่สบายอยู่แล้ว ยังต้องไปหาเงินเพิ่มมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลอีก อย่างนี้ไม่ถูกต้อง

คนไม่เห็นหัว ‘ชาติ’



‘ชาติ’ มักถูกใช้เป็นคำอธิบายในการเข้ารับตำแหน่งที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวโยงกับส่วนรวมในระดับประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่การรับตำแหน่งนั้นล่อแหลมต่อการละเมิดหลักการร่วมของสังคม เป็นต้นว่า ความล่อแหลมต่อศีลธรรมว่าด้วยการรักษาคำพูด ในกรณี “เสียสัตย์เพื่อชาติ” ของสุจินดา คราประยูรครั้งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2535 หรือความล่อแหลมต่อการรักษาระบอบประชาธิปไตย ในกรณีการเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ของนรนิติ เศรษฐบุตรและสมคิด เลิศไพฑูรย์ซึ่งคนจำนวนหนึ่ง เช่น กลุ่ม TU Spirit Team ให้เหตุผลสนับสนุนว่าทั้งสองจะได้ “ทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ” เช่นเดียวกับปรีดี พนมยงค์และป๋วย อึ๊งภากรณ์

‘ทำเพื่อชาติ’ ได้ทำหน้าที่แปลงสำนึกสังคมให้การเสียสัตย์เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ทำให้ระบอบเผด็จการเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ รวมถึงทำให้การเลือกเพิกเฉยต่อบริบทการเมืองและประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันระหว่างปรีดีและป๋วยกับนรนิติและสมคิดแล้วเหมารวมว่าทั้ง 4 ท่านนี้มีพฤติกรรมแบบเดียวกันเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ของคนจำนวนหนึ่ง

‘ทำเพื่อชาติ’ จึงทำงานในฐานะความหมายสากลที่ตัดข้ามความหมายต่าง ๆ สามารถหักล้าง/เจือจางศีลธรรม หลักการ และประวัติศาสตร์ลง ทำให้ของทั้ง 3 สิ่งนี้หรือความหมายอื่น ๆ ล้วนหมดความหมาย/ไม่มีความแตกต่างเบื้องหน้าประโยชน์ของชาติ

ในขณะที่การกระทำการในนาม ‘ชาติ’ มีความหมายและความสำคัญในระดับนี้ แต่การระบุว่าอะไรคือประโยชน์ของชาติ มักจะคลุมเครือไม่เป็นรูปธรรม คำอธิบายเสริมของการ ‘ทำเพื่อชาติ’ มักจะเป็นเรื่องของคุณสมบัติส่วนบุคคล เช่น เป็นคนดีคนมีความรู้ และเจตนารมณ์ เช่น จะทำงานด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม เพื่อความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความสงบสุขของบ้านเมือง (โปรดดูประกาศและแถลงการณ์จำนวนมากของ คสช.) 

การยึดเกณฑ์คุณสมบัติและเจตนารมณ์ส่วนบุคคลเป็นเครื่องชี้ ‘ประโยชน์ของชาติ’ นั้นมีปัญหาในการแยกความต่างระหว่างบุคคลหนึ่ง ๆ ที่ทำ/ประกาศตัวว่าทำ “เพื่อชาติ” เหมือนกัน นั่นคือไม่สามารถแยกแยะนาย ก. ออกจากนาย ข. หรือนาย ค. หรือชวน บรรหาร อภิสิทธิ์ ทักษิณและประยุทธ์ออกจากกันได้ เพราะต่างก็เป็นผู้ที่มี ‘ความรู้ความสามารถ’ ทำงานเพื่อ ‘ประโยชน์ของประเทศชาติ’ ในสายตาของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวสะท้อนผ่านการที่ TU Spirit Team ไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างนรนิติและสมคิดกับปรีดีและป๋วย

อย่างไรก็ตามการบ่งชี้ ‘ประโยชน์ของชาติ’ ในทิศทางดังกล่าวสะท้อนว่าสังคมเห็นผลประโยชน์ของชาติโดยพื้นฐานเกี่ยวพันกับเรื่อง 3 เรื่องคือ ที่มา กระบวนการและเป้าหมาย เช่นนี้แล้วการระบุรูปธรรมผลประโยชน์ของชาติจึงเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่าง ที่มา กระบวนการและเป้าหมายของการกระทำในนามผลประโยชน์แห่งชาตินั้นกับนิยามชาติว่า ‘ชาติ’ คืออะไร/คือใคร

คำอธิบายเรื่องชาติที่ได้รับการยอมรับของนักวิชาการท่านหนึ่งคือ ชาติเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรม เป็นปรากฏการณ์ใหม่ กำเนิดขึ้นมาได้ด้วยปัจจัยพื้นฐานอย่างน้อย 2 ประการคือการที่คนสามารถจินตนาการถึงเพื่อนร่วมชุมชนคนอื่น ๆ ได้โดยมิต้องรู้จักพบปะหน้าตาและการที่คนในชุมชนนั้น ๆ มีความรู้สึกเป็นเจ้าของชุมชนร่วมกัน ในแง่นี้ชาติจึงหมายถึงชุมชนของเสรีชนที่เสมอภาค (อย่างน้อยในหัวใจของพวกเขา) เพราะหากมิใช่เสรีชนที่เสมอภาคแล้วพวกเขาย่อมไม่สามารถครอบครองเป็นเจ้าของมีส่วนร่วมในชุมชนนั้นได้

ทั้งนี้อาจทำความเข้าใจเรื่องชาติอย่างง่ายที่สุดได้จากการดูความแตกต่างทางเป้าหมายและสถานะของทหารที่เสียชีวิตในสมรภูมิ ทหารที่ตายในสนามรบก่อนกำเนิดชาติ-ไม่มีชาตินั้นพวกเขาตายเพื่อนายและตายในฐานะข้าทาสหรือไพร่ของนาย ในขณะที่ทหารที่ตายในสนามรบเมื่อชาติกำเนิดแล้วนั้นพวกเขาตายเพื่อชาติในฐานะเสรีชน พวกเขาสละชีวิตไปเพื่อเพื่อนร่วมชุมชนคนอื่นที่เท่า ๆ กันกับพวกเขาที่ปรากฏเป็นองค์รวมของจินตนาการในนามชาติ กล่าวอย่างถึงที่สุด การกระทำเพื่อชาตินั้นไม่สามารถกระทำโดยมีจินตนาการถึงผู้หนึ่งผู้ใดเพียงผู้เดียวได้

ด้วยเหตุนี้คงไม่ผิดที่จะกล่าวว่า ‘ชาติ’ นั้นมีประชาชนเป็นองค์ประกอบสำคัญและเมื่อชาติคือประชาชน การทำเพื่อ ‘ชาติ’ จึงต้องพิจารณาว่าการดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจบริหารจัดการทรัพยากรของคนทั้งประเทศนั้นมี ที่มา กระบวนการและเป้าหมายในการใช้อำนาจดังกล่าวสอดคล้องกับสาระสำคัญนี้หรือไม่ กล่าวคือ ที่มาของอำนาจจะต้องยึดโยงกับประชาชนด้วยการที่ประชาชนมีอำนาจแต่งตั้งหรือให้คุณให้โทษผู้อยู่ในตำแหน่งไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง กระบวนการใช้อำนาจจะต้องให้ประชาชนมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยการกำกับดูแลมิให้ใช้มีการใช้อำนาจล่วงล้ำก้ำเกินสิทธิพื้นฐานของประชาชนและเป้าหมายในการใช้อำนาจนั้นจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ที่ประชาชนเองเป็นผู้กำหนดว่าพวกเขาต้องการอะไรอย่างไรมิใช่เป้าหมายที่ประกาศโดยบุคคลกลุ่มน้อย หรืออย่างน้อยการกระทำใด ๆ จะต้องเป็นไปเพื่อขยายพื้นที่อำนาจของประชาชนให้มากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับสถานะดั้งเดิม

ด้วยเหตุนี้การรับตำแหน่งใน สนช ของนรนิติ สมคิด หรือการดำเนินการต่าง ๆ ของบุคคลหรือคณะบุคคลใดๆ ในนามชาติหากมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขดังข้างต้นคงต้องนับว่าคำกล่าวนั้นคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงหรือมิเช่นนั้น ‘ชาติ’ ของพวกเขาทั้งหลายคงมิได้มีประชาชนเป็นส่วนสำคัญ

หมายจับ 'กริชสุดา-ชนัญชยา' โยงแจกอาวุธสงครามก่อเหตุ


Sun, 2014-08-10 14:46

            มติชนออนไลน์รายงานว่าเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (บช.ภ.1) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร.ด้านความมั่นคง พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รรท.ผบช.ภ.1 พ.อ.วิจารณ์ จดแตง ผู้อำนวยการกฎหมาย กอ.รมน. ร่วมแถลงกรณีศาลอาญาอนุมัติหมายจับผู้ต้องหา 3 ราย ประกอบด้วย 
  • นายสมศักดิ์ หรือน้อง พูลสวัสดิ์ อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2/16 หมู่ 3 ต.สามพี่น้อง อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี 
  • น.ส.กริชสุดา หรือเปิ้ล คุณะแสน อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 9/74 ต.แสนสุข อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี และ
  • นางชนัญชยา หรือเมย์ เกตุแก้ว อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 9/74 ต.แสนสุข อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี 
          ในข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร

542068-02
 
          พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า สืบเนื่องจากจับกุมนายพีรพงษ์ หรือธานินทร์ สินธุสนธิชาติ อายุ 42 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดทหารบกสระบุรี ในข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนเครื่องกระสุน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะในการสงคราม ที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตใช้ได้ ไว้ในความครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งจากการสอบสวนนายพีรพงษ์ให้การซัดทอดว่าอาวุธสงครามที่แจกจ่ายให้บุคคลต่างๆ ไปก่อเหตุช่วงการชุมนุมทางการเมืองนั้น เป็นอาวุธที่รับมาจาก น.ส.กริชสุดา และนายกมล ดวงผาสุข หรือไม้หนึ่ง ก.กุนที จึงรวบรวมหลักฐานเพื่อขอศาลอาญาออกหมายจับดังกล่าว ทั้งนี้การกระทำของผู้ต้องหาทั้ง 3 มีลักษณะเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายโดยแบ่งหน้าที่กันทำ 

 
         รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ที่ น.ส.กริชสุดาระบุว่าถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายร่างกายนั้นเป็นการโกหกแต่งเรื่องเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเอง ซึ่งขณะนี้ น.ส.กริชสุดาและนางชนัญชยายังคงหลบหนีอยู่ ส่วนนายสมศักดิ์นั้นถูกจับกุมได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยหลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะสรุปสำนวนคดีสั่งให้อัยการ ซึ่งหากอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้องคดีก็จะส่งสำนวนไปยังกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป 

 
         ด้านนายพีรพงษ์ให้การเพิ่มเติมว่า เคยไปรับอาวุธปืนเอ็ม 79 มาจากนายไม้หนึ่ง โดยได้นำไปให้ผู้ร่วมขบวนการเพื่อนำไปก่อเหตุในพื้นที่ต่างๆ และเคยไปรับอาวุธปืนเอ็ม 16 จาก น.ส.กริชสุดา แต่ยังไม่ได้นำไปก่อเหตุ เนื่องจากเมื่อนำปืนไปทดลองยิงแล้วปืนเกิดระเบิดขึ้น ซึ่งที่ตนรับสารภาพนั้นเพราะด้วยความสมัครใจ ไม่ได้ถูกบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด
 
          พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการตั้งคณะทำงานชี้แจงด้านสิทธิมนุษยชนกับต่างชาติ หลังจากสหประชาชาติ เรียกร้องให้ไทยสอบสวนข้อเท็จจริงกรณี น.ส.กริชสุดา คุณะเสน ว่า คณะทำงานนี้ประกอบด้วยหลายหน่วยงาน คงต้องทำงานให้เข้มข้นขึ้น ในการทำความเข้าใจกับต่างชาติ แต่ไม่มีความจำเป็นต้องไปเปลี่ยนความคิดของต่างชาติ แต่จะเน้นให้ข้อเท็จจริงมากที่สุด