วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เตือนความจำ: 6 ปี ‘ดา ตอร์ปิโด’ บรรณารักษ์คนใหม่ – การขอพระราชทานอภัยโทษ



วันที่ 22 กรกฎาคมปีนี้ นับเป็นวันครบรอบ 6 ปี ที่ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ‘ดา ตอร์ปิโด’ ถูกคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลาง
เธอนับเป็นนักโทษคดีการเมืองคนแรกๆ ที่ถูกคุมขังจากมาตรา 112

ย้อนความทรงจำคดี ดา ตอร์ปิโด

หลังการทำรัฐประหารในปี 2549 นำโดยพล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน กลุ่มต่อต้านรัฐประหารเริ่มถือกำเนิดขึ้นอย่างกระจัดกระจาย เป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ก่อนที่จะก่อเกิดขบวนการอย่าง นปก. และต่อมาขยายตัวเป็น นปช. อย่างที่เห็นทุกวันนี้  ในตอนนั้นชาวบ้านกลุ่มต่างๆ ใช้พื้นที่สนามหลวงเป็นหลักเพื่อปราศรัยต่อต้านการรัฐประหาร ส่วนใหญ่จะเป็นผู้นิยมชมชอบในพรรคไทยรักไทยผสมกับพวกหัวก้าวหน้าบางส่วน รวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็กๆ คนฟังไม่กี่สิบคน ดารณีก็นับเป็นดาวเด่นไฮด์ปาร์กด้วยเช่นกัน และด้วยการพูดที่ดุเดือดตรงไปตรงมาทำให้เธอได้รับฉายาว่า ดา ตอร์ปิโด
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนบริบททางสังคมในขณะนั้นที่เกิดความแตกแยกทางความคิดของคนในสังคมอย่างมาก โดยเฉพาะประเด็นสถาบันกษัตริย์ที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างกว้างขวางและทรงพลานุภาพ จนกระทั่งคณะทหารสามารถนำมาเป็นข้ออ้างความชอบธรรมในการทำรัฐประหารปี 2549 ได้ และยิ่งทำให้ประเด็นบทบาทของสถาบันถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักข้อขึ้นไปอีก
ในปี 2550  ดารณีถึงกับเคยถูกแม่ค้าปากคลองตลาดนำอุจจาระมาปาใส่หน้าจนเป็นข่าวใหญ่โต โดยแม่ค้าอ้างว่าสาเหตุมาจากทนฟังการปราศรัยของเธอถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไม่ไหว
ปี 2551 คืนวันที่ 20 กรกฎาคม เรื่องราวการปราศรัยของเธอบนเวทีเล็กๆ ที่สนามหลวง เป็นที่รับรู้ในสังคมและกลายเป็นเรื่องใหญ่โต โดย สนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งอ้างว่าอัดเทปคำปราศรัยดารณีและนำมาอ่านบนเวทีมัฆวานฯ ที่มีการถ่ายทอดสดทางเคเบิลทีวีและเว็บไซต์ ตอนนั้นเป็นช่วงที่กลุ่มพันธมิตรฯ กำลังชุมนุมขับไล่รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช แห่งพรรคพลังประชาชน
"อีนางนี่นอกจากจะต้องติดคุกแล้ว จะต้องเอามันให้ตาย ผมพูดจากตัวผมเอง สาบาน อย่าให้กูเจอมึงที่ไหนนะ กูจะตบให้คว่ำเลยอีห่า มันเลวที่สุดพี่น้อง อย่าไปฟัง เพราะมันหมิ่นยิ่งกว่าหมิ่น ไอ้จักรภพว่าหมิ่นแล้ว อีนี่คูณสิบเข้าไป"
"ผมไม่เคยเห็นใครเลวทรามต่ำช้า ชั่วช้ายิ่งกว่าเหี้ย เหี้ยเรียกแม่"
สนธิเกริ่นถึงดารณีบนเวทีก่อนจะอ่านบางส่วนของคำปราศรัยของดารณีแบบคำต่อคำ
วันรุ่งขึ้นกองทัพบกจึงได้มีหนังสือด่วนที่สุดถึงผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เรื่อง ขอให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ โดยเนื้อหาในหนังสือระบุว่า กองทัพบกขอให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล ตรวจสอบการปราศรัยของ น.ส.ดารณี หากพบว่ามีการกระทำความผิดจริง ขอให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ถัดมาอีกวันศาลอาญาอนุมัติออกหมายจับ และตำรวจก็เข้าจับกุมตัวดารณีที่ห้องพัก และเธอก็อยู่ในเรือนจำนับแต่วันนั้นจนถึงวันนี้
เธอถูกศาลอุทธรณ์ตัดสินจำคุก 15 ปีจากการกระทำผิด 3 กรรม (ปราศรัยบนเวทีเล็ก 3 ครั้ง) ปัจจุบันคดีสิ้นสุดแล้ว และผู้ที่สนใจสามารถอ่านคำตัดสินของศาลชั้นต้นรวมทั้งสิ่งที่เธอกล่าวบนเวทีปราศรัยได้ในวารสารฟ้าเดียวกัน ซึ่งตีพิมพ์คำพิพากษาทั้งหมดไว้ในฉบับ “ข้อมูลใหม่”  ปีที่ 7 ฉบับที่ 3 พ.ศ.2552
(ระหว่างถูกคุมขัง เธอถูกตัดสินให้มีความผิดในคดีหมิ่นประมาท สนธิ ลิ้มทองกุล ด้วย ศาลสั่งลงโทษปรับ 50,000 บาท จากนั้นก็ถูกพิพากษาให้มีความผิดฐานหมิ่นประมาท พล.อ.สะพรั่ง กัลยาณมิตร อีกโดยศาลสั่งปรับ 50,000 บาท)
ขณะที่สนธิ ลิ้มทองกุล นั้นก็ถูกฟ้องตามมาตรา 112 เช่นกันจากการนำคำปราศรัยจากเวทีเล็กมาปราศรัยในเวทีมัฆวานฯ โดยศาลชั้นต้นยกฟ้องเนื่องจากเห็นว่าจำเลยกระทำไปด้วยมีเจตนาให้ดำเนินคดีกับดารณี ไม่เข้าข่ายความผิดมาตรา 112 ต่อมาศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 2 ปี และได้รับอนุญาตให้ประกันตัว ทั้งนี้ศาลอุทธรณ์ให้ความเห็นว่า "จำเลยไม่มีความจำเป็นต้องนำเนื้อหามาถ่ายทอดพูดซ้ำในที่สาธารณะ เพราะคนไทยบางส่วนไม่ทราบว่าเนื้อหาที่น.ส.ดารณี พูดเป็นอย่างไรบ้าง ก็ได้มาทราบจากการที่จำเลยพูด ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ ส่งผลกระทบต่อสถาบัน อันเป็นการกระทำที่ไม่ระมัดระวังอย่างเพียงพอ"

พื้นเพอาชญากรทางความคิด

ดารณีเรียนจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ไม่ทันจบเพราะทะเลาะกับอาจารย์ จึงมาเรียนโทต่อที่มหาวิทยาลัยเกริก โดยเส้นทางที่ผ่านมาเธอล้วนเลือกเรียนเกี่ยวกับรัฐศาสตร์ทั้งสิ้น
พี่ชายของดารณีเคยเล่าว่า น้องสาวเป็นหนอนหนังสือ ถึงกับต้องเช่าห้องพักไว้ 2 ห้อง ห้องหนึ่งเอาไว้พักและอีกห้องหนึ่งเอาไว้เก็บหนังสือ

“ชอบอ่านและชอบซื้อหนังสือ บางทีเห็นก็ซื้อไว้ก่อน มีเป็นพันเล่ม แต่ตอนนี้ไม่รู้มันไปไหนแล้ว” ดารณีเล่าหลังผ่านไป 6 ปีในเรือนจำ
“เมื่อก่อนชอบอ่านงานวิชาการทั่วไป เรื่องเกี่ยวกับการเมือง ประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ แต่ช่วงหลังๆ ก่อนขึ้นเวที อ่านงานของสุพจน์ ด่านตระกูล ไม่ได้อ่านทุกเล่ม อ่านแค่บางเล่ม” ดากล่าว
ในเรือนจำหญิง จากมนุษย์พันธุ์ฮาร์ดคอร์การเมือง ดารณีต้องกลายเป็นผู้ไม่รู้ข่าวสารบ้านเมือง ช่องทางในการรับรู้คือการได้รับฟังจากนักโทษที่เข้ามาใหม่หรือการพูดคุยกันของผู้คุม เนื่องจากเรือนจำหญิงมีกฎระเบียบห้ามนักโทษดูข่าว รับชมได้เพียงซีรี่ส์หนังเกาหลี หนังไทย ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนเธอเคยเล่าว่า ถูกทำโทษงดเยี่ยมญาติเป็นสัปดาห์เนื่องจากไปแอบจูนหาช่องข่าวในทีวีของเรือนจำ
ขณะเดียวกันหนังสือนิตยสารที่มีเรือนจำก็มีอย่างจำกัด เป็นนิตยสารผู้หญิงฉบับย้อนหลังไปหลายปี เหล่านี้คือเสียงสะท้อนที่เธอมักบอกกล่าวผู้ไปเยี่ยมเยียน ไม่รับรวมถึงคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังหญิงที่ไม่ได้มาตรฐานเนื่องจากความแออัด ปัญหาการจัดการ กฎระเบียบที่เข้มงวดเกินไป และปัญหาการขาดแคลนงบประมาณ
เรื่องราวปัญหาเชิงระบบเป็นสิ่งที่มักได้ยินจากปากของนักเรียนรัฐศาสตร์คนนี้เสมอ ไม่เพียงปัญหาในเรือนจำ แต่รวมถึงปัญหาการเมืองของประเทศด้วย
ระยะเวลา 6 ปี มีทั้งสิ่งที่เปลี่ยนและไม่เปลี่ยนไปหลายอย่าง
สิ่งที่ไม่เปลี่ยน
ประการแรก คือ ความคิดฐานรากของเธอ จากปีแรกที่เข้าเยี่ยมจนถึงปีที่ 6 ที่มีโอกาสพูดคุยสั้นๆ 15 นาทีอีกครั้ง เธอยังคงยืนยันว่าปัญหาสำคัญที่สุดของสังคมไทยคือ ปัญหาความไม่เท่าเทียม ความถ่างกว้างของชนชั้น นั่นทำให้เธอชื่นชอบนโยบายของพรรคไทยรักไทยเดิม เนื่องจากสิ่งที่ถูกเรียกว่า ‘ประชานิยม’ นั้นส่งผลต่อปากท้องของคนชั้นล่างโดยตรง แม้ว่าเธอจะผิดหวังกับพรรคนี้อย่างมากที่ไม่สามารถปกป้องช่วยเหลือประชาชนที่ลุกขึ้นสู้เพื่อทวงคืนสิ่งที่เธอเรียกว่า 'ประชาไธิปไตย' ได้ก็ตาม เธอคิดว่านโยบายด้านเศรษฐกิจนั้นสำคัญมาก และต้องเน้นทำให้ชนชั้นรากหญ้าได้ลืมตาอ้าปาก
“พอคนมันเท่ากันทางเศรษฐกิจมันก็จะส่งผลให้มันเท่ากันทางการเมืองมากขึ้น”  ดาเคยกล่าวไว้เช่นนั้น
ที่สำคัญคือ เธอมักแสดงความกังวลเรื่องความสามารถในการแข่งขันเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เสมอเพราะกลัวไทยจะล้าหลังกว่าเพื่อนบ้าน
“เรื่องเออีซีไม่เป็นไรมั้ง เอาแค่เรื่องของเราเฉพาะหน้าก่อนดีกว่า” ผู้เข้าเยี่ยมรายหนึ่งเคยกล่าวติดตลกกับดา
ประการที่สอง คือ อาการกรามอักเสบยึดติดระหว่างบน-ล่าง ปัจจุบันเธอยังคงเจ็บปวดกับโรคนี้ อ้าปากได้ไม่เต็มที่เวลารับประทานอาหารหรือพูดคุย เธอเล่าว่าเธอไม่กล้ารับการผ่าตัดในเรือนจำเนื่องจากต้องผ่าตัดใหญ่ พักฟื้นเป็นเดือน โดยที่โดยระบบแล้วจะมีเพื่อนนักโทษด้วยกันดูแล ทำให้เธอไม่ไว้วางใจ เนื่องจากเธอก็ทะเลาะกับเพื่อนนักโทษขาใหญ่อยู่หลายคน
ครั้งหนึ่งเธอเคยกล่าวติดตลกว่า เวลาปวดก็จะกินยาพาราเซตามอล บางทีกว่าจะได้พ้นโทษไปผ่าตัดก็อาจจะเป็นโรคตับเสียก่อน
สิ่งที่เปลี่ยน
ประการแรก ดารณีเคยกล่าวไว้ตั้งแต่ครั้งต่อสู้คดีในศาลชั้นต้นว่าจะต่อสู้คดีนี้ให้ถึงที่สุดในชั้นศาลฎีกาเพื่อให้เป็นคดีประวัติศาสตร์ที่คนรุ่นหลังสามารถศึกษาจากคำพิพากษาฎีกาได้ แต่ดูเหมือนความหวังนั้นจะถูกพับเก็บไป หลังจากการต่อสู้คดีที่ยาวนานและภายหลังศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษายืนจำคุกเธอถึง 15 ปี สิ่งนี้ทำให้เธอไม่มีความหวังในการต่อสู้คดี ประกอบกับผู้คนที่มาเยี่ยมเยียนก็ดูหายเหือดแทบไม่มีเหลือในปีหลังๆ รวมถึงพี่ชายของเธอที่ชะตากรรมชักพาให้เขาต้องอยู่ในคุกตารางเช่นกัน ไม่สามารถมาเยี่ยมน้องทุกสัปดาห์ได้อีก
“ตอนนี้มีกฎใหม่ ให้ผู้ต้องขังเขียนชื่อคนเข้าเยี่ยมแค่ 10 คน นอกเหนือจากนี้จะไม่ได้เยี่ยม” เธออุทธรณ์กับกฎใหม่ที่อาจส่งผลให้เธอได้พบปะกับคนน้อยลงไปอีก
ดารณีกล่าวว่า สำหรับคดีของเธอ เธอได้ถอนฎีกาไปเมื่อไรจำไม่ได้แต่มีผลทำให้คดีเป็นที่สิ้นสุดลงแล้วในชั้นอุทธรณ์ จากนั้นได้ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษเป็นรายบุคคลไปเมื่อปลายปี 2556 และทราบมาว่าเรื่องถึงสำนักราชเลขาธิการแล้วในเดือนมกราคมปีนี้ หลังจากนี้คงได้แต่รอคอยพระเมตตา
ประการที่สอง ความใฝ่ฝันที่จะลงเล่นการเมือง เธอเคยกล่าวถึงมันเมื่อปีก่อนๆ ด้วยเห็นว่าการจะผลักดันนโยบายช่วยเหลือคนชั้นล่างได้เร็วที่สุดเห็นจะเป็นบทบาทในรัฐสภา แต่ปัจจุบันความใฝ่ฝันหลังการพ้นโทษของเธอคือการเขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวิตในเรือนจำ และนำเงินส่วนหนึ่งมาตั้งศูนย์ฮอตไลน์ช่วยนักโทษผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการดำเนินคดี เช่น ไม่มีทนายความ มีปัญหาเอกสาร เป็นต้น
ยังไม่ทันได้มีใครสอบถามว่าความฝันในทางการเมืองนั้นหล่นหายไปเมื่อใด

บรรณารักษ์คนใหม่ในเรือนจำ

อย่างไรก็ตาม ข่าวดีสำหรับดารณีในรอบ 6 ปีก็มีอยู่บ้าง นั่นคือ การได้รับแต่งตั้งเป็นบรรณารักษ์ดูแลมุมห้องสมุดเล็กๆ ในแดนแรกรับ
เธอแจ้งว่า หากใครต้องการบริจาคหนังสือ สามารถบริจาคหนังสือได้ทุกประเภทยกเว้นเรื่องการเมือง และจะให้ดีควรบริจาคสองเล่ม เนื่องจากหากบริจาคเล่มดียวจะถูกส่งไปยังห้องสมุดในแดนนอกสำหรับผู้ต้องขังคดีเด็ดขาด 
ช่วงหนึ่งเธอเล่าถึงหนังสือดีๆ ที่พอมีอยู่บ้างในเรือนจำ และกล่าวถึงหนังสือรวมบทสัมภาษณ์นักวิชาการในวาระ 100 ปี ปรีดี พนมยงค์  (ปรีดีเป็นชื่อที่เธอมักพูดถึงประจำเมื่อครั้งอยู่ในเรือนจำใหม่ๆ) โดยหยิบยกคำพูดของอาจารย์ฉันทนา ศิริบรรพโชติ หวันแก้ว ที่สร้างความประทับใจให้เธอว่า
“ความขัดแย้งจะเป็นตัวพิสูจน์ความเข้มแข็งของระดับประชาธิปไตย ความคิดขัดแย้งกันของคนไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เราจะจัดการกับความขัดแย้งอย่างไรให้อยู่ด้วยกันได้” ดากล่าวและมันอาจเป็นคำถามที่ฝากถึงสังคมในวาระที่เธออยู่ในเรือนจำมาถึง 6 ปี

Time line คดีดารณี

เรียบเรียงจากเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ โดย ไอลอว์
22 ก.ค.51
ถูกจับกุมที่บ้านพัก ไม่ได้ประกันตัว
25 ก.ค.51
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ยื่นอุทธรณ์คำร้องขอประกันตัว เจ้าหน้าที่ศาลอาญารับคำอุทธรณ์ไว้
1 ส.ค.51
ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องการขอปล่อยตัวชั่วคราว พิเคราะห์แล้วเห็นว่าความผิดมีอัตราโทษสูง เป็นความผิดร้ายแรง และกระทบกระเทือนจิตใจของประชาชน หากปล่อยตัวไปเกรงว่า ผู้ต้องหาจะไปกระทำผิดซ้ำอีก
9 ต.ค.51 
ศาลรับคำฟ้องจากพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด (สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7) เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.3959/2551
16 ต.ค.51
สุธาชัย ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวอีกครั้ง ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกคำร้องในวันเดียวกัน
1 ธ.ค.51
ศาลอาญานัดตรวจสอบหลักฐาน สอบคำให้การจำเลย โดยสั่งให้เลื่อนการนัดไปเป็นวันที่ 15 ธ.ค. เนื่องจากจำเลยเพิ่งแต่งตั้งทนายเมื่อปลายเดือนพ.ย. ประเวศ ประภานุกูล ทนายความยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลชั้นต้นยกคำร้องโดยให้เหตุผลว่าไม่มีเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม
4 ธ.ค.51

ทนายยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยโต้แย้งว่า การสั่งไม่ปล่อยชั่วคราวตาม ม.108/1 นั้น ต้องเข้าข่ายผู้ต้องหา/จำเลยจะหลบหนีจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น ผู้ร้องขอประกันไม่น่าเชื่อถือ จะไปก่อความเสียหายต่อการสอบสวนหรือดำเนินคดี ซึ่งคดีนี้ไม่ปรากฏว่าจำเลยจะไปยุ่งกับพยานหลักฐานเพราะพนักงานสอบสวนได้ ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ส่วนการหลบหนีนั้นเป็นเพียงข้อสันนิษฐานโดยไม่ปรากฏเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยจะหลบหนี ส่วนที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีนี้เป็นเรื่องร้ายแรงนั้นเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกสำนวน และขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 39 วรรค 2 และ 3 เพราะคดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา ยังไม่แน่ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงต้องถือว่าจำเลยบริสุทธิ์
ต่อมาราวกลางเดือนธันวาคม ศาลอุทธรณ์ได้ยืนยันเหตุผลเดิมของศาลชั้นต้น กล่าวคือ ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว และยกคำร้อง
15 ธ.ค.51 
ศาลนัดสืบพยาน สืบพยานโจทก์ 23-25 มิ.ย.52 สืบพยานจำเลย 26-30 มิ.ย.52
23 มิ.ย.52  
ศาลอาญา โดยผู้พิพากษาพรหมาศ ภู่แสง มีคำสั่งให้พิจารณาคดีดังกล่าวเป็นการลับ อาศัยอำนาจตามมาตรา 177 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
24 มิ.ย.52  
ดารณี เผยแพร่คำแถลงถึง 'สื่อมวลชนและพี่น้องผู้รักความเป็นธรรม' โดยในคำแถลงดังกล่าว ดารณีได้ระบุว่า ตนตกเป็นจำเลยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาตั้งแต่ 22 ก.ค. 51 และถูกขังมาเกือบ 1 ปี โดยไม่เคยได้รับการประกันตัวจนถึงทุกวันนี้ ทั้งที่ผู้ต้องคดีในข้อหาเดียวกันหลายคนได้รับการประกันตัว
ในคำแถลงดังกล่าว ดารณีตั้งคำถามต่อการพิจารณาคดี ซึ่งศาลมีคำสั่งให้พิจารณาเป็นการลับ ห้ามมิให้สื่อมวลชนและประชาชนเข้ารับฟังว่า เหตุใดในคดีอื่นๆ "ในข้อหาเดียวกันประเภทเดียวกัน" การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกรณีอื่นๆ จึงไม่มีการใช้กฎเกณฑ์เช่นนี้ ซึ่งตนเห็นว่าการพิจารณาคดีโดยลับเป็นการปิดบังข้อเท็จจริงมิให้ประชาชนได้รับรู้ และเป็นการทำลายหลักการยุติธรรมของกฎหมายโดยสิ้นเชิง
25 มิ.ย.52

ที่ห้องพิจารณาคดี 904 ศาลอาญา ทนายความยื่นคำร้องต่อศาลให้รอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราวตามมาตรา 211 ของรธน. โดยระบุว่าการที่ศาลอาญามีคำสั่งพิจารณาเป็นการลับ ห้ามมิให้ประชาชนทั่วไปเข้าฟังการพิจารณา เป็นการใช้บทบัญญัติกฎหมาย ขัดหรือแย้งกับรธน.50 มาตรา40 (2) ที่ระบุสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการพิจารณา และขัดรธน.มาตรา 29 ที่บัญญัติเรื่องการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้
ฝ่ายจำเลยเห็นว่าบทบัญญัติมาตรา 177 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ศาลอาศัยอำนาจสั่งให้การพิจารณาคดีลับนั้นขัดและแย้งกับรธน. และศาลรัฐธรรมนูญยังไม่เคยมีการวินิจฉัยเรื่องนี้ จึงขอให้ศาลส่งความเห็นของจำเลยไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรธน.มาตรา 211 โดยขอให้ศาลอาญารอการพิพากษาคดีนี้ไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
 ต่อมาในวันเดียวกัน ศาลได้พิจารณายกคำร้องดังกล่าวของทนายจำเลย โดยระบุว่า การพิจารณาลับไม่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 211 เนื่องจากจำเลยมีทนายแก้ต่าง และสามารถนำพยานหลักฐานมายังศาลได้อย่างครบถ้วน การพิจารณาคดีจึงดำเนินต่อไป
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากไต่สวนพยานโจทก์แล้ว ทนายของดารณีแถลงต่อศาลขอยกเลิกการไต่สวนพยานจำเลยตามกำหนดเดิมคือวันที่ 26 และ 30 มิ.ย. โดยขอนัดไต่สวนในวันที่ 28 ก.ค. และ 5 ส.ค. 52 ซึ่งศาลอนุญาต
28 ส.ค.52

ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ซึ่งกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม จำคุก 3 กระทงๆ ละ 6 ปีรวมจำคุก 18 ปี
จำเลยยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า บทบัญญัติตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 177 ที่ศาลชั้นต้นสั่งพิจารณาคดีลับขัดหรือแย้งสิทธิการเข้าถึงกระบวนการ ยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 29 และ 40 หรือไม่ ซึ่งจำเลยเคยยื่นคำร้องให้ศาลชั้นต้นส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง
9 ก.พ.54
ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาว่า เมื่อศาลอุทธรณ์ตรวจดูแล้ว พบว่าไม่เคยมีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีดังกล่าวมาก่อน จึงชอบที่จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ และที่ศาลชั้นต้นไม่รอการพิพากษาคดีไว้ก่อนเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์จึงให้ยกคำพิพากษาที่ศาลชั้นต้นสั่งจำคุก 18 ปี และให้ส่งเรื่องศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนและเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยแล้ว ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีใหม่แล้วแต่กรณี
17 ต.ค.54

ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า บทบัญญัติตาม ป.วิ อาญา มาตรา 177 ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 29 และ 40(2) ศาลอาญาจึงได้นัดพิพากษาคดีใหม่
15 ธ.ค.54

ศาลอาญาพิพากษาว่า จำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม รวม 3 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 15 ปี (โดยไม่ได้บอกเหตุผลว่าเหตุใดจึงลดโทษลงจากครั้งแรกจำคุก 18 ปี)
16 มี.ค.54
ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องขอประกันตัวชั่วคราวด้วยเงินสด 1.44 ล้านบาทของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม
12 มิ.ย.56

ศาลอุทธรณ์นัดอ่านคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น  โดยไม่ได้อ่านทั้งหมดอ่านเพียงคำสั่งล
โทษ มีเนื้อหาว่า “ยังเชื่อว่าจำเลยดูหมิ่น หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ สมควรให้ลงโทษสถานหนักเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง และที่จำเลยอุทธรณ์มาฟังไม่ขึ้น  พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุก 15 ปี”
9 ก.ย.56
วันครบกำหนดเวลาที่ขอขยายระยะเวลาการยื่นฎีกา จำเลยไม่ได้ยื่นฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุด ไม่สามารถฎีกาเป็นอย่างอื่นได้อีก

คุยกับแอมเนสตี้ฯ ผู้รณรงค์ยุติโทษประหารและการข่มขืน


จากกรณีที่เกิดกระแสสังคมหลังคดีข่มขืนและฆาตกรรมเด็กหญิงวัย 13 ปีบนรถไฟ เมื่อต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา จนเกิดการรณรงค์อย่างกว้างขวางและมีการล่ารายชื่อเพื่อเรียกร้องให้ลงโทษประหารชีวิตผู้กระทำผิดในกรณีข่มขืนและฆ่าในทุกกรณี
ประชาไท สัมภาษณ์ 'ปริญญา บุญฤทธิ์ฤทัยกุล' ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย องค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติที่ทำงานรณรงค์ยุติโทษประหารชีวิตและการข่มขืนล่วงละเมิดทางเพศในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย ถึงมุมมองและความคิดเห็นต่อการลงโทษผู้กระทำผิดด้วยการประหารชีวิตว่าจะเป็นทางออกของปัญหาอย่างยั่งยืนได้หรือไม่
0000
ประชาไท : ทำไม แอมเนสตี้ ถึงได้รณรงค์เรื่องการยกเลิกโทษประหารชีวิต
ปริญญา : แอมเนสตี้ รณรงค์ยกเลิกโทษประหารชีวิตมา 30 ปีแล้ว ทำมาตั้งแต่ก่อตั้งองค์กร โดยเหตุผลที่รณรงค์ยุติการใช้โทษที่รุนแรงนี้มี 5 ข้อ
  1. เรื่องการใช้โทษเป็นเรื่องของการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เรื่องสิทธิการมีชีวิตของคนทุกคน
  2. เรื่องของการใช้โทษนี้เป็นการทรมาน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกายหรือจิตใจ ไม่เฉพาะผู้กระทำความผิดเท่านั้น แต่รวมไปถึงเหยื่อ และครอบครัวของเหยื่อด้วย
  3. จากการศึกษาของเรา พบว่าโทษนี้ถูกใช้กว่า 80% กับคนยากจนและคนเปราะบางในสังคม และหลายครั้งเป็นเครื่องมือของภาครัฐในการจัดการกับคนที่มีความคิดเห็นต่าง หรือมีความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ หรือความหลากหลายทางเพศ เช่น อูกันดามีการใช้โทษนี้กับคนที่มีความหลากหลายทางเพศ
  4. เรื่องของกระบวนการยุติธรรมมีความเสี่ยงในความผิดพลาดอยู่ ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ 100% ดังนั้นความเสี่ยงในความผิดพลาดนี้เป็นที่มาที่ผู้บริสุทธิ์จะกลายเป็นเหยื่อของการใช้โทษที่รุนแรงนี้ และเมื่อผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อของการใช้โทษที่รุนแรงนี้ เราก็ไม่สามารถที่จะเรียกคืนกลับมาได้เนื่องจากถูกประหารชีวิตไปแล้ว
  5. การใช้โทษที่รุนแรงนี้ไม่ได้มีผลโดยตรงกับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอาชญากรรมใดๆ ทั้งสิ้น
เหล่านี้เป็นเหตุผลหลักๆที่เรารณรงค์ยกเลิกโทษประหารชีวิตมา แต่การที่เรารณรงค์เปลี่ยนแปลงโทษนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้กระทำความผิดไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ผู้กระทำความผิดนั้นจะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและได้รับโทษอย่างเหมาะสม ได้สัดส่วน ตามความผิดของเขา และต้องไม่ปล่อยให้ผู้กระทำความผิดนั้นลอยนวลพ้นผิดได้
และเราย้ำและรณรงค์เสมอว่าภาครัฐมีหน้าที่ที่สำคัญที่จะต้องเยียวยาฟื้นฟูเหยื่อและครอบครัวของเหยื่อให้เขาสามารถที่จะกลับมายืนในสังคม ฟื้นฟูชีวิตของเขาได้ยืนในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรีอีกครั้งด้วย การเยียวยานี้ไม่ใช่เฉพาะตัวเงิน แต่หมายถึงทางด้านจิตใจและสังคมด้วย เพราะในหลายๆครั้งเหยื่อจะตกเป็นเหยื่อของสังคมไปด้วย
ตลอด 30 ปีที่ แอมเนสตี้ รณรงค์เรื่องนี้มามีผลสัมฤทธิ์อย่างไรบ้าง
เราเห็นความก้าวหน้าของการรณรงค์นี้คือเมื่อ 30 ปีที่แล้วมีประมาณ 16 ประเทศทั่วโลกที่ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิต แต่เมื่อปี 2556 จากรายงานประจำปีของ แอมเนสตี้ พบว่ามี 141 ประเทศทั่วโลกที่ได้ยุติการใช้โทษนี้ ไม่ว่าจะเป็นในทางกฎหมายหรือในทางปฏิบัติ มีเพียงแค่ 22 ประเทศ ที่ยังประหารชีวิตเมื่อปีที่แล้ว จะเห็นว่าแนวโน้มของการใช้โทษนี้ลดลงตลอดเวลา หลายประเทศกลับมาให้ความสำคัญกับการปฏิรูปและทำในกระบวนการยุติธรรมของเขามีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น เพราะเขาเห็นว่าการใช้โทษที่รุนแรงมันไม่ได้มีส่วนโดยตรงกับการที่จะทำให้อาชญากรรมของประเทศเขาลดลงหรือมีผลดีต่อสังคมเขา
การให้โอกาสอาชญากรกลับมาสู่สังคมโดยไม่มีโทษประหารชีวิตนั้น บางคนอาจก่ออาชญากรรมซ้ำ การรณรงค์ยุติการใช้โทษในลักษณะนี้ไม่เท่ากับเปิดโอกาสให้เกิดอาชญากรรมซ้ำด้วยหรือ
ต้องไปดูว่าทำไมคนที่ทำผิดแล้วถูกจับกุมคุมขังออกมาแล้วกระทำผิดซ้ำ ก็ต้องพิจารณาที่สาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะเมื่อคนที่ถูกคุมขังกระบวนการของราชทัณฑ์ในการที่จะต้องดูแลคนเหล่านี้ ต้องมีการเยียวยาฟื้นฟูคนเหล่านี้ด้วยไม่ใช่เพียงจับไปขังเฉยๆ ซึ่งปกติทุกประเทศจะมีการเยียวยาฟื้นฟูคนเหล่านี้
วิสัยทัศน์กรมราชทัณฑ์ของเราคือการคืนคนดีสู่สังคม ซึ่งต้องพิจารณาว่าการออกมากระทำผิดซ้ำนั้นเกิดอะไรขึ้นกับกระบวนการราชทัณฑ์เหล่านี้ ในต่างประเทศก่อนที่จะปล่อยตัวเขาจะมีการทดสอบก่อนว่าคนเหล่านี้ว่ามีการสำนึกผิดหรือไม่ มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือเปล่า หรือยังเป็นเหมือนเดิม หากเป็นเช่นนั้นอาจจะยังไม่ถูกปล่อยออกมา อาจมีการเยียวยาฟื้นฟูก่อน
สำหรับประเทศที่ยกเลิกโทษประการก็ใช้โทษจำคุกตลอดชีวิตแทน และผ่านไป 25 ปี เขาอาจนำคนเหล่านั้นมาทดสอบว่าสำนึกผิดหรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแล้ว ก็อาจจะให้ศาลพิจารณาว่าจะปล่อยตัวหรือลดโทษให้ได้หรือไม่
กระแสในสังคมไทยตอนนี้มีการตื่นตัวเรื่องโทษประหารชีวิตขึ้นหลังจากมีอาชญากรรมสะเทือนขวัญ ในฐานะที่รณรงค์เรื่องนี้มากว่า 30 ปี กระแสที่เกิดขึ้นแบบนี้มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกันไหมกับประเทศอื่นๆ
ในบางประเทศอาจจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น คือ เมื่อมีอาชญากรรมที่รุนแรงสะเทือนขวัญ แม้จะเป็นประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตไปแล้วก็อาจจะมีประชาชนส่วนหนึ่งลุกขึ้นมาเรียกร้องให้กลับมาใช้โทษแบบนี้อีก แต่ค่อนข้างจะน้อยเมื่อเทียบกับจำนวน 141 ประเทศที่ได้ยกเลิกโทษนี้ไปแล้ว
ซึ่งเป็นที่เข้าใจได้ว่าทำไมคนถึงออกมาเรียกร้องให้ใช้โทษที่รุนแรงเพราะคนในสังคมไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรมและความปลอดภัย หรือการมีชีวิตอยู่ได้อย่างมั่นคงในสังคมที่อยู่ จึงเป็นที่มาของการเรียกร้องให้ใช้โทษที่รุนแรง
ประกอบกับการไม่มีข้อมูลและภาครัฐไม่มีการให้ข้อมูลอย่างรอบด้านกับประชาชนกับการใช้โทษนี้ ว่าการใช้โทษที่รุนแรงมีข้อดีข้อเสียอย่างไร การใช้โทษในลักษณะนี้ส่วนใหญ่ใช้กับความผิดอย่างไร เป็นต้น ส่งผลให้คนเข้าใจว่าการใช้โทษที่รุนแรงจะลดอาชญากรรมได้ แต่ความจิรงแล้วการเกิดอาชญากรรมนั้นมีปัจจัยของการเกิดที่หลากหลาย เช่น เรื่องความยากจน ความเหลื่อมล้ำของสังคม ระดับการพัฒนาของมนุษย์ หรือกรณีการล่วงละเมิดทางเพศก็มาจากทัศนคติของสังคมที่ชายเป็นใหญ่ มองผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุ รวมไปถึงระบบการศึกษาที่ไม่เพียงพอในเรื่องการเคารพซึ่งกันและกัน การเข้าใจเรื่องของเพศ เหล่านี้นำมาซึ้งการเกิดอาชญากรรม
เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาอาชญากรรมนั้น การใช้โทษที่รุนแรงเพียงอย่างเดียวมันไม่สามารถที่จะตอบโจทย์ได้
จริงๆแล้วเราก็มีโทษประหารชีวิตอยู่ แต่อาชญากรรมก็ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ อย่างข้อมูลเรื่องการละเมิดทางเพศ เมื่อปีที่แล้ว ของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล พบว่าทุก 15 นาที มีการข่มขืนล่วงละเมิดทางเพศ ถือว่ามีจำนวนมากในสังคมไทย การใช้โทษที่รุนแรงอาจจัดการกับคนกลุ่มหนึ่งได้ แต่เหตุการณ์เหล่านี้ก็จะกลับขึ้นมาอีกถ้าไม่ไปดูสาเหตุและแก้ต้นตอของปัญหาที่แท้จริง
จากที่กล่าวมาแสดงว่า แอมเนสตี้ มองสมติฐานของการเกิดอาชญากรรมไม่ได้มองเพียงตัวปัจเจคบุคคลเหล่านั้น แต่มองถึงบริบทของสังคมที่หล่อหลอมปัจเจคเหล่านั้นให้ก่ออาชญากรรมด้วย แต่ในสังคมไทยส่วนใหญ่มองว่าเป็นปัญหาที่ปัจเจค เช่น คนจะดีอยู่ที่ไหนก็ดี หรือบางคนเป็นคนที่เกิดมาจากดาวโจรก็จะเป็นโจร หรือบางคนเคยทำกรรมเก่าในอดีตก็จะต้องก่อนอาชญากรรม ดังนั้นการจัดการคนเหล่านั้นโดยเอาออกไปจากสังคม เช่น การจำคุกตลอดชีวิต การเนรเทศหรือการประหารชีวิต เป็นต้น ก็ถือเป็นวิธีที่พวกเขาเชื่อว่าดี ทาง แอมเนสตี้ ในฐานะที่ต้องรณรงค์เรื่องนี้มีวิธีการทำความเข้าใจกับสังคมอย่างไร
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ว่าคนจะเชื่อแบบนี้ ซึ่งตนเองก็เคยคิดแบบนี้เช่นกัน แต่เมื่อได้ทำการศึกษาและทำข้อมูลเพิ่มเติมก็จะพบความเข้าใจมากขึ้นเพราะคนแต่ละคน คนที่เกิดมาแล้วเลวโดยกำเนินอาจจะมี แต่ไม่ได้มีมากเท่ากับจำนวนอาชญากรรมที่เรามีอยู่ในตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลพวงของสังคม ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างของระบบต่างๆของสังคม บางอย่างอาจทำให้คนไม่มีทางเลือก จำกัดทางเลือก บีบคั้นชีวิตคนคนหนึ่งจนทำให้เขาต้องลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างด้วยการที่เขาไม่มีทางเลือกอื่น เราเชื่อว่าผลพวกของสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้คนต้องกลายมาเป็นอาชญากรมากกว่า เราเองอาจจะมีส่วนในการผลักดันคนเหล่านั้นด้วยเหมือนกัน
มีกรณีที่นักโทษที่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมได้สำนึกผิดและออกมาจากเรือนจำ อยากกลับมาใช้ชีวิตธรรมดาในสังคม แต่หลายครั้งเขาไปก่ออาชญากรรมซ้ำ เพราะว่าสังคมเองที่ไม่ให้โอกาสเขา และยังดูถูกดูแคลนเขา ปิดกั้นโอกาสเขา จนสุดท้ายมันก็อาจทำให้เขาไม่มีทางเลือกทำอาชญากรรมซ้ำ
เพราะฉะนั้นเราต้องมาทบทวนตัวเองทบทวนสังคมว่ามีส่วนในการผลักดันให้คนก่ออาชญากรรมหรือเปล่า
ในโซเชียลเน็ตเวิร์กก็ออกมาต่อว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับโทษประหาร ให้โอกาสอาชญากร ว่าไม่คำนึงถึงเหยื่อบางหรือ? อาชญากรยังไม่ให้โอกาสเหยื่อ แล้วทำไมเราต้องให้โอกาสอาชญากรด้วย? องค์กรสิทธิเหล่านี้คำนึงถึงเหยื่อบ้างหรือไม่?
เวลาเรารณรงค์ เรารณรงค์เสมอว่าภาครัฐมีหน้าที่สำคัญที่จะต้องเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อ รวมถึงครอบครัวของเหยื่อ ซึ่งต้องเยียวยารอบด้าน เป็นสิ่งที่เราผลักดันและเรียกร้องให้รัฐทำเสมอ เราไม่ได้ละเลยสิทธิของเหยื่อ และเรายังเรียกร้องว่าเวลาฟื้นฟูเยียวยาเหยื่อก็ต้องเคารพสิทธิของเหยื่อด้วย เช่น ความเป็นส่วนตัว การที่เขาต้องสามารถดำรงชีวิตต่อ เป็นสิ่งที่เราต้องคำนึง และภาครัฐต้องทำงานแบบบูรณาการโดยหลายหน่วยงาน
ในเมืองไทยเราอาจยังไม่มีการทำงานในรูปแบบเครือข่ายของเหยื่อ แต่ในต่างประเทศมี Murder Victims' Families Network เราก็ทำงานร่วมกับเขาและผลักดันให้รัฐดูแลกลุ่มเหล่านี้ด้วยเหมือนกัน
กระแสสังคมขณะนี้นอกจากเรื่องประหารชีวิตแล้ว อีกเรื่องที่คู่กันมาคือเรื่องการข่มขื่น ดูเหมือนว่าในบางสังคมการข่มขืนเป็นเรื่องปกติ แม้แต่ในภาพยนตร์พระเอกก็ยังสามารถข่มขืนนางเอกได้ ทาง แอมเนสตี้ มีการรณรงค์เรื่องสิทธิของผู้หญิงจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศเหล่านี้ด้วยหรือไม่
แอมเนสตี้ ทำการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงมาต่อเนื่องหลายปีแล้ว แต่อาจจะไม่เป็นที่ประจักษ์ เพราะการข่มขืน ล่วงละเมิดทางเพศ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้หญิงโดยเฉพาะอยู่แล้ว และเราก็มีการรณรงค์ให้ยุติ รวมทั้งรณรงค์ให้มีการแก้ไขกฎหมายต่างๆเพื่ออำนวยให้ผู้หญิงสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมหากเกิดเหตุการณ์ล่วงละเมิดเขา รวมทั้งออกมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุเหล่านั้นด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ แอมเนสตี้ ทั่วโลกร่วมกันรณรงค์มาอย่างยาวนานอยู่แล้ว
หลายครั้งสื่อเองก็มีส่วนที่ทำให้เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติรวมทั้งการนำเสนอการกดขี่การล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิง แต่สื่อในหลายครั้งกลับเป็นเรื่องธรรมดา อย่างกรณีการข่มขืนของประเอกต่อนางเอกกลายเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ เพราะสุดท้ายกลายเป็นนางเอกตกลงยินยอมอยู่กับพระเอกในท้ายที่สุด เรื่องเหล่านี้จึงสร้างทัศนคติที่ผิดๆกับคนในสังคมที่จะยอมรับกับเรื่องเหล่านี้ และกรณีการข่มขืนการล่วงละเมิดทางเพศกว่า 80% เกิดขึ้นจากคนใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน แฟน คนที่รู้จัก ฯลฯ เมื่อเกิดจากคนใกล้ตัวทำให้ในหลายๆครั้งเหยื่อไม่กล้าฟ้องร้อง
รวมทั้งในหลายกรณีที่ผู้หญิงไปฟ้องร้องจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ตำรวจไม่ค่อยใส่ใจกับประเด็นเหล่านี้ในการดำเนินคดี และหลายครั้งกลับประณามผู้หญิงอีกว่าไปทำให้ผู้ชายมาทำอย่างนี้ จนทำให้ผู้กระทำผิดลอยนวลไม่ ซึ่งเราเรียกร้องเสมอว่าเรื่องเหล่านี้ต้องนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
“เพราะเราเชื่อมั่นว่ากระบวนการยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพประสิทธิผลจะทำให้อาชญากรรมลดน้อยลงมากกว่าโทษที่รุนแรงและอาจจะมีผลเสียตามมาได้”
ปัจจุบันประเทศไทยยังมีโทษประหารชีวิตอยู่ หลายคนก็กังวลว่าแม้มีโทษประหารชีวิตก็จริงแต่ผู้ก่ออาชญากรรมรุนแรงสุดท้ายก็จะได้รับการลดโทษอยู่ดี แอมเนสตี้ มองอย่างไร
เราไม่ควรใช้ความรุนแรงตอบโต้ความรุนแรง เราไม่ควรใช้แบบเดียวกันทำแบบเดียวกันกับอาชญากรในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น มันมีทางอีกหลายทางในการจัดการปัญหาได้
อย่างกรณีอินเดียที่เราได้ยินข่าวการข่มขืนผู้หญิงที่อยู่บนรถโดยสารสาธารณะ จากเหตุการณ์นี้ประชาชนในประเทศได้ลุกขึ้นมาเรียกร้องให้มีการแก้กฎหมาย และทางการได้แก้โดยมีการแก้ไขกฎหมายข่มขืนในบางกรณีให้มีการใช้โทษที่รุนแรง และมีการจัดการกับคนที่กระทำผิดค่อนข้างเข้มข้น แต่เราก็ยังได้ยินข่าวการข่มขืนในอินเดียอีก เพราะฉะนั้นการที่คนลุกขึ้นมากระทำความผิดเขาคงไม่ได้นึกถึงโทษ แต่ว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เขาก่ออาชญากรรม เขาอาจจะเชื่อว่าเขาทำแล้วอาจจะไม่โดนจับ หรือกรณีที่เราเห็นว่าในหลายกรณีตำรวจก็ไม่ได้ใส่ใจในการที่จะดำเนินคดี
เรื่องเชื่อมั่นว่าถ้ามีการจับกุมที่รวดเร็ว แม่นยำ ถูกต้อง และเข้าสู้กระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรม ใช้โทษที่เหมาะสมกับเขาและมีการดูแลนักโทษเป็นระบบมีประสิทธิภาพในเรือนจำ ก็จะทำให้สถานการณ์น่าจะดีขึ้น จำนวนอาชญากรรมก็จะลดลง การกระทำผิดซ้ำหลังออกจากเรือนจำก็จะลดลงถ้าเรามีกระบวนการเยียวยาฟื้นฟูคนที่กระทำความผิดอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่านี้
จากกระแสสังคมขณะนี้ที่มีการพูดทั้งเรื่องโทษประหาร แม้จะเป็นกระแสที่สวนทางกลับสิ่งที่ แอมเนสตี้ รณรงค์มาให้ยุติโทษนี้ ทาง แอมเนสตี้ จะทำอย่างไรกับกระแสที่คนตื่นตัวนี้
เป็นโอกาสที่ดีที่ประชาชนลุกขึ้นมารณรงค์ในสิ่งที่เขารู้สึกว่าไม่ถูกไม่ต้อง เป็นสิ่งที่เราสนับสนุนกับการที่ประชาชนลุกขึ้นมาทำอะไรบางสิ่งบางอย่างตามศักยภาพของเขาเมื่อเห็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมในสังคม แต่อยากเชิญชวนให้มองการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนเพิ่มเติม เพราะการเรียกร้องให้มีการใช้โทษประหารมันอาจเป็นการแก้ปัญหาในขณะหนึ่ง เป็นการจัดการกับคนคนหนึ่งที่กระทำความผิดนี้ แต่การแก้ปัญหามันอาจจะไม่ยั่งยืน เพราะสุดท้ายแล้วเราก็ยังไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นตอสาเหตุของการทำให้เกิดการล่วงละเมิดทางเพศ หรืออาชญากรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมเรา
เพราะฉะนั้นเราอยากเชิญชวนให้ใช้พลังของประชาชนนี้ ขยายเพิ่มเติมเรียกร้องให้ภาครัฐมีความจริงใจ มุ่งมั่นในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในการที่จะแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน เป็นรูปธรรม รอบด้าน เพื่อจะทำให้อาชญากรรมในบ้านเราลดลงอย่างจริงจัง
เพราะภาครัฐไทยและรัฐอื่นๆบางครั้งใช้โทษที่รุนแรงแบบนี้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของสาธารณะในการที่จะมาแก้ไขปัญหาอาชญากรรมอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เพราะการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนนั้นอาจจะต้องใช้เวลาและกำลังทรัพยากรต่างๆ ค่อนข้างมาก บ้านเราอาจมีปัญหาที่ค่อนข้างเยอะที่เก็บไว้ ทำให้หลายๆครั้งประชาชนอาจรู้สึกไม่มั่นใจว่าสุดท้ายจะได้รับการแก้ปัญหาจริงหรือไม่ จึงเป็นที่มาของการใช้โทษที่รุนแรงเพราะอย่างน้อยเขามองว่าได้แก้ปัญหาช่วงหนึ่ง ซึ่งเราก็อยากขอเชิญชวนให้มองภาพที่กว้างและระยะยาวมากขึ้น
ตลอดระยะเวลาที่รณรงค์ยกเลิกโทษประหารชีวิตในประเทศไทย อะไรคืออุปสรรคสำคัญของการรณรงค์
อุปสรรคอย่างรุนแรงคือทุกคนเห็นด้วยกับโทษประหาร เหมือนกับว่าถ้าเราทำอย่างอื่นก็ไม่รู้จะใช้เวลาอีกกี่ปีในการที่รัฐจะมาแก้ปัญหาอย่างนี้ดีกว่า ก็เลยเอากันอย่างนี้เหมือนฆ่าตัดตอนในยาเสพติด คือตัดตอนไปก่อน จะได้อย่างน้อยให้ลดลง ชั่วคราวก็ยังดี ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย สิ่งนี้อาจเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกหรือเปล่า
เรื่องของการเปลี่ยนแปลงโทษประหาร หัวใจของการรณรงค์คือการเคารพในคุณค่าของความเป็นคนทุกๆคน เรื่องของการเปลี่ยนแปลงโทษประหารอาจเป็นเพียง 1 ผลลัพธ์ของมัน แต่หัวใจของมันคือการที่คนเราเคารพซึ่งกันและกัน ถ้าคนเราเคารพกัน เคารพในสิทธิของผู้อื่นไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่นก็จะทำให้สังคมของเราสามารถที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติไม่ใช้ความรุนแรง และไม่ใช้ความรุนแรงตอบโต้ความรุนแรง ซึ่งอันนี้คงเป็นหัวใจหลักที่ทำให้คนในสังคมมีทัศนคติ วัฒนธรรมแบบนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เราฝ่ายเดียวที่จะทำ คงเป็นภาระหน้าที่ของภาครัฐที่จะสร้างวัฒนธรรมของการเคารพซึ่งกันและกัน เคารพสิทธิมนุษยชนของทุกคนในสังคม ถ้าเกิดขึ้นก็เชื่อมั่นได้ว่าก็คงไม่มีใครเรียกร้องในการใช้ความรุนแรงจัดการปัญหาต่างๆ แล้วก็อาชญากรรมในสังคมก็ไม่มีมากเท่าที่เป็นอยู่นี้เพราะทุกคนเคารพสิทธิของผู้อื่น ไม่ละเมิดผู้อื่น เคารพในความหลากหลาย เคารพในความเห็นต่าง อยู่ร่วมกันอย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน