วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ข่าวล่าสุด บก.ลายจุด



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.50 น. วานนี้ เจ้าหน้าที่ทหารจากกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) นำตัวนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด แกนนอนกลุ่มวันอาทิตย์ สีแดง มายังหอประชุมกองทัพบก เทเวศร์ เพื่อรายงานตัวต่อคสช. และพูดคุยปรับความเข้าใจ พร้อมแจ้งให้พนักงานสอบสวนเข้าสอบปากคำและทำสำนวนฟ้อง โดยหลังสอบปากคำและทำความเข้าใจเสร็จ ทหารนำตัวนายนายสมบัติไปควบคุมต่อที่ค่ายทหารในพื้นที่ กทม. จนครบ 7 วัน ตามพ.ร.บ.กฎอัยการศึก จากนั้นถึงจะส่งตัวไปให้พนักงานสอบสวนนำตัวไปฝากขังที่ศาลทหารกรุงเทพต่อไป

พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการศึกษา ช่วยราชการกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดี นายสมบัติ บุญงามอนงค์ (บก.ลายจุด) ที่ถูกทหารควบคุมตัว ว่า จะต้องถูกดำเนินการฐานที่ไม่มารายงานตัวตามคำสั่ง คสช. และกฎหมายอาญา มาตรา 116 ยุยงให้คนมาชุมนุม ส่วนคดีอื่นๆ ที่ทหารไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ไม่มารายงานตัวนั้น จะมีการตั้งทีมมาตรวจสอบคดีนี้ โดยมอบหมายให้สถานีตำรวจนครบาลสามเสน รวบรวมคดีที่มีการแจ้งความตามสถานีตำรวจต่างๆ ซึ่งมีประมาณ 3-4 ราย โดยจะแยกกับส่วนที่มีการแจ้งความไว้ที่กองปราบปราม

ทั้งนี้ จะมีการสืบสวนทุกคดีไปพร้อมกัน หากแล้วเสร็จจะขออนุมัติศาลออกหมายจับในคราวเดียวกัน สำหรับผู้ขัดคำสั่งไม่มารายงานตัวนั้น จะต้องพิจารณาถึงเหตุผลความจำเป็นอีกครั้ง ว่าสมเหตุผลหรือไม่ ส่วนการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้าน คสช. เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตำรวจสามารถบันทึกภาพผู้แสดงสัญลักษณ์ชู 3 นิ้วต่อต้านได้ทั้งหมด 7 คน และชัดเจนพอ ที่จะขออนุมัติศาลออกหมายจับ ส่วนที่เริ่มพบการแสดงออกด้วยการนัดกินแซนวิช ประกอบการอ่านแถลงการณ์ คงต้องมีการพิจารณาอีกครั้งว่า มีเนื้อหาหรือมีลักษณะต่อต้าน คสช.เหมือนกันหรือไม่ สำหรับการโพสต์ข้อความเชิญชวนให้ต่อต้าน คสช.ถือว่ามีความผิดแน่นอน เพราะเป็นการชวนคนให้มาชุมนุม หรือการแสดงความชื่นชอบด้วยการกดไลค์ถือว่ามีความผิดเช่นกัน เพราะเป็นการกระจายข่าวโดยคอมพิวเตอร์ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้เขียนขึ้นเองตาม

ด้าน พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ที่ปรึกษากระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) กล่าวถึงการดำเนินคดี นายสมบัติ หรือ บก.ลายจุด ว่า ได้รับการประสานจากทางทหารจะส่งตัวนายสมบัติให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) สอบสวน เพื่อเตรียมดำเนินคดีเอาผิดในข้อหาที่เกี่ยวข้อง ฐานนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ ยุยงปลุกปั่นประชาชน ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (2)

นอกจากนี้ จะมีความผิดอื่นประกอบอีก 2 ข้อหา ฐานยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และฝ่าฝืนไม่ไปรายงานตัวตามคำสั่ง คสช. โดยยืนยันว่ามีข้อมูลหลักฐานการโพสต์ข้อความดังกล่าว รวมถึงสถานที่ และจุดที่ใช้โพสต์ข้อความ เมื่อสอบสวนเสร็จสิ้นจะส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่ศาลทหาร


รูปภาพ : ข่าว บก ล่าสุดคะ

>>>

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.50 น. วานนี้ เจ้าหน้าที่ทหารจากกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) นำตัวนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด แกนนอนกลุ่มวันอาทิตย์ สีแดง มายังหอประชุมกองทัพบก เทเวศร์ เพื่อรายงานตัวต่อคสช. และพูดคุยปรับความเข้าใจ พร้อมแจ้งให้พนักงานสอบสวนเข้าสอบปากคำและทำสำนวนฟ้อง โดยหลังสอบปากคำและทำความเข้าใจเสร็จ ทหารนำตัวนายนายสมบัติไปควบคุมต่อที่ค่ายทหารในพื้นที่ กทม. จนครบ 7 วัน ตามพ.ร.บ.กฎอัยการศึก จากนั้นถึงจะส่งตัวไปให้พนักงานสอบสวนนำตัวไปฝากขังที่ศาลทหารกรุงเทพต่อไป

พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการศึกษา ช่วยราชการกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดี นายสมบัติ บุญงามอนงค์ (บก.ลายจุด) ที่ถูกทหารควบคุมตัว ว่า จะต้องถูกดำเนินการฐานที่ไม่มารายงานตัวตามคำสั่ง คสช. และกฎหมายอาญา มาตรา 116 ยุยงให้คนมาชุมนุม ส่วนคดีอื่นๆ ที่ทหารไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ไม่มารายงานตัวนั้น จะมีการตั้งทีมมาตรวจสอบคดีนี้ โดยมอบหมายให้สถานีตำรวจนครบาลสามเสน รวบรวมคดีที่มีการแจ้งความตามสถานีตำรวจต่างๆ ซึ่งมีประมาณ 3-4 ราย โดยจะแยกกับส่วนที่มีการแจ้งความไว้ที่กองปราบปราม 

ทั้งนี้ จะมีการสืบสวนทุกคดีไปพร้อมกัน หากแล้วเสร็จจะขออนุมัติศาลออกหมายจับในคราวเดียวกัน สำหรับผู้ขัดคำสั่งไม่มารายงานตัวนั้น จะต้องพิจารณาถึงเหตุผลความจำเป็นอีกครั้ง ว่าสมเหตุผลหรือไม่ ส่วนการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้าน คสช. เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตำรวจสามารถบันทึกภาพผู้แสดงสัญลักษณ์ชู 3 นิ้วต่อต้านได้ทั้งหมด 7 คน และชัดเจนพอ ที่จะขออนุมัติศาลออกหมายจับ ส่วนที่เริ่มพบการแสดงออกด้วยการนัดกินแซนวิช ประกอบการอ่านแถลงการณ์ คงต้องมีการพิจารณาอีกครั้งว่า มีเนื้อหาหรือมีลักษณะต่อต้าน คสช.เหมือนกันหรือไม่ สำหรับการโพสต์ข้อความเชิญชวนให้ต่อต้าน คสช.ถือว่ามีความผิดแน่นอน เพราะเป็นการชวนคนให้มาชุมนุม หรือการแสดงความชื่นชอบด้วยการกดไลค์ถือว่ามีความผิดเช่นกัน เพราะเป็นการกระจายข่าวโดยคอมพิวเตอร์ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้เขียนขึ้นเองตาม

ด้าน พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ที่ปรึกษากระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) กล่าวถึงการดำเนินคดี นายสมบัติ หรือ บก.ลายจุด ว่า ได้รับการประสานจากทางทหารจะส่งตัวนายสมบัติให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) สอบสวน เพื่อเตรียมดำเนินคดีเอาผิดในข้อหาที่เกี่ยวข้อง ฐานนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ ยุยงปลุกปั่นประชาชน ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (2)

นอกจากนี้ จะมีความผิดอื่นประกอบอีก 2 ข้อหา ฐานยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และฝ่าฝืนไม่ไปรายงานตัวตามคำสั่ง คสช. โดยยืนยันว่ามีข้อมูลหลักฐานการโพสต์ข้อความดังกล่าว รวมถึงสถานที่ และจุดที่ใช้โพสต์ข้อความ เมื่อสอบสวนเสร็จสิ้นจะส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่ศาลทหาร


กทค.ปัดสั่งปิดเฟซบุ๊ก-เล็งตรวจการถือหุ้นต่างชาติ ดีแทคอาจหมดสิทธิประมูล 4G


กทค.ปัดสั่งปิดเฟซบุ๊ก จวกเทเลนอร์ไร้มารยาท เล็งตรวจสัดส่วนถือหุ้นของต่างชาติ ดีแทคอาจหมดสิทธิประมูล 4G

จากกรณีที่นายทอร์ ออดแลนด์ หัวหน้าฝ่ายสื่อสารของเทเลนอร์ เอเชีย บริษัทแม่ของ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ออกมาให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ค.2557 ที่ผ่านมา เทเลนอร์ได้รับคำสั่งจากรัฐบาลทหารให้ปิดกั้นการเข้าถึงเฟชบุ๊กในประเทศไทยเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับผู้ใช้งานเฟชบุ๊กราว 10 ล้านราย
พันเอกเศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ปฏิเสธว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยระบุว่า แถลงการณ์ดังกล่าวของดีแทค เป็นเรื่องที่ไม่สมควรและไม่เคารพในกฎกติกามารยาท ของการกำกับดูแลในช่วงเวลาสถานการณ์แบบนี้ ดังนั้น กทค.เห็นชัดว่า ควรจะทบทวนสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติ ซึ่งจะต้องไม่ควรถือหุ้นเกิน 49% ในกิจการโทรคมนาคม
พันเอกเศรษฐพงค์  กล่าวอีกว่าหลังจากนี้ กทค.จะต้องเข้มงวดและตรวจสอบการถือครองหุ้นของบริษัทดีแทคมากขึ้น และหากพบว่าสัดสัดการถือครองหุ้นของต่างชาติในดีแทค ชี้ชัดว่าควรแก่การสงสัยเรื่องการละเมิดกฎหมายการถือครองหุ้นของต่างชาติ กทค.อาจจะตัดสิทธิ์ไม่ให้ ดีแทคเข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ 4G บนย่านความถี่ 1800 MHz
"ขณะนี้ได้ตั้งกรรมการตรวจสอบการถือครองหุ้นในบริษัทดีแทค ในสัดส่วนของเทเลนอร์ แล้ว ซึ่งหากพบว่าเกินกว่ากฎหมายกำหนดก็จะดำเนินการตามกฎหมายทันที ไม่ใช่แค่ไม่มีสิทธิประมูลคลื่น 4 จี เท่านั้น" พันเอกเศรษฐพงค์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐรายงานเพิ่มเติมว่า จากกรณีที่ผู้ถือหุ้นดีแทคได้ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศว่า กทค.ได้สั่งปิดเฟซบุ๊กนั้น ทำให้กรรมการ กสทช.ไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงคาดว่าน่าจะเป็นมูลเหตุทำให้ กทค.เตรียมตอบโต้กลับด้วยการตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบการถือหุ้นของต่างชาติอย่างเข้มงวด โดยจะเริ่มตรวจสอบการถือหุ้นของดีแทคก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็จะตรวจสอบเอไอเอสและทรูเป็นรายต่อไป


ทำไมหลายประเทศถึงยังใช้เครื่องตรวจระเบิดปลอมจากฝีมือนักต้มตุ๋น



จากกรณีที่คนร้ายในปากีสถานสามารถฝ่าระบบรักษาความปลอดภัยเข้าไปในสนามบินจินนาห์ได้พร้อมอาวุธต่างๆ รวมถึงระเบิด สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาจากการใช้เครื่องตรวจวัตถุระเบิดปลอมจากนักต้มตุ๋น แม้ว่าจะมีการพิสูจน์ให้เห็นถึงการหลอกลวงนี้แล้ว แต่เหตุใดหน่วยงานหลายแห่งในโลกถึงยังยืนยันจะใช้ของเก๊

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ที่ผ่านมา ในเว็บบล็อกของ ลีโอ เบเนดิกตัส นักเขียนอิสระที่เขียนให้สำนักข่าวเดอะการ์เดียน ระบุว่า มีกองทัพหลายประเทศที่ยังคงใช้เครื่องตรวจระเบิดปลอม รวมถึงประเทศไทยด้วย
ลีโอ กล่าวถึงความล้มเหลวในการตรวจอาวุธและระเบิดของกลุ่มก่อการร้าย 10 คนที่สามารถฝ่าการรักษาความปลอดภัยเข้าไปในสนามบินจินนาห์พร้อมอาวุธปืน ระเบิด และเครื่องยิงจรวด เข้าไปก่อความวุ่นวายได้ ซึ่งความผิดพลาดส่วนหนึ่งมาจากการที่หน่วยงานรักษาความปลอดภัยของปากีสถานใช้เครื่องตรวจระเบิดของปลอมจากนักต้มตุ้นชาวอังกฤษที่ชื่อจิม แมคคอร์มิค
แมคคอร์มิค เป็นผู้ขายสิ่งที่อ้างว่าเป็นเครื่องมือตรวจระเบิดชื่อ ADE 651 และรุ่นอื่นๆ ที่มีดีไซน์ต่างกัน ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นแค่การเอาเสาสัญญาณวิทยุมาติดกับที่จับพลาสติก มีการอ้างว่าถ้าหาก "ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดี" นำมาใช้จะสามารถตรวจจับระเบิดได้เพียงแค่เหวี่ยงมันเข้าหาวัตถุที่ต้องการตรวจสอบ โดย "ผู้ที่ได้รับการฝึกฝน" ที่ว่านั้นต้องสามารถตรวจจับ "คลึ่นความถี่ในระดับโมเลกุล" ของระเบิดได้
ลีโอ ระบุว่าคุณสมบัติที่กล่าวอ้างทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องหลอกลวง และเกิดขึ้นเนื่องจากการเคลื่อนไหวในระดับจิตใต้สำนึกของผู้ใช้ทำให้รู้สึกว่าเครื่องมือทำงานได้ คล้ายกับปรากฏการณ์ใช้แท่งเหล็กหรืออุปกรณ์อื่นๆ ค้นหาแหล่งน้ำที่เรียกว่า 'ดาวซิ่ง' แต่พวกต้มตุ้นอย่างแมคคอมมิคหรือแกรี่ โบลตัน ก็ยังสามารถส่งออกเครื่องตรวจระเบิดเก๊นับพันพวกนี้ให้กับลูกค้าหลายรายทั่วโลกอย่างในอิรักและปากีสถาน นอกจากนี้ยังมีกรณีเครื่องตรวจระเบิดปลอมชื่อ GT200 ถูกนำมาใช้ในทางภาคใต้ของประเทศไทย
หน่วยงานความมั่นคงหลายแห่งกลับยังเชื่อมั่นในเครื่องมือปลอมเหล่านี้ซึ่งเป็นผลจากปรากฏการณ์ 'ดาวซิ่ง' ดังที่กล่าวไว้ ในปี 2553 หลังจากมีการเปิดโปงเรื่องการหลอกลวงของแมคคอร์มิคแล้วแต่หน่วยงานของสนามบินในปากีสถานก็ยังยืนยันว่าจะใช้เครื่องมือรูปแบบเดียวกันแต่มีดีไซน์ของพวกเขาเอง
อีกประเทศหนึ่งที่มีปัญหาด้านความมั่นคงอย่างอิรักก็เคยเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของแมคคอร์มิค และพวกเขาก็ยังคงใช้เครื่องมือพวกนี้อยู่แม้จะเคยมีการเตือนเรื่องการต้มตุ๋นก่อนหน้านี้แล้ว โดยที่สำนักข่าวนิวยอร์กไทม์ได้เข้าพบผู้บัญชาการหน่วยงานวัตถุระเบิดของอิรักเพื่อเสนอหลักฐานว่าเครื่องมือ ADE 651 เป็นของหลอกลวง แต่ผู้บัญชาการที่ชื่อ จีฮัด อัลจาบิรี ก็ยืนยันว่ามันใช้ได้จริง โดยอ้างว่า "ไม่ว่ามันจะเป็นวิทยาศาสตร์หรือเวทมนตร์ ผมสนใจแค่ว่ามันตรวจสอบระเบิดได้หรือไม่เท่านั้นเอง"
ต่อมาในปี 2554 อัลจาบีรีก็ถูกฟ้องร้องและถูกจับกุมข้อหารับสินบนจากแมคคอร์มิค และถึงกระนั้นก็ตามยังคงมีการใช้ ADE 651 ในอิรักอยู่จนถึงเมื่อเดือน ต.ค. 2556 อีกทั้งยังมีรายงานว่าในกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน มีการใช้เครื่องมือ ADE 651 อย่างแพร่หลาย
แต่ดูเหมือนความดื้อดึงและความเชื่อมั่นในของเก๊ยังคงมีอยู่ไม่เสื่อมคลายไม่ว่าจะมีหลักฐานพิสูจน์มากเพียงใดก็ตาม เช่นที่พนักงานสืบสวนสตีฟ แม็ปป์ ที่ทำการสืบสวนเรื่องการต้มตุ๋นของแมคคอร์มิคกล่าวว่าในประเทศเคนยาพวกเขารู้เรื่องการต้มตุ๋นแต่ยังคงยืนยันว่าเครื่องมือของแมคคอร์มิคใช้งานได้จริง

เรียบเรียงจาก
Why are countries still using the fake bomb detectors sold by a convicted British conman?, The Guardian, 09-06-2014
http://www.theguardian.com/world/shortcuts/2014/jun/09/fake-bomb-detectors-british-conman-pakistan-karachi-airport

ผลงาน คสช. จัดการ 300 คนหมิ่นเบื้องสูง ปิด 240 เว็บ 20 ช่อง สร้างความแตกแยก



ประมวลผลงานการดำเนินงานของ คสช. จัดการ 300 คนหมิ่นเบื้องสูง 120 ผู้มีอิทธิพล ค้นบ้านต้องสงสัยพบปืน 1,400 กระบอก ปิด 240 เว็บไซต์หมิ่นฯ  ปิด 350 สถานีวิทยุที่ไม่ได้รับอนุญาต ปิด 20 สถานีโทรทัศน์สร้างความแตกแยก
เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.2557 เว็บไซต์ครอบครัวข่าว 3  รายงานว่า พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ระบุว่าคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ฉบับที่ 37/2557 เรื่องให้ผู้มีอาวุธปืน เครื่องกระสุน หรือวัตถุระเบิด ที่ใช้สำหรับ ใช้เฉพาะแต่การสงคราม นำมาส่งมอบให้นายทะเบียนท้องที่ จะครบกำหนดในวันนี้ ดังนั้น หากบุคคลใดนำอาวุธมาส่งคืนภายในเวลาที่กำหนดก็ไม่ต้องรับโทษ แต่หากพ้นวันนี้ไปแล้ว และถูกตรวจพบจะต้องได้รับโทษตามกฏหมาย ส่วนอาวุธสงครามที่ตรวจยึดได้ จะส่งมอบให้ทหารไปเก็บรักษาไว้ ก่อนทำลายทิ้งเมื่อคดีสิ้นสุดลง
ที่จังหวัดนนทบุรี พบอาวุธสงครามจำนวนมากบรรจุอยู่ในถุงกระสอบปุ๋ย 2 ใบ ถูกนำมาทิ้งไว้ริมถนนกาญจนาภิเษก หน้าโครงการสมบัติบุรี ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรืออีโอดี และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบ พบภายในกระสอบมีอาวุธสงคราม อาทิ ปืนยาวไรเฟิล 1 กระบอก,ปลายกระบอกปืน M78 จำนวน 1 อัน กระสุนปืนไรเฟิล 238 นัด และระเบิดเพลิง 4 ลูก คาดเจ้าของกลัวจะมีความความผิดตามที่ คสช. ได้ประกาศ จึงได้นำมาทิ้งไว้
ขณะที่จังหวัดสุรินทร์ ตำรวจคุมตัวแก๊งทวงหนี้นอกระบบ 2 คน ที่บุกทวงเงินครูที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครู ขณะที่กำลังรอคิวรับเงินกู้ที่ค้างมากว่า 7 เดือน ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืนประกาศของ คสช. ที่ห้ามแก๊งค์ทวงหนี้นอกระบบข่มขู่ทวงหนี้ชาวนาที่กำลังได้รับเงินค่าจำนำข้าว นำตัวไปลงบันทึกประจำวันก่อนปล่อยตัวไปพร้อมสั่งห้ามข่มขู่ทวงหนี้จากลูกหนี้อีก
ทั้งนี้จากการประมวลผลงานการดำเนินงานของ คสช.ในช่วงที่ผ่านมา สามารถดำเนินงานจัดการคนหมิ่นเบื้องสูง 300 คน จัดการผู้มีอิทธิพล 120 คน ค้นบ้านต้องสงสัยพบปืน 1,400 กระบอก ค้นบ้านต้องสงสัยพบระเบิด 900 ลูก  ยึดปืนเถื่อน 400 กระบอก ปิดเว็บไซต์หมิ่นสถาบัน 240 เว็บไซต์ ปิดสถานีวิทยุที่ไม่ได้รับอนุญาต 350 แห่ง ปิดสถานีโทรทัศน์สร้างความแตกแยก 20 สถานี เป็นต้น

ศาลปกครองสูงสุดพิพากษา อาร์เอสชนะ ไม่ต้องถ่ายทอดบอลโลกทางฟรีทีวีทุกแมทช์



11 มิ.ย.2557 มติชนออนไลน์รายงานว่า เวลา 13.30 น. ที่ศาลปกครองสูงสุด ตุลาการศาลปกครองสูงสุด พิพากษา ให้เพิกถอนประกาศสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เกี่ยวกับหลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะ ในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไปในข้อ 3 และประกอบกับรายการที่ 7 ในภาคผนวกหรือ กฏมัสต์แฮฟ
กรณีถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก มาบังคับใช้กับบริษัท อาร์เอส อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง แอนด์ สปอร์ต แมเนจเม้นท์ จำกัด (อาร์เอสบีเอส) ผู้ได้รับลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้ายผ่านฟรีทีวี  22 นัด แต่ผู้เดียวในประเทศไทย ไม่มีผลบังคับใช้แก่บริษัทอาร์เอสฯ ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกในปีนี้เท่านั้น
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.กับพวกรวม 12 คน เป็นผู้ถูกฟ้อง เนื่องจากบังคับใช้ประกาศดังกล่าวเพื่อให้บริษัทอาร์เอส ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก ทั้ง 64 นัด ผ่านฟรีทีวี
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า กสทช.มีอำนาจออกประกาศดังกล่าว แต่ขณะกสทช.ออกประกาศมัสต์แฮฟ บริษัทอาร์เอสผู้ได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกได้แสดงความเห็นคัดค้านต่อการออกประกาศดังกล่าวซึ่งกสทช.ควรใช้ดุลยพินิจในการออกประกาศเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงรวมถึงการใช้อำนาจ เพื่อพิจารณาถึงผลกระทบผู้เสียหาย

โดยทางบริษัทอาร์เอสได้รับอนุญาต ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกในครั้งนี้และได้รับสิทธิ์จากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือ ฟีฟ่า ซึ่งบริษัทอาร์เอส สามารถหาประโยชยน์จากการถ่ายทอดฟุตบอลโลกปีนี้ได้ ส่วนทางบริษัทอาร์เอสฯ ได้ประมูลช่องดิจิตอลเกิดขึ้นหลังจากมีการฟ้องคดีแล้ว ไม่มีผลกระทบต่อประกาศดังกล่าวแต่อย่างใด
รวมทั้ง กสทช.ไม่ได้กำหนดมาตราการชดเชยบรรเทาความเสียหายที่บังคับให้อาร์เอส ถ่ายทอดสดบอลโลกครบทุกนัดตามประกาศ ของ กสทช. ซึ่งทางที่กสทช. นำประกาศดังกล่าวมาบังคับใช้กับอาร์เอส ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกถือว่าไม่เป็นธรรมและไม่ชอบด้วยกฏหมาย จึงพิพากษาให้เพิกถอนประกาศดังกล่าวเฉพาะกรณีถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกครั้งนี้เท่านั้นแต่ประกาศดังกล่าวยังมีผลบังคับใช้ในกรณีอื่นเหมือนเดิม
ด้านนายสุพรรณ เสือหาญ ทนายความผู้รับมอบอำนาจของบริษัทอาร์เอสฯ กล่าว่า ขอบคุณศาลที่ให้รับความเป็นธรรม โดยการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกเป็นสิทธิ์ของบริษัทอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่ คสช.ขอความร่วมมือให้มีการถ่ายทอดสดผ่านทางช่อง 5 และ ช่อง 7 นั้น ต้องขึ้นอยู่กับผู้บริหาร
ขณะพ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช. กล่าวว่า ทางกสทช. น้อมรับคำตัดสินของศาลโดยจะนำคำตัดสินของศาล ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปและยืนยันได้ดำเนินการเพื่อคุ้มครองสิทธิประชาชนในการรับบริการโทรทัศน์โดยเท่าเทียมกันอย่างเต็มความสามารถ

เชียงราย: 7 คนกินแมคโดนัลด์รายงานตัวศาลทหาร-ดำเนินคดีเพิ่ม 1 รายชูป้ายต้าน รปห.



10 มิ.ย.57 เวลา 9.30 น. ศาลจังหวัดทหารบกเชียงราย ผู้ต้องหา 7 คน จากการทำกิจกรรมต่อต้านการรัฐประหาร โดยการชูป้ายที่ร้านแมคโดนัลด์ภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค.57 และถูกพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาฝ่าฝืนประกาศ คสช. โดยทำการมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป (ดูข่าวก่อนหน้า) ได้เดินทางเข้ารายงานตัวต่อศาลทหารแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่านัดในครั้งนี้เป็นเพียงการเข้าไปเซ็นชื่อแจ้งมารายงานตัวต่อศาลทหาร ก่อนที่ผู้ต้องหาจะแยกย้ายกันกลับ โดยทั้ง 7 คน ต้องเข้ารายงานตัวอีกครั้งเมื่อครบการฝากขังผลัดแรก (12 วัน) ในวันที่ 13 มิ.ย.นี้
ในกรณีนี้พนักงานสอบสวนได้แยกการดำเนินคดีเป็น 2 คดี คือ กรณีผู้ถูกควบคุมตัวจากการทำกิจกรรมที่ร้านแมคโดนัลด์ในช่วงบ่าย ได้แก่กรณีนางทรงศรี คมขำ กับพวก รวม 4 คน และกรณีผู้ถูกควบคุมตัวจากการทำกิจกรรมในช่วงค่ำ ได้แก่ กรณีนางสุรีรัตน์ บุญบัวทอง กับพวก รวม 3 คน โดยทั้งสองกรณีถูกแจ้งข้อกล่าวหาเดียวกัน และได้รับการประกันตัวด้วยหลักทรัพย์คนละ 2 หมื่นบาทเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา
หนึ่งในผู้อยู่ในเหตุการณ์จากการทำกิจกรรมวันที่ 25 พ.ค. เล่าถึงเหตุการณ์การควบคุมตัวประชาชนในช่วงค่ำเพิ่มเติมว่า ราว 17.30 น.ได้มีการนัดทำกิจกรรม “จุดเทียน ถือป้าย ปิดปาก ต้านรัฐประหาร” ที่ร้านแมคโดนัลด์ จนเวลาราว 18.30 น. ขณะได้มีการถือป้ายต่อต้านรัฐประหารและถ่ายรูปไปแล้ว และกำลังรอประชาชนเดินทางทยอยมา เพื่อไปร่วมกันจุดเทียนภายนอกห้าง เจ้าหน้าที่ทหารนอกเครื่องแบบหลายคนได้เข้ามาควบคุมตัวนางสุรีรัตน์ บุญบังทอง หรือ “เจี๊ยบ แม่ลาว” โดยหนึ่งในเจ้าหน้าที่มีการปลอมตัวเป็นพนักงานร้านแมคโดนัลด์เพื่อสังเกตการณ์กิจกรรมและเก็บภาพด้วย
จากนั้นสามีของนางสุรีรัตน์ได้พยายามเข้าห้ามปรามการคุมตัว ระหว่างชุลมุนได้มีการชกต่อยเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเข้า สามีของนางสุรีรัตน์จึงได้ถูกเจ้าหน้าที่ 4-5 นายเข้ารุมล็อคตัวและนำตัวไปด้วย ขณะที่บิดาของนางสุรีรัตน์ ซึ่งไม่ได้ร่วมทำกิจกรรมชูป้ายในร้านแมคโดนัลด์ด้วยแต่อย่างใด แต่ได้ออกไปกินข้าวบริเวณห้างเซ็นทรัล เมื่อกลับเข้ามาในระหว่างเหตุการณ์ จึงพยายามห้ามการคุมตัวลูกสาวเช่นกัน จึงได้ถูกนำตัวไปด้วยอีกหนึ่งคน
ผู้ต้องหาในกรณีนี้ได้แจ้งผู้สื่อข่าวด้วยว่าในระหว่างการควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ได้ยึดเครื่องมือสื่อสาร ทั้งสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตของทุกคนไว้ และขณะนี้ยังไม่ได้รับคืนแต่อย่างใด
เตรียมดำเนินคดีแกนนำไซเบอร์เชียงรายเพิ่มอีก 1 ราย ฐานชูป้าย “ชูป้ายไม่ใช่อาชญากร”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่จังหวัดเชียงราย ยังมีกรณีของนายสราวุทธิ์ กุลมธุรพจน์ คนเสื้อแดงเชียงรายที่เคลื่อนไหวบนโลกออนไลน์ ที่ได้ถูกแจ้งข้อหาฝ่าฝืนประกาศ คสช. โดยทำการมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
นายสราวุทธิ์ให้ข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่ทหารได้ไปตามหาเขาที่หมู่บ้านตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.57 โดยมีการไปสอบถามผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้าน ก่อนนำกำลังบุกเข้าไปยังบ้านของเขา แต่เขาไม่ได้อยู่ในบ้านในเวลานั้น เจ้าหน้าที่จึงนำเอกสารแจ้งให้เขาไปรายงานตัวส่งให้กับแม่ของเขาแทน จากนั้นนายสราวุทธิ์จึงได้เข้าไปรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ทหารเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.57 และถูกควบคุมตัวไว้ที่ค่ายเม็งรายมหาราชนาน 7 วัน ก่อนถูกนำตัวไปคุมขังที่สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย 1 คืน จนได้รับอนุญาตให้ประกันตัวด้วยหลักทรัพย์ 2 หมื่นบาท เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.57
นายสราวุทธิ์ กล่าวว่า สำหรับข้อกล่าวหาซึ่งเจ้าหน้าที่นำมาใช้ดำเนินการ เกิดจากกิจกรรมที่เขากับเพื่อนได้นัดกันไปชูป้ายในหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงรายเรียกร้องให้มีการปล่อยผู้ทำกิจกรรมกินแมคโดนัลด์ต้านรัฐประหาร 7 คน ที่ถูกทหารควบคุมตัวไป โดยในป้ายมีคำว่า “ชูป้ายไม่ใช่อาชญากร” “ปล่อยลูกพ่อขุน” และป้ายไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร โดยมีการถ่ายภาพและนำลงในโลกออนไลน์ แต่ผู้ที่ทำกิจกรรมในวันนั้นมีเขาถูกเรียกให้เข้ารายงานตัวและดำเนินคดีเพียงคนเดียว โดยเจ้าหน้าที่ที่สอบสวนอ้างว่าเขาเป็นแกนนำนักรบไซเบอร์ประเทศไทย และใช้ภาพถ่ายกิจกรรมนี้จากในโลกออนไลน์มาเป็นหลักฐานดำเนินการ โดยไม่ได้มีการควบคุมตัวซึ่งหน้าในขณะทำกิจกรรมแต่อย่างใด โดยเงื่อนไขการปล่อยตัวนายสราวุทธิ์ในครั้งนี้ คือห้ามเข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง และห้ามแสดงความคิดเห็นด้วยวาจาหรือวิธีอื่นใด เพื่อก่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน โดยนายสราวุทธิ์ต้องไปรายงานตัวนัดแรกต่อศาลทหารในวันที่ 14 มิ.ย.นี้

ลูกสาว บก.ลายจุด เขียนจม.น้อยถึง พล.อ.ประยุทธ์ ขอคืนความสุขให้ครอบครัว


11 มิ.ย.2557 เกศสุดา บุญงามอนงค์ ภรรยาของนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด นำจดหมายเปิดผนึกที่ลูกสาวเขียนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. มามอบให้สื่อมวลชน ขณะเดินทางมารอพบและประกันตัวสามีที่ศาลทหาร
จดหมายดังกล่าวมีเนื้อหาดังนี้
จดหมายถึง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
เรียน พลเอกประยุทธ์ หนูเป็นลูกสาวของ บก.ลายจุด สมบัติ บุญงามอนงค์ อยากขอความช่วยเหลือ และความเห็นใจจากท่าน ในกรณีที่พ่อหนูถูกควบคุมตัวอยู่ในตอนนี้ในฐานะที่ท่านก็มีลูกสาวเช่นกัน ท่านคงสัมผัสได้ถึงความรัก และความผูกพัน ของท่านที่มีต่อลูก หากลูกของท่าน ต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับพ่อหนูตอนนี้ ท่านคงสัมผัสได้ หนูสะเทือนใจ ที่พ่อต้องกลายเป็นผู้ต้องหา พ่อไม่ใช่อาชญากร พ่อทำงานเพื่อสิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรมให้กับสังคม แนวทางของพ่อคือแนวทางแห่งสันติวิธี ถ้าทุกคนใช้แนวทางของพ่อ ความรุนแรงจะไม่เกิดขึ้น พ่อไม่เคยใช้ความรุนแรง ไม่เคยทำร้ายและรังแกใคร
ตั้งแต่ หนูจำความได้ พ่อทำงานเสียสละให้กับสังคมมาตลอด พ่อคอยบอกให้พวกเราเสียสละและนึกถึงสังคมก่อนเสมอ ทุกวันก็ได้แต่นึกว่าจะทำอย่างไรให้สังคมดีขึ้น พ่อตั้งคำถามและหาคำตอบ อย่างเช่น คนนอนข้างถนนก็น่าจะมีคนดูแล พ่อคิดแล้วพ่อก็หาโอกาสทำ สร้างโครงการผู้ป่วยข้างถนน ศูนย์ข้อมูลคนหาย ฯลฯ พ่ออยากเห็น ผู้คนมีความสุข ได้รับความเสมอภาคและเป็นธรรม หนูเป็นอาสาสมัครเพื่อสังคม ช่วยงานที่ศูนย์สึนามิพังงา ที่พ่อตั้งเพื่อช่วยญาติพี่น้องคนเสียชีวิตตั้งแต่หนูอายุ 6 ขวบ พ่อได้รางวัลอาโซก้า รางวัลของผู้สร้างนวตกรรมทางสังคม รางวัลต่างๆ ในการทำงานให้กับสังคม พ่อไม่ควรได้รับโทษเช่นนี้
แม่คือคนที่รู้จักพ่อ ดีที่สุดได้บอกกับหนูว่า "พ่อหนู ตั้งแต่รู้จักกันมา จิตสำนึกในความรับผิดชอบต่อสังคมนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คิดและลงมือทำ ความเชื่อ ศรัทธาในเสรีภาพ เอกภาพ และภราดรภาพของมนุษย์นั้นอยู่ในจิตวิญญาณ พ่อไม่เคยคิดร้ายใคร อาจมีบ่นบ้าง ด่าบ้าง กวนประสาทบ้าง แต่ในใจลึกๆ นั้น ดีงาม ไม่ต้องเข้าวัด ปฏิบัติธรรม พูดธรรมะ แต่ หัวใจของความเป็นธรรมนั้นอยู่กับพ่อเสมอ และการปฏิบัติธรรมของพ่อก็คือการทำงานเพื่อสังคม" ซึ่งหนูเห็นด้วยอย่างยิ่งเพื่อ เป็นการคืนความสุขให้กับสังคมไทยอย่างที่ท่านได้ทำอยู่ในตอนนี้ หนูขอให้ท่านพิจารณาคืนความสุขให้กับครอบครัวหนูด้วยค่ะ หนูไม่เชื่อว่าพ่อทำอะไรผิด ขอให้ท่านช่วยดูแลพ่อของพ่อ ได้รู้ว่าพ่ออยู่ที่ไหน ปล่อยพ่อหนูเถอะนะคะ ให้พ่อมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย ได้รับอิสรภาพโดยเร็ว ได้มาเป็นพ่อของหนู ได้ใช้ชีวิตตามปกติ ดูแลหนูและทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติต่อไปด้วยค่ะ