วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Foreigner arrested for buying T-shirt stating “Peace Please”



Around 6.05 p.m. A Belgian man was arrested by the military after he was found buying a T-shirt stating “Peace Please” at Victory Monument, and then held it. He was taken away by soldiers along with the other two Thai women, who were holding placards with anti-coup messages. 
The soldiers said the man would be taken to the Royal Thai Army Club
Earlier around 5.10 p.m. a large number of soldiers have seized control of the roads near Victory Monument, following the spreading of news about calls for anti-coup protests there.

เกลียดใครกันแน่


เห็นภาพจาตุรนต์ ฉายแสง ถูกนำไปขึ้นศาลทหารแล้วเศร้าใจ ไม่ใช่เศร้าใจแทนจาตุรนต์ เพราะจาตุรนต์คงภาคภูมิใจและพร้อมรับผล ไม่ใช่จะต่อต้านหรือวิจารณ์ คสช.และศาลทหาร เพราะเป็นอำนาจของท่าน
แต่เศร้าใจกับเสียงก่นประณามสมน้ำหน้าตามโลกออนไลน์จากคนคิดตรงข้าม "ผู้มีการศึกษา" ไม่เว้นกระทั่งสื่อบางส่วน
คุณเกลียดจาตุรนต์ขนาดนั้นหรือ เกลียดเพราะอะไร
ก่อนรัฐประหาร 49 จาตุรนต์เป็นที่ยอมรับในฐานะนักการเมือง "น้ำดี" หนึ่งในน้อยคน เริ่มต้นที่พรรคประชาธิปัตย์ แตกมากับ 10 มกรา จนมาอยู่ความหวังใหม่และไทยรักไทย ไม่เคยมีเรื่องอื้อฉาว แม้หลังปี 49 คตส.ก็เอาผิดอะไรไม่ได้
ยิ่งกว่านั้นยังเป็นที่รู้กันว่า จาตุรนต์เป็นตัวของตัวเอง ไม่เคย "ตามก้น" ใคร ในยุคทักษิณเหลิงอำนาจ จัดการปัญหาภาคใต้รุนแรงจนเกิดกรือเซะ ตากใบ จาตุรนต์ก็ไม่เห็นด้วย เพียงแต่หลังรัฐประหาร ไม่เหลือใคร ก็มีแต่จาตุรนต์รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ยืนสู้จนถูกยุบและถูกตัดสิทธิไปด้วย เพิ่งได้กลับมาเป็นรัฐมนตรีศึกษาฯ
แต่รายชื่อสมัครส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เมื่อ 2 ก.พ. ก็ไปอยู่ลำดับที่ 39 โน่น
บางคนย้อนว่าทำไมไม่ออกมาเสียล่ะ ออกไปไหนครับ ในเมื่อมันคือการต่อสู้ทางความคิด 2 ขั้ว เช่นถ้าไม่เอาเลือกตั้งก็คือเอากับกำนัน เราต่อสู้กันมา 8 ปีแล้ว สมัย 49 เพื่อนพ้องพันธมิตรก็เรียกร้องให้ลาออก แต่จาตุรนต์ยืนยันว่าออกไม่ได้ เพราะยุบสภาแล้ว ถ้าออกก็เปิดช่องให้มีการเปลี่ยนแปลงนอกวิถีประชาธิปไตย
จาตุรนต์กลับกลายเป็นที่เกลียดชัง ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์นักการเมืองทุจริต ไม่อยู่ในข่ายโกงจำนำข้าว กระทั่งซื้อ แท็บเล็ตก็เข้ามายกเลิกบางส่วน แถมไม่ได้กร่างวางอำนาจ อย่างเฉลิม หรือปลอดประสพ
ใช่หรือเปล่าว่าเพราะจาตุรนต์ยึด "หลักการ" จนถูกเกลียดชังว่า "หลักการ" นี่แหละเป็นตัวค้ำ "ระบอบทักษิณ"
นี่ไม่ต่างจาก สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือนักวิชาการอย่าง อ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์, อ.สาวตรี สุขศรี, อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล หรือสมัชชาปกป้องประชาธิปไตย ซึ่งไม่เคยได้ประโยชน์อะไรจาก "ระบอบทักษิณ" พูดได้ว่าแทบจะทุกคนเคยวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไทยรักไทยอย่างหนักหน่วง
แต่ตอนนี้บางคนเกลียดยิ่งกว่า ส.ส. รัฐมนตรี ที่ถูกปล่อยตัวออกมาแล้วด้วยซ้ำ
สมบัติก่อตั้งมูลนิธิกระจกเงา ทำงานด้านเด็ก ชาวเขา ช่วยผู้ประสบภัยสึนามิ ฯลฯ โดดออกมาต้านรัฐประหาร 49 ด้วย "หลักการ" ทั้งที่ไม่เคยข้องแวะพรรคไทยรักไทย สมบัติกลายเป็น "แกนนอน" แต่เป็นอิสระจาก นปช.ซึ่งผูกติดพรรคเพื่อไทย ล่าสุด เมื่อทักษิณดันนิรโทษสุดซอย ก็สมบัตินี่แหละนัดรวมพลร้านฟาสต์ฟู้ดราชประสงค์ ต่อต้านอย่างแข็งขัน (ในขณะที่นักการเมืองหรือแกนนำบางคนได้แต่พูดว่าครับผม)
อ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และนิติราษฎร์ ก็วิพากษ์ร่างพ.ร.บ. นิรโทษสุดซอย แต่ดูเหมือนไม่มีใครจำ อ.วรเจตน์ วิพากษ์ศาลรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่คดีซุกหุ้น วิจารณ์รัฐบาลไทยรักไทยร่วมกับสุรพล นิติไกรพจน์ แต่กลายเป็นที่ไม่พอใจของขบวนการ "โค่นระบอบทักษิณ" ตั้งแต่คัดค้านมาตรา 7 เมื่อปี 2549 จนกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับรัฐธรรมนูญ 2550 และตุลาการภิวัฒน์
วรเจตน์ถูกมองว่าปกป้อง "ระบอบทักษิณ" ทั้งที่ต้องการปกป้องหลักกฎหมาย เขาพูดเสมอว่า ตามตำนานกรีกโบราณเทพีแห่งความยุติธรรมมีผ้าปิดตา มือซ้ายถือตราชู มือขวาถือกระบี่ "ผ้าปิดตา" คือกฎหมายไม่สนใจหน้าคน ไม่ว่าใครก็ต้องใช้มาตรฐานเดียวกัน (ฉะนั้น อย่าใช้กฎหมายเพื่อเป้าหมายทางการเมือง)
การที่นักคิด นักเคลื่อนไหว นักวิชาการ ยึดหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หลักนิติศาสตร์ หลักรัฐศาสตร์ ตามที่ตัวเองสอน แล้วมันไปเข้าทางนักการเมืองจากการเลือกตั้ง เป็นความผิดร้ายแรงหรือครับ ทำไมกลับถูกเกลียดชังว่า "อุ้มคนโกง" กระทั่งบางคนเกลียดชังเสียยิ่งกว่า "นักการเมืองโกง"
ถือเป็นเรื่องน่าเศร้า เพราะมันแสดงอารมณ์สังคมที่เบาปัญญา ไร้เหตุผล เมื่อไม่สามารถถกเถียงไม่สามารถต่อสู้ด้วยปัญญาและเหตุผล ก็ปลุกอารมณ์เกลียดชังเข้าใส่
อยากบอกคนเหล่านี้ว่าการโค่นล้มนักการเมือง หรือกระทั่งโค่นทักษิณ ไม่ได้ยากนักหรอกครับ สมมติจับ "เจ๊" ได้พร้อมเงินเต็มเซฟแล้วยัดคุก ก็ไม่มีใครว่าอะไร ต่อให้แดงแค่ไหนก็ไม่ได้โง่ จนไม่รู้ว่านักการเมืองทุจริต มวลชนที่เลือกพรรคเพื่อไทยเขารู้เต็มอกว่านักการเมืองเป็นอย่างไร แต่เขาเลือกด้วยนโยบาย ด้วยเหตุผลหลายประการ
แต่กับนักคิด นักวิชาการ นักการเมืองที่ยึดหลักประชาธิปไตย มันต่างกัน พวกเขามีคนที่รัก เชื่อมั่น อย่างจริงใจ แม้แต่คนเห็นต่างบางส่วนยังเคารพ
คุณโค่นทักษิณได้ คุณโค่นเพื่อไทยได้ แต่คุณไม่สามารถโค่นนักวิชาการตัวเล็กๆ ที่มีแต่มือเปล่า กับปัญญาและเหตุผล ไม่มีอำนาจใดสามารถโค่นความถูกต้อง ถ้าไม่ตระหนักข้อนี้ ก็ไม่มีวันสร้างประเทศขึ้นใหม่

ความพยายามปิดกั้นเสรีภาพของเผด็จการทหารไทยได้ลามออกไปแล้วนอกประเทศ


หลังจากการรัฐประหารล่าสุดในไทย มีการควบคุมอย่างเข้มงวดต่อเสรีภาพด้านการพูด การรวมตัว และเสรีภาพทางวิชาการ ในขณะนี้ทางเผด็จการทหารไทยยังพยายามขยายการควบคุมข้ามายังต่างประเทศอีกด้วย
 
เผด็จการทหารไทยได้ควบคุมสื่อวิทยุและโทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์ พยายามเซ็นเซอร์สื่อสังคมออนไลน์ พร้อม ๆ กับปราบปรามการประท้วงต่อต้านรัฐประหาร ที่น่าตกใจคือได้สั่งให้ผู้สื่อข่าวและนักวิชาการไป “รายงานตัว” กับตน พวกเขายังควบคุมตัวบุคคลเหล่านี้ไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอกโดยไม่มีเวลากำหนด และประกาศว่าจะปล่อยตัวหากมีการลงนามในข้อสัญญาว่าจะต้องควบคุมการแสดงออกด้วยการพูดและการกระทำ 
 
บรรดาผู้สังเกตการณ์และคนไทยที่อยู่ต่างแดนจึงรู้สึกตกใจอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ พวกเขาต้องการทราบว่าเหตุใดจึงเกิดสิ่งนี้ขึ้น และจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เป็นเหตุให้ผมร่วมจัดรายการอภิปรายที่มหาวิทยาลัย School of Oriental and African Studies (SOAS) เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน โดยจัดร่วมกับสยามสมาคมของมหาวิทยาลัย ผู้อภิปรายประกอบด้วยนักกฎหมายไทยที่มีชื่อเสียงอย่างนายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทหาร “เรียกตัว” และDr. Carlo Bonura อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสถาบันเดียวกับผม
 
ผมจึงรู้สึกรังเกียจ รวมทั้งประหลาดใจ เมื่อทราบว่าทางสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอนได้กดดันทางสยามสมาคมของมหาวิทยาลัย SOAS ให้ยกเลิกรายการนี้ โดยระบุว่า “การจัดกิจกรรมในช่วงเวลานี้ไม่มีความเหมาะสม” เป็นที่ชัดเจนว่า พวกเขาขัดขวางไม่ให้นายวีรพัฒน์เข้าร่วมรายการนี้ เพราะเขาเป็นอดีตที่ปรึกษาของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างเป็นประชาธิปไตย แม้ว่าเขาจะวิพากษ์วิจารณ์พรรคเพื่อไทยเช่นกัน
 
เป็นเรื่องน่าเศร้าใจที่มากดดันนักศึกษาเช่นนี้ นักศึกษาไทยหลายคนในอังกฤษมาเล่าเรียนด้วยทุนจากรัฐบาลไทย และทางสยามสมาคมได้อาศัยความสัมพันธ์ที่ดีกับสถานเอกอัครราชทูตในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ บางทีทางสถานทูตอาจไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งที่เรียกร้องจะได้รับการตอบสนองมากนัก เพียงแต่ปฏิบัติหน้าที่ขัดขวางการจัดกิจกรรมเพื่อหวังเอาใจเจ้านายคนใหม่ที่กรุงเทพฯ แต่สำหรับนักศึกษาเหล่านี้ พวกเขารู้สึกลำบากใจกับแรงกดดันจากสถานทูตไทย เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ข้อเรียกร้องของสถานทูตส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลอย่างมากต่อชุมชนไทยที่อยู่ต่างแดน 
 
ทางสยามสมาคม SOAS และผมตัดสินใจเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของสถานทูตให้ยกเลิกการจัดกิจกรรม เนื่องจากเสรีภาพทางวิชาการเป็นหมุดหมายสำคัญของชีวิตในสถาบันอุดมศึกษา และเป็นคุณูปการสำคัญของสถาบันอุดมศึกษาที่มีต่อสังคมสมัยใหม่ หมายถึงสิทธิอย่างเบ็ดเสร็จที่จะทำการตรวจสอบเรื่องราวต่าง ๆ โดยปราศจากความกลัวหรืออคติ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเช่นนี้ มหาวิทยาลัยต้องให้พื้นที่เพื่อการทบทวนอย่างมีความรู้ การพูดคุยอย่างมีอารยะ และการอภิปรายถกเถียงอย่างเสรี การจัดกิจกรรมเช่นนี้เท่านั้นจึงจะช่วยให้เกิดแนวคิดซึ่งชี้นำสังคมต่อไป 
 
ในทางตรงข้าม รัฐประหารของไทยทำให้สังคมย้อนหลังกลับไปในอดีตกาล รัฐประหารครั้งนี้เป็นผลมาจากวิกฤตด้านสังคม-การเมืองที่ลึกซึ้งและยืดเยื้อมาครบทศวรรษแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ทหารยึดอำนาจในปี 2549 พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ไขวิกฤตที่เกิดขึ้นได้เลย แม้จะมีการฉ้อฉลจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถขจัดอำนาจของ “กลุ่มคนเสื้อแดง” ซึ่งมีตัวแทนเป็นพรรคเพื่อไทย (ในอดีตเป็นพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน) เมื่อกลับสู่วิถีทางประชาธิปไตย ปรากฏว่าคนกลุ่มเหล่านี้ก็ได้รับการเลือกตั้งกลับเข้ามาใหม่ และได้ชนะการเลือกตั้งทุกครั้งตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา ในทำนองเดียวกันตอนที่ทหารเข้ามาชักใยการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเมื่อปี 2551 รัฐบาลใหม่ก็อยู่ได้ไม่นาน และจบลงด้วยการสังหารผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลประมาณ 90 คนในการปราบปรามอย่างรุนแรงเมื่อปี 2553 
 
ไม่มีเหตุผลควรเชื่อว่ารัฐบาลทหารชุดใหม่จะประสบความสำเร็จในการขจัด “คนเสื้อแดง” ออกไปจากประวัติศาสตร์ แม้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะตัวแทนเป็นสส.คณาธิปไตยที่ไร้เกียรติในรัฐสภา แต่พวกเขาเป็นตัวแทนของกลุ่มพลังทางสังคมที่เติบโตขึ้นและมีฐานสมาชิกเป็นคนไทยที่มีรายได้ระดับต่ำและปานกลาง พวกเขาเบื่อหน่ายกับการเป็นฐานเสียงให้กับกลุ่มอำมาตย์เก่า และเรียกร้องจะมีส่วนร่วมในเชิงอำนาจและได้รับประโยชน์จากความเจริญมากขึ้นของไทย
 
ทางออกของปัญหามีเพียงทางเดียวคือ การจัดทำสัญญาประชาคมใหม่เพื่อการกระจายอำนาจและทรัพยากรอย่างเท่าเทียมมากขึ้น ซึ่งทำได้โดยผ่านการพูดคุยและเจรจา ไม่ใช่ผ่านปลายกระบอกปืน ยิ่งมีการฟื้นคืนเสรีภาพที่จำเป็นเพื่อการอภิปรายเหล่านี้เร็วเพียงไร ยิ่งเป็นผลดีต่อประเทศไทยมากเท่านั้น 
 
หมายเหคุ
ข้อมูลเพิ่มเติม ณ วันที่ 30 พ.ค. 57 เป็นเรื่องน่าแปลกพิลึกที่ปรากฏว่าทางตัวเอกอัครราชทูตไทยประจำสหราชอาณาจักร ได้ถูก “เรียกตัว” โดยระบอบเผด็จการทหารของไทย เนื่องจากมีข่าวว่าเขาเคยให้ความสนับสนุนเป็นการส่วนตัวกับรัฐบาลประชาธิปไตยที่ถูกขับไล่ออกไป นายปสันน์ เทพรักษ์ เอกอัครราชทูตเคยเป็นกงสุลใหญ่ไทยที่กรุงดูไบระหว่างปี 2549-2554 ในช่วงที่ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พรรคไทยรักไทยที่ถูกขับไล่ออกไปเมื่อปี 2549 เคยไปพำนักอยู่หลายครั้ง ทั้งเขายังเคยช่วยเหลือยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นน้องสาวของทักษิณ ตอนที่เธอขึ้นเป็นนายกฯ เมื่อปี 2554 โดยเคยให้ความเห็นเกี่ยวกับความชอบธรรมแบบประชาธิปไตยอย่างหนักแน่นของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ บางทีการพยายามยกเลิกกิจกรรมครั้งนี้เป็นเพียงความพยายามของเขาที่จะแสดงความจงรักภักดีต่อผู้นำประเทศชุดใหม่ แต่ชัดเจนแล้วว่ามันไม่เพียงพอ
 

Dr Lee Jones เป็นผู้บรรยายอาวุโสด้านการเมืองระหว่างประเทศที่ Queen Mary, University of London เว็บไซต์ของเขาคือ http://www.leejones.tk และเขาใช้ทวิตเตอร์ @DrLeeJones 

ประกาศ คสช. ตำแหน่งองค์กรอิสระที่ว่างอยู่ ให้กรรมการที่เหลือสรรหาไปก่อน


30 พ.ค. 2557 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติออกประกาศฉบับที่ 48/2557 เรื่อง การสรรหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งแทนตำแหน่งที่ว่าง โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
 

Australia'​s response to Thailand's coup

Photograph of the Hon Julie Bishop MP



Australia'​s response to Thailand's coup 
Joint media release

The Hon Julie Bishop MP, Minister for Foreign Affairs
Senator the Hon David Johnston, Minister for Defence

31 May 2014

The Australian Government continues to have grave concerns about the actions of the military in Thailand.

Since the military seized control of government functions on 22 May, the Government has registered our concerns to authorities in Bangkok through Australia’s Ambassador to Thailand and the Thai Embassy in Canberra.

In line with our concerns, Australia is reducing our engagement with the Thai military and will lower the level of our interaction with the Thai military leadership.

Australia has postponed three activities planned for coming weeks in Thailand: a military operations law training course for Thai military officers; a reconnaissance visit for a counter improvised explosive device training exercise; and a reconnaissance visit for a counter terrorism training exercise. We will continue to review defence and other bilateral activities.

The Australian Government has also put in place a mechanism to prevent the leaders of the coup from travelling to Australia.

The Australian Government continues to call on the military to set a pathway for a return to democracy and the rule of law as soon as possible, to refrain from arbitrary detentions, to release those detained for political reasons and to respect human rights and fundamental freedoms.

Australians travelling to or already in Thailand should visit www.smartraveller.gov.au, familiarise themselves with the travel advice, subscribe to receive regular updates and register their travel plans.

Australia and Thailand have enjoyed a substantial and warm relationship for more than 60 years, based on shared interests and goodwill, as well as close people-to-people links. We look forward to normalising our relationship as soon as possible.

Media enquiries
กระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย

การตอบโต้ของออสเตรเลียต่อการทำรัฐประหารของไทย

31 พฤษภาคม 2557

รัฐบาลออสเตรเลียได้พยายามส่งสัญญาณถึงความกังวลอย่างสูงอย่างต่อเนื่องต่อการกระทำของกองทัพไทย

ตั้งแต่ที่กองทัพได้เข้ายึดอำนาจของรัฐบาลไทยเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม รัฐบาลออเสเตรเลียได้แสดงความกังวลต่อผู้มีอำนาจในกรุงเทพฯในปัจจุบัน ผ่านทางสถานทูตออสเตรเลียในประเทศไทยและสถานทูตไทยในกรุงแคนเบอร์ร่า

เพื่อให้สอดคล้องกับความกังวลที่มีนั้น รัฐบาลออสเตรเลียได้เพิ่มมาตรการ โดยลดความร่วมมือกับกองทัพไทยและจะมีการลดระดับการปฏิสัมพันธ์กับผู้นำกองทัพของไทยด้วย

ออสเตรเลียได้เลื่อนแผนการของกิจกรรมที่มีกับกองทัพไทยสามรายการด้วยกันในอาทิตย์ที่จะถึงนี้ ซึ่งประกอบด้วย การฝึกอบรมกฎหมายที่เกี่ยวกับการปฏิบัติการทางการทหารสำหรับนายทหารของไทย การเดินทางเยือนเบื้องต้นสำหรับการฝึกปฏิบัติการจัดการเก็บกู้วัตถุระเบิด และ การเดินทางเยือนเบื้องต้นสำหรับการฝึกปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย ทางเรา(รัฐบาลออสเตรเลีย) จะดูเพิ่มเติมว่าจะมีความร่วมมือทวิภาคีในด้านการทหาร หรือการอื่นใดที่จะต้องระงับเพิ่มเติม

รัฐบาลออสเตรเลียยังได้วางกลไกเพื่อที่จะกีดกันไม่ให้ผู้นำรัฐประหารของไทยเดินทางเข้าออสเตรเลียแล้ว

รัฐบาลออสเตรเลียได้พยายามติดต่อกองทัพไทยเพื่อที่จะให้ดำเนินการสร้างแนวทางเพื่อกลับสู่หนทางของประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมถึงการยกเลิกการกักกันตัวอย่างอำเภอใจ การปล่อยตัวผู้ถูกกักขังด้วยเหตุผลทางด้านการเมือง และ สร้างแนวทางเพื่อแสดงความเคารพในหลักสิทธิมนุษยชนและหลักพื้นฐานของเสรีภาพ

สำหรับชาวออสเตรเลียที่กำลังจะเดินทาง หรือ อยู่ในประเทศไทยแล้วนั้น ขอให้เข้าไปยังเว็บไซต์ www.smartraveller.gov.au เพื่อที่จะทำความเข้าใจกับคำแนะนำสำหรับการเดินทางมายังประเทศไทย และขอให้ลงทะเบียนเพื่อจะได้รับข้อมูลล่าสุดและแจ้งแผนการเดินทางของท่าน

ประเทศออสเตรเลียและไทยต่างก็ได้มีความสัมพันธ์อันดีงามมากว่า 60 ปี บนหลักการของผลประโยชน์และมิตรภาพที่มีร่วมกัน ดังเช่นความสัมพันธ์ในระดับของบุคคลต่อบุคคลที่พึงจะมีให้กันได้ เรายังคงหวังว่าเราจะกลับมามีความสัมพันธ์อันดีกันดังเดิมได้ในเวลาอันรวดเร็วที่สุด

คณะนิติศาสตร์ แต่งตั้งทีมกฎหมาย เพื่อช่วยเหลือและดูแลคดี แก่บุคลากรที่ขัดคำสั่ง/ประกาศของคสช.





แคนาดาแถลงทบทวนความสัมพันธ์กับไทย


จอห์น แบรด์ ,แคนาดา


นายจอห์น แบรด์ รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศแคนาดา ได้มีแถลงการณ์เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2557 ภายหลังจากการทำรัฐประหารของกองทัพในประเทศไทยหนึ่งสัปดาห์ดังนี้:

"ประเทศแคนาดามีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับความถดถอยอย่างร้ายแรง และน่าสลดใจ ในช่วงไม่นานนี้ของประชาธิปไตยในประเทศไทย เราขอให้ผู้นำคณะรัฐประหารของประเทศไทยยึดมั่นหลักการประชาธิปไตย เคารพเสรีภาพสื่อและอินเตอร์เน็ต และจัดให้มีแผนที่น่าเชื่อถือสำหรับการกลับคืนสู่รัฐบาลพลเรือนที่เป็นตัวแทนของประชาชนโดยเร็ว "

รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศแคนดา กล่าวต่อว่า ขอเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวเหล่าผู้ที่ถูกควบคุมตัว รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการเลือกตั้ง นักวิชาการ นักข่าว และนักต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน และผู้ที่ถูกกล่าวหาเข้าได้รับการไต่สวนในศาลพลเรือน ซึ่งสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ประเทศแคนาดาให้ความสำคัญกับมิตรภาพที่มีมาอย่างยาวนานกับประเทศไทย มิตรภาพซึ่งสนับสนุนพันธมิตรที่สำคัญด้านการเมืองและเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ อย่างไรก็ดี ประเทศแคนาดากำลังจะทบทวนขอบเขตความสัมพันธ์ทวิภาคีกับประเทศไทยในช่วงการปกครองโดยเฉพาะทหาร

Canada Concerned by Worsening Human Rights Situation in Thailand

May 29, 2014 - Foreign Affairs Minister John Baird today issued the following statement one week on from the military coup in Thailand:
“Canada is profoundly concerned by recent serious and regrettable setbacks for democracy in Thailand. We urge Thailand’s coup leaders to abide by democratic principles, respect media and Internet freedom, and provide a credible road map for an early return to civilian representative government.
“We also call for the release of those detained—including elected officials, academics, journalists and human rights defenders—and for those accused to be tried in civilian courts in accordance with Thailand’s international human rights obligations.
“Canada values its long-standing friendship with Thailand, a friendship that underpins the countries’ important political and economic partnership. However, Canada is now reviewing the scope of its bilateral relations with Thailand during the period of military rule.”

หัวหน้า คสช. แถลงแผน 3 ขั้น 'ปรองดอง-ปฏิรูป-เลือกตั้ง' เร็วสุดใช้เวลาหนึ่งปี



พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกทีวีชี้แจงสาเหตุยึดอำนาจ-ระบุจำเป็นต้องคงกฎอัยการศึก-เคอร์ฟิวส์สกัดผู้ก่อเหตุรุนแรง ส่วนการเชิญตัวบุคคล จะมีขั้นตอนคัดแยก-ดูแลสงบสติอารมณ์เพื่อให้ได้คิดทบทวนว่าที่ผ่านมาได้ทำอะไรบ้าง โดยดูแลเป็นอย่างดี พร้อมเผยโรดแมป คสช. ขั้นแรก ตั้งศูนย์ปรองดอง สอง มี รธน.ชั่วคราว-รัฐบาลแต่งตั้ง-สภานิติบัญญัติเน้นปฏิรูป-ร่าง รธน. สามจัดเลือกตั้ง เพื่อให้ได้คนดี-สุจริตปกครองบ้านเมือง คาดใช้เวลา 1 ปี เร็วช้าขึ้นอยู่กับสถานการณ์
31 พ.ค. 2557 - เมื่อเวลา 21.35 น. คืนวานนี้ (30 พ.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่ง่ชาติ (คสช.) แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจใน รายการ "คสช. คืนความสุขให้คนไทย" รายละเอียดกล่าวถึงเหตุผลการยึดอำนาจ การบังคับใช้กฎอัยการศึก แผนการบริหารราชการแผ่นดิน พิมพ์เขียวการปฏิรูปของ คสช. โดยมีรายละเอียดังนี้
000
พล.อ.ประยุทธ์: สวัสดีครับ ในนามของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ขอขอบคุณ ประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย และข้าราชการทุกหมู่เหล่าที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการปฏิบัติงานของ คสช. เป็นอย่างดี ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือได้ว่าสถานการณ์โดยรวม มีความเรียบร้อย เหตุผลที่ คสช. เข้ามาบริหารราชการในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากความแยกแยกทางความคิดทางการเมืองของประชาชนที่หยั่งรากลึก ด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งผิด ทั้งถูก การชุมนุมประท้วงที่ยาวนาน ตลอดจนเหตุการณ์ความรุนแรง การใช้อาวุธสงคราม รวมทั้งมีการทุจริต ทำผิดกฎหมาย เป็นผลให้ประชาชนไม่มีความสุข และไม่ปลอดภัย รัฐบาลรักษาการไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายปกติได้ ไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินด้วยอำนาจที่มีอยู่อย่างเพียงพอ การใช้จ่ายงบประมาณประจำปี 2557 ติดขัด ไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยข้อกฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบคำสั่งต่างๆ ที่มีอยู่ การจัดทำงบประมาณปี 2558 มีความล่าช้า ซึ่งปัญหาเหล่านี้หากปล่อยให้ยืดเยื้อยาวนาน จะส่งผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจของคนไทยโดยรวม และประเทศไทย ตลอดจนผลประโยชน์ของมิตรประเทศที่มีในประเทศไทย รวมทั้ง พันธสัญญาต่างๆ ที่ไทยได้ทำไว้กับมิตรประเทศต่างๆ มาอย่างยาวนาน
การเข้ามาควบคุมสถานการณ์ของ คสช. เป็นการเข้ามายุติความรุนแรง ปลดล็อกข้อจำกัดเล็กน้อยต่างๆ ที่คั่งค้างอยู่ในกระวนการรออนุมัติจากรัฐบาลที่ผ่านมาอีกมากมาย และเพื่อคืนความสุขให้ประชาชนคนไทยทั้งชาติ รวมทั้งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วนเฉพาะหน้าเป็นการชั่วคราว เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ชาวต่างชาติมีความสุข และมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของทุกคน ทุกประเทศโดยรวม และที่สำคัญที่สุดคือ เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวงตลอดมาได้รับการปกป้องจากคนไทยทุกคน
งานของ คสช. มีขอบเขตที่สำคัญอยู่ 2 ประการหลักๆ คือ
งานส่วนที่ 1 งานด้านการรักษาความสงบเรียบร้อยทั่วราชอาณาจักร การประกาศใช้กฎอัยการศึก เป็นความจำเป็น ซึ่งเป็นกฎหมายความมั่นคงสูงสุดที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สามารถหยุดความรุนแรงได้ทันที โดยที่ผ่านมากฎหมายปกติปัจจุบันไม่สามารถยุติความขัดแย้งรุนแรงได้เลย ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแก่ประชาชนทุกหมู่เหล่า ให้ประชาชนได้เรียนรู้และเคารพกฎหมาย ลดความขัดแย้ง โดยยึดหลักกฎหมายและสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จะพยายามใช้อำนาจเท่าที่จำเป็น ไม่ใช้อำนาจเกินขอบเขต โดยให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด ระมัดระวังการละเมิดสิทธิมนุษยชน เมื่อสถานการณ์กลับไปสู่ภาวะปกติ จะได้กลับไปใช้กฎหมายปกติโดยเร็วที่สุด
ในส่วนของการประกาศห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถาน หรือเคอร์ฟิวนั้น มีความมุ่งหมายเพื่อให้ คสช. สามารถจัดระเบียบและดูแลความสงบเรียบร้อย ให้เข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อเสรีภาพในการเดินทางและการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนอยู่บ้าง โดยในระยะแรกอาจต้องเข้มงวด เพื่อแยกแยะผู้ก่อเหตุรุนแรงกับประชาชนทั่วไป สกัดกั้นการขนย้ายอาวุธสงคราม วัตถุระเบิดและการกระทำผิดกฎหมายอื่นๆ เช่น ยาเสพติด อาชญากรรม การลักลอบขนส่งผิดกฎหมาย รวมทั้งการปราบปรามกลุ่มติดอาวุธที่ได้ก่อเหตุความรุนแรงมาอย่างต่อเนื่องในห้วงที่ผ่านมา และมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้นต่อไป ตามที่มีผลการจับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงและอาวุธสงคราม สิ่งผิดกฎหมาย และความผิดอื่นๆ โดยการปฏิบัติร่วมของเจ้าหน้าที่ พลเรือน ตำรวจทหารได้เป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา
เราตระหนักถึงผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนจากการเคอร์ฟิวเช่นกัน จึงได้มีการประกาศลดระดับการเคอร์ฟิวลงตามสถานการณ์ ซึ่งในห้วงที่ผ่านมา คสช. ได้ผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวไปแล้วในระดับหนึ่ง โดยการปรับลดเวลาจากเดิน 22.00 - 05.00 น. ปัจจุบันเป็น เที่ยงคืน - 04.00 น. ทั้งนี้หากเหตุการณ์เป็นปกติมากยิ่งขึ้น พื้นที่ที่ไม่มีสถานการณ์ หรือพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวจะได้พิจารณาปรับลดมาตรการลง เพื่อให้ธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการอื่นๆ คล่องตัวขึ้น และจะนำไปสู่การยกเลิกได้ในไม่ช้าหรือโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาระหว่างมีการประกาศห้าม ได้มีมาตรการบรรเทาผลกระทบโดยการยกเว้นให้แก่ประชาชน หน่วยงานที่มีความจำเป็น เช่น แพทย์ โรงพยาบาล การส่งผู้ป่วยเจ็บ การขนส่งเชื้อเพลิง การเดินทางไปต่างประเทศ การเดินทางของพนักงานที่ทำงานเป็นผลัดในห้วงเวลากลางคืน ฯลฯ โดยการขออนุญาตกับด่านตรวจ ทหารตำรวจในเส้นทางที่สัญจร ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ประชาชนทุกครอบครัวมีความสุข มีความปลอดภัย ทุกคนได้กลับไปอยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตากัน หลังประสบกับสถานการณ์เสี่ยงภัยอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความรุนแรง และการชุมนุมที่ยาวนานกว้างขวางที่เกิดขึ้นตลอดห้วงระยะเวลากว่า 6 เดือนที่ผ่านมา และดำรงชีวิตท่ามกลางความขัดแย้งมาเกือบ 9 ปีเต็ม การเชิญบุคคลมรายงานตัว มีความจำเป็นโดยการเชิญผู้ที่อยู่ในความขัดแย้ง ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เช่น แกนนำ ผู้สนับสนุน นักวิชาการและอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง หรือโดยอ้อมที่เกิดขึ้นได้ รวมทั้งบุคคลบางคนที่อาจมีอิทธิพลในเชิงสัญลักษณ์ ในการระดมมวลชนสร้างความขัดแย้งขึ้นมาอีก จากการแสดงความคิดเห็นตามกระบวนการประชาธิปไตย อย่างไรก็ตามหากการแสดงออกดังกล่าว มีผลกระทบต่อความสงบสุขโดยรวมก็จะถูกเชิญตัวมาชี้แจง คัดแยก ไปดูแลเพื่อสงบสติอารมณ์ และคิดทบทวนว่าที่ผ่านมาได้ทำอะไรไปบ้าง ซึ่งอาจผิดบ้าง ถูกบ้าง ตามความเชื่อเหตุผลส่วนตน เพื่อให้ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง และคิดได้ว่าเราจะมีส่วนช่วยและร่วมมือกับทุกกลุ่มทุกฝ่าย เพื่อนำพาประเทศชาติไปข้างหน้าได้อย่างไร ซึ่งตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก มีอำนาจควบคุมตัวได้ 7 วัน หากมีความผิดก็จะต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป เช่น ส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งฟ้องศาล
บุคคลที่ถูกเชิญตัวมา บางคนอาจถูกควบคุมตัวแล้วแต่กรณี เช่น 1-2 วัน, 3-4 วัน, 5-6 วัน อย่างไรก็ตามหากมีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางใช้ความรุนแรง จะถูกควบคุมนานกว่าคนอื่น แต่ไม่เกิน 7 วัน โดยจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ทั้งในส่วนของความเป็นอยู่หลับนอน และอาหารการกิน โดยที่ไม่มีการบังคับขู่เข็ญ ซ้อมทรมาน พันธนาการ หรือละเมิดสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด สำหรับผู้ที่ไม่มารายงานตัวนั้น ต้องถือว่าไม่ให้ความร่วมมือในการสร้างความปรองดอง และยังคงมุ่งมั่นที่จะต่อสู้เอาชนะ ฝ่าฝืน กฎอัยการศึก โดยไม่เคารพกติกา กฎหมายความมั่นคงสูงสุดในปัจจุบัน ต้องถูกดำเนินการอย่างเด็ดขาดตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลบางกลุ่มที่ยังคงต่อสู้ด้วยความรุนแรง โดยใช้อาวุธสงคราม หรือวัตถุระเบิด ก็จะต้องถูกปราบปรามอย่างเด็ดขาดเช่นกัน
เราจะต่อสู้กันด้วยการยึดเพียงแนวความคิดของตน หรือการตีความกฎหมายเพื่อเข้าข้างแต่ละฝ่ายไม่ได้อีกต่อไป เพราะมีแต่จะก่อให้เกิดความแยกแยกไม่มีที่สิ้นสุด คนส่วนใหญ่ทั้งประเทศไม่มีความสุข ประเทศขาดเสถียรภาพ และความน่าเชื่อถือจากต่างประเทศ ดังนั้น ทุกกลุ่มทุกฝ่ายต้องหันมาร่วมมือกัน เสริมสร้างความรักความสามัคคี ความปรองดองสมานฉันท์ ยุติการใช้ความรุนแรงต่อกัน สิ่งใดที่จะเป็นข้อขัดแย้งหรือเห็นต่าง ต้องอยู่ร่วมกันให้ได้ก่อน และให้นำมาหารือเพื่อหาทางออกให้เป็นที่ยอมรับของทุกกลุ่มทุกฝ่าย เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้ และคืนความสงบสุขให้กับประชาชนทุกหมู่เหล่า
การประกาศห้ามชุมนุมทางการเมืองหรือต่อต้าน คสช. เกิน 5 คนนั้น มีความจำเป็น เนื่องจากช่วงนี้เป็นระยะเริ่มแรกของการปฏิบัติงาน คสช. ต้องการให้เกิดความสงบสุขและความปลอดภัยอย่างแท้จริงโดยทันที คสช. ไม่สามารถให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด มาแสดงความขัดแย้ง ต่อต้านได้ เพราะจะเป็นเหตุให้ฝ่ายอื่นๆ ออกมาต่อสู้กันอีก จนทำให้เหตุการณ์บานปลาย ขยายตัว ดังนั้น จึงขอร้องให้ประชาชนทุกพวกทุกฝ่ายอย่าได้ออกมาชุมนุมในห้วงนี้ เพื่อจะได้ไม่เกิดการปะทะกัน หรือเกิดเป็นปัญหาเพิ่มเติมขึ้นมาอีก อย่างไรก็ตาม คสช. มีความจำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย ต่อผู้ที่มาชุมนุมทุกพวกทุกฝ่าย ที่ละเมิดการประกาศห้ามดังกล่าว ด้วยมาตรการที่เหมาะสมในการปฏิบัติ
การระงับ ควบคุมสื่อต่างๆ บางสื่อ หรือบางสถานี หรือบางรายการนั้น ในระยะนี้มีความจำเป็นอย่างมาก เนื่องจากตลอดระยะเวลาประมาณ 9 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งการชุมนุมประท้วงล่าสุด 6 เดือนที่ผ่านมา ได้มีการใช้สื่อทุกประเภทรวมทั้งสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ มาบิดเบือน ปลุกระดม ปลุกปั่น ต่อสู้ และสร้างความเกลียดชังต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง มีทั้งถูก และผิด เจตนาดีต่อบ้านเมืองก็มี ทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นมาตามลำดับ มีการข่มขู่ใช้ความรุนแรงต่อฝ่ายตรงข้าม และมีการสร้างความเข้าใจผิดต่อผู้ที่เห็นต่าง หรือประชาชนที่อยู่ตรงกลาง จนทำให้เกิดความสับสนต่อความเข้าใจของประชาชนตลอดเวลา โดยฝ่ายหนึ่งมองเห็นความไม่ชอบธรรมซึ่งมีหลายเรื่องที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมแล้ว ในขณะที่อีกฝ่ายโต้แย้งด้วยข้อกฎหมาย อำนาจรัฐ และด้วยความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้ไม่สามารถยุติปัญหาลงได้ด้วยวิถีทางของประชาธิปไตย นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่ความคิดเห็นของนักวิชาการและผู้ที่ไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงมีข้อมูลไม่ครบถ้วน ทำให้เกิดความสับสนในสังคม ทำให้การแก้ไขปัญหายุ่งยากขึ้นไปอีก จึงจำเป็นต้องมีการระงับสื่อดังกล่าว อย่างไรก็ดี คสช. ไม่มีนโยบายปิดกั้นสื่อสังคมออนไลน์แต่อย่างใด
การปรับย้ายข้าราชการของทุกกระทรวง ทบวง กรม เป็นเรื่องภายในของทุกหน่วยงาน โดยมีเหตุผลความจำเป็นในการดำเนินการ เพื่อลดความขัดแย้งที่มีมาแต่เดิม ส่วนประเด็นที่กล่าวหาว่าเป็นการโยกย้ายอีกฝ่าย หรือเป็นการรังแกข้าราชการ ซึ่งหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ทั้งนี้ในข้อเท็จจริง ก็สืบเนื่องจากว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาในอดีตกับกระบวนการใช้อำนาจรัฐในทุกพื้นที่ หรือมีอำนาจในการบริหารองค์กร รวมทั้งเป็นข้าราชการที่ทำหน้าที่ให้กับรัฐ ซึ่งไม่สามารถทำให้รัฐบาลแก้ไขปัญหา หรือลดความขัดแย้งภายในองค์กร หรือระหว่างส่วนราชการกับประชาชนในพื้นที่ได้ จึงจำเป็นต้องปรับเพื่อความเหมาะสม โดยเป็นนโยบายให้ส่วนราชการโดยปลัดกระทรวง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการ ในกรอบอำนาจของตนเอง สำหรับในส่วนที่มีการปรับย้ายข้ามกระทรวงหรือสังกัดหน่วยงานอื่นที่อยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรี/คณะรัฐมนตรี ก็จำเป็นต้องใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ในการอนุมัติและลงนาม ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างความไว้วางใจ กับประชาชนและสังคมให้เกิดการยอมรับ มิได้ถือเป็นความผิดส่วนบุคคลแต่ประการใด ยังเคารพเกียรติยศของความเป็นข้าราชการในทุกองค์กรอยู่เสมอ

งานส่วนที่ 2 การขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินให้ได้โดยเร็วที่สุด
หลังจากที่การบริหารราชการแผ่นดิน สะดุดหยุดอยู่กับที่มาหลายเดือน จนงบประมาณปี 2557 ต้องหยุดชะงักบางรายการ ไม่สามารถเบิกจ่าย หรือดำเนินการได้ ประชาชน/ส่วนราชการ เดือดร้อนจากปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องปลดล็อก หาทางออกด้วยรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม จากนั้นจะต้องดำเนินการในเรื่องการจัดทำงบประมาณปี 2558 ให้ได้ทันกำหนดเวลา ซึ่งวาระการจัดทำงบประมาณใกล้จะสิ้นสุด เพื่อประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้ในปีงบประมาณ 2558 และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะได้ทันต่อการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่กำลังจะมาถึงในปลายปีหน้านี้
หลักการสำคัญของ คสช. ในการบริหารราชการในสถานการณ์ไม่ปกติในปัจจุบัน คือ ใช้ระเบียบบริหารงานปกติของทุกส่วนราชการให้มากที่สุด เว้นในเรื่องที่เป็นปัญหาติดค้าง หรือปัญหาเร่งด่วน ทั้งนี้ คสช. มิได้ไปสั่งการส่วนราชการให้ปฏิบัติ หรือไม่ต้องปฏิบัติในสิ่งผิดกฎหมายหรือผิดระเบียบ เพื่อผลประโยชน์ใครแต่ประการใด หรือ คสช. ตกลงใจเองโดยพลการ เพียงแต่จัดคณะทำงานประสานงาน หรือฝ่ายต่างๆ รวมกับข้าราชการประจำ จากแต่ละกระทรวง ไปร่วมกันขับเคลื่อนงานให้มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว โปร่งใส ได้รับความพึงพอใจและไว้วางใจจากประชาชน การใช้จ่ายงบประมาณที่เกรงว่า คสช. จะมาใช้จ่ายงบประมาณอย่างไม่จำกัดนั้น ขอเรียนว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกอย่างต้องอยู่ในระเบียบวินัย การเงิน การคลัง ของทุกกระทรวง ทบวง กรม รวมทั้งมีการหารือ สอบถามกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย สามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา เพื่อให้เกิดความรอบคอบก่อนการดำเนินการ
การใช้จ่ายงบประมาณ จะไม่ใช้จ่ายจนเกินกำลัง จนเสียวินัยการเงินการคลังของประเทศ และไม่เกินยอดหนี้สาธารณะ ซึ่งกำลังตรวจสอบตัวเลขที่แท้จริงในปัจจุบัน ในยอดงบประมาณที่ใช้ไปแล้วและยังไม่ได้ใช้ ซึ่งมีผลผูกพันต่างๆ อีกมากมาย เพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือในด้านการเงินการคลังของประเทศไทยในสายตาของต่างประเทศและสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่างประเทศที่จับตามองสถานะเศรษฐกิจ ขีดความสามารถของประเทศไทยอยู่ในขณะนี้ ว่าจะมาร่วมลงทุนอีกหรือไม่ ทั้งนี้โชคดีที่ไทยมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจดีอยู่แล้ว หากมีการขับเคลื่อนที่ดีต่อไปน่าจะไม่น้อยหน้าใครในภูมิภาคอาเซียน และของโลกในอนาคต
การใช้จ่ายงบประมาณปี 2557 จะเริ่มจาก
- แผนงาน/โครงการที่ค้างคาอยู่เร่งด่วนซึ่งมีผลต่อประชาชนและเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะความต้องการพื้นฐานของประชาชน เงินหมุนเวียนในระบบ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการจากการจ่ายเงินจำนำข้าวที่ติดค้างอยู่ประมาณ 92,000 ล้านบาท ขณะนี้ได้เริ่มทยอยจ่ายไปแล้วเป็นบางส่วน
- แผนงาน/โครงการที่ได้อนุมัติไว้แล้ว แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากติดขัดปัญหากฎหมายในรัฐบาลที่ผ่านมา โดยจะเร่งตรวจสอบ จัดลำดับความเร่งด่วนและดำเนินการให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะงบประมาณที่จะทำให้เกิดผลต่อเงินหมุนเวียนในระบบ งบภัยพิบัติ การซ่อมแซมสาธารณูปโภค ปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วนเฉพาะหน้า เป็นต้น โดยมิได้เป็นการใช้งบประมาณจำนวนมากในโครงการขนาดใหญ่แต่อย่างใด
-โครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการมูลค่า 2 ล้านล้าน, 3.5 แสนล้าน จะนำมาพิจารณาดูอย่างรอบคอบว่าโครงการใดที่เป็นประโยชน์ ก็จะนำไปสู่การปฏิบัติเฉพาะเรื่อง แยกพิจารณา แยกดำเนินการใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เริ่มต้นได้อย่างโปร่งใส เช่น รถไฟรางคู่ รถไฟฟ้า สาธารณูปโภคอื่นๆ ที่จำเป็นต้องดำเนินการก่อน หาวิธีการเริ่มต้นโดยใช้งบประมาณประจำปี หรือใช้การลงทุนโดยภาคเอกชน ฯลฯ เพื่อเป็นการลดภาระการใช้จ่ายจากการกู้เงินจำนวนมาก อันจะเป็นผลผูกพันระยะยาว แต่ต้องโปร่งใสมีประสิทธิภาพ ไม่ทำทั้งหมด ทุกแผนงานโครงการต้องเริ่มต้นด้วยการบูรณาการเกิดประโยชน์ เกื้อกูลกัน โครงการต่อโครงการ กระทรวงต่อกระทรวง ในงบประเภทเดียวกัน เกิดประโยชน์ต่อประชาชนโดยรวม ไม่ได้ทำแผนงานโครงการตามฐานเสียงหรือเหตุผลทางการเมืองทำให้ประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรม เช่นในอดีตที่เป็นมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ซึ่งคงนำไปหารือในการจัดทำงบประมาณปี 58 และน่าจะอยู่ในการพิจารณาดำเนินการของรัฐบาล/ ครม. ที่จะจัดตั้งขึ้นโดยเร็วที่สุด ได้ทันก่อนการเริ่มต้นปีงบประมาณ 58 คือ 1 ต.ค. 57 เป็นต้นไป
การจัดทำและการดำเนินงานด้านงบประมาณทุกแผนงาน/โครงการ จะใช้การดำเนินการให้ใกล้เคียงกับการมีรัฐบาลปกติ ที่สำคัญเน้นให้สามารถรับการตรวจสอบได้ในเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณจากหน่วยรับผิดชอบในการตรวจสอบได้ตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความโปร่งใสเป็นธรรมและมีการใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน การขุดลอกคูคลอง/การสร้างถนน เส้นทางเชื่อมต่ออาเซียน หรือซ่อมแซมให้ใช้งานได้ดี จะต้องรีบดำเนินการโดยทันที แต่ต้องไม่เป็นภาระกับรัฐบาลใหม่ และเป็นปัญหาอื่นๆ ในอนาคตอีก เน้นการใช้จ่ายงบประมาณด้วยการบูรณาการหน่วยงานและงบประมาณของหน่วยที่รับผิดชอบ ต้องร่วมมือกัน
สำหรับราคาพืชผลการเกษตรอื่นๆ อีกหลายอย่าง ก็กำลังหามาตรการดูแลให้เกิดความยั่งยืน ว่าจะทำได้อย่างไรในปีงบประมาณ 58 โดยไม่ให้นำไปสู่โครงการประชานิยม ซึ่งจะเกิดปัญหาตามมาอีกมากมายในอนาคต โดยให้แนวทางไปพิจารณาในเรื่องลดต้นทุนการผลิต สนับสนุนปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ การพัฒนาพันธุ์ ส่งเสริมตลาดรวมการเกษตรทุกพื้นที่ พัฒนาให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจากเดิมโดยใช้พื้นที่ให้น้อยลง เพิ่มการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง และหาวิธีใช้ประโยชน์วัตถุดิบภายในประเทศ เพื่อเพิ่มมูลค่าจากวัตถุดิบให้สูงขึ้น ราคาสินค้าก็ต้องให้เป็นไปตามกลไกตลาดการค้าเสรี มุ่งเน้นเพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตรให้สูงขึ้น แข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว
ปัจจุบัน คสช.ได้เร่งรัดให้มีการจ่ายหนี้ให้กับชาวนาเร่งด่วน อีกประการหนึ่งคือจากการที่ ธกส. มีการติดค้างการจ่ายเงินชาวนามาเป็นเวลานานทำให้ชาวนาเสียโอกาส คสช. กำลังพิจารณาว่าจะให้ความช่วยเหลืออย่างไร ซึ่งจะพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับการส่งเสริมการค้าเสรีอย่างเป็นธรรม การลดการผูกขาด จัดตั้งตลาดกลาง การควบคุมราคาสินค้าสำหรับอุปโภค บริโภค การลด-เพิ่มภาษีต่างๆ กำลังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้มีการกำหนดพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ส่งเสริมโรงงานขนาดเล็กตามแนวชายแดนและชนบทหรือช่องทางผ่านแดนที่สำคัญเพื่อให้แรงงานผิดกฎหมายไม่เข้ามาหางานในพื้นที่ตอนใน ลดความแออัดของพี่น้องประชาชนไทยที่ต้องเข้ามาหางานในเมืองใหญ่ให้มากที่สุด
ในส่วนของพลังงาน อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะมีมาตรการดูแลได้อย่างไรบ้าง แต่ทุกอย่างต้องอยู่ในกติกา วินัยการเงินการคลัง กฎเกณฑ์ กติกาของตลาดหลักทรัพย์ บริษัทมหาชน รวมถึงการพิจารณาจัดตั้งกองทุนในภาคเอกชนเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนหาวิธีดำเนินการจัดตั้งกองทุนประเทศขนาดใหญ่เพื่อลดการลงทุนของรัฐ ในส่วนของรัฐวิสาหกิจกำลังพิจารณาทบทวนปรับปรุงให้ดีขึ้นให้ทันสมัย เร่งพิจารณาถึงการพัฒนาความมั่นคงด้านพลังานของไทย รวมทั้งเร่งพัฒนาในเรื่องพลังงานทดแทน ทั้งจากลม/แสงแดด และพืชพลังงานอื่นๆ ให้เหมาะสมโดยเร็ว
คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจต่างๆ มีความจำเป็นจะต้องปรับให้อยู่ในระเบียบ มีมาตรฐาน มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ มาบริหารงานให้มีความโปร่งใส มีการตรวจสอบและมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี
กล่าวโดยสรุปคือ ประเทศ และประชาชนชาวไทยยังมีปัญหาอีกมากมายที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข และจัดระเบียบ ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการแก้ไขให้ได้โดยเร็ว ที่ผ่านมาเวลาในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติได้สูญเปล่าไปกับความขัดแย้งของคนภายในชาติไปมากพอแล้ว เราจำเป็นต้องเดินหน้าต่อไป เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
000
สำหรับ Road Map ของ คสช. ระยะที่ 1 ช่วงแรกของการควบคุมอำนาจการปกครอง จะต้องดำเนินการในเรื่องปรองดองสมานฉันท์ให้เร็วที่สุด ในกรอบเวลา 2-3 เดือน นอกจากงานความมั่นคงและขับเคลื่อนได้ เริ่มจัดตั้งศูนย์การปรองดองสมานฉันท์ เพื่อการปฏิรูปทั้งในส่วนกลางและในระดับพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปในระยะที่ 2 โดยทุกพื้นที่ต้องเริ่มจากครอบครัว หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังวัด คสช. ได้มอบหมายให้ กอ.รมน. ดำเนินการโดยเริ่มรวมกลุ่มจากเล็ก มาใหญ่ เพื่อให้ผู้เห็นต่างได้พบปะพูดคุยกันแต่เนิน และมิให้เป็นปัญหาต่อไปในระยะที่สอง รวมทั้งจัดตั้งคณะทำงานเตรียมการปฏิรูปเพื่อเตรียมการสู่การปฏิบัติให้พร้อมในระยะที่ 2 โดยปราศจากความขัดแย้งตั้งแต่บัดนี้ ซึ่งมิได้มีการดำเนินการในเรื่องการปรับโครงสร้างของส่วนราชการใดๆ เรียกผลประโยชน์ ค่าตอบแทน หรือการนิรโทษกรรมใดๆ ทั้งสิ้นในปัจจุบัน
ระยะที่ 2 การใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งกำลังดำเนินการจัดทำอยู่โดยฝ่ายกฎหมาย จะมีการจัดตั้งสภานิติบัญญัติ สรรหานายกรัฐมนตรี ตั้งคณะรัฐมนตรีบริหารราชการ ร่าง/จัดทำรัฐธรรมนูญ พร้อมกับการตั้งสภาปฏิรูปเพื่อปฏิรูปการแก้ไขในทุกเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องการ และเป็นที่ยอมรับ โดยน่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี มากหรือน้อยกว่านั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากสถานการณ์เรียบร้อยปกติ ปฏิรูปสำเร็จ ปรองดอง สมานฉันท์กับทุกฝ่าย ประชาชนมีความรักความสามัคคีกัน ก็จะเริ่มดำเนินการก้าวเข้าสู่ระยะที่ 3
ระยะที่ 3 การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ที่ทุกพวกทุกฝ่ายพอใจ กฎหมายทันสมัยในทุกด้าน กฎระเบียบ กติกาต่างๆ ได้รับการแก้ไข ได้คนดี สุจริต มีคุณธรรม มาปกครองบ้านเมืองด้วยหลักธรรมาภิบาล
สิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดจะไม่สำเร็จโดยเร็วอย่างที่ทุกคนต้องการได้เลย หากยังมีความไม่สงบเกิดขึ้น การประท้วงด้วยความไม่เข้าใจในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และไม่เข้าใจในเหตุผลการควบคุมอำนาจในครั้งนี้ ว่าทำเพื่อประเทศไทยและคนไทยทุกคน รวมทั้งส่งผลดีต่อการพัฒนาความสัมพันธ์และเพิ่มผลประโยชน์ของไทยและมิตรประเทศได้ในอนาคตอันใกล้
ผมคิดว่าคนไทยทุกคนเหมือนผม ไม่มีความสุขมาประมาณ 9 ปีแล้ว และทุกคนอยู่ในความสุขสงบมากตั้งแต่ 20 และ 22 พ.ค. 57 เป็นต้นมา คสช. ไม่ต้องการก้าวเข้าสู่อำนาจ ไม่ต้องการใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ใดๆ เลย แต่ประเทศเดินหน้าต่อไปไม่ได้ถ้าทหารและข้าราชการไม่ทำอะไร ใครจะมาดูแลท่าน ใครจะแก้ปัญหาให้ท่าน ในเมื่อประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์เดินต่อไปไม่ได้ ด้วยความขัดแย้ง เจ้าหน้าที่ถูกตำหนิ ประชาชนไม่ไว้วางใจ การบังคับใช้กฎหมายปกติทำไม่ได้ ขอให้เชื่อมั่นในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ทั้งข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ประเทศชาติต้องมาก่อนเสมอ
คสช.เข้าใจความรู้สึกของชาวต่างประเทศ เราเข้าใจดีถึงกฎเกณฑ์ของสังคมโลกในปัจจุบัน คือโลกของประชาธิปไตย แต่ขอให้เวลาเราในการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ค่านิยม และอะไรอีกหลายอย่าง เพื่อแก้ประชาธิปไตยของไทยให้เป็นสากล ถูกต้อง ชอบธรรม รับผิดชอบ เสียสละ นึกถึงประโยชน์ของประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย ทุกพื้นที่ ทั้งประชาชนเสียงข้างมากข้างน้อย ต้องได้รับความพึงพอใจอย่างทั่วถึงกัน หากทุกคนร่วมมือกันนำพาประเทศก้าวไปข้างหน้าอย่างปลอดภัยยั่งยืน ทุกอย่างก็จะผ่อนคลายไปตามลำดับ เราเข้าใจว่าทุกคนคงต้องเลือกประเทศชาติก่อนประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์เช่นกัน
มีเรื่องอื่นๆ อีกมากมายที่พวกเราต้องช่วยกันทำ ซึ่งคงไม่สำเร็จหากยังมีการประท้วงหรือไม่ร่วมมืออยู่ ขอเวลาให้เราได้แก้ไขปัญหาให้ท่านโดยเร็ว จากนั้น ทหารก็จะกลับไปทำภารกิจของเราต่อไป และคอยเฝ้ามองประเทศชาติ และประชาชนชาวไทยก้าวต่อไปข้างหน้าสู่อนาคต ด้วยความสุขแบบยั่งยืน ตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นที่รักยิ่งของชาวไทยทุกคน สวัสดีครับ

บรรยากาศงานรื่นเริงบ้างครับ เรียกได้ว่าเป็นงาน "ปิดจ็อบ" ของบรรดาแกนนำ กปปส.



            วันนี้ดูภาพเครียดๆมาทั้งวันแล้ว เรามาดูบรรยากาศงานรื่นเริงบ้างครับ เรียกได้ว่าเป็นงาน "ปิดจ็อบ" ของบรรดาแกนนำ กปปส. ไม่ว่าจะเป็น สุเทพ ศรีสกุล ขิง ตั๊น ลูกหมี ปอง ทยา ณัฐพล และอีกหลายๆคน โดยงานดังกล่าวมาใน Theme ชุดทหาร (ชุดลายพราง) เพื่อฉลองที่คณะรัฐประหารของ "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" เข้ายึดอำนาจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ถือเป็นความสำเร็จของ กปปส. ที่เรียกรถถังออกมา ดังนั้นต้องฉลองใหญ่!

         ข่าวว่างานสนุกมากเลยทีเดียว แต่ กปปส. รู้หรือไม่? แกนนำ นปช. หลังจากยุติการชุมนุม ไม่เคยมีใครไปนั่งฉลอง หรือฉลองแต่ไม่มาโพสต์คลิปโอ้อวด รื่นเริง สนุกสนาน เพราะในระหว่างที่พวกคุณกำลังมีความสุข คนที่เคลื่อนไหวกับคุณมา 6 เดือน บางครอบครัว สมาชิกเขาจากไปแบบไม่มีวันกลับ ส่วนสาเหตุที่โดนยิงต่างๆ คงต้องรอการพิสูจน์และตัดสินในชั้นศาลต้องว่ากันไป กปปส. ชุมนุมมา 6 เดือน มีคนเสียชีวิต 20 กว่าราย

          ยังไม่รวมที่พวกท่านไปขัดขวางการสมัครรับเลือกตั้ง และ ฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน จนทำให้ตำรวจต้องเสียชีวิต บาดเจ็บอีกมากมาย

            เหตุการณ์ที่รามคำแหง คนเสื้อแดงเสียชีวิต 3 ศพ นศ.ราม ตายอีก 2 ศพ เพราะพวกคุณนำการ์ดแฝงไปดักยิงทำร้ายทั้ง 2 ฝ่าย แล้วโยนความผิดให้คนเสื้อแดงที่ราชมังคลา ปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังระหว่างกัน










            กองกำลังป็อปคอร์น ที่เอามายิงคนที่หลักสี่ "ลุงอาเกว" นอนอัมพาตอยู่ทุกวันนี้ กปปส. และ พุทธอิสระ เคยแสดงความรับผิดชอบอะไรไหม นอกจากรอวันที่ตบรางวัลจากเบื้องหลัง ประชาชนไม่ได้อะไร ประเทศชาติไม่ได้อะไร มีแต่ความสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย

           ที่ผมไล่มา ไม่มีอะไรน่าฉลองเลยครับ มีแต่ควรจะเงียบๆ  สำเนียกในสิ่งที่ทำลงไป เงินบริจาคทั้งหลายเอาไปจัดงานฉลองหมดแล้วซินะ ดื่มด่ำความสุข บนกองศพประชาชน

ทุเรศจริงๆ


ทหารรวบ 'พิชิต พิทักษ์' เอ็นจีโออีสาน เข้าค่าย ร.8 ขอนแก่น



30 พ.ค. 2557 เนชั่นทันข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 16.00 น. ทหารบุกค้นบ้านรวบตัว นายพิชิต พิทักษ์ นักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย และองค์การพัฒนาเอกชน ที่บ้านพักใน อ.กระนวน จ.ขอนแก่น โดยเข้าไปรื้อค้นเอกสาร พร้อมจับตัวไปที่ค่าย ร.8 พร้อมนำเอกสารและเครื่องมือสื่อสารไปได้วย โดยที่ผ่านมา นายพิชิต มีบทบาทในการรณรงค์ประชาธิปไตยในภาคอีสาน

เว็บประชาธรรมถูกบล็อก คาดเหตุจากบทความวิจารณ์ชนชั้นกลางไทย



เว็บไซต์ประชาธรรม ซึ่งนำเสนอข่าวสารของภาคประชาสังคมและวิชาการ ถูกบล็อกวันนี้ โดยได้รับจดหมายแจ้งจากผู้ให้บริการพื้นที่ (web hosting) โดยคัดลอกข้อความคำสั่งว่า
"สืบเนื่องจาก คสช. ได้ตั้งคณะกรรมการและ จนท. เพื่อตรวจสอบการกระทำผิด ทาง Internet ณ ศูนย์เทคโนโลยีทางทหาร (MTC/ศทท) ในการนี้ทาง THIX ได้รับคำสั่งให้จัด จนท. ใว้คอยประสานงานร่วมกับ ISP รายอื่นๆ อนึ่ง ทาง THIX ได้รับคำสั่งจากคณะ คตส.ของ ศทท. ให้ดำเนินการปิดกั้น URL ตรวจสอบพบว่าเป็น IP ที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของ IDC ดังนี้
www.prachatham.com/detail.htm?code=i1_08092011_01
Name: www.prachatham.com"
ทางเว็บไซต์ประชาธรรมได้ตรวจสอบ url ที่แนบมา พบว่าเป็นบทความวิชาการของนักวิชาการไทยศึกษา ชาวญี่ปุ่น  ศ.ทามาดะ โยชิฟูมิ จากมหาวิทยาลัยเกียวโต ซึ่งแสดงความเห็นด้วยกับการนำเสนอของอ.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี ที่ระบุว่า ขบวนการเสื้อแดงเป็นขบวนการที่ข้ามชนชั้น เป็นการรวมตัวกันของคนหลายชนชั้น หลายสถานะอาชีพ ซึ่งทำให้สามารถคิดต่อไปได้ว่าคนเสื้อแดงกำลังสร้างความหมายของคำว่า "ชาติ" ใหม่ ที่หมายถึงประชาชน เพื่อต่อสู้กับนิยามความหมายของคำว่า "ชาติ"ของฝ่ายตรงข้าม ฉะนั้นจึงน่าสนใจว่าขบวนการเสื้อแดงในอนาคตจะเป็นอย่างไร ในตอนท้ายของการแสดงความเห็น ศ.ทามาดะ ได้วิพากษ์สื่อมวลชนและปัญญาชน ที่มักจะยกย่องฐานะชนชั้นกลางให้สูงกว่าชนชั้นอื่น แล้วมองชนชั้นที่ต่ำกว่าว่า "โง่" รวมถึงให้มาตรฐานการดำเนินชีวิตที่คนเสื้อแดงต้องดำเนินตาม ทั้งที่ "ชนชั้นกลางก็ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยมากกว่า ไม่ได้มีคุณภาพและคุณธรรมมากกว่า"
ทั้งนี้บทความดังกล่าว เป็นบทความเก่านำเสนอไปตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2554
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางเว็บไซต์ประชาธรรมกำลังหารือว่าจะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ในเบื้องต้นยังคงสามารถนำเสนอข่าวสารผ่านแฟนเพจต่อไป