วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

คสช.ให้ทำลายตู้เกม-ผู้ครอบครองอาวุธชุมนุมปี 53 ส่งคืนภายใน 30 ก.ค.


คสช.ออกประกาศ 2 ฉบับ ให้ จนท.ตรวจยึด ดำเนินคดีและมีอำนาจทำลายตู้พนัน และให้ผู้ที่ครอบครองอาวุธปืน เสื้อเกราะ เครื่องยุทธภัณฑ์ ของราชการในเหตุการณ์ชุมนุม นปช.ปี 53 ส่งมอบคืนภายใน 30 ก.ค.นี้ โดยไม่มีความผิด

เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2557 ที่ผ่านมา คสช.ออกประกาศฉบับที่ 83/2557 ให้เจ้าหน้าที่ตรวจยึดเครื่องเล่นเกมที่มีลักษณะนำไปใช้เพื่อเล่นพนันได้ ให้ตกเป็นของแผ่นดิน รวมถึงเครื่องเล่นที่ตรวจยึดได้ก่อนหน้านี้ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.2557 เว้นแต่เจ้าของสามารถแสดงหลักฐานได้ว่าเครื่องเล่นเกมดังกล่าวมีไว้โดยชอบด้วยกฎหมายภายใน 30 วันนับจากวันที่ถูกยึด และให้หัวหน้าส่วนราชการที่ตรวจยึดเครื่องเล่นเกมมีอำนาจอนุมัติทำลายเครื่องเล่นเกมที่ตกเป็นของแผ่นดินเหล่านั้นได้ รวมถึงให้ดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำผิดเกี่ยวกับเครื่องเล่นเกมตามกฎหมายเพื่อการนั้น

นอกจากนี้ คสช.ยังออกประกาศฉบับที่ 84/2557 ให้ผู้ที่ครอบครองอาวุธปืน เสื้อเกราะ เครื่องยุทธภัณฑ์ ของราชการ ตั้งแต่เหตุการณ์ชุมนุม นปช.เมื่อปี 2553 นำส่งมอบคืนภายในวันที่ 30 ก.ค.2557 โดยไม่ต้องรับโทษทางอาญา ผู้ฝ่าฝืนไม่ส่งมอบให้รับโทษตามกฎหมาย



ประกาศ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ

ฉบับที่ 83/2557

เรื่อง การดำเนินการเกี่ยวกับเครื่องเล่นเกมที่สามารถใช้หรือนำมาประกอบเพื่อใช้เล่นการพนัน

                 ตามที่ได้มีคำสั่งคณะรักษาความ สงบแห่งชาติที่ 24/2557 เรื่อง ห้ามให้มีการเล่นการพนันที่ผิดกฏหมาย ลงวันที่ 26 พฤษภาคม พุทธศักราช 2557 ซึ่งสั่งการให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพิ่มมาตรการและความเข้มข้นในการกำกับดูแลมิให้มีการเล่นพนันที่ผิดกฏหมาย ทุกประเภทในพื้นที่รับผิดชอบ นั้น โดยที่ได้มีการตรวจพบว่ามีเครื่องเล่นเกม ส่วนประกอบ หรืออุปกรณ์ประกอบของเครื่องเล่นเกมชนิดต่างๆ อยู่เป็นจำนวนมากที่มีลักษณะหรืออยู่ในสภาพที่สามารถใช้หรือนำไปประกอบเพื่อ ใช้เล่นการพนันได้ ซึ่งกรณีเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน รวมทั้งเป็นเหตุในการมอมเมาเยาวชน คณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงมีประกาศ ดังต่อไปนี้

         ข้อ 1 ในประกาศนี้ "เครื่องเล่นเกม" หมายความว่า
  • (1) สล็อทแมชีน (Slot Machine) หรือเครื่องเล่นที่คล้ายกัน
  •  (2) ตู้ม้าแข่งหรือสนามม้าแข่งจำลอง หรือเครื่องเล่นที่คล้ายกัน
  •  (3) ปาชิงโกะ (Pachinko) หรือเครื่องเล่นที่คล้ายกัน
  •  (4) รูเล็ท (Roulette) หรือเครื่องเล่นที่คล้ายกัน
  •  (5) เครื่องเล่นที่ทำงานโดยใช้เหรียญ ธนบัตร เงินตรา บัตร หรือสิ่งอื่นที่คล้ายกัน หรือทำงานโดยวิธีการอื่นใด ที่มีวิธีการเล่นไม่ว่าจะอาศัยทักษะหรือความสามารถของผู้เล่นประกอบการเล่น หรือไม่ก็ตาม หากผู้เล่นชนะหรือสามารถทำได้ตามข้อกำหนดของเครื่องเล่นที่ระบุไว้จะมี เหรียญ ธนบัตร เงินตรา บัตร หรือสิ่งอื่นใด ออกมาจากเครื่องเล่นเกมนั้น ทั้งนี้ไม่รวมถึงเครื่องอุปกรณ์โบว์ลิ่ง
  •  (6) ส่วนประกอบหรืออุปกรณ์ประกอบประเภทชิพ (chip) ที่ระบุตัวเลขใช้แทนเงินตราในการเล่นเกมกับเครื่องเล่นเกมตาม (1) ถึง (5) หรือ
  •  (7) ส่วนประกอบหรืออุปกรณ์ประกอบของเครื่องเล่นเกมตาม (1) ถึง (5)
           ข้อ 2 ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยมีอำนาจยึดและทำ การตรวจสอบเครื่องเล่นเกม หากพบว่ามีลักษณะที่สามารถใช้หรือนำมาประกอบเพื่อใช้เล่นการพนันได้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่นเกมที่ผลิตและนำเข้ามาในราชอาณาจักรหรือผลิตในราช อาณาจักร ให้เครื่องเล่นเกมนั้นตกเป็นของแผ่นดิน เว้นแต่เจ้าของกรรมสิทธิ์ได้แสดงตน และสามารถแสดงหลักฐานว่าเครื่องเล่นเกมที่ถูกยึดนั้นมีไว้โดยชอบด้วยกฏหมาย ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ถูกยึด
            ข้อ 3 เครื่องเล่นเกมที่ได้ถูกยึดไว้ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 จนถึงวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ให้ตกเป็นของแผ่นดิน เว้นแต่เจ้าของกรรมสิทธิ์ได้แสดงตนและสามารถแสดงหลักฐานว่าเครื่องเล่นเกม ที่ถูกยึดนั้นมีไว้โดยชอบด้วยกฏหมายภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ประกาศนี้มี ผลใช้บังคับ
           ข้อ 4 ให้หัวหน้าส่วนราชการของเจ้าหน้าที่ผู้ทำการตรวจยึดหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย มีอำนาจอนุมัติให้ทำลายเครื่องเล่นเกมที่ตกเป็นของแผ่นดินตามข้อ 2 หรือ ข้อ 3 เว้นแต่พนักงานสอบสวนเห็นว่าเครื่องเล่นเกมนั้นมีความจำเป็นต้องเก็บรักษา ไว้เพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีในชั้นศาลกับผู้กระทำความผิดตามข้อ 5
         ข้อ 5 การดำเนินคดีอาญาแก่ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับเครื่องเล่นเกมตามประกาศนี้ให้เป็นไปตามกฏหมายว่าด้วยการนั้น


ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 10 กรกฎาคม พุทธศักราช 2557

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ




ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

ฉบับที่ 84 / 2557

เรื่อง ให้ผู้ที่ครอบครองอาวุธปืน เสื้อเกราะ หรือเครื่องยุทธภัณฑ์ ของราชการทหาร นำส่งมอบ

              ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์การชุมนุม ประท้วงของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อระหว่างวันที่ 10 เมษายน ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม พุทธศักราช 2553 ที่บริเวณพื้นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า สะพานผ่านฟ้าลีลาศ สี่แยกคอกวัว ถนนดินสอ สะพานมัฆวานรังสรรค์ สะพานเทวกรรมรังรักษ์ ทำเนียบรัฐบาล สามเหลี่ยมดินแดง ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร จนเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้น และเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารต้องใช้กำลังเข้าระงับยับยั้งจนถูกกลุ่มผู้ชุมนุม เข้ายื้อยุดแย่งชิงเอาอาวุธปืนเล็กยาว เอ็ม 16 อาวุธปืนเล็กยาวแบบ 50 ทราโว่ อาวุธปืนลูกซอง อาวุธปืนพก ปพ.86 ขนาด 11 มม. เสื้อเกราะ และเครื่องยุทธภัณฑ์ ของทางราชการทหารไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาวุธปืน เสื้อเกราะ และเครื่องยุทธภัณฑ์ดังกล่าว หากผู้ใดมีไว้ในครอบครองจะเป็นความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน และกฎหมายควบคุมยุทธภัณฑ์ มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงตลอดชีวิต เพื่อให้การรักษาความสงบและแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีประกาศ ดังต่อไปนี้
  • ข้อ 1 ให้ผู้ที่ครอบครองอาวุธปืน เสื้อเกราะ หรือเครื่องยุทธภัณฑ์ดังกล่าวข้างต้นนำส่งมอบต่อนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมาย ว่าด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ภายในวันที่ 30 กรกฎาคม พุทธศักราช 2557
  • ข้อ 2 ให้ผู้ที่ปฏิบัติตามข้อ 1 ไม่ต้องรับโทษทางอาญาตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน และกฎหมายควบคุมยุทธภัณฑ์
  • ข้อ 3 ผู้ที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อ 1 ให้มีความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
  • ข้อ 4 ประกาศนี้มิให้ใช้บังคับแก่ผู้กระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน และบทบัญญัติกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งถูกจับกุม หรือตกเป็นผู้ต้องหา หรือจำเลย ก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ และอยู่ในระหว่างการสอบสวน หรือคดียังไม่ถึงที่สุด
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 10 กรกฎาคม พุทธศักราช 2557

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ



"ประภัสร์ จงสงวน" เปิดใจชีวิตหลังคำสั่ง คสช. ให้พ้นตำแหน่ง ผู้ว่า รฟท.





"ประภัสร์ จงสงวน" เปิดใจชีวิตหลังคำสั่ง คสช. ให้พ้นตำแหน่ง ผู้ว่า รฟท. ชี้ยังไม่ได้วางแผน อาจใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวของดแสดงความคิดเห็น เปรยการทำงานคล้ายกับการเล่นลิเกเมื่อลิเกเล่นจบทุกอย่างก็ต้องจบ

วันศุกร์ 11 กรกฎาคม 2557 เวลา 12:14 น.

                สืบเนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมา (10 ก.ค 57) หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่งฉบับที่ 89/2557 ให้ “ประภัสร์ จงสงวน” ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยพ้นจากตำแหน่ง เพื่อให้การปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเหมาะสมมากยิ่งขึ้น โดยมีผลตั้งแต่หลังการออกคำสั่งฉบับดังกล่าวทันที

               วันนี้ (11 ก.ค.) “เดลินิวส์ออนไลน์” ได้สัมภาษณ์นายประภัสร์ จงสงวน อดีต ผู้ว่ารฟท. ว่าขณะนี้วางแผนการดำเนินชีวิตอย่างไรต่อไปหลังพ้นตำแหน่ง ผู้ว่า รฟท.

                นายประภัสร์ กล่าวว่า การดำเนินชีวิตหลังจากนี้ยังไม่ได้วางแผนจะทำอะไรต่อไป อาจจะใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว และของดแสดงความคิดเห็นในขณะนี้ เพราะทุกอย่างได้จบลงแล้ว อีกทั้งการทำหน้าที่ของตนก็ได้จบลงเช่นกัน แต่ในความเป็นจริงปัญหาที่เกิดขึ้นต้องได้รับการแก้ไขก่อนซึ่งจะมีประโยชน์อะไรที่ตนจะแสดงความคิด นอกจากนี้ยังเปรียบเปรยให้เห็นว่า การทำงานในส่วนของตนเองก็มีลักษณะคล้ายกับการเล่นลิเก เมื่อลิเกเล่นจบ ทุกอย่างก็ต้องจบ

               ต่อข้อถามว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อทราบว่าตนเองถูกสั่งปลดจากตำแหน่งผู้ว่า รฟท. นายประภัสร์หยุดคิดครู่หนึ่งก่อนตอบสั้นๆ ว่า “ไม่มีความรู้สึก รู้สึกเฉยๆ เพราะเป็นความรู้สึกส่วนตัว”

              สำหรับประวัติ นายประภัสร์ จงสงวน จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย และเข้าศึกษาต่อที่ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีเมื่อ พ.ศ. 2521 จบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาอาชญวิทยา จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียสเตท (California State University) สหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. 2524

ส่วนประวัติการทำงาน
  • -เวลา 18.50 น. (10กรกฎาคม 2557) มีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ฉบับที่ 89/2557 เรื่องการให้ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย พ้นจากตำแหน่ง เพื่อให้การปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเหมาะสมยิ่งขึ้น หัวหน้าคสช.จึงมีคำสั่งให้นายประภัสร์ จงสงวน พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 10 ก.ค.2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.
  • -พ.ศ. 2555 ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี และลงสมัครตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งประภัสร์ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เมื่อ 12 พฤศจิกายน 2555
  • -พ.ศ. 2554 พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ประภัสร์เข้ามารับตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระรวงคมนาคม
  • -พ.ศ. 2551ระหว่างดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการฯรฟม.ได้รับการทาบทามจากพรรคพลังประชาชนให้ลงสมัครในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2551ในนามของตัวแทนจากพรรคพลังประชาชน ซึ่งประภัสร์ต้องลาออกจากการเป็นผู้ว่าการฯรฟม. ในการเลือกตั้งครั้งนั้น ประภัสร์ได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียง 543,488 คะแนน มากเป็นลำดับสองรองจากอภิรักษ์ โกษะโยธิน จากพรรคประชาธิปัตย์
  • -ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของรฟม. ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 - 2551
  • -ปี พ.ศ. 2528 เข้าทำงานที่การทางพิเศษฯ ในตำแหน่งนิติกร 7 และได้ขึ้นเป็นผู้อำนวยการกองนิติการ ในอีก 3 ปี

            ซึ่งในตำแหน่งนี้เอง ผลงานของประภัสร์เป็นที่โดดเด่นอย่างมาก จนรัฐบาลได้ยืมตัวประภัสร์เป็นหนึ่งในทีมที่ปรึกษาของรองนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช ในด้านระบบขนส่งมวลชน สมัยรัฐบาลชวน 1โดยทำงานที่การทางพิเศษฯ จนได้ขึ้นเป็น รองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมายและจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน เป็นตำแหน่งสุดท้าย จนถึง ปี พ.ศ. 2540 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการองค์การรถไฟฟ้ามหานคร(รฟม.) รับผิดชอบงานโครงการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินในวัยเพียง 42 ปี ทำงานที่สำนักงานกฎหมาย ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ซึ่งส่วนใหญ่ได้ทำคดีเกี่ยวกับภาครัฐ โดยเฉพาะกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย

การแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ..ดรรชนีชี้วัด..ความมั่นคงทางการเมือง


ภาพที่ 1 การแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ..จุดเริ่มต้น..ของประชาธิปไตย

ประวัติศาสตร์..การแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะนั้น..มีมานานหลายพันปี
ทั้งในหมู่ของชาวอินเดียโบราณ..เมโสไปเตเมีย..และชาวกรีก 3,000 ปีก่อน
แต่รูปแบบที่เป็นรากฐาน..ของประชาธิปไตยนั้น..เกิดขึ้นโดยชาวกรีกแห่งกรุงเอเธนส์

การแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ..ที่เป็นพื้นฐานของประชาธิปไตยนั้น
จะเป็นการพูดถึง..การสร้างความยุติธรรมในสังคม..เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
ความคิดสร้างสรรค์..ในการพัฒนา..และนำพาสังคม..ให้เดินไปสู่อนาคตที่สดใส

นั่นหมายความว่า..คนที่จะมีความสามารถ..สามารถแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะได้นั้น
ต้องมีพื้นฐานความรู้..ความเข้าใจ..ปัญหาในสังคม..มองเห็นวิธีแก้..และมองเห็นภาพในอนาคต
คนที่มองไม่เห็นวิธีแก้ปัญหา..ก็จะแสดงออก..ด้วยการเรียกร้อง..ให้หาวิธีแก้ไขปัญหา
ก่อให้เกิดการร่วมแรงร่วมใจ..เกิดการคิด..เกิดการวิเคราะห์ปัญหาร่วมกัน (Brainstorming)

เพราะฉะนั้น..การแสดงความคิดเห็น..ในระบอบประชาธิปไตยนั้น..ย่อมไม่ใช่การระบายความเครียด
ไม่ใช่..การใช้คำหยาบ..การใช้ภาพลามกอนาจาร..หรือการแสดงอาการป่วยทางจิต
ปัญหาเหล่านี้..น่าจะบ่งบอกถึง..ความรุนแรงของความขัดแย้ง..ในสังคม
สังคมที่ยังไม่เข้าใจปัญหา..สังคมที่ยังไม่รู้วิธีแก้ปัญหา..สังคมที่ไม่สนใจการแก้ปัญหา

การแสดงความคิดเห็น..ในระบอบประชาธิปไตย..ย่อมไม่ใช่..การแสดงอาการป่วยทางจิต



ภาพที่ 2 เผด็จการ..และคอมมิวนิสต์..ล้วนไม่มีเสรีภาพทางความคิด

ในประวัติศาสตร์..การปกครองของเผด็จการนั้น..ย่อมทำได้ในระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น
เพราะการไม่มีเสรีภาพทางความคิด..ซึ่งจะทำให้ไม่มีเสถียรภาพ..ทางการเมือง
เผด็จการมักจะสร้างหน่วยงานลับ..องค์กรลับ..โดยถูกต้องตามกฏหมาย
และมักจะอ้างการต่อต้านอำนาจรัฐ..ในการทำลายศัตรูทางการเมือง..และผู้เรียกร้องเสรีภาพ

ในระบอบคอมมิวนิสต์..ซึ่งมักจะอ้างเสรีภาพทางความคิดนั้น..ก็มิได้มีเสรีภาพแต่อย่างใด
เพราะในระบอบคอมมิวสต์..ทุกคนต้องคิดเหมือนกันหมด..ไม่งั้นระบอบคอมมิวนิสต์จะอยู่ไม่ได้
จึงต้องมีการตรวจสอบความคิดของทุก ๆ คน..ไม่ให้แตกต่างไปจากแนวทางของพรรค
ทุกคนจึงอยู่ด้วยความหวาดระแวง..ซึ่งกันและกัน..เพราะการใส่ร้ายป้ายสีกัน..มักเกิดขึ้นตลอดเวลา

ในระบอบคอมมิวนิสต์..ก็จะมีหน่วยงานลับ..องค์กรลับ..เพื่อรักษาฐานอำนาจของตนเอง
ทั้งเผด็จการและระบอบคอมมิวสต์..มักจะใช้เศษสวะสังคม..มาเป็นเครื่องมือของรัฐ

หน่วยงานลับ..องค์กรลับ..เครื่องบ่งชี้..การไร้เสรีภาพทางความคิด


ภาพที่ 3 การกล่าวสุนทรพจน์..การแสดงความคิดเห็น..อารยะธรรมที่งดงาม

การศึกษาปัญหาของสังคม..การมองหาวิธีแก้ไข..ก่อให้เกิดปรัชญาขึ้นมามากมาย
การนำเสนอความคิดของตน..ออกสู่สาธารณะ..ทำให้เกิดพัฒนาการของการปราศัย
ก่อให้เกิดสุภาษิต..คำคม..วาทะที่สวยงาม..จนกลายเป็นสุนทรพจน์..ที่ประทับใจ

การนำเสนอความคิดต่อสาธารณะ..ย่อมต้องการการยอมรับ..จากสังคม
การปราศัยต่อฝูงชน..ย่อมต้องมีการฝึกฝน..การเรียงร้อยถ้อยคำให้เหมาะสม
การได้รับการยอมรับจากมหาชน..ย่อมทำให้เกิดภาวะ..ผู้นำทางความคิด
การปราศัยที่สร้างความประทับใจฝูงชนได้..จึงเป็นอารยะธรรม..ในระบอบประชาธิปไตย

การกล่าวสุนทรพจน์ได้ดี..เครื่องบ่งชี้..ความมีอารยะธรรม
เมื่อเราเรียงภาพที่ 1, 2 และ 3 เราอาจมองเห็นภาพ
พัฒนาการของ..การแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ
พัฒนาการของ..การปกครองในระบอบประชาธิปไตย

การที่เราจะพัฒนา..ความรู้..ความเข้าใจ..การปกครองระบอบประชาธิปไตยได้นั้น
คงต้องย้อนกลับไปดูที่..พัฒนาการของการนำเสนอ..ความคิดเห็นต่อสาธารณะ

การที่สังคมไทย..ไม่มีการพัฒนา..พฤติกรรมการแสดงออก..ในระบบการศึกษา
และไม่เคยฝึกฝนให้เด็กแสดงออก..ตั้งแต่ในระดับครอบครัวนั้น
น่าจะบ่งบอกได้ว่า..การพัฒนาระบอบประชาธิปไตย..ในประเทศไทย
ขาดความรู้..ความเข้าใจ..ขาดรากฐานที่ดี..มาตั้งแต่ต้น

วัฒนธรรม..การนำเสนอความคิดเห็นต่อสาธารณะ..บ่งบอกความเป็นประชาธิปไตย
การที่ผู้มีการศึกษาในสังคมไทย..นิยมใช้คำหยาบ..นิยมใช้ภาพลามกอนาจาร
แสดงถึง..การไร้ค่าของระบบการศึกษา..ไร้ซึ่งวัฒนธรรม..อันดีงาม
การใช้เศษสวะสังคม..เป็นเครื่องมือของรัฐ..บ่งบอกถึง..จิตใจที่ต่ำทราม..ของชนชั้นปกครอง

การแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ..ดรรชนีชี้วัด..ความมั่นคงทางการเมือง


http://www.taiknowledgebase.org

กระทรวงต่างประเทศยกเลิกพาสปอร์ต “ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์”




               รายงานข่าวแจ้งว่ากระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการเพิกถอนหนังสือเดินทางของบุคคลที่ถูกออกหมายจับเพิ่มเติมอีก 1 ราย เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา คือนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ทั้งนี้การยกเลิกหนังสือเดินทางเป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 23 (2) ที่ระบุว่าเจ้าหน้าที่สามารถยกเลิกหรือเรียกหนังสือเดินทางได้เมื่อปรากฏภายหลังว่าผู้ถือหนังสือเดินทางเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่อาจออกหนังสือเดินทางได้ เนื่องจากเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาที่ได้มีการออกหมายจับไว้แล้ว ทั้งนี้ถือเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนหลังกระทรวงการต่างประเทศได้รับหนังสือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ขอให้เพิกถอนหนังสือเดินทางของนายปวิน ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีในคดีอาญาที่ได้ออกหมายจับไว้แล้ว

             นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปฏิบัติหน้าที่รมว.ต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับข่าวการถอนหนังสือเดินทางของนายปวินว่า เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนปกติ หลังได้รับแจ้งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง



ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ (แฟ้มภาพ)
 
              11 ก.ค.2557 เดลินิวส์ออนไลน์รายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการเพิกถอนหนังสือเดินทางของบุคคลที่ถูกออกหมายจับ เพิ่มอีก 1 ราย เมื่อวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา คือนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ทั้งนี้ การยกเลิกหนังสือเดินทางเป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 23 (2) ที่ระบุว่าเจ้าหน้าที่สามารถยกเลิกหรือเรียกหนังสือเดินทางได้ เมื่อปรากฏภายหลังว่าผู้ถือหนังสือเดินทางเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่อาจออกหนังสือเดินทางได้ เนื่องจากเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาที่ได้มีการออกหมายจับไว้แล้ว ทั้งนี้ถือเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนหลังจากกระทรวงการต่างประเทศได้รับหนังสือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ขอให้เพิกถอนหนังสือเดินทางของนายปวิน ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีในคดีอาญาที่ได้ออกหมายจับไว้แล้ว

            นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปฏิบัติหน้าที่ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงการถอนหนังสือเดินทางของนายปวินว่า เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนปกติ ภายหลังได้รับแจ้งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
           ก่อนหน้านี้ คสช. มีคำสั่งเรียกนายปวินรายงานตัวสองครั้ง ต่อมาศาลทหารกรุงเทพได้อนุมัติหมายจับผู้ฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.กรณีไม่มารายงานตัวภายในกำหนด 17 คน ตามคำร้องของกองบังคับการปราบปรามที่ได้รับมอบอำนาจจาก คสช. ซึ่งมีชื่อของนายปวิน รวมอยู่ด้วย เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา
           ปัจจุบัน นายปวิน ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่ศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น

เทวดาอวตาล มารบังเงา

รวบมือบึ้ม M79 อาคาร ปปช.-ตึกชิน 3-ถล่ม กปปส.


             11 ก.ค. 2557 สำนักข่าวไทยรายงานว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร. เผยจับกุม “ณรงค์ศักดิ์ พลายอร่าม” ภายในหอพักแห่งหนึ่งย่านนนทบุรี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหาร ข้อหาฝ่าฝืนไม่มารายงานตัวตามคำสั่ง คสช. สารภาพยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่ผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส. บริเวณ ถ.สวรรคโลกเลียบทางรถไฟ ก่อนถึงแยกเสาวนีย์ เมื่อวันที่ 29 มี.ค.57 และยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่อาคารชินวัตร 3 ถ.วิภาวดีฯ เมื่อวันที่ 7 มี.ค. รวมถึงยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่สำนักงาน ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 27 มี.ค.57 เตรียมขยายผลหาตัวผู้ร่วมขบวนการ
cats

       เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ (11 ก.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.ผบช.น. และ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.ศ. ปฏิบัติราชการ บช.น. แถลงข่าวจับกุม นายณรงค์ศักดิ์ พลายอร่าม หรือ ตุ้ย อายุ 31 ปี โดยสามารถจับกุมได้ที่บริเวณหน้าห้องเช่าเลขที่ 2/503 ชั้น 5 อาคารสุขสบายอพาร์ทเมนท์ ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี เมื่อ วันที่ 5 ก.ค. ที่ผ่านมา
    
       พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า สืบเนื่องจากทาง ศสช. เคยเรียก นายณรงค์ศักดิ์ ให้มารายงานตัว ที่สโมสรทหารบก เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. แต่ นายณรงค์ศักดิ์ ไม่ได้มารายงานตัว ต่อมาสืบทราบว่า นายณรงค์ศักดิ์ ได้มาพักอาศัยอยู่ที่ห้องดังกล่าว จึงเชิญตัวมาเพื่อสอบปากคำอย่างละเอียด จากการสอบสวน นายณรงค์ศักดิ์ ให้การรับวารภาพว่าเป็นบุคคลตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพ ที่ จก 8/2557 ลงวันที่ 8 มิถุนายน 2557 ในข้อหาฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเรียกให้บุคคลให้มารายงานตัวต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จริง และยังเคยก่อเหตุยิงระเบิดชนิดเอ็ม 79 จำนวน 3 ครั้ง คือ โดยเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2557 ได้ก่อเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่บริเวณหน้าอาคารชินวัตร 3 เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2557 ได้ก่อเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่ภายในสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จ.นนทบุรี และเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2557 ได้ก่อเหตุยิงระเบิดชนิดเอ็ม 79 ใส่บริเวณถนนสวรรคโลก ใกล้แยกเสาวนีย์ แขวงจิตรลดา เขตดุสิต กทม. โดยใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นคลิก สีน้ำเงิน - ดำ ทะเบียน ฬวน 870 กทม. ซึ่งตระเวนก่อเหตุเพียงคนเดียว และได้นำระเบิดดังกล่าวซุกซ่อนไว้ในถุงเต็นท์ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
    
       พล.ต.อ.สมยศ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ เนื่องจาก นายณรงค์ศักดิ์ ให้การอีกว่า ตนเคยเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย (การ์ด) ของกลุ่ม นปช. และเห็นเหตุการณ์กลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ปะทะกับนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง จึงรู้สึกฝังใจ ต่อมาได้ไปรับอาวุธดังกล่าวที่ห้างอิมพิเรียล ลาดพร้าว โดยได้รับค่าจ้างในการก่อเหตุครั้งละ 3,000 - 4,000 บาท โดยตนเพียงยิงขู่เท่านั้น เพื่อต้องการให้การชุมนุมยุติลง
    
       พล.ต.อ.สมยศ กล่าวอีกว่า ภายใน 3 - 4 วันนี้ จะมีข่าวดีกรณีเกี่ยวกับการจับกุมตัวและดำเนินคดีผู้ก่อเหตุในพื้นที่ชุมนุมต่างๆ รวมทั้งการยิงเอ็ม 79 บริเวณหน้าบิ๊กซี ราชดำริ กระทั่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตเป็นเด็ก จำนวน 2 ราย เบื้องต้นคาดว่าผู้ก่อเหตุที่จะจับกุมในครั้งนี้มีเกินกว่า 6 คน เเละจะสอบสวนขยายผลไปถึงคดีอื่นๆ ต่อไป















ป.ป.ช.เสนอให้ทุกพรรคส่งนโยบายให้ กกต.ดูก่อนหาเสียงป้องกันประชานิยม


เลขาธิการ ป.ป.ช. เตรียมขอหารือ กกต. เสนอออกระเบียบหรือกฎหมายป้องกันความเสียหายจากนโยบายประชานิยม โดยให้ทุกพรรคส่งแผนการดำเนินโครงการที่ชัดเจนให้ กกต. ตรวจสอบก่อนหาเสียง
 
11 ก.ค. 2557 สำนักข่าวไทยรายงานว่านายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า จะทำหนังสือประสานไปยังเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เร็วๆ นี้ เพื่อนัดหารือระหว่างคณะกรรมการ ป.ป.ช. และคณะกรรมการ กกต.ชุดใหญ่ เกี่ยวกับมาตรการดูแลนโยบายประชานิยมของพรรคการเมืองที่จะใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง เพราะที่ผ่านมาหลายนโยบายได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศ
 
“เมื่อมีการร้องเรียนว่ามีความเสียหายเกิดขึ้น และ ป.ป.ช. รับเรื่องมาตรวจสอบ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกลับอ้างและให้เหตุผลว่าสาเหตุที่ต้องดำเนินการแม้จะรู้ว่ามีผลเสีย เนื่องจากเป็นนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชน ซึ่งการอ้างดังกล่าวเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง” นายสรรเสริญ กล่าว
 
นายสรรเสริญกล่าวว่า ป.ป.ช. จึงต้องการเสนอแนวทางเพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาจากนโยบายประชานิยมของพรรคการเมือง โดย กกต. ซึ่งเป็นองค์กรที่มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ควรจะออกระเบียบหรือกฎหมายในการตรวจสอบนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ก่อนที่จะมีการใช้หาเสียง หากเป็นนโยบายประชานิยมก็จะต้องดูความชัดเจนของนโยบาย เช่น ความเป็นไปได้ แหล่งเงินทุน งบประมาณที่ใช้ และผลกระทบของการดำเนินโครงการด้วย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาเหมือนโครงการรับจำนำข้าว และโครงการประชานิยมเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน
 
“เป็นมติของ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ที่มองเห็นปัญหาจากนโยบายประชานิยม ที่มีเรื่องร้องเรียนมายัง ป.ป.ช. เป็นจำนวนมาก จึงอยากเสนอให้มีการแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทาง โดยจะหารือกับ กกต. ขอให้ตรวจสอบนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ที่จะใช้ก่อนที่จะมีการหาเสียง โดยกำหนดให้ทุกพรรคก่อนจะหาเสียงต้องส่งรายละเอียดนโยบายให้ กกต. พิจารณาตรวจสอบดูก่อนว่ามีความเหมาะสม เป็นไปได้ และจะสร้างความเสียหายหรือไม่” นายสรรเสริญ กล่าว

กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงเรื่องความสัมพันธ์ไทย-โซมาเลีย



กรณีสื่อหลายฉบับตีข่าว "เจ้าชายโซมาเลีย" จากดินแดน "ปุนท์แลนด์" เยือนสวนนงนุชเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศชี้แจงว่าไทยมีความสัมพันธ์กับรัฐบาลกลางโซมาเลียเท่านั้น ส่วนอีก 5 ภูมิภาคในโซมาเลียรวมทั้ง "ปุนท์แลนด์" ไทยมิได้ยอมรับสถานะความเป็นรัฐและมิได้สัมพันธ์การทูตด้วย
ภาพข่าวนาย Beeidaige Mohamed ระบุว่าเป็นเจ้าชายจากดินแดน "ปุนท์แลนด์" ในโซมาเลีย เยือนสวนนงนุช จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 20 เม.ย. ล่าสุดมีการชี้แจงจากกระทรวงการต่างประเทศว่าไทยมีความสัมพันธ์กับรัฐบาลกลางโซมาเลียเท่านั้น ส่วนดินแดนอื่นในภูมิภาคมิได้มีความสัมพันธ์ด้วย
กรณีที่เมื่อวันที่ 20 เม.ย. ที่ผ่านมาที่สื่อมวลชนไทยหลายฉบับ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง 1234) รายงานข่าวนาย Beeidaige Mohamed ระบุว่าเป็น "มกุฎราชกุมารแห่งสาธารณรัฐโซมาเลีย" พร้อมกับ "ตัวแทนรัฐบาลปุนท์แลนด์ (Puntland)" ประเทศโซมาเลีย เดินทางมาเยือนสวนนงนุช อ.สัตหีบ จ.ชลบุรีนั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ผ่านมา ข่าวสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ได้เผยแพร่ "คำชี้แจงเกี่ยวกับสถานะความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – โซมาเลีย " โดยระบุดังนี้
"กระทรวงการต่างประเทศขอแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีที่มีบุคคลมาติดต่อกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อขอสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรโซมาเลียกับราชอาณาจักรไทย และระหว่างรัฐปุนท์แลนด์กับราชอาณาจักรไทย พร้อมทั้งขอเปิดสถานเอกอัครราชทูตแห่งราชอาณาจักรโซมาเลียประจำประเทศไทย เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนต่อสาธารณชนไทย ดังนี้
1. ไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับโซมาเลียแล้ว เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2527 โดยไทยให้การรับรองรัฐและมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลกลางของสาธารณรัฐโซมาลีหรือโซมาเลีย (The Somali Republic หรือ Republic of Somalia) แล้ว ปัจจุบัน รัฐบาลไทยมอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไนโรบี มีเขตอาณาครอบคลุมโซมาเลีย และรัฐบาลโซมาเลียมอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูตโซมาเลีย ณ กรุงปักกิ่ง มีเขตอาณาครอบคลุมไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศยังไม่เคยได้รับแจ้งเรื่องความประสงค์ในการเปิดสถานเอกอัครราชทูตโซมาเลียประจำประเทศไทย ตามช่องทางการทูตแต่อย่างใด
2. สาธารณรัฐโซมาเลียมีระบอบการปกครองแบบสหพันธ์สาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นาย Hassan Sheikh Mohamud ซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2553
3. สาธารณรัฐโซมาเลียแบ่งการปกครองออกเป็น 5 ภูมิภาคหรือเขต ได้แก่ Somaliland, Puntland, Northland, Galmudug และ Maakhit ซึ่งในแต่ละภูมิภาค อาจมีผู้นำชนเผ่าต่างๆ ที่เรียกตนเองว่า กษัตริย์ หรือ King หรือ Prince ได้หลายคน โดยทั้ง 5 ภูมิภาคอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลโซมาเลียและเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโซมาเลีย
4. ทั้งนี้ ไทยมิได้ให้การยอมรับสถานะความเป็นรัฐและมิได้มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับภูมิภาคย่อยทั้ง 5 ของโซมาเลียแต่อย่างใด

ปลัดกระทรวงการต่างประเทศขอบคุณจีนที่เข้าใจสถานการณ์ไทย

สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และ หลิว เจิ้นหมิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศของจีน (ที่มาของภาพ: กระทรวงการต่างประเทศ)
สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ร่วมหารือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-จีนครั้งที่ 2 ที่ปักกิ่ง พร้อมขอบคุณที่จีนเข้าใจสถานการณ์ไทย ขณะที่ทั้งสองฝ่ายเล็งแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงฉลอง 40 ปีความสัมพันธ์ เตรียมเชิญ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์เยือนจีน
12 ก.ค. 2557 - เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ รายงานว่า เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปฎิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อเข้าร่วมการหารือเชิงยุทธศาสตร์ไทย – จีน   ครั้งที่ 2 (The 2nd China – Thailand Strategic Dialogue) ณ กรุงปักกิ่ง โดยมีนายหลิว เจิ้นหมิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน เป็นประธานร่วมในการประชุม
ปลัดกระทรวงการต่างประเทศได้ขอบคุณจีนที่แสดงความเข้าใจสถานการณ์การเมืองของไทย และชี้แจงพัฒนาการทางการเมืองของไทย การเดินหน้าการปฏิรูปประเทศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามโรดแมป 3 ขั้นตอน และสร้างความเชื่อมั่นถึงการดำเนินการของ คสช. ในการเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งเอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว รัฐมนตรีช่วยฯ ของจีนสนับสนุนแนวทางที่ไทยดำเนินอยู่ และเห็นว่าการเมืองไทยเป็นเรื่องที่คนไทยต้องหาทางแก้ไขกันเองเพื่อนำประเทศกลับสู่เสถียรภาพ ซึ่งความมั่นคงและเสถียรภาพของไทยมีความสำคัญต่ออาเซียนและภูมิภาคโดยรวม
จีนเห็นว่าไทยเป็นหุ้นส่วนของความร่วมมือที่สำคัญในภูมิภาค เป็นทั้งเพื่อน หุ้นส่วนและญาติที่ดี จีนต้องการเห็นไทยมีความมั่นคง ความก้าวหน้า มีความสามัคคี  จีนพร้อมส่งเสริมความร่วมมือทั้งด้านการค้า ความลงทุน ระหว่างกัน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างสันติภาพและความร่วมมือ
ในประเด็นความสัมพันธ์อาเซียน-จีน จีนชื่นชมบทบาทของไทยในฐานะผู้ประสานงานอาเซียน-จีน ที่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน โดยจีนพร้อมพูดคุยอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ความสัมพันธ์อาเซียนจีน พัฒนาก้าวหน้าต่อไปจีน ซึ่งปลัดกระทรวงฯ ย้ำว่าไทยจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือด้านต่าง ๆ และเห็นว่าอาเซียนจีนต้องร่วมมืออย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดความคืบหน้าและดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม จีนแสดงความพร้อมที่จะหารือและลงนามในสนธิสัญญาเพื่อความเป็นมิตรภาพและเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และผลักดันให้เริ่มการเจรจายกระดับความร่วมมือเขตการค้าเสรีอาเซียนจีน เพื่อพัฒนาไปสู่ระดับใหม่ ส่งเสริมการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชียน (Asian Infrastructure Investment Bank- AIIB) เพื่อเป็นการเพิ่มแหล่งเงินทุนให้กับประเทศในเอเชียเพื่อใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และส่งเสริมความเชื่อมโยงภายในภูมิภาค จีนประสงค์ที่จะส่งเสริมความร่วมมือทางทะเล และเสริมสร้างเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 และส่งเสริมความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนระดับบุคคล ทั้งเห็นด้วยให้มีการจัดกิจกรรมความร่วมมือ
ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า ความสัมพันธ์และการเป็นหุ้นส่วนไทย - จีน ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อสองประเทศเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อภูมิภาคโดยรวม เนื่องในโอกาสครอบรอบความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน 40 ปี ในปี 2558 ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างสองประเทศ เพื่อหารือถึงความร่วมมือในการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลอง อาทิ การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงระหว่างสองประเทศ ตั้งแต่ระดับราชวงศ์ ผู้นำ และการจัดกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ทางรัฐบาลจีนได้เชิญ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เยือนจีน โดยจะมีการหารือเรื่องกำหนดการในโอกาสต่อไป

สรุปสถานการณ์ จนท.จัดระเบียบผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะย่านพาหุรัด


ที่มาของภาพ: โครงการผู้ป่วยข้างถนน มูลนิธิกระจกเงา

กรณีผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะที่พาหุรัดถูกวัยรุ่นก่อกวนด้วยการราดน้ำมันแล้วจุดไฟเผา ล่าสุดโครงการผู้ป่วยข้างถนน มูลนิธิกระจกเงา รายงานว่าเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ เทศกิจ ได้ควบคุมตัวผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะไปสอบประวัติและกำชับไม่ให้กลับไปนอนที่เดิม ขณะที่กระจกเงาเห็นว่าวิธีดังกล่าวจะสร้างความลำบากในการทำงานกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ
12 ก.ค. 2557 - เมื่อวันที่ 11 ก.ค. โครงการผู้ป่วยข้างถนน มูลนิธิกระจกเงา ได้เผยแพร่รายงาน "สถานการณ์การเข้าจัดระเบียบคนไร้บ้านที่ถนนพาหุรัดเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 10/7/57" หลังจากมูลนิธิกระจกเงาลงพื้นที่กรณีคนไร้บ้านที่ใช้ชีวิตสาธารณะในบริเวณถนนพาหุรัด และได้ถูกกลุ่มวัยรุ่นก่อกวนโดยใช้วิธีการราดน้ำมันไปที่ร่างกายและจุดไฟเผา โดยต่อมาในเวลา 22.00 น. คืนวันที่ 10 ก.ค. เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ เทศกิจ พร้อมรถผู้ต้องหาได้เข้าปิดล้อมและออกคำสั่งให้ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะรวมกันเพื่อรอขึ้นรถ โดยมีรายละเอียดดังนี้
"ภายหลังจากที่ทางมูลนิธิกระจกเงาได้ทำการลงพื้นที่ เพื่อการติดตามสอบถามข้อมูลในกรณี ที่คนไร้บ้านที่ใช้ชีวิตสาธารณะในบริเวณ ถนนพาหุรัด และได้ถูกกลุ่มวัยรุ่นก่อกวนโดยใช้วิธีการราดน้ำมันไปที่ร่างกายและจุดไฟเผาปรากฎว่าในช่วงเวลาประมาณ 22.00น.ได้มีการสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เทศกิจประมาณ 50 นายเข้ามาในพื้นที่พร้อมกับรถขนผู้ต้องหา 1 คันเข้ามาในพื้นที่และทำการปิดล้อมและทำการออกคำสั่งให้คนไร้บ้านมานั่งรวมตัวกันเพื่อรอขึ้นรถขนส่งผู้ต้องหาและรถตู้
ลำดับเหตุการณ์การเข้ามาจัดระเบียบ คนไร้บ้านที่ถนน พาหุรัด
22.00 น. ตำรวจ ทหาร เทศกิจ ประมาณ 50 นาย ได้มีการสนธิกำลังในการเข้ามาจัดระเบียบคนเร่ร่อนไร้บ้านในช่วงถนนพาหุรัด ของเขตพระนคร และเป็นเขตพื้นที่รับผิดชอบของ สน.พระราชวัง โดยใช้วิธีการเข้าปิดล้อมและออกคำสั่งให้คนไร้บ้านมานั่งรวมกันเพื่อจะนำขึ้นรถขนส่งผู้ต้องหา และรถตู้ ซึ่งคนไร้บ้านที่ถูกทำการนำขึ้นรถผู้ต้องหามีจำนวนเกือบ 50 คน
22.30 - 23.30 น. ได้มีการนำคนไร้บ้านที่ถูกนำขึ้นรถขนส่งผู้ต้องหาและในรถตู้ทั้งหมดมาทำการสอบประวัติ คัดแยกผู้ที่มีบัตรประชาชนและผู้ที่ไม่มีบัตรประชาชน
- สำหรับผู้มีบัตรทางเจ้าหน้าตำรวจได้นำกลุ่มคนกลุ่มนี้เข้าไปเพื่อตรวจสอบประวัติเป็นรายคนโดยเจ้าหน้าที่จากศูนย์ประชาบดี และเมื่อทำการสอบประวัติแล้วเสร็จทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการปล่อยตัวและกำชับในเรื่องการไม่ให้กลับไปนอนในพื้นที่เดิม
- สำหรับผู้ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการให้เขียน ชื่อ/นามสกุล/ที่อยู่ และทำการตรวจสอบประวัติเป็นรายคนโดยเจ้าหน้าที่ของศูนย์ประชาบดีเป็นผู้สอบ และเมื่อทำการสอบประวัติแล้วเสร็จทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการปล่อยตัวและกำชับในเรื่องการไม่ให้กลับไปนอนในพื้นที่เดิมเช่นกัน"
ทั้งนี้ ในรายงานของโครงการผู้ป่วยข้างถนน มูลนิธิกระจกเงา สรุปประเด็นสำคัญของการดำเนินการดังกล่าวโดยเจ้าหน้าที่ว่า
"1.ไม่ได้มีนโยบายการเข้าทำการควบคุมกลุ่มคนไร้บ้านออกมาจากพื้นที่เป็นเวลานานแล้ว เนื่องจากมาตราการดังกล่าวถูกวิจารณ์ในแง่ของการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุและการละเมิดสิทธิขณะควบคุมตัวการคัดแยกการสอบประวัติและการนำส่งไปสถานสงเคราะห์ของภาครัฐโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม"
"2.ไม่เป็นการแก้ไขปัญหาในประเด็นคนไร้บ้านแต่อย่างใด และจะส่งผลให้การทำงานการแก้ไขปัญหาคนไร้บ้านทำงานได้ลำบากขึ้นไปอีกเพราะการแก้ไขปัญหาคนไร้บ้านต้องใช้การปฎิสัมพันธ์และความไว้วางใจซึ่งการกระทำรูปแบบนี้ยิ่งเพิ่มความห่างในระดับความสัมพันธ์และความไว้วางใจต่อเจ้าหน้าที่รัฐมากขึ้นไปอีก"
"3.ปัญหาการทำร้ายร่างกายคนไร้บ้านที่พาหุรัดมีปัญหาการติดตามคดีหรือเรียกร้องสิทธิหรือทำงานแก้ไขป้องกันปัญหาการกระทำในลักษณะเดียวกันนี้ทำได้ยากลำบากขึ้น ทั้งในส่วนผู้เสียหายที่มีความหวาดกลัวเพิ่มขึ้น ทั้งผู้เสียกระจัดกระจายตามกลับมาเพื่อให้เขาเรียกร้องสิทธิต่อไม่ได้"

เผยปลัด สธ. ชง คสช. ให้ประชาชนร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล 30-50%


เผยปลัด สธ.เสนอ คสช.บังคับประชาชนร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล 30-50% ไม่ยอมเรียกประชุม สปสช. ทำให้ประชาชนเบิกจ่ายยามะเร็ง-ยารักษาไวรัสตับอักเสบซีไม่ได้
 
 
 
 
11 ก.ค. 2557 ตามที่ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ทำเรื่องเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ประชาชนต้องร่วมจ่ายในระบบหลักประกันสุขภาพ 30-50% โดยเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้นำเสนอประเด็นนี้กับ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองหัวหน้า คสช. ด้านสังคมจิตวิทยา ในการเข้าตรวจเยี่ยมกระทรวงสาธารณสุข และระหว่างนี้ ปลัด สธ.ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ไม่เรียกประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งไม่มีการประชุมมาแล้ว 2 เดือน
 
นายนิมิตร์ เทียนอุดม กรรมการระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เห็นว่า การที่ สธ.ได้นำเสนอ คสช.ให้ประชาชนต้องร่วมจ่าย (co-pay) ในอัตรา 30-50% โดยให้เหตุผลว่า ถ้าไม่ทำอย่างนี้จะทำให้ระบบล้มละลาย ซึ่งนี่เป็นการให้ข้อมูลที่ผิดมาก
 
“การที่สธ.บอกว่าระบบหลักประกันสุขภาพจะอยู่ไม่ได้ เพราะใช้เงินเยอะ ไม่จริง เพราะรัฐจ่ายเพื่อสุขภาพเพียง 7% เท่านั้น ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มมาก ทั้งช่วยลดความยากจนในครัวเรือนได้ ซึ่งระบบหลักประกันสุขภาพของไทยได้รับการยกย่องจากนานาชาติมาโดยตลอดว่า มีประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณที่ไม่มากแต่สามารถช่วยประชาชนให้พ้นความยากจนได้จริง ถ้ารัฐจะผลักภาระตรงนี้ ทหารเกณฑ์ที่ใช้บัตรทองก็ต้องมาแบกรับด้วย”
 
สำหรับการที่ปลัด สธ.ไม่เรียกประชุมบอร์ด สปสช.เป็นเดือนที่ 2 แล้วนั้น กรรมการหลักประกันสุขภาพระบุว่าทำให้ไม่สามารถอนุมัติสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ ได้ ทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาส
 
“ตอนนี้ยารักษาไวรัสตับอักเสบซี ก็ยังไม่ได้อนุมัติ ทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาส ถ้าไม่ได้ยาก็พัฒนากลายไปเป็นมะเร็งตับ ค่ารักษาก็แพงอีก นี่เป็นความทุกข์ แต่ยังไม่ประชุมบอร์ดกว่า 2 เดือนแล้ว บอร์ดจะประชุมได้ ประธานต้องเรียก ก็ไปดูแล้วกันว่าใครเป็นประธาน แล้วทำไมถึงไม่เรียกประชุมบอร์ดเสียที ตรงนี้อยากฝากไปถึง คสช.ที่พูดตลอดเวลาว่าเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะ และวางรากฐาน แต่ตอนนี้เรื่องปฏิรูประบบสาธารณสุขยังไม่เห็นทิศทางที่ชัดเจน และไม่เคยมีข้อเสนอที่มาจากการมีส่วนร่วมของประชาชน” นายนิมิตร์กล่าว
 
ทั้งนี้ รายการบัญชียา จ.2 ที่คณะกรรมการพัฒนาระบบยาได้อนุมัติแล้ว และอยู่ระหว่างรอบอร์ดสปสช.พิจารณาเข้าระบบให้ผู้ป่วยเบิกจ่ายได้นั้น ประกอบไปด้วย ยารักษามะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรก Tastuzumab, ยารักษาไวรัสตับอักเสบซี Peginterferon, ยารักษามะเร็งเม็ดเลือด Nilotinib, ยารักษามะเร็งเม็ดเลือด Dasatinib และยากำพร้า Dacarbazine ที่ใช้รักษา มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin’s disease)
 
“ที่ผ่านมา เคยมีมติบอร์ดว่า เมื่อคณะกรรมการบัญชียาหลักอนุมัติไปแล้วระหว่าง รอประกาศ ให้สามารถเบิกจ่ายได้เลย ดังนั้น สำนักงาน สปสช.ควรมีความกล้าหาญทำตามมติบอร์ด อย่าไปใช้ข้ออ้างนี้ในการไม่ให้ประชาชนใช้สิทธิ อย่าไปยอมให้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขจับประชนเป็นตัวประกัน”