วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การคืนความสุขแบบเกาหลีเหนือ (ตอนแรก)


2014-06-28 / โดย อาทิตย์ทรงกรด


              ในปี ค.ศ. 2011 ดัชนีชี้วัดความสุขของโลก หรือ “Global Happiness Index” ระบุว่า จีนเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก อันดับสองก็คือเกาหลีเหนือ!!! ส่วนสหรัฐอเมริกานั้นเล่า เป็นประเทศที่มีความสุขน้อยถึงน้อยที่สุด รั้งอยู่อันดับสุดท้ายของโลก!!!




ดัชนีชี้วัดความสุข (Global Happiness Index) โดยเกาหลีเหนือ

          อ้อ! ลืมบอกไปว่า ดัชนี้ชี้วัดความสุขดังกล่าวเป็นเวอร์ชั่นที่คุณพี่นักวิจัยเกาหลีเหนือจัดทำขึ้นเองนะจ๊ะ ซึ่งนี่ก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดวิธีหนึ่งในการคืนความสุขให้ประชาชน ด้วยการ เอ่อ .. ด้วยการ ประกาศเองเออเองไปเลยว่า ประเทศกูมีความสุขที่สุดโว้ยย!!!

          จากนั้นก็ฉายข่าวไอ้ดัชนีบ้าเนี่ยแหละซ้ำๆ สะกดจิตประชาชนตัวเองหลังอาหารเช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ทุกๆ วัน ปิดท้ายด้วยการเปิด “Troop Dance” ของทหารให้ดูเพื่อให้เห็นความอลังการ ประกอบกับความเพลิดเพลินเจริญตาเจริญใจ ใครอยากมีความสุข ก็คลิกเข้าไปดูตามลิงก์นี้เลยครับ หรือไม่ก็ทัศนาภาพปลากรอบด้านล่างนี้พลางก่อนก็ได้ครับ









เป็นไงบ้างครับ นั่นแน่ เริ่มรู้สึกมีความสุขกันขึ้นมาแล้วใช่ไหมฮะ
ถ้ายัง ก็ลองดูการมอบคืนความสุขด้วยดนตรีดูบ้างไหมครับ ตามภาพด้านล่างเลยฮะ

ไงล่ะ ต้องมีความสุขกันแล้วแน่ๆ แน่ะๆ ยิ้มกันใหญ่เลย ผมเห็นนะครับ

          แต่สำหรับใครที่ทำมาขนาดนี้แล้วยังไม่มีความสุขอีก ต้องเจออันนี้เลยฮะ ให้พี่ๆ ทหารเขาเล่นตลกให้ดูไปเลยครับ รับรอง สุขแน่ๆ ตามลิงก์ >>

          นี่แค่เบื้องต้นนะครับ มันยังมีอีกเยอะ ทหารประเทศอื่นๆ ก็ดูไว้เป็นแบบอย่างไว้เลยว่า แม้กระทั่งตลกคาเฟ่ ทหารเกาหลีเหนือก็ทำได้ พวกเขาทำได้ทุกอย่างที่จะทำให้ประชาชนของเขามีความสุข (เอ่อ .. จริงๆ ก็ไม่ทุกอย่างอ่ะนะ อาจจะยกเว้นการให้เสรีภาพและประชาธิปไตยสักเรื่องก็ด้ะ)

           เอาเป็นว่า ใครหมดมุขตอแหลประชาชนแล้ว จะมาลอกเลียนแบบเกาหลีเหนือก็ไม่ว่ากันนะฮะ









(มีต่อสัปดาห์หน้า ถ้ายังไม่ถูกเรียกไปปรับทัศนคติเสียก่อนอ่ะนะครับ)
---------------------------------------------

จอม เพชรประดับ: แถลงฉบับที่ 2 อย่าผลักให้คนที่เห็นต่าง กลายเป็นภัยของแผ่นดิน


เกือบไม่ต้องสงสัยใด ๆ เลยว่า ความคิด จุดยืน และหลักการการปฏิบัติวิชาชีพที่ข้าพเจ้ายึดมั่น กลายเป็นอันตรายและกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ อันเป็นแผ่นดินมาตุภูมิของตัวเองไปเสียแล้ว
เมื่อคสช.ได้ออกประกาศให้ข้าพเจ้าไปรายงานตัว ตอนเที่ยงวัน ของวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ข้าพเจ้ารับทราบคำประกาศดังกล่าวจึงไม่สามารถไปรายงานตัว ตามวันเวลา ที่กำหนดได้ เนื่องจากข้าพเจ้าพำนักอยู่ในต่างประเทศเพื่อการพักผ่อนและเยี่ยมญาติ
แม้จะค่อนข้างเชื่อมั่นว่า คณะ คสช. ไม่ได้ทำร้าย หรือตั้งข้อกล่าวหา กักขังหน่วงเหนี่ยว เพื่อเปลี่ยนทัศนคติข้าพเจ้า เหมือนกับบางคนที่ได้เข้าไปรายงานตัว เพียงแต่ต้องการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ให้ข้อมูลที่แตกต่าง เพื่อสร้าง ความเข้าใจใหม่ ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการเรียกบุคคลให้ไปรายงานตัวของ คณะ คสช.
แต่เนื่องด้วยข้าพเจ้า ไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร จึงขอปฎิเสธที่จะเดินทางไปรายงานตัวดังกล่าว  นอกเหนือจากที่ไม่สามารถเดินทางมาได้ในห้วงเวลาที่กระชั้นชิดแล้ว
ข้าพเจ้าทราบเหตุผลของการทำรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าเพราะต้องการที่จะหย่าศึก หรือห้ามทัพความขัดแย้งระหว่าง 2 ฝ่ายที่ไม่อาจจะพูดคุย ตกลงกันได้ หากปล่อยไว้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติอย่างไม่อาจประเมินได้ ขณะเดียวกัน แม้ว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะยุบสภา คืนอำนาจให้กับประชาชนไปแล้ว แต่ด้วยกลไกแห่งอำนาจที่เหนือกว่าอำนาจของรัฐบาล สร้างทฤษฎีสมคบคิดขึ้น เพื่อทำลายการเมืองในวิถีทางประชาธิปไตย ทำให้ รัฐบาลรักษาการของพรรคเพื่อไทย ก็ไม่อาจจะทานทนอยู่ได้
เหตุผลของการทำรัฐประหาร ครั้งล่าสุดนี้ แม้มีน้ำหนักพอที่จะฟังได้ แต่หากกองทัพไทย มีสำนึกแห่งการรักษาไว้ซึ่งวิถีทางประชาธิปไตยแล้ว ด้วยอำนาจและบารมีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในขณะนั้น ย่อมอยู่ในสถานะที่เหมาะสมยิ่ง กับการที่จะเลือกประคับประคองระบอบประชาธิปไตย มากกว่าการทำรัฐประหาร โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเร่งแก้ปัญหาเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งโดยเร็ว ตามความต้องการของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
แต่น่าเสียดายที่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับเลือกที่จะทำรัฐประหาร ตามข้อเรียกร้องของ กปปส. – พรรคประชาธิปัตย์ – และกลุ่มการเมืองที่อยู่ตรงกันข้ามกับ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย
แต่เมื่อ คณะคสช.เลือกที่จะทำรัฐประหาร และกำหนดแนวทาง แก้ปัญหาวิกฤติบ้านเมือง ตามโรดแมปของ กลุ่ม กปปส. – พรรคประชาธิปัตย์ – และกลุ่มที่อยู่ตรงกันข้ามกับพรรคเพื่อไทย จึงทำให้ การยอมรับ และความชอบธรรมของ คณะ คสช. ที่จะเข้ามาสร้างความปรองดองสมานฉันท์ หรือ แม้แต่การเรียกบุคคลไปรายงานตัวเพื่อขอความคิดเห็น เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติ จึงไม่อยู่ในสถานะที่จะทำให้เกิดการยอมรับหรือเชื่อมั่นได้
การที่ข้าพเจ้าปฏิเสธ ไม่ไปรายงานตัว มิได้โกรธแค้นหรือชิงชัง กับคณะ คสช. ตรงกันข้าม กลับเข้าใจในเหตุผล และจิตสำนึกที่จริงจัง ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ คณะ คสช.ที่มีเจตนาดีต่อบ้านเมือง ต้องการที่จะให้บ้านเมืองสงบสุขและเดินต่อไปได้
แต่ด้วยอุดมการณ์แห่งวิชาชีพสื่อสารมวลชน ซึ่งจะต้องยืนหยัดในหลักการของสิทธิเสรีภาพ การแสดงความคิดเห็น คุณค่าความเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรี ความเสมอภาคและความเท่าเทียม และเพื่อยืนหยัดว่า ประเทศไทย จะต้องปกครองโดย อำนาจสูงสุดที่มาจากประชาชน ตามวิถีทางประชาธิปไตย
ข้าพเจ้าจึงมิอาจที่จะทรยศต่อหลักการ และอุดมการณ์อันสูงส่งนี้ได้ ข้าพเจ้ายอมรับในเหตุผลและความจำเป็นที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตัดสินใจทำรัฐประหาร ดังนั้นจึงขอความเข้าใจในเหตุผลและความจำเป็นของข้าพเจ้าด้วย
ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า การตัดสินใจของข้าพเจ้าครั้งนี้ และทุกครั้งที่ผ่านมา หรือตลอดเวลาของการปฏิบัติหน้าที่สื่อข้าพเจ้าไม่เคยกินสินบาทคาดสินบน หรือ ได้รับอิทธิพล เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับกลุ่มการเมืองใด โดยเฉพาะกับ พรรคเพื่อไทย นปช. หรือ กลุ่มที่กำลังต่อต้าน คสช. อยู่เวลานี้ อาจจะมีบางกลุ่ม บางกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ความเท่าเทียม และความยุติธรรม ข้าพเจ้าเคยเข้าไปร่วมอยู่บ้างเพราะถือว่าเป็นอุดมการณ์ที่สอดคล้องกัน
บนเส้นทางการประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนข้าพเจ้า พยายามอย่างเต็มที่ในการต่อสู้กับอำนาจของฝ่ายการเมือง และอำนาจฝ่ายทุนที่พยายามเข้ามาแทรกแซงเพื่อทำให้เสรีภาพ ความเป็นธรรม ในการประกอบอาชีพต้องเบี่ยงเบนไป
ข้าพเจ้าไม่ได้ยินดีปรีดา หรือ ชื่นชมเทิดทูน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย นปช. พอ ๆ กับที่ไม่ได้เทิดทูน ยินดีปรีดา กับ นายชวน หลีกภัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พรรคประชาธิปัตย์ กปปส. และนักการเมืองทั้งหลาย
เพราะข้าพเจ้าไม่เชื่อว่า หายนะ หรือวิกฤติบ้านเมืองที่แสนสาหัสอยู่ในเวลานี้เกิดจากนักการเมือง พรรคการเมือง หรือกลุ่มการเมืองใด กลุ่มการเมืองหนึ่ง เพียงอย่างเดียว แม้ว่าคนกลุ่มนี้ เมื่อขึ้นมามีอำนาจแล้ว มักจะไม่ซื่อสัตย์ต่อประชาชนที่มอบอำนาจให้
แต่องคาพยพที่ประกอบขึ้นเป็นโครงสร้างของสังคมไทย การปลูกฝังวิถีวัฒนธรรมบางอย่าง หรือ การสร้างอุดมการณ์ความเป็นชาติไทย ความเป็นคนไทย ที่แข็งทื่อ สูงส่งอยู่เหนือเหตุผลความเป็นจริง ไม่ปรับรับกับการท้าทายของโลกยุคใหม่ก็เป็นเหตุสำคัญอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
คนไทยมีศักยภาพ และมีคุณภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพลเมืองของประเทศใดๆในโลก หากอยู่ในโครงสร้างของสังคมที่มีกฎกติกาประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง มีอิสระ เสรีภาพ เป็นธรรม และความเสมอภาคเป็นตัวชี้นำ
กประการหนึ่งที่ข้าพเจ้าต้องการชี้แจงเพราะเป็นประเด็นที่อาจจะทำให้ใครบางคน หรือ คนบางกลุ่มไม่เข้าใจ กับการทำหน้าที่สื่อมวลชนของข้าพเจ้ากับการดำเนินรายการในฐานะพิธีกร หลายต่อหลายครั้งมักจะมีประเด็นให้ต้องพูดถึง พาดพิง หรือ อ้างถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ไม่น้อย
ข้าพเจ้าขอย้ำอย่างหนักแน่น ณ ตรงนี้ว่า ข้าพเจ้า ไม่ได้มีความคิดที่จะล้มล้าง สถาบันพระมหากษัตริย์ เลยแม้แต่น้อย ข้าพเจ้าตระหนักรู้อยู่เสมอว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ คือกำเนิดแห่งความเป็นชนชาติไทย พระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ ได้สร้างชาติสร้างแผ่นดินให้พวกเราได้อยู่อาศัยอย่างมั่นคงถาวรถึงปัจจุบันเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่คนไทยทุกคนต้องสำนึก อีกทั้งเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่จะต้องรักษา สถาบันพระมหากษัตริย์ ให้อยู่คู่ประเทศไทยตลอดไป
แต่เมื่อยุคสมัยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย จะดำรงอยู่อย่างมั่นคงได้อย่างไรต่อไป ในโลกยุคใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม สายใยสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับพระมหากษัตริย์ จะยังคงเหมือนพ่อปกครองลูกอยู่อีกหรือไม่ คนไทย ยังคาดหวังที่จะให้ พระมหากษัตริย์ เป็นสมมุติเทพ ที่จะต้องแบกรับความทุกข์ยากของพสกนิกรไว้เพียงพระองค์เดียวต่อไปอีกหรือไม่
นี่คือสิ่งที่จะต้องเปิดโอกาสให้คนไทย สังคมไทย จะต้องร่วมกันขบคิด และเสริมหนุนให้ สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นศูนย์รวมแห่งความเป็นชนชาติไทยอย่างแท้จริง และยั่งยืน
สำนึกความเป็นคนไทยของแต่ละคน อาจจะแตกต่างกัน แต่เชื่อมั่นเถอะว่า ทุกสำนึก ทุกความคิดเห็น และทุกการแสดงออก ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรักชาติ รักบ้านเมืองตัวเองไม่น้อยไปกว่ากัน
โปรดอย่าทำให้สำนึกแห่งความเป็นไทยของข้าพเจ้า กลายเป็นภัยต่อความมั่นคงสำหรับแผ่นดินเกิดของตัวเองเลย
เพราะความคิดเห็นที่แตกต่างไม่ใช่อาชญากร 

เสียงจากใต้…“ต้องกล้าทุบ ทุนน้ำมันเถื่อน หนุนการเมือง หนุนโจรแยกดินแดนใต้”…ก่อนกลายเป็น “ทุนกบฏ”!!




จากคลิป “จู่โจมปิดบ่อน้ำมันปาดังเบซาร์” ซึ่งหนึ่งในผู้เกี่ยวข้องกับการถูกจับกุมครั้งนี้ ใส่เสื้อ “สายล่อฟ้า” ซึ่งเป็นชื่อรายการหนึ่งของ “สถานีโทรทัศน์บลูสกาย พรรคประชาธิปัตย์” พยายามเข้าไปเจรจากับ “เจ้าหน้าที่” ภายหลัง “เจ้าหน้าที่” บุกเข้าจับกุม “ขบวนการน้ำมันเถื่อน” เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2555 ซึ่งพบว่ามีรถยนต์ของ “ส.ส.ถาวร เสนเนียม” เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนั้นทีมงาน “พระนครสาส์น” พบว่า ไม่เพียงประชาชนทั้งประเทศเท่านั้น ที่พยายามเรียกร้องให้ภาครัฐ เข้าไปแก้ไขปัญหาน้ำมันเถื่อนอย่างเร่งด่วน เพราะแม้แต้ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งถือว่าเป็นชาวบ้านท้องถิ่น ก็พยายามเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหา “ขบวนการน้ำมันเถื่อน” ด้วยเช่นเดียวกัน โดยพบว่า “หนังสือพิมพ์เสียงใต้รายวัน” ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นรายใหญ่ของภาคใต้ ได้เขียนบทความเรื่อง “ต้องกล้าทุบ ทุนน้ำมันเถื่อน หนุนการเมือง หนุนโจรแยกดินแดนใต้” เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2554 ในขณะที่ “ถาวร เสนเนียม” เพิ่งพ้นจากเก้าอี้ “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย” ของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ครอบครองมายาวนานกว่า 2 ปี (http://www.siangtai.com/new/index2.php?name=knowledge&file=readknowledge&id=265 )

…โดยเนื้อหาว่า…

            … อย่าลืมเป็นอันขาดว่า ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ในประเทศขายลิตรละ 49.44 บาท ส่วนน้ำมันเบนซิน 91 ขายลิตรละ 43.04 บาท น้ำมันดีเซลขายลิตรละ 29.99 บาท โดยค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ลิตรละ5.49 บาท ส่วนน้ำมันดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 1.31 บาท
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า น้ำมันเบนซินในดินแดนมาเลเซียขายที่ลิตรละ 20 บาท ส่วนน้ำมันดีเซลขายลิตรละ 18 บาท แต่หากขับลึกเข้าไปเติมในประเทศสิงคโปร์จะขายน้ำมันเบนซินลิตรละ 16 บาท ส่วนน้ำมันดีเซลลิตรละ 15 บาท

             ห้ามลืมเป็นอันขาดว่า เมื่อน้ำราคาน้ำมันเบนซินที่ขายในมาเลเซียมาเทียบกับน้ำมันเบนซินที่ขายในประเทศไทย ราคาจะต่างกันลิตรละ 23 บาทสำหรับเบนซิน 91 ส่วนน้ำมันดีเซลจะต่างกันที่ลิตรละ 15 บาท

         แต่ที่สิงคโปร์จะต่างกันมากไปกว่านั้น โดยน้ำมันเบนซิน 91 ต่างกันลิตรละ 27 บาท ส่วนน้ำมันดีเซลต่างกันลิตรละ 15 บาท

            วันนี้คนในดินแดนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีรายได้จากการขายน้ำมันเถื่อน และนายทุนพรรคการเมืองและนักการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นมีรายได้อย่างมหาศาลจากการค้าน้ำมันเถื่อน เส้นทางการลักลอบขนน้ำมันเถื่อนเข้ามาขายในประเทศไทยจะผ่านสองเส้นทางคือ เส้นทางบก เส้นทางเรือ 
  • เส้นทางบกจะออกจากประเทศมาเลเซีย ผ่านเข้ามายังพื้นที่ชายแดนติดกับมาเลเซียอันเป็นพื้นที่ของจังหวัดยะลา นราธิวาส และปัตตานี
  • ส่วนเส้นทางเรือจะขนน้ำมันเถื่อนมาจากสิงคโปร์เข้ามาทางเส้นทางน้ำ เพื่อเข้ามาขายยังพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อกระจายไปยังเรือประมงในเขตพื้นที่เหล่านี้
ภายใต้ทุนการเมืองคุ้มครอง

            อย่าลืมเป็นอันขาดว่า การขนน้ำมันเถื่อนจะแบ่งออกเป็นรายเล็กและรายใหญ่  รายเล็กจะกระทำโดยใช้รถปิคอัพเข้าไปเติมน้ำมันในประเทศไทยมาเลเซีย ซึ่งรถปิคอัพหนึ่งคันจะเติมเต็มถังที่ 65 ลิตร และโดยมากแต่ละคันจะดูดน้ำมันออกให้เหลือแค่ 5 ลิตรต่อคัน จะเข้าไปในดินแดนมาเลเซียทุกวัน ตอนกลับเข้ามาในเขตแดนไทย น้ำมันรถทุกคันจะเต็ม และทุกคันจะถูกดูดออกมาคันละ 60 ลิตรต่อวัน แล้วแต่ว่าขีดความสามารถของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร

           หากส่วนต่างของน้ำมันดีเซลลิตรละ 15 บาท แต่คนเหล่านี้จะมาปล่อยเพื่อหวังกำไรลิตรละ 10 บาทแต่ละวันจะมีรายได้คันละ 600 บาทสำหรับรายย่อยที่ถือว่า เพียงพอต่อการครองชีพในแต่ละวัน
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเข้าไปหนุนเนื่องกลุ่มก่อการร้ายเพื่อลอบสังหารเจ้าหน้าที่ ในแต่ละวันด้วยทุนจากกำไรในการค้าน้ำมันเถื่อน

             ต้องยอมรับความจริงที่เป็นจริงที่สุดว่า วันนี้จังหวัดสงขลาแห่งเดียว มีน้ำมันเถื่อนลักลอบเข้ามาขายถึงวันละ3 ล้านลิตร อันเป็นน้ำมันดีเซลที่ขายให้กับเรือประมง และรถบรรทุกที่จะต้องวิ่งเข้ากรุงเทพฯ เพื่อขนถ่ายสินค้าทางการประมง หากวิเคราะห์จากราคาส่วนต่างที่กำไรลิตรละ 10 บาท  แต่ละวันกลุ่มทุนการเมืองจะมีรายได้จากการค้าน้ำมันเถื่อนวันละ 30 ล้านบาท  ใครคือทุนการเมืองที่หนุนหลังน้ำมันเถื่อน ?  คือคำถามที่ต้องให้กองทัพบกและกองทัพเรือรวมถึงตำรวจน้ำออกมาให้คำตอบ


          อย่าลืมเป็นอันขาดว่าเพียงแค่น้ำมันดีเซลอย่างเดียวที่ขนทางเรือเข้ามายังสงขลายังขนเข้ามาขายถึงวันละ 3 ล้านลิตร แล้วจังหวัดอื่นขนเข้ามาเท่าไหร่ ?

            มีการประเมินกันว่าแต่ละวันจะมีน้ำมันเถื่อนลักลอบขนเข้ามาทางบกผ่านถนนหลวงของแผ่นดิน วันละไม่น้อยกว่า 2 ล้านลิตร ไม่นับทางเรือที่จะมาขึ้นทางจังหวัดนครศรีธรรมราชและสุราษฏร์ธานีไม่นับรวมสตูลอีกเท่าไหร่

               มีการประเมินตัวเลขกันว่า แต่ละวันจะมีน้ำมันดีเซลเถื่อนขนเข้าประเทศไทยไปจำหน่ายไม่น้อยกว่า 10 ล้านลิตร นั่นย่อมหมายถึงว่า จะมีคนได้เงินจากการค้าน้ำมันเถื่อนถึงวันละ 100 ล้านบาท
หากเศษเงินเพียงแค่วันละ 5 ล้านบาทกระเด็นเข้าไปหนุนหลังขบวนการแบ่งแยกดินแดนให้ซื้ออาวุธ ทำระเบิด ก่อวินาศกรรมและลอบสังหารเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและคณาจารย์รวมไปถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์

             ย่อมหมายถึงจะมีเงินกระเด็นกระดอนเพื่อหนุนการก่อการร้ายไม่น้อยกว่าเดือนละ 150 ล้านบาท
ถือว่าเป็นค่าจ้างที่จ้างวัยรุ่นคลั่งศาสนาเข้ามาก่อการร้ายในดินแดนของไทยได้อย่างสบายๆ
น้ำมันเถื่อนเหล่านี้ไหลลามผ่านเส้นทางถนนเพชรเกษมเข้าไปสู่ตัวกรุงเทพมหานครและเข้าไปขายถึงใน ดินแดนภาคเหนือบางจังหวัดและบางพื้นที่รวมถึงพื้นที่ภาคอิสาน ไม่นับภาคใต้ที่มีพื้นที่ติดชายทะเลที่มีการขายน้ำมันเถื่อนให้กับเรือประมงที่เดือดร้อนจากการปรับค่าน้ำมันขึ้นพรวดพราด  และบางส่วนไหลทะลักมาขึ้นที่แถวย่านสมุทรปราการและชลบุรี กลายเป็นทุนหนุนการเมืองให้หลายคนที่เกิดมาไม่เคยทำงานและไม่เคยมีอาชีพอะไรนอกจากการทำงานการเมืองแต่กลับร่ำรวยผิดปกติ ทั้งที่อดีตชาติยากจนแสนสาหัส น่าแปลกใจอย่างมากว่า ไฉนจึงไม่มีการดำเนินการสืบสวนสอบสวนและจับกุมให้ถึงต้นตอใหญ่ นั่นคือประเด็นที่คนทั่วไปกังขาและข้องใจ แต่หากเราจะต้องหันมาพิจารณาและทบทวนแล้ว เราจะ พบว่าวันนี้กฎหมายเปิดช่องให้คนค้าน้ำมันเถื่อนไม่ต้องติดคุก ไยจึงไม่ต้องติดคุก คือประเด็นที่คนข้องใจ

             อดีตที่ผ่านมาหากมีการดำเนินการจับกุม จะต้องส่งให้กรมศุลกากรเพื่อส่งฟ้องศาลและหากได้ตัวผู้ก่อการ ๆจะต้องโดนศาลจำคุกและริบของกลางไว้เพื่อขายทอดตลาดในอนาคต

              แต่วันนี้กระทรวงการคลังเปิดช่องโหว่เอาไว้ให้ นั่นคือ กฎหมายสรรพสามิตเปิดช่องให้ว่า หากโดนทหารจากกองทัพภาคที่ 4 จับได้ จะส่งให้สรรพสามิตเพื่อดำเนินการ และสรรพสามิตจะดำเนินการเปรียบเทียบปรับในอัตราสองเท่าของมูลค่าน้ำมัน เมื่อเปรียบเทียบปรับแล้ว ปล่อยน้ำมันเถื่อนคืนให้กับคนที่โดนปรับเพื่อนำไปขายต่อ จึงมีแต่คนเรียงคิวกันเข้ามาเพื่อจ่ายค่าปรับ เพราะไม่มีโทษจำคุก น่าแปลกรัฐบาลที่กำลังจะพ้นวาระทราบเป็นอย่างดีในเรื่องนี้   แต่ไม่ดำเนินการใด ทั้งในส่วนของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ น่าแปลกยิ่งนัก ขบวนการลักลอบขนน้ำมันเถื่อนจากน่านน้ำสิงคโปร์เข้ามายังน่านน้ำไทย ไม่มีเรือตำรวจน้ำลำไหนสามารถจับกุมได้ ไม่มีเรือรบลำไหนสามารถจับกุมได้ และไม่มีเรือศุลกากรลำไหนจับกุมได้รวมไปถึงเรือตรวจการของสรรพสามิต

            ยิ่งน่าแปลกใจอย่างมากเมื่อขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ขนน้ำมันใส่รถบรรทุกขนาด 60,000 ลิตรจากดินแดนมาเลเซียผ่านเข้ามาทางถนนเพชรเกษมเพื่อเข้าไปขายยังพื้นที่กรุงเทพและล่วงเลยเข้าไปถึงจังหวัดนครสวรรค์  ไม่มีตำรวจทางหลวงคันใดได้กลิ่นการขนส่งน้ำมันเถื่อน  เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาหลบซุ่มตามสุมทุมพุ่มไม้เพื่อส่องกล้องหารถที่ขับเร็วเกินกว่า 120 กิโลเมตรโดยลืมคำนึงถึงหน้าที่คล้ายกับว่า มีอะไรมาบังตาและมีอะไรมาให้เป็นข้ออ้างเพื่อเลี่ยงการจับกุม  ตั้งด่านเพียงเพื่อจ้องดูหมายเลขทะเบียนที่ได้รับแจ้งทางวิทยุของรถตำรวจทางหลวงที่ซ่อนใต้สุมทุมพุ่มเพื่อส่องกล้อง โดยไม่เคยขอตรวจสอบใบอนุญาตขนผ่านน้ำมันแต่อย่างใด

             ต้องเข้าใจว่าอดีตที่ผ่านมากระบวนการตรวจยึดน้ำมันเถื่อนจะต้องผ่านศาล ทุกครั้งที่มีการจับกุม จะต้องส่งเจ้าหน้าที่ศุลกากร และเจ้าหน้าที่ศุลกากรจะส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อส่งฟ้องศาล โดยคำพิพากษาในอดีตจะสั่งอายัดน้ำมันทั้งหมด และยึดรถไว้เป็นของกลางเพื่อขายทอดตลาดในโอกาสต่อไป คนถูกจับต้องจำคุก น้ำมันเถื่อนโดนยึด แถมรถบรรทุกยังต้องโดนยึดอีกต่างหาก

           แต่วันนี้ ไม่มีใครโดนยึดเพียงแค่ปรับสองเท่าที่นายทุนพรรคการเมืองพร้อมใจและพร้อมจ่ายตลอดเวลา เพื่อเอาน้ำมันเถื่อนไปขายตามใบสั่งของลูกค้าหลังจ่ายค่าปรับแล้ว น่าแปลกที่กองทัพบกภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกไม่ได้ใส่ใจที่จะหันมากวดขันและเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ ยิ่งน่าแปลกใจอย่างมาก เมื่อจังหวัดสงขลามีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยอย่างนายถาวร เสนเนียมที่ว่ากันว่าผ่านชีวิตอัยการและเป็นคนมือสะอาดตงฉินกลับไม่ล่วงรู้ถึงขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนแต่อย่างใด

             และยิ่งน่าแปลกใจมากไปกว่านั้น เจ้าพ่อประมงนักการเมืองใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์อย่างนายประพร เอกอุรุรวมถึงนายนิพนธ์ บุญญามณี มือการเมืองในพื้นที่สงขลากลับไม่มีใครออกมาโวยวายเพื่อเรียกร้องให้ดำเนินการปราบปรามอย่างเด็ดขาดกับขบวนการขนน้ำมันเถื่อน  รายได้จากส่วนต่างน้ำมันเถื่อนกับน้ำมันรัฐในแต่ละวัน กลายเป็นรายได้ที่บางคนไม่เคยทำงานมีอาชีพเป็นหลักแหล่งแต่เมื่อมาค้าน้ำมันเถื่อนโดนเอาหลังพิงการเมืองกลับร่ำรวยมหาศาล

            ยิ่งน่าตะลึงมากไปกว่านั้นก็คือ บ่อนการพนันในพื้นที่จังหวัดสงขลาตามแนวอำเภอเศรษฐกิจผุดเป็นดอกเห็ด ไม่มีใครกล้าหาญชาญชัยลงมาดำเนินการจับกุมและกวาดล้าง เล่าขานกันว่าบางบ่อนมีรายได้ส่งส่วยเจ้าหน้าที่ถึงเดือนละหนึ่งล้านบาทต่อบ่อนการพนัน โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือฝ่ายปกครองคนใดกล้าที่จะเข้ากวาดล้างและจับกุม  หาต่างไปจากวงการค้าปาล์มในพื้นที่ภาคใต้ที่สะอื้นและสะดุ้งเมื่อช่วงที่น้ำมันปาล์มหายไปจากท้องตลาดและขาดตลาดไป มีคนได้เงินจากส่วนต่างของการกักตุนน้ำมันปาล์มถึงสามพันล้านบาท และเป็นสามพันล้านบาทที่เพิ่งจะเอามาฉีกเล่นการเมืองเมื่อไม่นานมานี้
คนภาคใต้จำนวนไม่น้อย ไปศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จุดธูปร้องขอให้รัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย กวาดล้างขบวนการขนน้ำมันเถื่อน บ่อนการพนันในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นับจากตรัง ปัตตานี นราธิวาส ยะลา สงขลา

               กระชากหน้ากากทุนการเมืองและทุนของเถื่อนที่หนุนหลังพรรคการเมือง  และตีแผ่ฐานะร่ำรวยผิดปกติของบางคนที่ไม่เคยทำงานแต่ร่ำรวยมหาศาล
….


…ข้อเขียนนี้ เขียนขึ้น ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2554 ในยุคที่ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เพิ่งลงจากอำนาจที่ครอบครองมายาวนาน 2 ปี…ไม่กี่วัน

…ข้อเขียนนี้ เขียนขึ้น ในยุคที่ “ถาวร เสนเนียม” ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เพิ่งพ้นจากตำแหน่ง”รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ครอบครองมายาวนาน 2 ปี …ไม่กี่วัน

…ข้อเขียนนี้ เขียนขึ้น ขณะ “ธุรกิจค้าน้ำมันเถื่อน” เติบ-โต กลายเป็น “ขบวนการ-เครือยักษ์ใหญ่” ในพื้นที่ “จังหวัดสงขลา” โดยตลอดระยะเวลาที่ 2 ปีกว่า ที่ “ถาวร เสนเนียม” ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ มีอำนาจเป็น “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย” !!!

ศาลสั่งคดีชันสูตร 'เกรียงไกร คำน้อย' ตายเพราะเสียเลือดมาก วิถีกระสุนมาจากทหาร




4 ก.ค. 2557 มติชนออนไลน์รายงานว่า ที่ห้องพิจารณาคดี 711 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก  ศาลนัดฟังคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ อช.8/2556 ที่พนักงานอัยการ สำนักอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญา 10 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรพลิกศพ นายเกรียงไกร คำน้อย อายุ 23 ปี โชเฟอร์รถตุ๊กตุ๊ก ที่ถูกยิงเสียชีวิตเป็นศพแรกในเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ข้างกำแพงกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553
 
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วรับฟังโดยสรุปได้ว่า เมื่อวันที่ 10  มีนาคม  ต่อเนื่องถึงวันที่ 19 พฤษภาคม  2553 กลุ่มนปช. ชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ตามแนวถนนราชดำเนิน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน ต่อมาวันที่ 7 เมษายน 2553 รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง และตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. โดยมอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็น ผอ.ศอฉ. กระทั่งวันที่ 10 เมษายน 2553 เวลา 13.30 น. ศอฉ.สั่งการให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ ขอคืนพื้นที่และพื้นผิวการจราจรบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศและบริเวณใกล้เคียง โดยกองพันทหาราบที่ 1 กรมทหาราบที่ 31 รักษาพระองค์(ร.31พัน1รอ.) ประมาณ 300 นาย 
 
โดยเจ้าหน้าที่มีอาวุธประจำกายคือโล่ห์ ปืนลูกซองยาว บรรจุกระสุนยาง ปืนเอ็ม 16 ปืนทาโวร์ ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่มีความเร็วสูง ผลักดันผู้ชุมนุมไปตามถนนราชดำเนินนอกจากแยกสวนมิสกวัน ผ่านหน้ากระทรวงศึกษาธิการ ไปยังสะพานมัฆวานรังสรรค์ แต่ผู้ชุมนุมไม่พอใจได้ขว้างปาขวดน้ำ สิ่งของ และเหล็ก ใส่เจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ทหารจึงได้ใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้ผู้ชุมนุม  
 
ต่อมาในเวลา 15.00 น. เจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนยิงถูกนายเกรียงไกร ที่ยืนอยู่บนทางเท้าข้างกำแพงกระทรวงศึกษาธิการที่หน้าอกและลำตัวจนได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงนำตัวนายเกรียงไกร ส่งร.พ.วชิรพยาบาล ต่อมานายเกรียงไกรได้เสียชีวิตลงเนื่องจากเสียเลือดมาก ในวันที่ 11 เมษายน 2553  เนื่องจากหลอดเลือดใหญ่บริเวณอุ้งเชิงกรานฉีกขาดจากกระสุนความเร็วสูงที่ยิงมาจากทางเจ้าหน้าที่ทหาร

 
จากการสอบสวนพยานที่ร่วมชุมนุมกับผู้ตายยืนยันว่าผู้ตายถูกยิงจากกระสุนปืนที่มาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ทหารขณะที่ช่างภาพสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ที่รายงานข่าวบริเวณสถานที่ชุมนุมให้การว่า เห็นมีการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารกับผู้ชุมนุม โดยเห็นเจ้าหน้าที่ทหารบางคนใช้อาวุธปืนยิงใส่ผู้ชุมนุมในลักษณะแนวราบกับพื้น 
 
ส่วนแพทย์ที่ชันสูตรศพผู้ตายให้การว่าจากการผ่าศพผู้ตายพบว่าผู้ตายถูกยิงที่หน้าอกด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง แนววิถีกระสุนที่ยิงนายเกรียงไกรมาจากทางเจ้าหน้าที่ทหาร แต่ไม่สามารถสรุปได้ว่าผู้ใดใช้อาวุธปืนร้ายแรงยิงนายเกรียงไกร แต่การขอคืนพื้นที่อยู่ในเวลากลางวัน และพยานทุกคนในที่เกิดเหตุยืนยันว่า กระสุนที่ยิงผู้ตายมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งจากหลักฐานคลิปวีดีโอในวันเกิดเหตุ เห็นเจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนเล็งและยิงไปทางแนวราบข้างกำแพงรั้วกระทรวงศึกษาธิการ ไปยังจุดที่นายเกรียงไกรยืนอยู่บนทางเท้า ตรงกันที่พยานเห็นเหตุการณ์ 
 
ผู้เชี่ยวชาญอาวุธปืนยืนยันว่าอาวุธปืนที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้ในวันเกิดเหตุเป็นอาวุธปืนทาร์โวที่มีใช้เฉพาะในกองทัพ สอดคล้องกับบาดแผลผู้ตายที่ถูกยิงด้วยกระสุนความเร็วสูงตามรายงานการตรวจ โดยทางเจ้าหน้าที่ทหารได้ให้การว่ามีแต่การยิงปืนขึ้นฟ้า และไม่มีการใช้กระสุนปืนจริง แต่จากบาดแผลที่ผู้ตายถูกยิงที่หน้าอก และสะโพกซ้าย และเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในวันเกิดเหตุพบว่า มีผู้ชุมนุมถูกยิงได้รับบาดเจ็บอีกหลายคน 
 
นอกจากนั้นจากการตรวจที่เกิดเหตุพบรอยกระสุนปืน วิถีทางเข้าจากทางแยกถนนมิสกวัน วิถีทางของกระสุนปืนเข้าไปที่ถังน้ำสแตนเลสที่ผู้ตายหลบอยู่ มีทิศทางจากที่ทหารเคลื่อนกำลังพลเข้ามา และพบรอยกระสุนปืนบริเวณอาคารใกล้ที่เกิดเหตุ จากหลักฐานแสดงว่าเจ้าหน้าที่ทหารได้ใช้กระสุนจริงในการขอคืนพื้นที่ด้วย เมื่อไม่ปรากฎว่ามีกองกำลังอื่นๆในที่เกิดเหตุ และวิถีกระสุนมาจากฝั่งทหารที่ใช้กำลังเข้ามาขอคืนพื้นที่ตามคำสั่ง ศอฉ.
 
จึงมีคำสั่งว่านายเกรียงไกร  เสียชีวิตที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2553  ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตเนื่องจากเสียเลือดมาก จากการถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง ซึ่งมีวิถีกระสุนมาจากเจ้าหน้าที่ทหารในการปฎิบัติหน้าที่ขอคืนพื้นที่ จากทางด้านแยกสวนมิสกวัน ผ่านหน้ากระทรวงศึกษาธิการ มายังสะพานมัฆวานรังสรรค์ ตามคำสั่งของศอฉ. โดยไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำ

กระทรวงการต่างประเทศ ยกเลิกพาสปอร์ต 'สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล'


Sat, 2014-07-05 00:03

กระทรวงการต่างประเทศระบุยกเลิกหนังสือเดินทางเพิ่ม 2 ราย "สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" และ "วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ" หรือโกตี๋ เหตุถูกออกหมายจับคดี ม.112 
 
4 ก.ค. 2557 เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่ากระทรวงการต่างประเทศได้ยกเลิกหนังสือเดินทางของผู้ถูกออกหมายจับเพิ่มขึ้นอีก 2 ราย เมื่อ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้แก่ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ เจ้าของสถานีวิทยุเรดการ์ดเรดิโอ จ.ปทุมธานี เนื่องจากบุคคลทั้ง 2 ถือเป็นผู้ต้องหาที่ศาลอาญาได้ออกหมายจับในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงมีการดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 23 วรรค 2 ที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่สามารถยกเลิกหรือเรียกหนังสือเดินทางได้เมื่อปรากฏภายหลังว่าผู้ถือหนังสือเดินทางเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่อาจออกหนังสือเดินทางได้เนื่องจากเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาที่ได้มีการออกหมายจับไว้แล้ว
 
ขณะที่ก่อนหน้านี้ เมื่อ 26 พ.ค. ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศ ได้เพิกถอนหนังสือเดินทางของนางจรรยา ยิ้มประเสริฐ ตามระเบียบฯ ข้อ 23 วรรค 2 ประกอบข้อ 21 วรรค 2 ที่ระบุว่า กระทรวงสามารถปฏิเสธ หรือยับยั้งคำขอหนังสือเดินทางเมื่อได้รับแจ้งว่าผู้ร้องเป็นผู้ซึ่งกำลังรับโทษในคดีอาญา หรืออยู่ระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราว หรือเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาที่ได้มีการออกหมายจับไว้แล้ว ซึ่งศาลหรือพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจเห็นว่าไม่ควรจะออกหนังสือเดินทางให้

'ประยุทธ์' วอนสื่อเสนอข่าวสารที่ไม่สร้างความขัดแย้งให้แก่คนในสังคม


พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ระบุในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ขอความร่วมมือสื่อนำเสนอข้อมูลที่ไม่สร้างความขัดแย้งแก่คนในสังคม ชี้หากสร้าง Hate Speech ประจานประเทศไทยต่อชาวโลก ความขัดแย้งก็จะไม่มีวันจบไม่สิ้น
 
เมื่อวันที่  4 กรกฎาคม 2557 เวลา 20.30 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยขอความร่วมมือสื่อทุกประเภท งดเสนอข่าวที่สร้างความขัดแย้งรวมถึงการแชร์ข้อมูล  และโพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะสื่อสิ่งพิมพ์ ขณะนี้ยังพบว่า มีการแจกจ่ายข้อมูลหมิ่นสถาบัน และเนื้อหาที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคม รวมถึงการกล่าวร้ายบุคคลอื่น ทั้งนี้ ขอความร่วมมือสื่อมวลชน ผู้บริหารองค์กร และบรรณาธิการ ควบคุมดูแลเนื้อหาสาระให้มีมาตรฐาน พร้อมนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องสู่สาธารณะ ซึ่งหากตรวจสอบแล้วพบว่า สื่อใดไม่นำเสนอข้อเท็จจริง จะต้องรับผิดชอบ
 
ในส่วนของวิทยุชุมชนหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวว่า จะพยายามให้ออกอากาศโดยเร็วที่สุด ขณะนี้กำลังเร่งดำเนินการ โดยส่วนหนึ่งที่จดทะเบียนถูกต้อง ได้อนุญาตออกอากาศไปแล้ว ส่วนที่เหลือจะดำเนินการตรวจสอบก่อน พร้อมขอความร่วมมือทุกสถานี ให้เปิดเพลงชาติและเพลงสรรเสริญพระบารมีตามหลักปกติ
 
 
รายละเอียดรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2557 
 
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่เคารพ วันนี้ผมมีเรื่องจะกราบเรียนให้ทราบ ดังนี้
 
เรื่องแรกเรื่องสื่อ ผมขอทำความเข้าใจในเรื่องสื่อมวลชน และสื่อต่าง ๆ ก่อนเป็นลำดับแรก สื่อ ทั้ง โทรทัศน์ โทรทัศน์ดาวเทียม วิทยุกระจายเสียง วิทยุชุมชน โซเชียลมีเดีย สื่อสิ่งพิมพ์ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้ง และไม่เข้าใจกันอีกต่อไป ไม่ว่าจะกับ คสช. หรือกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
 
วันนี้บ้านเมืองของเรานั้น อยู่ในห้วงเวลาไม่ปกติ มีความจำเป็นต้องขอร้องให้ลดการนำเสนอข่าวที่จะเพิ่ม หรือขยายความขัดแย้ง รวมทั้งข่าวที่ยังไม่ได้มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริง
 
ที่ผ่านมาจะเห็นว่าก่อนวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา จะเห็นว่าประชาชนบริโภคข่าวจากสื่อทุกประเภท ต้องยอมรับว่า มีสื่อทั้งที่เลือกข้าง และเป็นกลาง ทำให้สังคม และประชาชนสับสน มีความเกลียดชังซึ่งกันและกัน เพราะต่างฝ่าย ต่างก็เชื่อมั่นที่จะเชื่อในข้อมูลของฝ่ายตน มีการเขียน หรือโพสต์ หรือวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลมีเดียกันอย่างกว้างขวาง ทั้งแชร์ข้อมูลของฝ่ายตนเอง และประสงค์ที่จะโน้มน้าวให้คนอื่นเชื่อด้วย รวมความไปถึงสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ที่อาจจะทำให้สังคมไทยเสื่อมโทรม เช่น หนังสือลามก อนาจาร หนังสือแนวหมิ่นเหม่สถาบัน ซึ่งพบว่ายังมีการลักลอบจำหน่ายกันอยู่ในหลายพื้นที่เช่นกัน ดังนั้น เราจำเป็นต้องช่วยกัน ทั้ง คสช. สมาคมผู้สื่อข่าว นักข่าว บรรณาธิการ เจ้าของสำนักพิมพ์ต่าง ๆ ตลอดจนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่มีหน้าที่โดยตรง
 
วันนี้โลกเราเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่มีพรมแดน การกระจายข่าวสาร รวดเร็วมาก หากมีการโพสต์ข้อความ หรือเสนอข่าวใดที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ก็มีแต่ข้อมูลสร้างความเกลียดชัง หรือที่เรียกว่า Hate Speech เป็นการประจานประเทศไทยในสายตาของต่างชาติ รวมทั้งสร้างผลกระทบต่อภายในประเทศเราเอง ความขัดแย้งก็จะไม่มีวันจบไม่สิ้น บางทีอาจสร้างผลกระทบกับความคิด ความอ่านของเยาวชนไทยที่เป็นอนาคตของเราด้วย หากปล่อยเป็นเช่นเดิม ความแตกแยกจะมากขึ้น เด็กไม่เคารพผู้ใหญ่ ต่างฝ่ายต่างใช้คำพูดที่หยาบคายใส่กัน สังคมก็จะเกิดการขาดความเชื่อมั่น ขาดความไว้วางใจซึ่งกันและกันในทุกระดับ ความสงบสุขก็จะเกิดขึ้นได้ยาก ฉะนั้นคนดี ๆ ก็อาจจะถูกให้ร้าย ก็ทำให้เขาหมดกำลังใจในการทำงาน
ผมขอร้องอีกครั้งหนึ่งให้ทุกท่านที่เกี่ยวข้องกับสื่อ ทั้งผู้สื่อข่าว สำนักพิมพ์ บรรณาธิการ ได้กรุณากำหนดมาตรฐาน มีมาตรการควบคุมเนื้อหาสาระของสื่อในความรับผิดชอบของท่าน ให้ช่วยการเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นข้อเท็จจริงต่อสาธารณชน หากสื่อใดนำเสนอข้อมูลที่ไม่เป็นข้อเท็จจริง หรือสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ ท่านต้องรับผิดชอบด้วย หากสื่อนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของท่านเอง
 
คสช. ไม่ได้มุ่งหวังในการจะใช้อำนาจไปจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อแต่ประการใด ที่ผ่านมา เราก็อนุโลม เราก็ให้สื่อเสรีภาพในการนำเสนอ อาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำ ใครจะว่าใครก็ได้ เพราะฉะนั้นจะทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด บางครั้งก็ยังไม่ได้ตรวจสอบ ก็อยากให้เห็นใจคนที่เขาถูกกล่าวว่าร้ายไปบ้าง เขาจะทำอย่างไร เขาจะมีโอกาสปกป้องตนเองหรือไม่ ในบางครั้งถ้าเราไปลงความเห็นว่าเขาดีหรือไม่ดีอย่างไร โดยไม่มีข้อพิสูจน์ จะทำให้สังคมเกิดความขัดแย้งมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นเวลานี้ ก็ขอเรียนทำความเข้าใจอีกครั้งว่า เราต้องการความสงบสุข เพื่อ คสช. จะได้แก้ไขปัญหา ปัญหาจริง ๆ วันนี้ท่านทราบอยู่แล้วว่ามีปัญหาอยู่ที่ไหน เราก็ทำทุกอย่างและกำลังอยู่ในกระบวนการก็มี
 
สำหรับโรดแมป 3 ระยะ ที่เราพูดไปหลายครั้งแล้ว ก็จะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ต่าง ๆ มีทั้งนักวิเคราะห์ นักเขียน นักวิชาการต่าง ๆ บางครั้งผมก็รู้สึกน้อยใจเหมือนกันว่าท่านฟังเวลาเราพูดหรือไม่ คือข้อมูลต่าง ๆ ที่เราให้ไปท่านได้รับฟังหรือไม่ แต่รู้ว่าทุกท่านมีความห่วงใย มีความหวังดีกับประเทศชาติ แต่ขอให้กรุณาฟังเราบ้าง เพราะเราทำไปเราพยายามจะบอกท่านทุกครั้ง หากท่านไม่ฟังเลย จะไม่ได้เป็นการติเพื่อก่อ จะเป็นการติเหมือนจะทำลายกัน ในขณะที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย หรือทำไปยังไม่จบสิ้น อันนี้ก็ขอร้องอีกครั้ง คงไม่ได้หมายความทุกคน ทุกสื่อ เป็นเพียงส่วนน้อยมาก ผมถือว่าน้อยมาก วันนี้คงทำงานด้วยประสบการณ์อย่างเดียวไม่ได้แล้ว ต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
 
ส่วนวิทยุชุมชนก็เช่นเดียวกัน วันนี้เราก็พยายามที่จะให้มีการออกอากาศให้ได้โดยเร็ว ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนหลาย ๆ อย่างที่เราทำอยู่ มีการทยอยเปิดเป็นตามลำดับ อะไรที่ยังเปิดไม่ได้ก็ขอให้เข้าใจว่ายังไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ทำให้ถูกต้อง และเราก็จะเปิดให้
 
สำหรับเรื่องของเศรษฐกิจในวันนี้ เรากระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินว่า เศรษฐกิจของเราจะโตขึ้นทั้งปี เพียงแค่ 1.5% ซึ่ง คสช. ทราบดีจะพยายามผลักดันให้ได้เกิน 2 % เพราะฉะนั้นแนวทางที่เรามีอยู่ในปัจจุบันคือกระตุ้นเศรษฐกิจของคนรายได้น้อย ให้ธนาคารต่าง ๆ เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ได้พิจารณาทำโครงการต่าง ๆ ที่จะให้กลุ่มประชาชนได้กู้ยืมเงินไปลงทุนให้มากขึ้น
 
ส่วนเรื่องของการกระตุ้นการส่งออกให้มากขึ้นนั้น มีการรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทไม่ให้แข็งมากจนเกินไป มีการกระตุ้นส่งเสริมการท่องเที่ยว ได้มีการชักชวนผ่านทุกช่องทางให้ชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวให้มากขึ้น ก็จะเป็นผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การบริการต่าง ๆ ร้านอาหาร ร้านค้าต่าง ๆ สำหรับการท่องเที่ยวทุกคนทราบดีว่า เป็นรายได้สำคัญของไทย คสช. ได้กำหนดเป้าหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ อะไรที่เป็นอุปสรรค ปัญหา ก็ให้เสนอมา เพื่อเราจะได้แก้ไขต่อไป
 
เรื่องของการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ วันนี้การตรวจสอบงบประมาณ ปี 2557 ก็ยังมีงบประมาณหลายงบประมาณของหลายกระทรวง ซึ่งยังไม่มีแผนงาน โครงการรองรับ ประมาณกว่า 5 หมื่นล้านบาท เราจะนำแผนการโครงการงบประมาณต่าง ๆ เหล่านั้นมาดูอีกครั้งหนึ่งว่าอะไรในแต่ละกระทรวงยังทำได้ช้า เราก็จะปรับงบประมาณตรงนี้ไปเพิ่มในแผนงาน โครงการ ที่ยังไม่สมบูรณ์และมีความเร่งด่วนสูง
 
เรื่องของการบริหารจัดการน้ำ คาดว่าจะสามารถปรับงบประมาณที่เหลือ ที่ผมเรียนเมื่อสักครู่ของทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง สามารถจะปรับเพิ่มได้ประมาณหมื่นกว่าล้าน เพื่อไปดำเนินการเร่งด่วนใน ปี 2557 และต่อเนื่องในปี 2558
 
สำหรับเรื่องสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน เราก็ให้ความสำคัญและความเร่งด่วนเช่นกัน วันนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาเพื่อจะอนุมัติแผนงาน โครงการดังกล่าวบางส่วน
 
งบประมาณ ปี 2557 ซึ่งผมเรียนไปแล้วว่าเราใช้จ่ายไป ไตรมาสสุดท้ายในขณะนี้ หากใช้ไม่หมด แผนงานที่ค้างอยู่ เราจะนำไปผูกพันไว้ในปีงบประมาณปี 2558 เพื่อดำเนินการให้ต่อเนื่องในลักษณะการบูรณาการ
 
การอนุมัติงบประมาณแผนงาน/โครงการ วงเงิน ร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน ซึ่ง คสช. ได้อนุมัติไปบ้างแล้วนั้น เป็นการอนุมัติในกรอบของ ครม. เดิม ซึ่งปัจจุบันนั้น คสช. ทำหน้าที่อยู่ ทั้งนี้ คสช. ได้ปรับเปลี่ยนแผนงาน โครงการบางส่วน ที่เป็นปัญหาค้างคาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง
 
ในส่วนของการใช้จ่ายงบประมาณของ คสช. ปัจจุบันงบประมาณที่ คสช. ใช้จ่ายเป็นหลัก คือ ค่าตอบแทนกำลังพล ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร และงบปฏิบัติการบางส่วนเท่านั้น ในส่วนของการอนุมัติการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของกองทัพนั้น ก็คงเป็นไปตามแผนงานเดิมทั้งสิ้น ซึ่งได้ถูกบรรจุไว้ในการจัดทำงบประมาณประจำทุกปี
 
การปฏิรูปในระยะที่ 1 และ 2 วันนี้เป็นขั้นการเตรียมการ โดย คสช. ในเรื่องของการอำนวยความสะดวกให้ ทุกฝ่าย ทุกกลุ่ม ได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น และให้ความรู้ ถกแถลงกันและยังไม่มีข้อสรุปใด ๆ
 
ระยะที่ 2 เมื่อมีรัฐบาลแล้วมีการจัดตั้งสภาปฏิรูป วิธีการคือการรับสมัครบุคคลทุกกลุ่มทุกฝ่าย ทั้งกลุ่มที่มีส่วนได้ส่วนเสีย การเมือง คู่ขัดแย้ง นักวิชาการ การศึกษา พลังงาน เศรษฐกิจ สังคม สมาคมต่าง ๆ ตลอดจนผู้แทนแต่ละจังหวัด ซึ่งจะต้องมีครบทุกกลุ่ม เราจะได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว
 
เรื่องระบบราชการ เรียนว่าที่ผ่านมาเกิดความเสียหายอย่างมาก ในระบบราชการไทย ผมไม่อยากให้สังคมตำหนิ เจ้าหน้าที่ หรือข้าราชการระดับผู้ปฏิบัติมากนัก ผู้รับผิดชอบควรจะเป็นฝ่ายบริหาร หรือหัวหน้าหน่วยงานระดับกระทรวงกรม หรือองค์กรระดับสูง ซึ่งอาจจะไม่ได้กำกับดูแลให้เป็นไปตามระบบ ระเบียบ ข้อบังคับของหน่วยงาน
 
วันนี้ คสช. เข้าไปตรวจสอบแล้ว ใครจะผิด จะถูกอย่างไร ก็คงต้องพิสูจน์กันต่อไปอีกครั้งหนึ่ง แต่ที่ผ่านมา อาจจะติดขัดด้วยระเบียบวินัยของข้าราชการ ซึ่งจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ที่ผมกล่าวไป เราจะต้องพยามยามไม่ให้เกิดขึ้นอีก จะต้องมีการปฏิรูปทุกระบบ ใครจะผิด จะถูก ก็ว่าไปตามกระบวนการของกฎหมาย สำหรับผมเอง ผมต้องรับผิดชอบในฐานะเป็นหัวหน้าหน่วยงาน ในส่วนของผู้บัญชาการทหารบก กองทัพบก และปัจจุบันก็ คสช. ด้วย
 
วันนี้ถึงแม้ว่าผมจะมอบหมายงานต่าง ๆ กระจายอำนาจไปบ้างแล้วก็ตาม แต่ผมไม่สามารถจะปัดความรับผิดชอบอะไรได้ ก็ต้องทำงาน กำกับดูแล ให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง ถ้าเราปฏิบัติงานตามระเบียบปฏิบัติประจำ (รปจ.) อย่างเดียว ก็ไม่ก้าวหน้า งานก็ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นเราต้องดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดีที่สุด รวมความถึงในเรื่องของการให้รางวัลคนดี ทำโทษคนไม่ดี ใช้พระเดช พระคุณ ควบคู่กันไป หลักการของผมคือ นายต้องดูแลลูกน้อง ลูกน้องไม่จำเป็นต้องมาดูแลนาย
 
ระบบการบริหารราชการ ระหว่าง ฝ่ายการเมือง กับ ข้าราชการ จำเป็นต้องมีการปรับปรุง ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้าง บุคลากร คุณภาพ ความซื่อสัตย์ รวมไปถึงรูปแบบการปฏิบัติงาน หน้าที่ พันธกิจ ความริเริ่ม การมุ่งไปสู่ผลสัมฤทธิ์ การประเมินคุณภาพ ฯลฯ ต้องยอมรับกันว่า คนดีนั้น ย่อมมีมากกว่าคนที่ไม่ดี เราต้องใช้คนดีในการทำงาน หากทำไม่ได้ ก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไป จนกว่าจะได้คนดี ซื่อสัตย์ สุจริต จริง ๆ
 
การปรับย้ายข้าราชการในปัจจุบัน ระดับ 10 – 11 จำเป็นต้องใช้อำนาจ คสช. เนื่องจากปัจจุบันไม่มี ครม. ทั้งนี้เป็นการปรับย้ายเพื่อความเหมาะสม ฉะนั้นเรื่องการปรับย้ายในระดับที่ต่ำกว่า จะเป็นหน้าที่ของปลัดกระทรวง และหัวหน้าหน่วยงานเป็นการภายในที่ต้องรับผิดชอบ
 
คสช. ไม่ได้มุ่งหวังจะสืบทอดอำนาจ หรือเปลี่ยนกลุ่มผลประโยชน์แต่ประการใด คสช. พยายามแก้ไขเรื่อง ผลประโยชน์ทับซ้อน การทุจริต คอร์รัปชั่น ซึ่งก็เป็นการยากที่จะคัดสรรคนที่ไม่เคยเกี่ยวข้องกับสมัยใด/ยุคใด เข้ามาบริหารราชการได้เลย เพราะเป็นการปฏิบัติงานตามระเบียบปฏิบัติประจำ (รปจ.) ตามข้อบังคับของทุกหน่วยงาน ถ้าเราตั้งใหม่ไปแล้วทำงานไม่ดีก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาในปัจจุบัน
 
การปฏิบัติงานของทุกหน่วยงานจะต้องมีความสัมพันธ์ทางการบังคับบัญชา ซึ่งการปกครองหรือบังคับบัญชาคนนั้นจะเกี่ยวข้องกัน 3 ส่วนคือ ผู้บังคับบัญชา ผู้ร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา และผลสัมฤทธิ์จะไปตกอยู่ที่ประชาชนเป็นผู้ได้รับประโยชน์ ดังนั้นถ้าระบบดีแล้ว อะไรก็จะดี องค์กรที่ดีจะต้องมี “ความริเริ่ม รวดเร็ว รอบคอบ มีคุณธรรม และจริยธรรม ทั้งบุคลากร และองค์กรทุกองค์กร ”
 
ขอยืนยันว่า คสช. จะพยายามสร้างระบบ สร้างข้าราชการ สร้างคนให้แข็งแรง เป็นข้าราชการที่ดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ให้ได้ หรือเป็นข้าราชการที่ดีของแผ่นดิน
 
การพัฒนาบุคลากร/ การเตรียมพร้อม สู่อนาคตของประเทศไทย หลักการของผมคือ รัฐต้องดูแลคนทุกวัย ทั้ง เด็ก เยาวชน วัยรุ่น ผู้ใหญ่ คนชรา อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง จะต้องมีการวางแผน เตรียมความพร้อม สร้างความคิดที่เป็นระบบ มีเหตุมีผล นึกถึงประเทศชาติก่อน สร้างจิตสำนึก อุดมการณ์ ความรักชาติ เยาวชน นักศึกษา จะต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยที่งดงาม เพื่อจะร่วมกันสร้างอนาคต เราสามารถจะสร้างอนาคตของประเทศได้ โดยไม่ต้องทำลายอดีตอันงดงามของเราทั้งสิ้น เพื่อให้เป็นไปตามการเจริญเติบโตของยุคสมัยในปัจจุบัน ซึ่งในอดีตเรามีความงดงามมากมาย ไม่จำเป็นต้องทำลาย
 
ผมได้รับรายงานว่า สถานีวิทยุชุมชนบางแห่งไม่เปิดเพลงเคารพธงชาติ หรือเพลงสรรเสริญ พระบารมี ผมได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตาม ตรวจสอบแล้ว ขอร้องว่าอย่าให้มีการกระทำผิดดังกล่าว เพราะอาจจะต้องถูกระงับการออกอากาศ เพราะถือว่าไม่เคารพกฎกติกาของสังคมในปัจจุบัน
 
การศึกษา หาความรู้นั้น ก็จะได้มาจากหลายทางด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนการสอนในสถานศึกษา หรือเรียนด้วยตนเอง และการไขว่คว้าหาความรู้จากภายนอก ผมมีแนวความคิดว่า ทั้งผู้ปกครอง ครู เด็ก จะต้องมีส่วนสัมพันธ์กัน การสอนในห้องเรียน ขอให้เป็นหลักมากกว่าการสอนพิเศษ ลดค่าใช้จ่ายของเด็กและผู้ปกครองลง เพราะทำให้เกิดความเดือดร้อน โรงเรียนมีค่าใช้จ่ายในการเรียนสูง อุปกรณ์ราคาแพง และมีการเรียนพิเศษเพิ่มเติม ทำให้เด็กเป็นภาระในการเรียน 2 ช่วงเวลา ซึ่งทำให้เกิดปัญหาในระบบการศึกษาของไทยเป็นอย่างยิ่ง ผมได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการปรับแก้ทั้งระบบ ฉะนั้นเราต้องสร้างความผูกพันกันให้ได้ระหว่างครู – ผู้ปกครอง และเด็กนักเรียน จะต้องมีความหวังดีต่อกัน ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ต้องปรับตัวเข้าหากัน ผู้ใหญ่ก็ต้องเปิดโลกทรรศน์ตัวเองให้กว้างขึ้น หาเวลาให้ได้ในการดูทีวี อ่านหนังสือ ติดตามข่าวสารทั้งในและต่างประเทศ ไม่เช่นนั้นเราจะไม่รู้ว่าคนอื่นไปถึงไหนกันแล้ว ก็จะลืมคนอื่น ลืมประเทศชาติ มองถึงแต่ตนเอง คิดเองก็คิดไม่ได้
 
บางครั้งการเอาแบบอย่างต่างประเทศ เช่น ในทีวี หนังสือนิตยสาร ฯลฯ ถือว่าเป็นการลดเวลาของเราที่ไม่ต้องคิดมาก เพียงแต่นำมาประยุกต์ใช้ว่า จะทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์กับบ้านเมืองของเราได้ ข้อสำคัญคือทุกคนต้องคิดให้พ้นตัวเองก่อน แบ่ง/เฉลี่ยตามความเหมาะสม ตามขีดความสามารถของตนเอง คือสถานะของตัวเอง และสิ่งที่ตัวเองจะต้องมีต่อสังคมภายนอกด้วย ผู้ที่มีโอกาสคือคนที่มีฐานะ ต้องคิดให้มาก จะได้ช่วยเหลือประเทศชาติได้อย่างแท้จริง ส่วนคนมีรายได้น้อย โอกาสน้อย ก็ต้องเริ่มคิด เริ่มมีส่วนในสังคม จะเป็นผู้รับอย่างเดียวไปตลอดไม่ได้ ท่านต้องพร้อมที่จะเป็นผู้ให้และผู้รับให้ได้ในอนาคต
 
การศึกษา ได้มุ่งเน้นให้มีการนำเทคโนโลยีในเรื่องการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม และอินเทอร์เน็ต ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ริเริ่มไว้แล้ว เพื่อกระจายไปยังสถานศึกษาให้มีคุณภาพมากขึ้นในพื้นที่ชนบท พื้นที่ห่างไกล โดยให้มีการปรับปรุงครู และบุคลากรทางการศึกษาให้ได้มาตรฐานเท่าเทียมกันทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
 
การปรับปรุงการบริหารงานของรัฐวิสาหกิจ วันนี้ทราบดีว่า สังคมให้ความสนใจ การปรับเปลี่ยนรายชื่อคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ขอเวลาให้รัฐวิสาหกิจได้ทำงานสักระยะหนึ่ง หากทำงานไม่ดีก็ปรับเปลี่ยนใหม่ได้ ในวันนี้จะหาใครที่ไม่เคยทำงานให้กับใครเลยค่อนข้างยาก หากนำผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ ก็จะทำให้เกิดความเสียหาย สิ่งสำคัญคือ เราต้องควบคุมให้ได้ ให้อยู่ในกฎเกณฑ์ ไม่แสวงหาผลประโยชน์ ไม่สร้างความร่ำรวยแก่ตนเองและพวกพ้อง ประชาชนเดือดร้อน และไม่ได้ประโยชน์อะไรเท่าที่ควร คสช. พยายามปรับปรุงให้คนไม่ดีที่มีอยู่น้อย กลับตัวกลับใจเป็นคนดีของสังคมให้ได้ เราคงไม่สามารถจะปรับคนทุกคนออกไป ทั้งคนที่เราไม่พอใจ ไม่ชอบ ได้ทั้งหมด
 
การจัดตั้ง Super Board วัตถุประสงค์ เพื่อกำหนดนโยบาย และมีมาตรการควบคุมการบริหารงานของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น มิได้มุ่งหวังจะไปทำให้การประกอบธุรกิจ เกิดความเสียหายหรือการรวบผลประโยชน์อะไรต่าง ๆ มาสู่ คสช. เราต้องการให้มีมาตรการควบคุม ในเรื่องของความโปร่งใส และความเหมาะสมของผลประโยชน์ที่เกิดแก่ประชาชน ประเทศชาติ ในระยะต่อไปจะต้องปรับปรุงจัดระบบสัดส่วนผลประโยชน์ที่เกิดกับรัฐ กับผู้ถือหุ้น และประชาชน ให้ชัดเจนมากกว่าเดิม
 
ในเรื่องของการปรับโครงสร้างพลังงานของไทยนั้น วันนี้ยังมีความซับซ้อนมากพอสมควร ก็ยังอยู่ในขั้นตอนของการหารือ และการหามาตรการหรือข้อตกลงที่จะต้องดำเนินการต่อไป วันนี้ประชาชนเดือดร้อน อย่างไรก็ตาม ต้องฟังความเห็นจากทุกฝ่าย และปรับเข้าหากัน มีหลักการ เหตุผล จากข้อมูลที่ถูกต้องตรงกันก่อน เพื่อให้การดำเนินการเป็นที่ยอมรับ ถูกต้องเหมาะสม ประเทศชาติและประชาชนได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง วันนี้ คสช. กำลังพิจารณาในเรื่องราคาของพลังงาน เพื่อใช้เป็นการชั่วคราว ก่อนมีการปรับปรุงโครงสร้างทั้งระบบในระยะต่อไป
 
การแก้ปัญหาทุจริต คอร์รัปชั่น ปัจจุบันนั้น กระบวนการตรวจสอบเรื่องการทุจริต คอร์รัปชั่น โดย คสช. ได้ดำเนินการไปได้ประมาณ 1 เดือนแล้ว หากพบว่ามีแผนงาน/โครงการ ของหน่วยงานใดมีความผิดปกติ หรือมีมูลก็จะรีบนำเข้าสู่กระบวนการต่อไปโดยทันที ปัจจุบันเราได้พิจารณาคัดสรรคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน เพื่อดำเนินการต่อไปในการตรวจสอบโครงการทุกโครงการที่มีปัญหา
 
เรื่องโครงการรับจำนำข้าว ที่ผ่านมาได้เริ่มมีการตรวจสอบมาบ้างแล้ว มีบางส่วนที่พบว่า มีข้าวหายไป 8 ถึง 9 หมื่นกระสอบ มูลค่า ประมาณ 60 - 70 ล้าน วันนี้จะต้องเร่งตรวจสอบให้ได้โดยเร็ว โดยชุดตรวจสอบที่ คสช. ได้จัดตั้งไว้ประมาณ 100 กว่าชุด จะเข้าตรวจสอบทุกพื้นที่ทั่วประเทศ รวมทั้งมีการตรวจสอบบัญชีย้อนหลังก่อน วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ว่ามีความถูกต้องเพียงใด ดำเนินการคู่ขนานไปด้วย ส่วนการแก้ปัญหาทั้งระบบนั้น จะไปดำเนินการในระยะที่ 2 ให้เกิดผลอย่างยั่งยืน
 
ความคืบหน้าเรื่องอาวุธสงคราม เจ้าหน้าที่ตำรวจ/ทหาร ยังคงปฏิบัติงานต่อเนื่อง มีการจับกุมได้อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน จากการสอบสวนพบว่า มีความเชื่อมโยง มีบุคคลที่เกี่ยวข้องมากมายจากอดีตถึงปัจจุบัน รวมทั้งกรณีโมเดลในจังหวัดต่าง ๆ ตามที่เป็นข่าว และในพื้นที่อื่น ๆ อีกด้วย อาจจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ หรือพูดคุยในโซเชียลมีเดียว่า เจ้าหน้าที่หมุนเวียนอาวุธมาสร้างภาพการจับกุมหรือไม่ ขอเรียนว่าเป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างได้มาจากการสืบสวน สอบสวน และยังมีเป็นจำนวนมาก ข้อมูลดังกล่าวมาจากผู้ที่ถูกจับกุมทั้งสิ้น ได้มีการสืบสวน ค้นหา และได้ตรวจพบตลอดในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ขอให้มั่นใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เร็ว ๆ นี้ ก็จะมีการออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวขึ้นเพิ่มเติมอีก แล้วจะสรุปให้ทราบเป็นระยะ ๆ ทั้งจำนวน ผู้ต้องหา อาวุธสงครามที่พบ ตลอดจนขบวนการที่เกี่ยวข้อง วันนี้ต้องรอเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน กำลังดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม และจะนำข้อมูลที่ได้มาให้ทุกท่านได้ทราบต่อไป
 
เทศกาลถือศีลอดของชาวไทยมุสลิม ขออำนวยพรให้พี่น้องชาวมุสลิมทุกคนที่ถือศีลอด ตามแนวทางของศาสนาอิสลาม และประสบผลสำเร็จตามที่ทุกท่านมุ่งหวังไว้ ขอให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และอื่น ๆ ช่วยกันทำให้พื้นที่ภาคใต้ของเรานั้นกลับคืนสู่ความสงบสุขโดยเร็วอย่างยั่งยืน คสช. มีนโยบายสนับสนุนชาวมุสลิมทั่วประเทศในการปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม
 
ปัจจุบันในส่วนของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น คสช. ได้ผ่อนผันให้สถานีวิทยุชุมชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้บางแห่งออกอากาศเป็นการชั่วคราว เพื่ออธิบายวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องของชาวไทยมุสลิมและเผยแพร่ข่าวสารในเทศกาลถือศีลอดนี้ ในห้วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้ ในนามของรัฐบาลก็จะจัดงานเลี้ยงตามประเพณี โดย คสช. จะเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว
 
การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ปัจจุบัน คสช. ได้ปรับโครงสร้างการทำงาน ขอเรียนให้ทราบอีกครั้ง เพื่อต้องการให้เกิดเอกภาพและมีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะมีอยู่ 3 ระดับด้วยกัน ดังนี้
 
ระดับนโยบาย : หัวหน้า คสช. ปฏิบัติหน้าที่ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด มีสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ให้คำปรึกษาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนโยบายปัจจุบัน และการจัดทำนโยบายในห้วงต่อไป
 
ระดับแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติ : ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) เพื่อบูรณาการหน่วยงาน ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกลไกการบริหารจัดการที่มีอยู่เดิม ได้แก่ กพต., กปต., กอ.รมน., ศอ.บต. โดยมี รอง ผบ.ทบ. เป็นประธาน เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นเลขาธิการ เลขาธิการรักษาความมั่นคงภายใน และเลขาธิการ ศอ.บต. เป็นผู้ช่วยเลขาฯ โดยจะทำหน้าที่บูรณาการแผนงานโครงการของทุกหน่วยงาน ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับมิติด้านความมั่นคงและการพัฒนา รวมทั้งบูรณาการการดำเนินงานของทุกส่วนราชการให้สอดคล้องกันอย่างต่อเนื่อง
 
ระดับ 3 ปฏิบัติการในพื้นที่ : กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน). เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการนำนโยบายต่าง ๆ นั้น ไปสู่การปฏิบัติ สำหรับเป็นการขับเคลื่อนงานของทุกส่วนราชการ ในภาพรวมเพื่อให้เกิดการบูรณาการ และเกิดความสอดคล้องของแผนงานโครงการ รวมทั้งสถานการณ์และความต้องการของประชาชน โดยอำนวยการ กำกับดูแล การปฏิบัติงานของจังหวัด กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (กอ.รมน.จว.), กองกำลังตำรวจ (กกล. ตำรวจ), กองกำลังทหาร (กกล. ทหาร) ส่วนราชการของกระทรวงต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ทั้งหมด
 
การจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนวันนั้น เพียงแต่เพื่อให้การบูรณาการแผนงานและงบประมาณของทั้ง 3 ส่วน คือ กระทรวง ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในทุกหน่วยงาน ยังคงมีอิสระในการทำงานเป็นปกติ ยกเว้นในเรื่องของนโยบายเท่านั้น ซึ่ง คสช. ต้องการให้ใช้นโยบายการเมืองนำการทหาร เอาความต้องการของประชาชนเป็นที่ตั้ง งบประมาณทุกงบประมาณจะต้องลงถึงประชาชนอย่างแท้จริง
 
เรื่องการพูดคุยสันติภาพนั้น คสช. ยังคงดำเนินการอยู่โดยจะต้องอยู่ภายใต้หลักรัฐธรรมนูญ และกฎหมายไทย โดยได้นำบทเรียนจากต่างประเทศมาใช้ มีการประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์ของเรา และยังคงต้องให้ประเทศมาเลเซีย ช่วยเป็นผู้อำนวยความสะดวก พร้อมทั้งดำเนินการให้มีการพูดคุยบุคคลระดับสูง ขอยืนยันว่าจะปรับปรุงและแก้ไขทุกอย่างให้ดีขึ้น โดยอาศัยความเห็นชอบความร่วมกันของทุกพวกทุกฝ่าย
 
วันนี้ทางประเทศมาเลเซีย เขาใช้หลักการการแก้ไขปัญหาที่ว่า “ Win Heart and Mind ” แต่สำหรับประเทศไทย เราคงยึดถือยุทธศาสตร์พระราชทาน “ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และจะดำเนินการโดยให้เกียรติซึ่งกันและกัน และดำเนินการทุกอย่างภายใต้กฎหมายไทย
 
ขอสรุปงานสำคัญที่ คสช.กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน คงเป็นการอนุมัติแผนงานโครงการ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณปี 57 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ประเทศชาติ ประชาชน ได้รับประโยชน์ แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นลำดับแรก ส่วนการติดตามดำเนินคดี ขบวนการใช้อาวุธสงคราม การบุกรุกป่า ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ซึ่งทุกคดียังคงดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง
 
งานต่อไปคือการเตรียมการเข้าสู่ระยะที่ 2 เมื่อมีรัฐบาล ได้แก่ การปฏิรูปด้านต่าง ๆ พลังงาน การศึกษา ระบบราชการ กฎหมาย การแก้ปัญหาทุจริต คอร์รัปชั่น โครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ ฯลฯ
 
วันนี้ได้มีการตรวจสอบร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราว รายละเอียดในการตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ การตั้งรัฐบาล และการตั้งสภาปฏิรูป ประมาณเดือนกันยายน จะเริ่มเข้าสู่ระยะที่ 2 ตาม Road Map ของ คสช. คือ การทูลเกล้าฯ ถวายรัฐธรรมนูญชั่วคราวและตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติ
 
เรื่องอื่น ๆ เป็นเรื่องที่พี่น้องข้าราชการมีความกังวลคือ เรื่องกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) วันนี้ ต้องใช้เวลา คสช. จะทำเป็นคำสั่งนโยบายให้ดำเนินการเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นำเข้าพิจารณาในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นลำดับต้น ๆ ในวาระที่สมควรต่อไป
 
เรื่อง การหมดวาระในส่วนท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เทศบาล สภากรุงเทพมหานคร (สภา กทม.) กำลังพิจารณาหาแนวทางวิธีการสรรหาที่เหมาะสม โดยอาจจัดตั้งคณะกรรมการคัดสรรทดแทน ทั้งสภา กทม. และท้องถิ่น ในระยะต่อไป
 
เรื่องของการใช้ภาคประชาชน สร้างความปรองดอง ระดับชุมชน เราจะใช้มวลชนที่จัดตั้งไว้แล้ว มาร่วมด้วย เช่น อาสาสมัครสาธารสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.), อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.), ครูอาสา และอื่น ๆ นั้น โดยให้ ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้แทนกระทรวงต่าง ๆ ในแต่ละจังหวัด สร้างโครงข่ายภาคประชาชน ระดับ อำเภอ ตำบล สนธิเข้ากับโครงข่ายงานสร้างความปรองดอง ที่ คสช. จัดตั้งไว้ และอาจมีองค์กรพัฒนาภาคเอกชน ที่มีความเข้มแข็งสนับสนุนได้อีกองค์กรหนึ่ง
 
เรื่องการสร้างความเข้าใจกับต่างประเทศ คสช. กำลังจัดคณะผู้แทนของ คสช. ทั้งภาคธุรกิจ เอกชน ประชาชน เดินทางไปทำความเข้าใจกับต่างประเทศอีกทางหนึ่ง นอกเหนือจากส่วนราชการ ซึ่งกำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง วันนี้เราจะเริ่มในภูมิภาคเอเชียก่อน
 
ขอให้ประชาชนทุกท่าน ได้ติดตามการแถลงข่าวประจำวัน ของ คสช. ทางสื่อ โทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ เว็บไซต์ ฯลฯ รายการเดินหน้าประเทศไทยทุกเย็น ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยที่ปฏิบัติงานนั้น มาชี้แจงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรายการคืนความสุขให้คนในชาติ พบกับผมทุกวันศุกร์ด้วย ขอให้ทุกคนได้ให้ความสนใจสารคดีชุดความรู้ต่าง ๆ ของต่างประเทศและของไทย บางอย่าง บางคนยังไม่รู้จักประเทศไทยดีเท่าที่ควร ในขณะที่ยังไม่เคยไปเที่ยว ฉะนั้น ถ้าเราศึกษาเรียนรู้ในประเทศ นอกประเทศเราจะได้ช่วยกันนำมาประยุกต์และปรับปรุงประเทศไทยให้น่าอยู่ ชาวต่างชาติก็อยากจะมาท่องเที่ยวมากขึ้น รวมทั้งปรับวิสัยทัศน์คนไทยทุกพวกทุกวัยให้ทันสมัยมีความก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
 
สำหรับเรื่องการแก้ไขปัญหาการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา ขณะนี้เป็นเพียงการขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการเดิม อีกส่วนหนึ่งเราพยายามจะจัดลอตเตอรี่ที่ไม่ได้อยู่ในระบบสัญญาเดิม เพื่อจะเพิ่มโควต้าให้มากขึ้น ฉะนั้น วันนี้ขอให้เข้าใจว่า วันนี้มี 2 ส่วน ส่วน 1 คือจะขายในราคา 80 บาทในจุดที่กำหนดที่เหลือนั้น คงต้องอยู่ในกลไกของตลาดเดิมไปก่อนและขอว่าไม่ให้เกิน 90 บาท เนื่องจากหลายอย่างได้ติดอยู่ในสัญญาเดิม หลายอย่างจะต้องหมดสัญญาในเร็ววันนี้ และเราคงไม่ต่อสัญญาเหล่านั้นอีก จะต้องหาวิธีหรือมาตรการว่า ทำอย่างไรให้ประชาชนหรือพี่น้องที่ทำมาหากินด้วยการขายลอตเตอรี่จะไม่เดือดร้อน ผมเข้าใจ ผมฟังข่าวจากทีวีทุกวันซึ่งเห็นใจจริง ๆ เราพยายามจะแก้ไขปัญหาให้ได้เร็วที่สุด ขอรับรองว่า คสช. จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์จากกองสลากกินแบ่งรัฐบาล แม้แต่บาทเดียว ผมขอยืนยัน ฉะนั้นการอ้างคำสั่งใด ๆ ก็ตาม ของ คสช. ให้ดำเนินการ ขอให้ตรวจสอบเล็กน้อย
 
วันนี้หลายอย่างได้อ้างคำสั่งมาจากผมบ้างหรือมาจากคนโน้นคนนี้บ้าง หลายอย่างผมประกาศไปแล้วว่าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องเหล่านี้ ฉะนั้นขอให้ได้มีการสอบถามมาอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าใครจะไปอ้างอะไรก็ตาม เราไม่ต้องการไปสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอีกต่อไป เราถูกทำร้ายกันมานานแล้ว โดยสังคม อะไรก็ตาม วันนี้เราจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนแต่จะยั่งยืนมากน้อยเพียงใดต้องขึ้นอยู่กับในการแก้ไขปัญหาในระยะที่ 2 ของเรา ถ้าทุกคนร่วมมือทั้งข้าราชการ เอกชน ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนสร้างปัญหาก็จะไม่เกิดปัญหา
 
ฉะนั้น ขอให้ผู้ที่กำลังทำความผิดหรือผู้ที่หยุดไปแล้ว ขอร้องว่าอย่าทำผิดต่อไปเลย และขอให้ประชาชนช่วยกันเฝ้าระวังพร้อมทั้งแจ้งให้ คสช. ทราบทุกเรื่อง เราจะได้นำเรื่องราวมาดำเนินการช้าบ้าง เร็วบ้าง ซึ่งขึ้นอยู่ที่ความหนักเบาของปัญหานั้น ๆ
 
วันนี้สิ่งที่เราเป็นห่วงมากที่สุดคือ การกระทำผิดกฎหมาย การทุจริต การไม่เคารพกฎหมาย ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐ ประชาชน ผู้มีอิทธิพล ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก วันนี้ได้คลี่คลายไปตามลำดับ เราจำเป็นต้องแก้ไขพฤติกรรมคนไทยเหล่านั้น ให้ได้โดยเร็ว โดยการช่วยกันสอดส่องดูแล ตักเตือน ทั้งนี้ ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย กฎกติกาของสังคม ให้ความเป็นธรรมในการชี้แจง บางครั้งเราไปลงความเห็นว่า คนนั้นผิด คนนี้ถูก โดยที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการยุติธรรม ซึ่งทำให้ศาล องค์กรอิสระ หน่วยงานกระบวนการยุติธรรม ไม่ได้รับการเชื่อถือและยอมรับในการตัดสินคดี ยิ่งจะเป็นความร้ายแรงที่หนักหนาสาหัสกว่าเดิม
 
ส่วนกรณีที่ต่างประเทศ ได้แสดงความห่วงใยต่อการรัฐประหารในไทยนั้น ผมขออธิบายเพิ่มเติมดังนี้
 
- คสช. ดำเนินการครั้งนี้ เพื่อยุติความรุนแรง และแยกคู่ขัดแย้งออกจากกัน เนื่องจากสถานการณ์มีแนวโน้มมุ่งสู่การจลาจล การใช้อาวุธสงครามทำร้ายซึ่งกันและกัน รวมไปถึงเรื่องเศรษฐกิจต่าง ๆ ได้หยุดชะงัก ซึ่งหลังจาก 22 พฤษภาคม 2557 เราได้ตรวจยึดอาวุธสงครามได้มากมาย รวมทั้งพิสูจน์ทราบเครือข่ายขบวนการได้อย่างต่อเนื่อง
 
- ในเรื่องของการเรียกรายงานตัวบุคคล เป็นการเชิญคู่ขัดแย้งและบุคคลที่ความขัดแย้งเข้ามาพบปะพูดคุย ไม่ได้เรียกมาเพื่อกักขังหน่วงเหนี่ยวหรือทำตามอำนาจความอำเภอใจ
 
- คสช.ได้ขอความร่วมมือสื่อมวลชน ได้กรุณาเข้าใจ ถ้าวันนี้เราไม่นำมาพูดคุยกันเรื่องราวอาจจะนำไปสู่ความรุนแรงต่อไป วันนี้จึงมีความจำเป็นต้องเรียกมาบ้าง เชิญมาบ้าง หรือเรียกมาบ้างซึ่งขึ้นอยู่ที่กรณีความหนักเบาของปัญหา ไม่ต้องการให้ไปใช้เชิงปลุกปั่น หรือสร้างข้อมูลเป็นเท็จ เพื่อสร้างความเกลียดชังและความแตกแยกของคนในชาติอีกต่อไป ดังนั้น วันนี้ที่เราพูดคุยกับสื่อมาตามลำดับ จะเห็นได้ว่า เราเห็นใจท่าน และท่านต้องเห็นใจเราด้วย ซึ่งเราไม่ได้ไปละเมิดแทรกแซง หรือละเมิดสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนแต่อย่างใด
 
- คสช. ส่งเสริมให้กระบวนการยุติธรรมทำหน้าที่ในการยุติความขัดแย้งตามระบบกฎหมายอย่างถูกต้อง เป็นกลาง และไม่บิดเบือนหลักการแห่งกฎหมาย โดย คสช. มีนโยบาย ไม่แทรกแซงในผลแห่งคดีเพื่อช่วยเหลือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะเชื่อว่าจะก่อให้เกิดความขัดแย้งต่อไปในอนาคต
 
- คสช. และประชาชนชาวไทยทุกคน ยึดมั่น และศรัทธา ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่ง คสช.เข้าใจดีว่า การทำรัฐประหารนั้น โดยรูปแบบนั้นเหมือนเป็น อันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย และเป็นภัยต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามความเข้าใจของโลกตะวันตก แต่วันนี้เราทำ เป็นการกระทำที่จำเป็นหรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ และเพื่อส่งเสริมระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยให้เจริญงอกงามต่อไป
 
เรื่องการต่างประเทศ มีการชี้แจงทำความเข้าใจต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อ 1 กรกฎาคม 2557ที่ผ่านมา ท่านปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ได้เดินทางไปพบท่านนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ซึ่งท่านได้เข้าใจสถานการณ์ของไทยและร่วมมือแก้ปัญหาแรงงานกับไทย รวมทั้งได้ปล่อยตัวคุณ วีระ สมความคิด กลับมาด้วย ซึ่งขอแสดงความยินดีด้วย และผมในนาม คสช. ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี ฮุนเซน และ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมทั้งสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อองค์พระมหากษัตริย์กัมพูชาด้วย ตลอดจน ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้ดำเนินการทุกอย่างให้เป็นที่เรียบร้อย
 
เรื่องแรงงานต่างด้าว ปัจจุบันแรงงานชาวกัมพูชา ทยอยเดินทางกลับเข้ามาทำงานอย่างต่อเนื่อง เรารับว่าจะดูแลแรงงานต่างด้าวให้ดีที่สุด แต่ต้องขอจดทะเบียนให้ถูกต้องกฎหมายทุกคน ปัจจุบันเปิดศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว ที่จังหวัดสมุทรสาคร ได้ลดขั้นตอนการดำเนินการ ค่าใช้จ่ายลงบางส่วน สัปดาห์หน้าจะมีการพิจารณาเปิดศูนย์ One Stop Service เพิ่มเติมอีก และจะให้มีการจดทะเบียนต่างด้าวที่ทำงานบนเรือประมงด้วย ขอความร่วมมือเจ้าของเรือประมง ผู้ประกอบการทุกคนด้วย
 
วันนี้ผมได้พูดมาหลายเรื่องและถ้าเราไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ถ้าคนไทย ทั้งท่านและผมไม่เข้าใจกันแล้ว เราจะให้ใครมาเข้าใจเรา ต่างประเทศจะยิ่งไม่เข้าใจ ฉะนั้นวันนี้ต้องมาเข้าใจกันก่อนถึงจะให้คนอื่นเขาเชื่อมั่นเรา ทำให้ต่างชาติเขาเชื่อมั่นเรา และให้เวลาเราในการแก้ไขปัญหา
 
ขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้งครับ ขอให้มีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์ครับ ขอให้มีความสุขและปลอดภัยในการเดินทาง ขอบพระคุณครับ สวัสดีครับ