วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

รอยเตอร์ตีข่าวทั่วโลก "ปลัดไอซีที" ของไทย ยอมรับลงมือบล็อกเฟซบุ๊กชั่วคราวจริง




           วันที่ 28 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานข่าวหัวข้อ "Thai ministry sparks alarm with brief block of Facebook." อ้างคำให้สัมภาษณ์ของนายสุรชัย ศรีสารคาม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ซึ่งยอมรับกับรอยเตอร์ว่า เหตุสับสนอลหม่านกรณีนักท่องเน็ตชาวไทยเข้าเว็บโซเชียลมีเดียชื่อดัง "เฟซบุ๊ก" ไม่ได้ราวๆ 30 นาทีนั้นเป็นเพราะว่าทางกระทรวงไอซีที ทำการ "บล็อก" การเข้าถึงเฟซบุ๊กชั่วคราวนั่นเอง

            โดยประโยคที่รอยเตอร์รายงานคำพูดดังกล่าวของปลัดสุรชัยคือ "We have blocked Facebook temporarily and tomorrow we will call a meeting with other social media, like Twitter and Instagram, to ask for cooperation from them," Surachai Srisaracam, permanent secretary of the Information and Communications Technology Ministry, told Reuters.

            "Right now there′s a campaign to ask for people to stage protests against the army so we need to ask for cooperation from social media to help us stop the spread of critical messages about the coup," he said."

           ทั้งนี้ คำแปลประโยคข้างต้น มีดังนี้ "เราบล็อกเฟซบุ๊กชั่วคราว และพรุ่งนี้ (29 พ.ค.57) เราจะเรียกประชุมร่วมกับโซเชียลมีเดียอื่นๆ เช่น ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม เพื่อขอความร่วมมือ / ขณะนี้มีการณรงค์ให้ประชาชนออกมาประท้วงกองทัพ ดังนั้นเราจึงต้องขอความร่วมมือจากผู้ให้บริการโซเชียลมีเดีย ในการช่วยเราหยุดการเผยแพร่เสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำรัฐประหาร"

        นอกจากนั้นรอยเตอร์ ยังอ้างแหล่งข่าวอาวุโสในกระทรวงไอซีที เผยว่า เฟซบุ๊กในไทยถูกบล็อก เพื่อขัดขวางยับยั้งการเผยแพร่เสียงวิพากษ์วิจารณ์กองทัพหลังก่อรัฐประหาร 22 พ.ค. 57

สำหรับต้นฉบับข่าวภาษาอังกฤษ มีดังนี้

          Thai ministry sparks alarm with brief block of Facebook  BANGKOK Wed May 28, 2014 5:12pm IST ลิงก์ : http://in.reuters.com/article/2014/05/28/thailand-politics-facebook-idINKBN0E80U520140528

           (Reuters)- Thai Facebook users were alarmed on Wednesday when the Information Communications Technology (ICT) Ministry blocked access to the site at the request of the military, but the junta blamed the brief shutdown on a technical problem.

Tweets, email and instant messenger traffic went into overdrive as confused users rushed to find out what had happened to Facebook, a site used by millions of Thais but inaccessible for about 30 minutes in the afternoon.

A senior ICT ministry official confirmed the site had been blocked to thwart the spread of online criticism of the military in the wake of a May 22 coup.

"We have blocked Facebook temporarily and tomorrow we will call a meeting with other social media, like Twitter and Instagram, to ask for cooperation from them," Surachai Srisaracam, permanent secretary of the Information and Communications Technology Ministry, told Reuters.

"Right now there′s a campaign to ask for people to stage protests against the army so we need to ask for cooperation from social media to help us stop the spread of critical messages about the coup," he said.

Small protests have taken place daily against the regime, organised mainly on social media, testing the military as it seeks to assert its influence over the media and curtail dissent.

The junta has banned gatherings, imposed a curfew, arrested scores of activists and politicians and told print and broadcast media to refrain from critical reporting of the military. Foreign news channels like CNN, BBC and Al Jazeera have been blocked.

Small, brief protests have taken place in Bangkok as well as the northern and northeastern strongholds of the ousted government, erupting more like flash mobs than political rallies.

The military has also warned people not to spread what it considers provocative material on social media.

"MADNESS"

As Facebook went back online, a military official quickly appeared on television channels to reassure the public that the site had not been blocked and normal service would resume.

A spokeswoman blamed the outage on a gateway glitch.

"We have no policy to block Facebook and we have assigned the ICT ministry to set up a supervisory committee to follow social media and investigate and solve problems," said Sirichan Ngathong, spokeswoman for the military council.

"There′s been some technical problems with the internet gateway," she said, adding that the authorities were working with internet service providers to fix the problem urgently.

The ICT ministry′s hotlines were flooded with calls, and Twitter, WhatsApp and LINE were inundated with messages.

Posing for a "selfie" photo with his mobile phone, a policeman at a protest in downtown Bangkok said he doubted the government would go as far as shutting off social networking sites.

"Why would they block Facebook?," he said. "That would be madness."

But an office worker said there was too much vitriol on social media and blocking it would do no harm.

"If they′ve blocked Facebook then it′s a good thing. There′s too much information and hatred on social media," said Jay Jantavee, passing through Bangkok′s bustling Victory Monument district.

(Reporting by Manunphattr Dhanananphorn, Panarat Thepgumpanat and Amy Sawitta Lefevre; Writing by Martin Petty; Editing by Robert Birsel)

ทหารจับผู้เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหาร ที่ อนุสาวรีย์ชัย 28 พ.ค 57




สั่งปลด 'ธงทอง' พ้น สปน. โยก 'ม.ล.ปนัดดา' นั่งแทน-เรียก 'วีรพัฒน์' รายงานตัว


28 พ.ค.2557 เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่งที่ 27-29 มีรายละเอียด ดังนี้



คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

ที่ 27 / 2557

เรื่อง การแต่งตั้งให้ข้าราชการปฏิบัติหน้าที่

            เพื่อให้การปฏิบัติงานของส่วนราชการต่างๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเหมาะสมยิ่งขึ้น หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้
  • 1. ให้นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ยังคงปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้ได้รับเงินเดือนทางสังกัดเดิมไปพลางก่อน
  • 2. ให้หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รองปลัดกระทรวงมหาดไทย มาปฏิบัติหน้าที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีอีกหน้าที่หนึ่ง โดยให้ได้รับเงินเดือนทางสังกัดเดิมไปพลางก่อน

           ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
1

คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

ที่ 28/2557

เรื่อง การแต่งตั้งให้ข้าราชปฏิบัติหน้าที่

            เพื่อให้การปฏิบัติงานของส่วนราชการต่าง ๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเหมาะสมยิ่งขึ้น หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้

  • 1. ให้ นาย ชูเกียรติ รัตนชัยชาญ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้ได้รับเงินเดือนทางสังกัดเดิมไปพลางก่อน
  • 2. ให้ นาย ดิสทัต โหตระกิตย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา

              ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

ที่ 29/2557

เรื่องให้บุคคลมารายงานตัวเพิ่มเติม

              เพื่อให้การรักษาความสงบและการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงให้ นาย วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ มารายงานตัว ณ ห้องจามจุรี สโมสรทหารบก เทเวศน์ ในวันที่ 29 พฤษภาคม พุทธศักราช 2557 เวลา 10.00 - 10.30 น.

หนุ่มวิศวกรเน็ตยืนเดียวถือป้าย ‘QR code’ บันได BTS ประท้วงรัฐประหารวันที่ 2



เมื่อช่วงเย็นวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา บริเวณบันไดทางเชื่อมต่อระหว่าง BTS อโศก กับ MRT สุขุมวิท มีชายวิศวกรเครือข่าย อายุ 35 ปี (สงวนชื่อและนามสกุล) ยืนเดี่ยวถือป้าย ‘QR code’ ประท้วงการทำรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)
ผู้ประท้วงให้เหตุผลที่ยืนชูป้ายว่า “ผมทนไม่ได้กับการรัฐประหาร เพราะคิดว่ามันไม่ใช่แนวทางที่โลกนี้ยอมรับ ทนไม่ได้ที่จะมีใครใช้กระบอกปืนแล้วมารวบอำนาจการตัดสินใจของประชาชนไปแต่ผู้เดียว”
โดยเขาเสนอทางออกสำหรับสถานการณ์ในปัจจุบันว่า ต้องมีการเจรจากันระหว่างคู่ขัดแย้ง แต่ต้องห้ามมีคนถือปืนในการเจรจา เพราะการเจรจานั้นแต่ละฝ่ายต้องมีอำนาจเท่ากัน หากปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเจราจาไปพร้อมกับการถืออาวุธจะทำให้ได้เปรียบ จึงทำให้ไม่สามารถตกลงกันได้ และจากนั้นต้องมีการเดินหน้าเลือกตั้งโดยเร็ว
สำหรับ code ด้านหนึ่งที่ลิงค์ไปยังเรื่องราวของ “จิตร ภูมิศักดิ์(คลิกเพื่อดูหน้าเพจดังกล่าว)” นั้น เขากล่าวว่า หลังจากได้ยินประโยคหนึ่งในกลอนของจิตรที่ว่า “แม้คนพันบัญชาชี้หน้าเย้ย จงขวางคิ้วเย็นชาเฉยเถิดสหาย” นั้น ตนมองว่าเป็นการบอกว่าอย่าให้ใครมาบังคับหรือขู่เข็ญ อย่าให้ใครริดรอนสิทธิเสรีภาพของคุณไป จึงถือว่าเข้ากับสถานการณ์ในขณะนี้
สำหรับการใช้ป้าย QR code ในการประท้วงนั้น ผู้ประท้วงกล่าวว่า เพราะต้องการส่งข้อความให้คนที่สนใจจริงเข้าไปดูว่าตนนั้นต้องการสื่ออะไร โดยสถานการณ์ตอนนี้แม้ชูมือเปล่าก็คิดว่าคนก็จะเข้าใจว่ากำลังประท้วงแล้ว รวมทั้งตนก็อยากต้องการสื่อไปกับคนกลางๆ เพื่อให้เขาได้เปิดใจ แม้ข้อความที่ตนสื่อสารอาจเป็นเพียงเรื่องเล่าที่หลายคนอาจไม่เคยได้ยิน แต่ก็อาจให้ผู้อ่านได้ใคร่ครวญบ้าง
ภาพยืนเดี่ยววันที่ 2 (28 พ.ค.)
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าวันนี้(28 พ.ค.) เขายังเดินทางมายืนเดี่ยวประท้วงในจุดเดิมอีก และเขายืนยันว่าจะใช้เวลาหลังเลิกงานมาชูป้ายต่อไป ซึ่งวันนี้ code ด้านหนึ่งเป็นข้อความ ว่า
"ห้ามฉันพูด ฉันก็จะพิมพ์ ห้ามฉันพิมพ์ ฉันก็จะเขียน ห้ามฉันเขียน ฉันก็จะยังคิด หากจะห้ามฉันคิด ก็ต้องห้ามลมหายใจฉัน" บก.ลายจุด 2553
ขณะอีกด้านหนึ่งเป็นลิงค์ไปยังบทความชื่อ “ทำไมต้องมาพูดเรื่องการต้านรัฐประหารอีกครั้ง?”
Code วันที่ 2

สบายดีไหม ไอ้หน้าหมี





●หมีเอ๋ยหมี สบายดี นะหมีเอ๋ย 

ก่อนนี้เคย มีของหวาน ใส่พานให้ 

หมีคงรู้ ตอนนี้เป็นเช่นไร 

หมีไม่ใช่ คนมีค่า ราคาเลย 


●เขาเอาหมี ไปกอง แค่ของกาก 

หมีเรื่องมาก อยากได้ ของฟรีเฉย 

ไร้ราคา ไม่เหมาะสม จะชมเชย 

โธ่หมีเอ๋ย ลาหมาตาย กูอายแทน 



ตู่บอกเสื้อแดงช่วยประคับประคองสถานการณ์บ้านเมือง




เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ในช่วงค่ำ ผู้สื่อข่าวรายงานจากหอประชุมกองทัพบก เทเวศร์ ว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ปล่อยตัวแกนนำ นปช.ที่ถูกควบคุมตัวเพิ่มเติม รวมทั้งอดีตรัฐมนตรี และแกนนำพรรคเพื่อไทยอีกจำนวนหนึ่ง ประกอบด้วย นายพายัพ ปั้นเกตุ นายมานิตย์ จิตจันทร์กลับ นายชัยเกษม นิติสิริ อดีต รมว.ยุติธรรม นายไชยา สะสมทรัพย์ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ พล.ท.มนัส เปาริก พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย

ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ได้ให้สัมภาษณ์หลังจากได้รับการปล่อยตัว ว่า การพูดคุยกันระหว่างแกนนำ นปช.กับ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจตรงกันที่จะดำเนินการเพื่อให้บ้านเมืองสามารถเดินหน้ากลับสู่ประชาธิปไตย ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ถูกกักตัว แกนนำทุกคนต่างได้รับการปฏิบัติดูแลจากทหารอย่างเพื่อนมนุษย์เป็นอย่างดี และหวังว่าแกนนำที่เหลือจะได้รับการปล่อยตัวออกมาตามลำดับ

นายจตุพร ยังได้ฝากบอกกับมวลชนด้วยว่า แกนนำทุกคนเข้าใจในความรู้สึกกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี และไม่อยากให้มีความสูญเสียเกิดขึ้น จึงขอให้ทุกคนช่วยกันประคับประคองสถานการณ์ให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปให้ได้ อย่างไรก็ตามในการปล่อยตัวครั้งนี้ คสช. ยังได้มีเงื่อนไขห้ามไม่ให้เคลื่อนไหวทางการเมืองอีกตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก.

คุม "จาตุรนต์" ขึ้นศาลทหาร ส่งฝากขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ- เจ้าตัวบอกประชาชนไม่ต้องเป็นห่วง

ภาพจากเฟซบุ๊ควาสนา นาน่วม (Wassana Nanuam)
28 พ.ค.2557 มติชนออนไลน์รายงานว่า จากกรณีเจ้าหน้าที่สารวัตรทหารได้ควบคุมตัว นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีต รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งกระทำผิดฐานขัดขืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เรียกให้เข้ารายงานตัว โดยถูกควบคุมตัวได้ขณะขึ้นกล่าวปราศรัยต้านรัฐประหารที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ อาคารมณียา เมื่อ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยคสช.ระบุว่า นายจาตุรนต์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนโดยมีเนื้อหาที่เข้าข่ายยุยงส่งเสริมให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนที่อาจก่อให้เกิดความไม่สงบอีกด้วย

ความคืบหน้าเมื่อเวลา16.45 น.วันนี้ (28 พ.ค.) ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า กำลังเจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร ได้ควบคุมตัวนายจาตุรนต์ มาพร้อมกับรถตู้ สีขาว ทะเบียน ฮธ 9337 กรุงเทพมหานคร มีกำลังทหาร 8 นาย เฝ้ารักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เดินทางมายัง บก.ป.โดยทันทีที่มาถึง นายจาตุรนต์ ซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีฟ้าแขนยาว กางเกงสีดำ มีสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่ได้มีแววของความวิตกกังวลใดๆ ก่อนจะเดินลงจากรถมาพบกับ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.ที่รอรับอยู่ จากนั้นจึงพากันเดินขึ้นไปยังห้องประชุมสุรสีหนาท ชั้น 2 ทันที โดยไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน

ในระหว่างนั้น ทางพนักงานสอบสวนที่เตรียมพร้อมรอสอบปากคำนายจาตุรนต์ ได้ทยอยกันเข้าปฏิบัติหน้าที่ สำหรับขั้นตอนภายหลังเสร็จสิ้นการสอบสวนดำเนินคดีนายจาตุรนต์ ที่ บก.ป.แล้ว ทางสารวัตรทหาร ก็จะร่วมกับตำรวจ บก.ป.ควบคุมตัวนายจาตุรนต์ ไปขึ้นศาลทหารต่อไป โดยจะนับว่าเป็นพลเรือนคนแรกที่ถูกนำตัวไปดำเนินคดีในศาลทหาร

ทั้งนี้ ในส่วนของความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งดังกล่าว มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมกันนั้นทาง คสช.ได้สั่งอายัดการทำธุรกรรมทางการเงินของนายจาตุรนต์ ไว้แล้ว
จากนั้นเวลาประมาณ 18.30 น. สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่า พนักงานสอบสวนกองปราบปราม นำตัว นายจตุรนต์ มายังศาลทหาร กรมพระธรรมนูญ เพื่อขออำนาจศาลฝากขังผลัดที่ 1 ระยะเวลา 12 วัน ในระหว่างการพิจารณาคดี ในฐานความผิดฝ่าฝืนคำสั่ง ไม่ไปรายงานตัวตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และความผิดตามาตรา 116 สร้างความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน อันจะก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร
ภายหลังจากใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง นายจตุรนต์ ได้เดินทางออกมาจากศาลทหาร กรมพระธรรมนูญ พร้อมเปิดเผยว่า ไม่รู้สึกหนักใจหรือกังวลแต่อย่างใด ขณะนี้กำลังยื่นเรื่องขอประกันตัวชั่วคราว หลังจากนั้นพนักงานสอบสวน ได้ควบคุมนายจาตุรนต์ ไปฝากขังที่เรือนจำพิเศษ กรุงเทพมหานคร
ด้านวาสนา นาน่วม นักข่าวบางกอกโพสต์สายทหาร โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวในช่วงดึกระบุว่า "ตั้งแต่เวลา 18.30 น. ที่ศาลทหารกรุงเทพ พ.ต.อ. ประสพโชค พร้อมมูล รองผู้บังคับการตำรวจกองปราบปรามได้นำตัวนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มาขออำนาจศาลในการฝากขังหลังจากพนักงานสอบสวนได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวมาจากกองบังคับการตำรวจปราบปรามมายังกรมพระธรรมนูญ เพื่อขออำนายจากศาลขอฝากขัง ภายหลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ทหารได้เข้าควบคุมตัวเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมที่สมาคมนักข่าวต่างประเทศ เนื่องจากไม่ได้มารายงานตัวตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อีกทั้งยังถูกแจ้งข้อกล่าว เนื่องนายจาตุรนต์ได้ไปกล่าวปาถกฐาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศนั้นมีเนื้อหาในลักษณะที่ปลุกปั่น ยั่วยุในเกิดความไม่สงบสุขในราชอาณาจักร เข้าข่ายผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116

จากนั้นเวลา 21.00 น. นายจาตุรนต์ได้ออกมา มีการยื่นขอประกันตัวกับศาลทหารกรุงเทพ ฯ ซึ่งศาลได้คัดค้านการประกันตัวและอนุมัติฝากขังครั้งที่ 1 เป็นเวลา 12 วัน โดยนำตัวไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

อย่างไรก็ตามพนักงานสอบสวนจะยื่นสำนวนส่งอัยการทหาร เพื่อฟ้องร้องดำเนินคดีต่อไป และศาลทหารจะเรียกตัวมาขึ้นศาลอีก

นายจาตุรนต์ กล่าวด้วยสีหน้า ปกติ ว่า ขอขอบคุณทุกคนที่มารอ ผมไม่หนักใจไม่เครียด แบะไม่ได้กังวลใดๆ ขณันี้อยู่ระหว่างการฝากขัง และจะไปรายงานตัวที่เรือนจำพิเศษ กรุงเทพฯ

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการยื่นฟ้องนายจาตุรนต์ที่กรมพระธรรมนูญนั้นได้มีการใช้เวลาพิจารณาคดีเป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยที่ไม่อนุญาติให้สื่อมวลชนเข้าไปทำข่าวแต่อย่างใด" 





โดย กมล แย้มอุทัย


จากกรณีเจ้าหน้าที่สารวัตรทหารได้ควบคุมตัว นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีต รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งกระทำผิดฐานขัดขืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เรียกให้เข้ารายงานตัว โดยถูกควบคุมตัวได้ขณะขึ้นกล่าวปราศรัยต้านรัฐประหารที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ อาคารมณียา เมื่อ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา


ทั้งนี้ คสช.ระบุว่า นายจาตุรนต์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนโดยมีเนื้อหาที่เข้าข่ายยุยงส่งเสริมให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนที่อาจก่อให้เกิดความไม่สงบอีกด้วย


ความคืบหน้าเมื่อเวลา16.45 น.วันที่ 28 พฤษภาคม ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า กำลังเจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร ได้ควบคุมตัวนายจาตุรนต์ มาพร้อมกับรถตู้ สีขาว ทะเบียน ฮธ 9337 กรุงเทพมหานคร มีกำลังทหาร 8 นาย เฝ้ารักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เดินทางมายัง บก.ป.โดยทันทีที่มาถึง นายจาตุรนต์ ซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีฟ้าแขนยาว กางเกงสีดำ มีสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่ได้มีแววของความวิตกกังวลใดๆ ก่อนจะเดินลงจากรถมาพบกับ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.ที่รอรับอยู่ จากนั้นจึงพากันเดินขึ้นไปยังห้องประชุมสุรสีหนาท ชั้น 2 ทันที โดยไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน


ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในระหว่างนั้น ทางพนักงานสอบสวนที่เตรียมพร้อมรอสอบปากคำนายจาตุรนต์ ได้ทยอยกันเข้าปฏิบัติหน้าที่ สำหรับขั้นตอนภายหลังเสร็จสิ้นการสอบสวนดำเนินคดีนายจาตุรนต์ ที่ บก.ป.แล้ว ทางสารวัตรทหาร ก็จะร่วมกับตำรวจ บก.ป.ควบคุมตัวนายจาตุรนต์ ไปขึ้นศาลทหารต่อไป โดยจะนับว่าเป็นพลเรือนคนแรกที่ถูกนำตัวไปดำเนินคดีในศาลทหาร


ทั้งนี้ ในส่วนของความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งดังกล่าว มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมกันนั้นทาง คสช.ได้สั่งอายัดการทำธุรกรรมทางการเงินของนายจาตุรนต์ ไว้แล้ว


ต่อมาเวลา 17.00 น.นางจิราภรณ์ ฉายแสง ภรรยาของนายจาตุรนต์ พร้อมทนายความ เดินทางมายัง บก.ป.เพื่อเตรียมประสานเกี่ยวกับการยื่นขอประกันตัวเมื่อนายจาตุรนต์ ถูกส่งไปพิจารณาคดีที่ศาลทหาร


ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว นายจาตุรนต์ ออกมาจากห้องสอบสวนและนำขึ้นรถตู้ โดยมีรถสารวัตรทหาร และสายตรวจกองปราบ นำขบวน ระหว่างนั้นนายจาตุรนต์ กล่าวว่า “สบายดี แต่ไม่ทราบว่าเมื่อคืนเจ้าหน้าที่ทหารพาไปที่ไหน เป็นเหมือนที่คุมขัง เพราะผูกตาไป ฝากบอกประชาชนทั่วไปว่าไม่ต้องเป็นห่วง”


จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำ นายจาตุรนต์ ขึ้นรถตู้ โดยมีพ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รองผู้บังคับการกองปราบปราม และเจ้าหน้าที่ทหาร ควบคุมไปในรถคันเดียวกัน โดยมีรายงานว่า นำตัวนายจาตุรนต์ไปขึ้นศาลทหาร ใกล้กับกระทรวงกลาโหม


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากการพิจารณาผ่านไป 2 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่นำตัวนายจาตุรนต์ ลงมาจากอาคาร โดยนำตัวไปฝากขังผลัดแรกที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทั้งนี้ นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ขอบคุณที่มารอ ตอนนี้อยู่ระหว่างฝากขังและประกันตัว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจาตุรนต์ ไม่ได้มีสีหน้าวิตกกังวล โดยหิ้วกระเป๋าสีดำ 1 ใบ ขึ้นรถตู้ มีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเข้มงวด ทั้งนี้ การขึ้นศาลทหารของนายจาตุรนต์ ศาลยังไม่มีคำสั่งใดๆออกมาเนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี





แด่ความอัปยศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในการสร้างโศกนาฏกรรมต่อประชาธิปไตย


ประเทศสยามหรือที่เรียกกันว่าประเทศไทยในปัจจุบันต้องพบกับความล้มเหลวในทางประชาธิปไตยมาตลอด สาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจดั้งเดิมคือทหารผู้ร่วมเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 และทหารรุ่นต่อๆ มาที่เสพติดอำนาจและแทรกแซงการเมืองประชาธิปไตยตลอดมา รัฐบาลคนกลางก็คือคณะรัฐบาลของทหารที่ทำรัฐประหารหรือไม่เช่นนั้นก็ให้คนอื่นมาบริหารแทนนั่นเอง

ทหารไทยนับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นต้นมาจนในปัจจุบันเก่งแต่ทำโศกนาฏกรรมต่อประชาธิปไตยของชาติโดยรัฐประหารจนสำเร็จมาแล้วถึง 12 ครั้ง แต่หาได้มีผลต่อความเจริญก้าวหน้าของการเมืองแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงไม่ การห่วงใยความสงบและการตอบแทนบุญคุณชาติบ้านเมืองไม่จำเป็นต้องยึดอำนาจ การใช้กฎอัยการศึกที่เกินจำเป็นก็หนักหนาเพียงพอและทหารสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว เพราะการรัฐประหารกำลังนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ที่คิดไม่ถึงและยากต่อการแก้ไข จึงน่าสงสัยว่าผู้นำของชาติในระบบราชการที่นำโดยทหารฉลาดและดีจริงหรือ? หรือว่าถูกใครหลอกล่อให้ทำรัฐประหารแทนคนพวกนั้นในการเอาชนะกันในทางประชาธิปไตย?
รัฐธรรมนูญ 2550 ยังคงอยู่ เพราะคสช.ทำผิดมาตรา 68 ได้อำนาจมาโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ถือว่าการยึดอำนาจครั้งนี้เป็นโมฆะ ใครทำตามย่อมมีความผิดไปด้วย จึงขอวัดใจศาลรัฐธรรมนูญว่าจะกล้าตัดสินให้การรัฐประหารครั้งนี้เป็นโมฆะหรือไม่
ขอเชิญชวนให้ผู้รักชาติและประชาธิปไตยที่แท้จริงต่อต้านรัฐประหารอย่างสันติวิธี และขอประณามหากมีการกำจัดหรือละเมิดสิทธิมนุษยชนบุคคล เช่น นักวิชาการ แกนนำ นปช. กปปส. และ นักการเมืองแบบป่าเถื่อน และไร้มนุษยธรรม
โลกนี้มันกลม ไม่มีใครเป็นเจ้าของประเทศหนึ่งๆ เท่านั้นเสียแล้ว แต่ชาวโลกประชาธิปไตยล้วนเป็นเจ้าของทุกประเทศในโลกร่วมกัน ประชาชาติทั้งหลายโปรดช่วยพวกเราชาวไทยให้กลับมาเป็นปกติในทางประชาธิปไตยด้วยโดยเร็วด้วยเถิด
ขอขอบคุณประธานาธิบดีฝรั่งเศสและรัฐบาลเยอรมันที่ประณามการรัฐประหารและท่านทูตเยอรมันที่ไม่ให้คุณค่าด้วยการไม่ไปพบพวก คสช.ตามที่เรียก รวมถึงรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่จะลดระดับความสัมพันธ์กับไทย
ความรักชาติบ้านเมืองและประชาธิปไตยไม่สามารถบังคับกันได้ จึงขอเรียกร้องให้ผู้รักประชาธิปไตย ที่รักชาติอยู่แล้วเต็มอกและช่วยเหลือประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองอยู่ทุกวันไม่ด้อยกว่าทหารปฏิเสธการให้ความร่วมมือกับ คสช. เช่น ไม่รับตำแหน่งต่างๆ ที่เขาเสนอให้ อาทิ เข้าร่วมเป็นรัฐบาล และสภานิติบัญญัติ และ ไม่เคารพพวกยึดอำนาจที่เอาอาวุธมาปิดปากประชาชน
ขอเรียกร้องให้คณะนายทหารของ คมช. ที่ยึดอำนาจคืนเงินเดือนและค่าใช้จ่ายในการรัฐประหารจากภาษีประชาชน/งบประมาณแผ่นดินให้รัฐตลอดช่วงเวลาที่คณะรัฐประหารมีอำนาจปกครองบ้านเมือง และขอเรียกร้องให้นายทหารอื่นๆ ทั้งระดับสูง กลาง และล่างปฏิเสธการรับใช้การรัฐประหารในครั้งนี้
ขออาราธนาให้พระสยามเทวาธิราช พระแก้วมรกตที่สร้างขึ้นจากจิตอันบริสุทธิ์ของคนโบราณ และขบวนการประชาธิปไตยทั่วโลกทำให้พวก คสช. ต้องพ่ายแพ้ต่อการต่อต้านรัฐประหารที่กระทำเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ในที่สุด

ระวังข้อหาล้มเจ้า


วันที่ 24 พ.ค. 2557 ระหว่างที่ผมรอขึ้นเครื่องบินกลับเชียงใหม่ ผมได้รับโทรศัพท์จากนักข่าวโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ต้องการทราบว่า ผมจะนำมวลชนไปทำการชุมนุมเพื่อต่อต้านการรัฐประหารในเย็นวันนั้นที่ไหน ผมตอบว่าผมไม่ทราบ เพราะยังไม่รู้เลยว่าจะมีการชุมนุมต่อต้านรัฐประหารที่ไหนในเชียงใหม่ หากเขารู้ก็ช่วยบอกผมด้วย เพราะผมอยากไปร่วมด้วย
กลับมาถึงเชียงใหม่จึงได้เห็นข่าวที่กระจายอยู่ตามเฟซบุ๊คว่า ทักษิณ ชินวัตร ได้จ่ายเงินพวก "ล้มเจ้า" ไว้ถึง 1,000 ล้านบาท บัดนี้ที่ได้แจกจ่ายไปยังคนต่างๆ ในภาคเหนือนั้น มีผมเป็นแกนนำ ได้ก่อการประท้วงการรัฐประหารที่ มช. แต่ถูกอธิการบดีและทหารขัดขวาง จึงจะไปจัดการประท้วงในตอนเย็นที่ประตูช้างเผือก การประท้วงที่ มช.นั้น ตามข้อกล่าวหา เกิดขึ้นในขณะที่ผมอยู่กรุงเทพฯ ผู้ปั้นเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ย่อมเป็นคนที่ไม่รู้จัก มช.มากไปกว่าสถานที่ เพราะผมไม่ใช่คนที่ทั้งอาจารย์หรือผู้บริหาร มช.นิยมชมชอบ อีกทั้ง มช.เองก็หาใช่มหาวิทยาลัยที่เคยมีประวัติการยืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแต่อย่างใด หากผมมีอำนาจพอที่จะจัดการประท้วงการรัฐประหารได้ ผมคงไม่มีวันจะเลือกมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นพื้นที่การต่อสู้เป็นอันขาด
ผมไม่ทราบว่าข้อกล่าวหาเหล่านี้มีกำเนิดมาจากแหล่งใด แต่ผมแน่ใจว่า นี้คือปฏิบัติการจิตวิทยา เพราะข้อกล่าวหาเรื่อง "ล้มเจ้า" หากสามารถทำให้เป็นที่น่าเชื่อถือว่าบุคคลที่ถูกกล่าวหามีมลทินในเรื่องนี้ ก็เท่ากับลิดรอนศักยภาพของเขาในอันที่จะต่อต้านการรัฐประหารลง และจุดอ่อนที่สำคัญยิ่งในการรัฐประหารของ คสช.ในครั้งนี้ก็คือ จนถึงบัดนี้ คสช.ก็ยังไม่สามารถอ้างความชอบธรรมใดๆ ได้ อำนาจที่มีอยู่วางอยู่บนปากกระบอกปืนเพียงอย่างเดียว
ตราบเท่าที่คณะรัฐประหารยังไม่สามารถสถาปนาความชอบธรรมใดๆ ขึ้นได้ ปฏิบัติการจิตวิทยาเช่นนี้ คือกล่าวหาบุคคลที่ไม่สนับสนุนการรัฐประหารด้วยข้อกล่าวหา "ล้มเจ้า" ก็จะระบาดไปยังคนอื่นๆ อีกมาก ผมจึงขอเตือนผู้มีความหวังดีต่อชาติและประชาธิปไตย พึงสังวรให้จงดี เพราะเรากำลังอยู่ในสภาวะที่ข้อกล่าวหาใดๆ ไม่ต้องพิสูจน์กันด้วยกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม อาศัยแต่เพียงความหน้าด้านที่จะปั้นเรื่องขึ้นเพื่อประโยชน์เฉพาะหน้าเท่านั้น
ส่วนข้อกล่าวหาเรื่องรับเงินทักษิณนั้น ผมไม่สนใจ เพราะบัดนี้คณะรัฐประหารก็มีอำนาจพอที่จะตรวจสอบการไหลเวียนของเงินของบุคคลได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเงินเก็บในธนาคาร การสั่งจ่าย หรือแม้แต่การจับจ่ายซื้อสิ่งของสินค้าราคาสูง ก็มักมีหลักฐานการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่สามารถตรวจสอบได้ ผมยินดีถูกตรวจสอบ โดยเฉพาะจากผู้ทำงานสาธารณะซึ่งไม่เคยยื่นบัญชีทรัพย์สินให้ใครได้ตรวจสอบเลย

วิธีการเข้าถึงหน้าเว็บที่ถูกบล็อค


 

         การปิดเว็บไซต์ facebook ในไทย แต่ในความเป็นจริงนั้นไม่สามารถทำได้เพราะตัวเซิฟเวอร์อยู่ต่างประเทศ ที่จะทำได้คือให้ ISP (ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ที่เราจ่ายค่าบริการเขารายเดือนนั่นแหล่ะ เช่น 3BB TOT True เป็นต้น) บล็อคหน้าเว็บไซต์ เป็นบางหน้า โดยปกติมักเป็นหน้าแรก แต่ก็มีบางเพจที่ ISP พวกนี้จะขยันบล็อคหลายๆหน้าหน่อย ถ้าเกิดมันเป็นจริง จะทำยังไง ?

           การบล็อคหน้าเพจ นั่นหมายความว่า เซิฟเวอร์ยังคงทำงานได้ แต่ปิดกั้นการเข้าถึงเว็บเฉพาะ ISP นั้นๆ หรืออาจจะหลายๆ ISP ที่ทำการบล็อคหน้าเว็บ วิธีการเข้าถึงเว็บเพจที่มีการบล็อค ง่ายๆเลย สิ่งที่จะต้องมี


  •  มีลิงค์ของเว็บเพจหน้าที่ถูกบล็อคนั้น copy ให้ครบทุกตัวอักษร
  • เว็บไซต์ unblock proxy สามารถค้นหาจาก google ด้วยคำว่า unblock proxy website ในส่วนของความรู้เรื่อง unblock proxy ผมขอไม่อธิบาย แต่สามารถนำไปใช้ได้แม้ไม่มีความรู้


วิธีการเข้าถึงหน้าเว็บที่ถูกบล็อค

  • 1. เข้าเว็บ unblock proxy ฟรี จากที่เราค้นหามาจาก google ตัวอย่างผมใช้ http://www.unblock-proxy.net/ (แนะนำให้ add faverite, book markเพื่อสะดวกในการเปิดหลายเว็บจะได้ไม่ต้องพิมพ์เว็บนี้บ่อยๆ)
  • 2. copy ลิงค์หน้าเว็บที่ถูกบล็อค ลงในช่องกรอกลิงค์ ส่วนที่ให้กรอกอาจจะอยู่ด้านบน หรือล่าง แล้วแต่หน้าเพจของ unblock proxy นั้นๆ เช่นถ้าเฟสบุ๊คเราก็ใส่ว่า http://www.facebook.com/ แล้วคลิ๊กปุ่ม Go ก็จะสามารถเข้าถึงหน้าที่ถูกบล็อคได้ ช่องกรอกหน้าที่ถูกบล็อค ตามภาพที่ วงสีแดงไว้


          ปล. 1 
         
           ถ้ากรณีเข้าไปแล้วหน้าเว็บ หรือ video ไม่แสดง ให้เราเปลี่ยน unblock proxy เว็บไซต์อื่น เพราะตัวที่ใช้นั้นอาจจะโหลดนาน หรือไม่โหลดภาพ

           ปล. 2 

           รายชื่อเว็บ unblock proxy ที่ผมหาไว้เผื่อจะนำไปใช้ได้เลย บางตัวผมก็ยังไม่ได้ลอง แต่ แนะนำ http://www.unblock-proxy.net/ เพราะแสดงผลครบถ้วน


  • http://www.unblock-proxy.net/
  • http://www.unblockedproxy.net/
  • http://www.webproxy.net/
  • http://www.aunblock.com/
  • http://www.websiteproxysite.com/
  • http://www.freeopenproxy.com/
  • http://unblockwebsite.net/

แถลงเกรียน ฉบับที่ 3 คณะกรรมเกรียนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (เฉพาะกิจ)


แถลงเกรียน ฉบับที่ 3
คณะกรรมเกรียนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (เฉพาะกิจ)
เรื่อง: คณะรักษาความสงบแห่งชาติต้องดำเนินการควบคุมตัวภายใต้หลักสิทธิมนุษยชน
สืบเนื่องจากการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ และมีประกาศให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 สิ้นสุดลง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และดำเนินการเรียกบุคคลเข้ารายงานตัว พร้อมทั้งควบคุมตัวเป็นจำนวนมาก คณะกรรมเกรียนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (เฉพาะกิจ) รู้สึกวิตกกังวลอย่างยิ่งกับการคุมขังบุคคลตามอำเภอใจ และการประกาศให้บุคคลผู้ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมารายงานตัว เนื่องจากแม้คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉีกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่ประเทศไทยยังมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติและปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
คณะกรรมเกรียนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (เฉพาะกิจ) จึงมีข้อเสนอแนะด้านการควบคุมตัวและด้านสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อความสงบสุขและสันติภาพยั่งยืนในเบื้องต้น ดังนี้
1. ขอให้ยุติการควบคุมตัวบุคคลโดยไม่แจ้งที่ควบคุมตัว ความผิด และระยะเวลาที่ควบคุมตัวที่แน่นอน สำหรับผู้ที่ถูกควบคุมตัวและครอบครัวและ/หรือญาติยังไม่ทราบสถานที่ควบคุมตัว ให้ดำเนินการแจ้งให้ทราบโดยเร็วที่สุด
2. ขอให้อนุญาตให้ครอบครัวและญาติเข้าเยี่ยมผู้ถูกควบคุมตัวได้ หากไม่สามารถปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมตัวโดยพลัน
3. ขอให้ยุติการควบคุมตัวผู้ที่ไม่ได้กระทำความผิดและปล่อยตัวบุคคลดังกล่าวโดยทันที ส่วนผู้ที่มีคดีติดตัวต้องให้สิทธิเช่นเดียวกับผู้ต้องสงสัย เช่น สิทธิในการได้รับทราบข้อกล่าวหา สิทธิในการมีผู้ไว้วางใจอยู่ร่วมในระหว่างการซักถาม สิทธิในการมีทนาย สิทธิในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ฯลฯ   ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
4. ขอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติกวดขันและตรวจสอบมิให้เกิดการทรมาน และการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี เป็นอันขาด หากมีการกระทำดังกล่าว ผู้กระทำผิด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ หรือผู้ที่เจ้าหน้าที่แต่งตั้ง มอบหมาย หรือใช้ให้กระทำ ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และให้มีการเยียวยาผู้เสียหายทันที
5. ขอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติกวดขันและตรวจสอบมิให้เกิดการบังคับให้บุคคลสูญหาย และติดตามกรณีที่มีผู้ร้องเรียนว่ามีบุคคลสูญหายเพื่อให้คำตอบแก่ครอบครัว และนำผู้ที่ถูกบังคับให้สูญหายเนื่องจากปฏิบัติการที่เกี่ยวเนื่องกับการควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ กลับคืนมาโดยเร็วที่สุด
ความสงบและสันติภาพที่แท้จริงไม่เคยเกิดขึ้นได้จากอำนาจและกระบอกปืน
คณะกรรมเกรียนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (เฉพาะกิจ)
24  พฤษภาคม 2557

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: ว่าด้วยการปฏิวัติ-รัฐประหาร


การยึดอำนาจด้วยกองทัพเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ถือเป็นวิธีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ใช้กันมากแบบหนึ่งในระบบการเมืองแบบด้อยพัฒนา การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบนี้ เรียกกันว่า “รัฐประหาร” หรือ ใช้ในภาษาอังกฤษว่า coup d'état  ซึ่งเป็นคำยืมมาจากภาษาฝรั่งเศส จะมีความแตกต่างกับอีกคำหนึ่งที่ใช้กันคือ “ปฏิวัติ” ในภาษาอังกฤษจะใช้ว่า revolutoin  ซึ่งจะมีความหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มีการเปลี่ยนระบอบ หรือเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
ประเทศไทยถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีรัฐประหารมากเป็นอันดับสามของโลก รัฐประหารครั้งแรกนั้น คือ การประกาศงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราโดยรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดาในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2476 แม้ว่าจะไม่มีการเคลื่อนกำลังทหาร แต่ผลของการงดใช้รัฐธรรมนูญโดยไม่ระบุมาตรา และปิดสภาผู้แทนราษฎร ก็ทำให้การใช้อำนาจของรัฐบาลเป็นแบบเผด็จการ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา และ พ.ท.หลวงพิบูลสงคราม จึงยึดอำนาจเพื่อรื้อฟื้นรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2476 ทำให้ประเทศมีการปกครองแบบประชาธิปไตยต่อมา

สำหรับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 ในปัจจุบันไม่ถือเป็นการรัฐประหาร แต่เป็นการปฏิวัติประเทศ เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมือง และนำมาซึ่งการเปลี่ยนในเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมอย่างมาก นอกจากนี้แล้ว การเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยที่คล้ายการปฏิวัติอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ก็คือ กรณี 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 ที่ระบอบเผด็จการทหารถูกโค่นลงด้วยอำนาจประชาชน
ส่วนการรัฐประหารในประเทศไทยครั้งที่สามเกิดเมื่อ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 ต่อมา ก็คือรัฐประหาร พ.ศ.2494, รัฐประหาร พ.ศ.2500, รัฐประหาร พ.ศ.2501 รัฐประหาร พ.ศ.2514, รัฐประหาร 6 ตุลา พ.ศ.2519, รัฐประหาร พ.ศ.2520, รัฐประหาร พ.ศ.2534, รัฐประหาร พ.ศ.2549 และรัฐประหารครั้งนี้ ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ จันทรโอชา ถือเป็นการรัฐประหารครั้งที่ 12 ในประวัติศาสตร์
การยึดอำนาจบ่อยในประเทศไทย ทำให้มีการใช้คำที่สับสนปนเปกัน เพราะประชาชนมักเรียกการยึดอำนาจโดยทหารว่า “ปฏิวัติ”เสมอ ซึ่งความสับสนนี้ เป็นผลิตผลแห่งการยึดอำนาจของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2501 จอมพลสฤษดิ์เรียกคณะยึดอำนาจของตนเองว่า “คณะปฏิวัติ” และครองอำนาจเผด็จการมายาวนาน ต่อมา จอมพลถนอม กิตติขจร ก็ครองอำนาจเผด็จการต่อ และทำรัฐประหารตนเองเมื่อ พ.ศ.2514 โดยใช้คำว่า “คณะปฏิวัติ”อีกครั้ง การเรียกการยึดอำนาจโดยฝ่ายทหารว่า”ปฏิวัติ”จึงติดปากชาวไทย ทั้งที่การยึดอำนาจหลังจากนั้น ไม่ได้ใช้คำว่าคณะปฏิวัติกันอีกเลย แต่มาใช้คำว่า “ปฏิรูป” หรือ”รักษาความสงบเรียบร้อย”แทน และด้วยความสับสนในการใช้คำ ปรีดี พนมยงค์จึงเสนอให้ใช้คำเรียกเฉพาะการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ว่า “การอภิวัฒน์”

การก่อรัฐประหารทั่วโลกจะมีลักษณะคล้ายกัน คือ เริ่มก่อการจากทหารจำนวนน้อย หรือมาจากผู้บัญชาการทหารที่ควบคุมกองทัพ แล้วเคลื่อนกำลังหรือประเทศยึดอำนาจแบบฉับพลัน เพื่อโค่นรัฐบาลชุดเดิม แล้วตั้งคณะบริหารหรือรัฐบาลชุดใหม่ และหลายครั้งจะมีการยกเลิกอำนาจนิติบัญญัติคือ รัฐสภาชุดเดิม และล้มรัฐธรรมนูญฉบับเดิมด้วย จากนั้น ก็จะมีการตั้งกรรมการมาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งมักจะมีการใช้ไปจนถึงรัฐประหารครั้งต่อไป ประเทศที่รัฐประหารบ่อยก็จะมีการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญบ่อย เช่นในประเทศไทยจึงมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาแล้ว 18 ฉบับ ซึ่งถือเป็นสถิติอัปยศในโลก ฉบับของ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ที่จะให้มีขึ้นจะเป็นฉบับที่ 19 แล้วคงจะมีฉบับที่ 20. 21 ต่อไปอีก ในการรัฐประหารครั้งหน้าและครั้งต่อไป

แต่กระนั้น การรัฐประหารถือว่าเป็นวิธีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและไร้กติกา เพราะในระบอบประชาธิปไตยโดยทั่วไป จะกำหนดวิธีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไว้แล้ว ด้วยการลงคะแนนเสียงของประชาชน หมายถึงว่า ผู้ที่เข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศจะมีอำนาจเต็มในการดำเนินนโยบายตามที่ตนเองเสนอ ในกรอบเวลาที่แน่นอนชัดเจน เช่น 4 ปี หรือ 5 ปี จากนั้น ก็จะต้องไปสู่ประชาชน ก็คือให้ประชาชนเลือกกันใหม่ว่า จะให้ใครหรือพรรคใดบริหารประเทศ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในลักษณะนี้จึงไม่ต้องก่อการรัฐประหาร เราจึงพบว่ามีประเทศประชาธิปไตยก้าวหน้าจำนวนมากไม่เคยมีการรัฐประหารเลย เช่น ในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ สวิทเซอร์แลนด์ สวีเดน ออสเตรเลีย ฟินแลนด์ อินเดีย ฯลฯ ประเทศเช่น คอสตาริกา รัฐประหารครั้งสุดท้ายตั้งแต่ พ.ศ.2460 แล้วไม่มีรัฐประหารอีกเลยจนปัจจุบัน ประเทศญี่ปุ่น และ เยอรมนี ไม่เคยมีการรัฐประหารเลยนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ในภาคีอาเซียน ประเทศเช่น มาเลเซีย ก็ไม่เคยมีการยึดอำนาจรัฐประหารเลยเช่นกัน
ในประเทศที่ไม่เคยมีการรัฐประหารเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความขัดแย้งทางการเมือง เพียงแต่ถือกันว่า วิธีแก้ปัญหาทางการเมืองที่มีอารยธรรมก็คือ การใช้ประชาธิปไตย เคารพในความเห็นของเสียงข้างมากในกรอบเวลาที่แน่นอน แล้วเปลี่ยนอำนาจด้วยเสียงประชาชน กองทัพในประเทศเหล่านี้ จึงไม่เคยมีบทบาทแทรกแซงทางการเมืองเลย นี่คือเหตุผลว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ใช้กองทัพยึดอำนาจถือเป็นเรื่องล้าหลังไดโนเสาร์ยิ่งนัก

แต่ประเทศล้าหลังทางการเมือง ชนชั้นนำของประเทศเหล่านี้มักจะไม่มีความรู้ทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ไม่เคยคิดจะเคารพเสียงของประชาชน จึงถือการรัฐประหารเป็นทางออก ดังนั้น ประเทศเช่น ไฮติ จึงมีการรัฐประหาร 25 ครั้ง ถือเป็นสถิติโลก ประเทศโบลิเวียอยู่ในอันดับรองมา คือ มีรัฐประหาร 14 ครั้ง แต่การรัฐประหารครั้งสุดท้ายเกิดเมื่อ พ.ศ.2523 แล้วไม่มีการรัฐประหารอีกเลย ประเทศปากีสถานมีการรัฐประหาร 6 ครั้ง ครั้งสุดท้ายคือ พ.ศ.2542 โดย พล.อ.เปอร์เวซ มูชาราฟ แต่ขณะนี้ได้กลับมาเป็นประชาธิปไตยแล้ว ประเทศพม่ามีการรัฐประหารเพียง 2 ครั้ง พ.ศ.2505 และ พ.ศ.2531 เพียงแต่การปกครองเป็นแบบเผด็จการทหารตลอดตั้งแต่ พ.ศ.2505 เป็นต้นมา แต่ในปัจจุบันก็มีแนวโน้มที่จะผ่อนปรนไปสู่ประชาธิปไตยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีหลายประเทศที่ยังคงใช้วิธีการรัฐประหารแก้ไขปัญหาทางการเมือง แม้ว่าจะมีค่อนข้างน้อยก็ตาม เช่น ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา มีการรัฐประหารเกิดขึ้น 10 ประเทศ คือ ไฮติ (2547) มอริตาเนีย (2548) โตโก (2548) ไทย (2549) ฟิจิ (2549) มอริตาเนีย (2551) กินี (2551) ไนเจอร์ (2553) มาลี (2555) กินีบิเซา (2555) อียิปต์ (2556) และ ไทย (2557) ส่วนประเทศที่ยังคงปกครองภายใต้ระบอบรัฐประหารใน พ.ศ.2547 นี้มี 9 ประเทศ คือ อีควอเตอเรียลกีนี, บูร์กินาฟาโซ, ซูดาน, แกมเบีย, ฟิจิ,  มอริตาเนีย, กินีบิเซา, อียิปต์, และ ไทย
คำถามคือ เคยมีหรือไม่ที่การรัฐประหารในประเทศล้าหลังทางการเมืองเหล่านี้ ที่จะนำไปสู่การปฏิรูปทางการเมืองที่ดีขึ้น เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น หรือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้า คำตอบจากสถิติของการรัฐประหารในประเทศต่างๆ คือ โอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้ามักจะมาจากการรัฐประหารที่นำโดยทหารระดับกลาง และมีความคิดแบบใหม่ เช่น การรัฐประหารในกรีกเมื่อ พ.ศ.2510 การรัฐประหารในโปรตุเกส เมื่อ พ.ศ.2517 แต่ถ้าเป็นการรัฐประหารโดยผู้บัญชาการกองทัพ แทบทั้งหมดจะเป็นการถอยหลังเข้าคลอง เพราะเหล่าผู้บัญชาการกองทัพมักจะมีแนวคิดอนุรักษ์นิยม หลงอำนาจ ดูถูกประชาชน และต่อต้านการเปลี่ยนแปลง การรัฐประหารจึงเป็นไปเพื่อรักษาระบอบเก่า โอกาสที่จะมีการปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย โดยเหล่าผู้บัญชาการทหารจึงไม่มี
เมื่อการก่อรัฐประหารเป็นเรื่องที่ล้าหลังพ้นสมัยเช่นนี้ การรัฐประหารหลายครั้งจึงถูกต่อต้านจากประชาชนอย่างหนัก เช่นรัฐประหารพม่าเมื่อ พ.ศ.2531 และรัฐประหารอียิปต์ พ.ศ.2555 ประชาชนจำนวนมากออกมาต่อต้าน จนรัฐบาลทหารต้องใช้วิธีการปราบปรามอย่างนองเลือดเพื่อคุมอำนาจ ระบอบปกครองแบบรัฐทหารแม้ว่าจะยังรักษาอำนาจไว้ได้ แต่ก็เป็นรังเกียจและสาบแช่งของประชาชนตลอดเวลา
นี่เป็นเพียงเรื่องเล่าส่วนหนึ่งเกี่ยวกับการรัฐประหารทั่วไป ซึ่งอาจจะช่วยสะท้อนตำแหน่งแห่งที่ของรัฐบาลทหารในประเทศไทยได้

ทูตอังกฤษทวีตแนะนำวิธีเข้าเฟซบุ๊คยามติดขัด



28 พ.ค. 2557 - ในช่วงที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยไม่สามารถเข้าถึงเฟซบุ๊คได้นั้น เมื่อเวลา 14.10 น. มาร์ค เคนท์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ได้ทวีตข้อความในทวิตเตอร์ @KentBKK ว่า "ผมเคยอยู่ที่เวียดนาม เมื่อผมประสบปัญหาเข้าถึงเฟซบุ๊ค ผมเคยใช้ Freegate VPN http://en.wikipedia.org/wiki/Freegate"


           ข้อมูลจากเว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ทูตมาร์ค เคนท์เริ่มทำงานในประเทศไทยมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2555 เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด สหราชอาณาจักร และระดับปริญญาโทด้านกฎหมายสหภาพยุโรปและเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลิเบอร์ เดอ บรักแซลส์ ประเทศเบลเยียม นอกจากนี้ยังได้รับประกาศนียบัตรบัณฑิตด้านการบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยโอเพ่น สหราชอาณาจักร ทูตมาร์ค เคนท์ ยังเคยเรียนภาษาไทยที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
          สำหรับ Freegate เป็นแอพลิเคชั่นที่พัฒนาขึ้นโดย Dynamic Internet Technology (DIT) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในจีน ซีเรีย อิหร่าน เวียดนาม และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอื่นๆ สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ที่ถูกรัฐบาลปิดกั้นได้ โดยใช้การทำงานแบบพร็อกซี่เซอร์เวอร์ ที่เรียกว่า "Dynaweb" ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถทะลุทะลวงกำแพงไฟว์วอล์ได้ โดยในปี 2547 ประมาณกันว่ามีผู้ใช้งาน Freegate ประมาณ 2 แสนราย

แกนนำนปช.ออกจากค่าย ยังไม่ชัดได้กลับบ้าน พา‘ขวัญชัย-นิสิต’ ขึ้นรถตู้จากทบ.เทเวศร์



ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการรายงานตัวเพิ่มเติมตาม คำสั่ง คสช. ฉบับที่ 25/2557 เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ระหว่างเวลา 10.00-11.00 น. ที่หอประชุมกองทัพบกเทเวศร์ว่า วันเดียวกันนี้มีบุคคลที่ต้องมารายงานตัวรวม 7 คน ประกอบด้วย 1.จ่าสิบตำรวจเอกมานัส เติมธนะศักดิ์ 2.พ.ต.ท.สันทนะ ประยูรรัตน์ 3.นายสุวัฒน์ วุฒิศักดิ์ 4.นายวิชา พร้อมเพรียงชัย 5.นายธนิก มาสีพิทักษ์ อดีตส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย เจ้าของวิทยุชุมชน ขอนแก่น 6.นายกฤษณะ มานะการ 7.นายอิทธิพล สุขแป้น หรือ ดีเจน้องเบียร์ ผู้จัดรายการวิทยุชุมชนเชียงใหม่

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่บุคคลทั้ง 7 จะเดินทางเข้ารายงานตัว เมื่อเวลา 09.20 น.ที่ด้านหน้าหอประชุมกองทัพบก เทเวศร์ นายขวัญชัย สาราคำ (ไพรพนา) แกนนำนปช.อุดรธานี นั่งรถเข็น มาพร้อมกับนายนิสิต สินธุไพร แกนนำนปช. นายไชยา สะสมทรัพย์ ออกจากหอประชุมกองทัพบก มาเซ็นชื่อด้านหน้าประตู

จากนั้น มีรถตู้ของทหาร ได้นำตัวทั้งหมดขึ้นรถ พร้อมกำลังคุ้มกัน เดินทางออกไป โดยไม่ทราบจุดหมาย ทั้งนี้ แกนนำทั้ง 3 คนได้เข้ารายงานตัวตามคำสั่งของ คสช.ก่อนหน้านี้แล้ว และครบกำหนด 7 วัน

อย่างไรก็ตามเวลาประมาณ 09.30 น. มีรถตู้ 7 คัน พร้อมรถทหารคุ้มกันแน่นหนา เดินทางเข้ามาในหอประชุมกองทัพบกอีกครั้ง โดยมีรายงานว่า มีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ แกนนำนปช. พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีตรองนายกรัฐมนตรี พร้อมแกนนำที่ถูกคุมตัวตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. อยู่ในรถขบวนดังกล่าว ทั้งนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าแกนนำทั้งหมดที่ถูกพาตัวออกจากค่ายมานั้น จะได้กลับบ้านหรือไม่ เพราะบางคนยังมีคดีติดตัวอยู่ตั้งแต่ปี 2553

นอกจากนี้ เวลา 10.50 น. นายมาลัยรักษ์ ทองชัย โฆษกกลุ่มวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ นายศรรักษ์ มาลัยทอง เดินทางเข้ารายงานตัวที่หอประชุมกองทัพบกเทเวศร์ โดยมีนายสมศักดื์ ล้อเพชรรุ่งเรือง เลขาธิการ กวป. เดินทางมาด้วย ซึ่งคนใกล้ชิดระบุว่าที่นายสมศักดิ์ ยังไม่ได้ถูกเรียกมารายงานตัว แต่ต้องการทราบความชัดเจนจาก คสช.ว่าจะถูกเรียกมารายงานตัวด้วยหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาคนใกล้ชิดนายสมศักดิ์กล่าวอ้างว่าถูกคุกคามจากทหาร โดยการเข้าบุกค้นและตรวจสอบบ้านพักย่านสายไหมทุกวัน ซึ่งถ้ามีการเรียกตัวก็จะขอรายงานตัวทันทีเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ

ต่อมาเวลา 11.20 น. พล.ต.ท.สันทนะ ประยูรรัตน์ อดีตนายตำรวจ เดินทางเข้ารายงานตัวพร้อมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ โดยให้สัมภาษณ์ก่อนรายงานตัวว่า การถูกเชิญมารายงานตัวครั้งนี้ คาดว่ามาจากมีส่วนรู้เห็น และอยู่ในเหตุการณ์ในช่วงบ่ายของวานนี้ ที่มีคนใกล้ชิดของประธานที่ปรึกษา คสช. เข้าพบนักธุรกิจอาวุโสย่านราชประสงค์คนหนึ่ง ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เข้ามาเรียกรับผลประโยชน์ ซึ่งตนไม่เห็นด้วย ต่อมาในช่วงค่ำ มีประกาศคำสั่งให้มารายงานตัว

ทั้งๆ ที่บ้านพักของตนอยู่ใน ร1รอ. ติดอยู่กับบ้านทหารใหญ่ และบ้านหัวหน้า คสช. สามารถเรียกพบพูดคุยได้ ทั้งนี้ยอมรับว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมือง โดยเป็นจำเลยที่ 11 ในคดีปิดสนามบินสุวรรณภูมิ และเคยร่วมประชุมกับแกนนำ กปปส.ในช่วงต้น ร่วมทำงานกับนายนิติธร ล้ำเหลือ นายแซมดิน เลิศบุศย์ แต่ช่วงหลังมีความเห็นต่างจึงถอนตัวออกมา อย่างไรก็ตามพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับ คสช. และยืนยันสิ่งที่พูดเป็นเรื่องจริงทั้งหมด