วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

"พุทธะอิสระ" ออกจากเวทีแจ้งวัฒนะ กลับวัดอ้อน้อยชั่วคราว



           วันที่ 12 พ.ค. พุทธะอิสระ แกนนำ กปปส.แจ้งวัฒนะ นำผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนด้วยรถบัส ออกจากเวทีแจ้งวัฒนะ เพื่อเดินทางไปทำบุญ ที่จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดสมุทรสงคราม  ก่อนเข้าร่วมพิธีหล่อพระ และนอนค้างคืนที่วัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม

            พุทธอิสระกล่าวว่า การเดินทางไปครั้งนี้เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนสนับสนุน ร่างสภาชาวนา , ร่างสภาศีลธรรมคุณธรรม และร่างสภาพลังงานและทรัพยากร รวมถึงให้เข้าร่วมต่อสู้กับกลุ่ม กปปส. และก่อนที่จะกลับเวทีแจ้งวัฒนะ จะนำผู้ชุมนุม แวะที่เวที กปปส.ราชดำเนิน พบนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ก่อนเดินทางกลับ









           ทั้งนี้พุทธอิสระ กล่าวถึงเหตุคนร้ายลอบยิงระเบิดชนิดเอ็ม 79 จำนวน 2 ลูก เมื่อคืนที่ผ่านมา เชื่อว่าคนร้ายตั้งใจยิงใส่ที่พักตน แต่ระเบิดไปไม่ถึง และการเดินทางไปครั้งนี้ไม่ห่วงเวที ไม่ห่วงว่ากลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.)  จะเดินทางมา เพราะเตรียมแผนรับมือไว้แล้ว โดยที่เวทีกปปส. แจ้งวัฒนะ ก็ยังคงมีผู้ชุมนุม การ์ด และการปราศรัยบนเวทีตามปกติ และเชื่อว่าตำรวจจะไม่เข้าขอคืนพื้นที่แน่นอน เพราะเป็นการชุมนุมตามสิทธิรัฐธรรมนูญ และศาลก็มีคำสั่งห้ามสลายการชุมนุม


         นอกจากนี้พุทธอิสระ ยังฝากถึง ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. ว่าไม่ต้องกังวล  ยินดีจะถอนแจ้งความกรณีตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมที่ด้านหน้าสโมสรตำรวจ แต่จะยื่นฟ้อง ศอ.รส.ฐานละเมิด และขัดขวางไม่ให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมแทน

กวีประชาไท: โปรดวางก่อนวอดวาย

กวีประชาไท: โปรดวางก่อนวอดวาย


โปรดอย่าเอาความชอบธรรมมานำหน้า
โปรดอย่าเอาธงผ้ามาชูเล่น
โปรดอย่าอ้างแอบอิงสิ่งซ่อนเร้น
โปรดอย่าเห็นแก่อำนาจที่อยากครอง
โปรดอย่าโยนความเกลียดให้แก่ชน
โปรดอย่ายกตนเหนือคนทั้งผอง
โปรดเคารพกติกาอย่าลำพอง
โปรดอย่าเห็นพี่น้องเป็นเครื่องมือ
โปรดอย่าแสร้งเป็นรักแท้มักมาก
โปรดอย่ามือถือสาก-ปาก(บอก)ไม่ถือ
โปรดอย่าดึงดันอย่ายึดยื้อ
โปรดอย่ารื้อความเรียบร้อยเป็นรอยทาง
โปรดอย่าคุกคามตามไล่ล่า
โปรดอย่าเติมอย่าราดความบาดหมาง
โปรดทิ้งเชื้อไฟก่อนไหม้ฟาง
โปรดเถอะโปรดวางก่อนวอดวาย
http://www.redusala.blogspot.com/

สุรชัยปฏิเสธข่าวช่วยสุเทพหานายกฯ-ยันหารือทุกฝ่าย-จะได้โรดแมปใน 1 สัปดาห์

สุมหัวเสร็จ ปฏิเสธข่าวทันที ไอ้จอมกะล่อน


สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 แถลงข่าวหลังประชุมวุฒิสภานัดพิเศษ เมื่อคืนวันที่ 12 พ.ค. 2557 (ที่มา: Bluesky Channel)

รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 แถลงหลังประชุมวุฒิสมาชิกนอกรอบ-ระบุบ้านเมืองส่อเค้ารุนแรง วุฒิสภาหวังหาทางออก ขอแกนนำทุกฝ่ายอย่าปลุกระดมให้ใช้ความรุนแรง วางแปลนหารือทุกฝ่าย-จะได้คำตอบในสัปดาห์นี้ ย้ำทุกสูตรยังไม่ตัดออก-ไม่มีล็อก ม.7 พร้อมปฏิเสธข่าวรับปากช่วยหานายกรัฐมนตรีใหม่ให้สุเทพ
13 พ.ค. 2557 - ตามที่นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 และว่าที่ประธานวุฒิสภา ได้นัดเปิดประชุมวุฒิสภานัดพิเศษวานนี้ (12 พ.ค.) นั้น
สุรชัยแถลงการเมืองส่อเค้ารุนแรง ปล่อยไว้จะมีการใช้ความรุนแรงจัดการปัญหา
ต่อมาภายหลังการหารือตลอดทั้งวัน ในเวลา 22.45 น. นายสุรชัยได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนโดยกล่าวว่า "ที่วุฒิสภาเป็นผู้เข้ามาแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ เพราะตลอดระยะเวลาเราได้ติดตามการแก้ไขของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือฝ่ายประจำ ก็ไม่ปรากฏว่าการดำเนินงานจะสำเร็จเป็นรูปธรรม ในทางตรงกันข้ามการเมืองส่อเค้ารุนแรงมากขึ้น หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ประชาชนจะตกอยู่ในภาวะของการหวาดวิตกและโอกาสที่พี่น้องประชาชนจะใช้ความรุนแรงเข้าจัดการปัญหาซึ่งกันและกันมีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้สูงยิ่ง ทั้งหมดจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ทั้งการเมือง สังคม เศรษฐกิจ และสถาบันการเมือง วุฒิสภามีความจำเป็นต้องเข้ามาดูแลแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว ขอเรียนให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่าทางออกที่วุฒิสภาจะนำเสนอนั้น เราจะพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบให้เป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชน คำนึงถึงผลประโยชน์และความเป็นธรรมที่ประชาชนจะได้รับ และจะทำให้รวดเร็วที่สุด เพราะเราทราบดีว่าพี่น้องประชาชนทั้งสองฝ่ายพร้อมเผชิญหน้าซึ่งกันและกัน"
ขอร้องผู้นำมวลชนทั้งสองฝ่ายอย่าปลุกระดมให้ใช้กำลัง ยืนยันวุฒิสภาจะแก้ไขอย่างสุดความสามารถ
"และระหว่างการเร่งรีบทำงานของสมาชิกวุฒิสภานี้ ขอเรียนผู้นำมวลชนทั้งสองฝ่ายขอความกรุณาอย่าปลุกระดมพี่น้องประชาชนให้เกิดอารมณ์ ให้เกิดการใช้กำลังหรือใช้ความรุนแรงเข้าจัดการแก้ไขปัญหา กราบเรียนอีกครั้งว่าสมาชิกวุฒิสภาทุกท่านได้ปวารณาตัวแล้วว่าจะแก้ไขปัญหาของชาติครั้งนี้อย่างสุดกำลังความสามารถ ที่มาประชุมร่วมกันในวันนี้ขอให้ทุกฝ่ายรอฟังคำตอบจากวุฒิสภาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเราจะเร่งรีบทำให้เร็วที่สุด ขอแถลงข่าวให้พี่น้องที่ติดตามฟังผลการประชุมของวุฒิสภาได้ทราบความคืบหน้า และเพื่อให้การทำงานคืบหน้าอย่างรวดเร็ว พวกเราตกลงนัดหมายมาประชุมอีกวันที่ 13 พ.ค. เวลา 13.30 น. รายละเอียดการประชุมพรุ่งนี้จะทำงานต่อ ส่วนหนึ่งได้สั่งการให้เลขาธิการประสานงานหน่วยงานภายนอกไปแล้ว ถ้าหน่วยงานภายนอกไม่ขัดข้องจะมีหน่วยงานภายนอกมาชี้แจงให้ข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจของวุฒิสภาต่อไป"
ปฏิเสธข่าวช่วยสุเทพหานายกฯ - ย้ำไม่ได้ยินสุเทพปราศรัยเพราะขณะนั้นกำลังประชุม
"นายสุรชัยกล่าวว่าในวันที่ 13 พ.ค.ได้เตรียมประสานงานผู้แทนฝ่ายรัฐบาลรักษาการมาประชุมชี้แจง และวันถัดมา (14 พ.ค.) จะประสาน กปปส. และองค์กรอิสระต่างๆ มาประชุมชี้แจง"
จากนั้นในช่วงตอบคำถาม ผู้สื่อข่าวถามว่าที่นายสุเทพกล่าวว่า นายสุรชัยรับปากจะหานายกรัฐมนตรีให้นั้นเป็นอย่างไร นายสุรชัยกล่าวว่า "ไม่ได้ยินคำปราศรัยเพราะอยู่ในห้องประชุม" โดยนายสุรชัยกล่าวว่าไม่ได้ตกลงในลักษณะนั้น เพราะเพิ่งพูดคุยกันวันนี้

โปรดอย่าถามเรื่องสูตรแก้ปัญหา ทุกสูตรรวมทั้ง ม.7 ยังคงเอามาศึกษา
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีแนวโน้มจะใช้มาตรา 7 หรือไม่ นายสุรชัยกล่าวว่า "ในการประชุมวันที่ 13 พ.ค. หลังจากเสร็จจากห้องประชุมใหญ่ เราจะประชุม ทำกระบวนการกัน ในห้องประชุมเล็กของกรรมาธิการ คือห้อง 306-308 จะปิดห้องคุยกันแล้ว สำหรับการหารือเชิงลึกกับสมาชิกวุฒิสภา จะหารือกับสมาชิกวุฒิสภาว่าระดับของข้อมูลที่ฟังมา 2 วัน เพียงพอที่จะลงรายละเอียดได้หรือยัง นี่คือรูปแบบที่ตั้งใจจะทำ เพราะฉะนั้นกระบวนการจะได้ระดับหนึ่งในวันพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นขอความกรุณาอย่างเพิ่งถามเรื่องสูตร ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีมาตรา 7 หรือ 8 ยังไม่ทราบ ทุกสูตรยังไม่ถูกตัดออก เราเอามาประกอบการตัดสินใจทั้งสิ้น"
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีสูตรแนวทางของนายอภิสิทธิ์หรือไม่ นายสุรชัยตอบว่า "อยู่ด้วย ผมเรียนว่าทุกฝ่ายที่แสดงความคิดเห็นไว้ เรารับไว้ทั้งหมด" ทั้งนี้นายสุรชัยระบุว่ากรอบการศึกษานั้นตั้งเป้าไว้ว่าภายในสัปดาห์ต้องเสร็จเรียบร้อย

หากทุกฝ่ายไม่ยอมรับขอให้บอกวุฒิสภาด้วย จะได้ถอนตัวกลับไปอยู่นิติบัญญัติเหมือนเดิม
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าแนวทางจะเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่ายหรือไม่ นายสุรชัยตอบว่า "พยายามให้ได้อย่างนั้น" ต่อจากนั้นผู้สื่อข่าวถามว่า หากสิ่งที่วุฒิสภาได้พยายามนำเสนอทุกฝ่ายไม่ยอมรับจะเป็นอย่างไร ใครจะหาทางออกให้ประเทศ นายสุรชัยตอบว่า "ท่านต้องบอกให้วุฒิสภาด้วยนะ เราจะได้ถอนตัวไปอยู่ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติเหมือนเดิม นี่เป็นประเด็นที่ต้องพูดล่วงหน้าว่าเมื่อวุฒิสภาได้อาสามาดูแลประเทศในครั้งแล้ว ทุกฝ่ายต้องให้เกียรติวุฒิสภาแล้วต้องก้าวข้ามความต้องการของตัวเอง ไปสู่ความมั่นคงของชาติร่วมกัน นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ผมขอความกรุณาทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งที่ดำรงขณะนี้ ถ้าเราสามารถแก้ไขความขัดแย้งแล้วนำไปสู่การเริ่มต้นการเมืองใหม่ของประเทศได้ ท่านมีโอกาสที่จะกลับเข้ามาสู่การมีอำนาจทางการเมืองใหม่ และมีกฎกติกาที่ทุกฝ่ายสร้างขึ้นใหม่ แต่ถ้าปล่อยให้สถานการณ์ไหลไปตามธรรมชาติของความขัดแย้ง ท่านต้องคิดว่าอนาคตประเทศจะอยู่ที่ไหน"

ขอสงวนเรื่องจะเชิญณัฐวุฒิ-จตุพรมาหรือไม่ เพราะวันนี้สุเทพเข้ามาก็ไม่ได้ใช้รัฐสภาแถลงข่าว
ต่อมามีผู้สื่อข่าวถามว่านายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. คัดค้านแนวทางนายกรัฐมนตรีมาตรา 7 วุฒิสภาจะเชิญมาหารือด้วยหรือไม่ นายสุรชัยตอบว่า "เรื่องนี้ขอผมหารือกับสมาชิกวุฒิสภาอีกทีหนึ่ง วันนี้ท่านสุเทพจะขอมาแถลงในห้อง ผมว่าไม่เหมาะสม ผมก็ขอร้องท่าน ท่านก็ให้เกียรติเชื่อฟัง ถ้าผมจะให้จตุพร ณัฐวุฒิมาแถลงในที่ประชุมวุฒิสภา เดี๋ยวฝั่งคุณสุเทพก็จะหาว่าผมสองมาตรฐาน อันนี้ผมขอสงวนไว้ก่อนว่าขอดูข้อมูลข้อเท็จจริง ถ้าคิดว่าพอก็ไม่ต้อง ถ้าจำเป็นก็จะให้เกียรติเชิญเข้ามา"
"เราเพียงเสนอแนวทางเพื่อหาทางออกให้ประเทศ ไม่ถูกใจก็ไม่ต้องรับ ก็กลับไปสู่ที่เดิม เราไม่ได้เป็นคนเพิ่มเติมความขัดแย้งให้สังคม"
ต่อมามีผู้สื่อข่าวถามว่า "จะรับไม่รับเอาอะไรตัดสิน ประชาพิจารณ์หรือว่าอะไร" นายสุรชัยตอบว่า "เดี๋ยวคุยกัน ขอดูผู้ไม่รับก่อน เรายังไม่รู้เลย อย่าเพิ่งสมมติในแง่ลบ"

ย้ำทราบดีว่ามาทำงานท่ามกลางความขัดแย้ง ไม่ได้มาจัดงานแต่งงาน
ส่วนคำถามว่าถ้าแนวทางวุฒิสภาไม่ได้รับการยอมรับนั้น ใครจะแก้ไขความขัดแย้ง นายสุรชัยตอบว่า "มองไม่ออก"
ส่วนคำถามที่ว่าถ้ารัฐบาลไม่ให้ความร่วมมือจะทำอย่างไร นายสุรชัยกล่าวว่า ต้องดูเหตุผลว่าการปฏิเสธของท่านมีเหตุผลแค่ไหน ส่วนคำถามที่ว่าถ้า นปช. ไม่ยอมรับแล้ว "เป็นไรครับ ผมทราบดี ปัญหาพรุ่งนี้ เราเข้ามาทำงานท่ามกลางความขัดแย้ง ไม่ได้มาจัดงานแต่งงาน เพราะฉะนั้นแน่นอนต้องมีปัญหาความพึงพอใจ ความไม่พอใจ ทราบดีว่ามาทำงานตรงนี้ต้องเจอแรงเสียดทาน เจอก้อนอิฐ ก้อนหิน เพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติ สำหรับสื่อมวลชนเองต้องกราบเรียนว่าให้นำเสนอเรื่องความสามัคคี อะไรที่เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีกับมวลชนทั้งสองฝ่ายก็ต้องขอความกรุณาด้วย บางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อกันก็ขอสงวนไว้ อย่าเพิ่งเจาะลึกซึ่งอะไรมากมาย เดี๋ยวคำตอบก็ออกมาเอง"
ทั้งนี้่นายสุรชัยจบการแถลงข่าวในเวลาประมาณ 23.00 น. และที่รัฐสภาจะมีการหารือนอกรอบของวุฒิสมาชิกต่อในวันที่ 13 พ.ค. นี้เริ่มตั้งแต่เวลา 13.00 น.
http://www.redusala.blogspot.com/

สุเทพหารือสุรชัย-ขอให้วุฒิสภารับภาระหานายกรัฐมนตรีคนใหม่

สุเทพหารือสุรชัย-ขอให้วุฒิสภารับภาระหานายกรัฐมนตรีคนใหม่


Mon, 2014-05-12 22:02

สุเทพ เทือกสุบรรณเข้ารัฐสภาหารือรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 ขอให้หานายกรัฐมนตรีคนใหม่ทันที กำชับอย่าช้า-ขอให้รีบดำเนินการ-เพราะรอมานานแล้ว พร้อมเชิญชวน กปปส. มาเฝ้ารัฐสภาจนกว่าจะรู้ผล "ใครที่ยังไม่ได้มาให้รีบมา ยังอยู่ระหว่างการต่อสู้" 
12 พ.ค. 2557 - ตามที่ผู้ชุมนุม กปปส. เคลื่อนย้ายจากสวนลุมพินีเมื่อเวลา 14.00 น. มาปักหลักที่ ถ.ราชดำเนิน เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ และปักหลักหน้าวุฒิสภาเพื่อติดตามผลการประชุมวุฒิสภานัดพิเศษนั้น
สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. นำคณะหารือกับสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 และว่าประธานวุฒิสภา (ที่มาของภาพ: เพจสุเทพ เทือกสุบรรณ)
อัญชะลี ไพรีรัก ปราศรัยภายนอกอาคารรัฐสภาต่อหน้าผู้สนับสนุน กปปส. (ที่มา: เพจสุเทพ เทือกสุบรรณ)
ล่าสุดช่วงบ่ายวันนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ได้เดินทางมาที่รัฐสภาที่กำลังมีการประชุมวุฒิสมาชิก โดยในเวลา 18.25 น. นายสุเทพ พร้อมแกนนำ กปปส. ประกอบด้วย ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย นายวิทยา แก้วภราดัย นายสมบัติ ธำรงธัญญวงศ์ ได้เข้ามายังอาคารรัฐสภา 2 เพื่อหารือกับนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 ว่าที่ประธานวุฒิสภา ที่ห้องรับรองพิเศษ โดยมีกลุ่ม 40 ส.ว. ให้การต้อนรับ
ทั้งนี้นายสุเทพ ชี้แจงต่อนายสุรชัยว่าการเดินทางเข้าหารือ เนื่องจากมีเหตุผลสองประการคือ หนึ่ง สถานีโทรทัศน์และวิทยุรัฐสภาไม่ถ่ายทอดสดการหารือของวุฒิสมาชิก เหมือนปิดหูปิดตา สอง สถานการณ์ขณะนี้ ส.ว. สมควรรับรู้สถานการณ์การเมืองปัจจุบันและความคาดหวังของประชาชนที่มีต่อวุฒิสภา โดยสุเทพและตัวแทนแกนนำ กปปส. จึงอยากขอเข้าชี้แจงในห้องประชุมวุฒิสภา และจะเปิดโอกาสให้ ส.ว. ซักถาม รวมทั้งขอให้ถ่ายทอดสดการประชุมด้วย
โดยนายสุรชัยชี้แจงสาเหตุที่ไม่มีการถ่ายทอดสดว่า การควบคุมห้องประชุมรัฐสภา อยู่ในการดูแลของเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ระบบสัญญาณทั้งหมดถูกล็อกรวมทั้งการถ่ายทอดสดในห้องประชุม จึงไม่สามารถถ่ายทอดสดได้ ซึ่ง ส.ว.ไม่ได้กีดกันการถ่ายทอด โดยเบื้องต้นแก้ปัญหาโดยให้ถ่ายทอดสดทางวิทยุรัฐสภาแล้ว จากนั้นนายสุเทพขอให้สื่อมวลชนออกจากห้องประชุมและหารือส่วนตัวกับนายสุรชัย
ทั้งนี้ภายหลังการหารือ นายสุเทพได้ โพสต์สเตตัสในเพจของเขาว่า "เข้าไปในสภาวันนี้ ผมไปเรียนให้ประธานและสมาชิกวุฒิสภาทราบว่าสถานการณ์ บ้านเมืองวันนี้ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ คือ ประเทศเราตอนนี้ ไม่มีนายกรัฐมนตรี จำเป็นต้องตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยปกติคนที่ต้องตั้งนายกคือสภาผู้แทนฯ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีสภาผู้แทนฯ ประชาชนเลยคาดหวังไปที่วุฒิสภา ที่จะเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ให้กับประชาชน ในทันที ผมเลยต้องไปบอกว่าอย่าช้า ประชาชนมากินการนอนกันบนถนน นานแล้ว รอไม่ไหวแล้ว ขอให้รีบดำเนินการให้เสร็จโดยเร็ว
ขณะนี้วุฒิสภาได้รับที่จะทำหน้าที่แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทยแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของมวลมหาประชาชน ที่จะต้องออกมาเป็นครั้งสุดท้ายเป็นพลังผลักดันให้วุฒิสภาทำหน้าที่แก้ไขปัญหาของชาติให้ได้โดยเร็วครับ"
สุเทพ เทือกสุบรรณ ปราศรัยหน้ารัฐสภา ภายหลังหารือกับสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 และว่าที่ประธานวุฒิสภา (ที่มา: Bluesky Channel)
ภายหลังการหารือกับรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 ในเวลา 21.07 น. นายสุเทพ ได้ขึ้นปราศรัยต่อผู้ชุมนุมเชิญชวนผู้สนับสนุน กปปส. มาชุมนุมเพิ่มเติมให้มากขึ้นในวันพรุ่งนี้ "ใครที่ยังไม่ได้มาให้รีบมา ยังอยู่ระหว่างการต่อสู้" พร้อมกล่าวขอบคุณประธานวุฒิสภาที่จัดประชุมนอกรอบวันนี้ แสดงว่าฟังเสียงประชาชน
ทั้งนี้นายสุเทพระบุว่า "วุฒิสภาจะรับเป็นภาระปรึกษาหารือกัน ดำเนินการเพื่อให้มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทย เพราะฉะนั้นหน้าที่ของมวลมหาประชาชนออกมารวมพลังกันสนับสนุนวุฒิสภา เพราะจะมีคนขัดขวางวุฒิสภาเยอะเลย"
"ถ้าไม่มีมวลมหาประชาชนออกมาช่วยแสดงพลัง เป็นกำแพงให้สมาชิกวุฒิสภาเอาหลังพิงแล้วก็ เรื่องนี้ไม่มีวันสำเร็จได้ เพราะฉะนั้นให้พี่น้องมาชุมนุมเยอะๆ ครับ ให้มากมายคับคั่งอย่าไปใน เราจะเฝ้าอยู่ตรงนี้จนกว่าจะมีคำตอบชัดเจน รู้ผลว่าวุฒิสภาทำสำเร็จหรือไม่สำเร็จอย่างไร"
"หาก กปปส. ไม่ออกมากันมากๆ สมาชิกวุฒิสภาจะอยู่ภายใต้ระบอบทักษิณ ขอให้ผู้ชุมนุมต่างจังหวัดและใน กทม. รีบมา ตั้งแต่เช้าเวลา 7.30 น. ในวันพรุ่งนี้จะมีการตักบาตรที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ และตอนเย็น 17.30 น. จะมีการสวดมนต์ทำบุญประเทศ ขับไล่เสนียดจัญไร" นายสุเทพกล่าว
ขณะที่ในเวลา 21.50 น. ภายในรัฐสภา ยังคงมีการประชุมของวุฒิสภา โดยเปิดโอกาสให้วุฒิสมาชิกแสดงความคิดเห็น
http://www.redusala.blogspot.com/

ประธาน ป.ป.ช. พร้อมร่วมหารือวุฒิสภาเรื่องนายกฯ คนกลาง

ประธาน ป.ป.ช. พร้อมร่วมหารือวุฒิสภาเรื่องนายกฯ คนกลาง


         ปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. ระบุหากวุฒิสภาเชิญร่วมหารือเรื่องนายกรัฐมนตรีคนกลางก็จะไปร่วมด้วย เพราะเห็นว่าทุกฝ่ายต้องพาประเทศเดินต่อ ส่วนคดีจำนำข้าวอยู่ระหว่างไต่สวนและรวบรวมหลักฐาน ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร
           12 พ.ค. 2557 - สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย รายงานวันนี้ (12 พ.ค.) ว่านายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณี กปปส. เสนอให้ประธานศาลปกครอง ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร่วมกันเสนอนายกรัฐมนตรีคนกลาง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 ว่า หลังจากวุฒิสภาหารือเรื่องนายกรัฐมนตรีคนกลางที่คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็ว ๆ นี้ หากวุฒิสภาเชิญให้เข้าร่วมหารือด้วย คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหญ่ หารือร่วมกันและลงมติว่าจะเข้าร่วมหารือหรือไม่ ซึ่งส่วนตัวแล้วยินดีเข้าร่วม เพราะเห็นว่าทุกฝ่ายต้องช่วยกันนำพาประเทศเดินต่อไปให้ได้
            ส่วนกรณีความคืบหน้าการดำเนินคดีอาญา กับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรณีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ กล่าวว่า ยังอยู่ระหว่างกระบวนการไต่สวนและรวบรวมพยานหลักฐานที่ต้องใช้เวลานานพอสมควร ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะให้ความเป็นธรรมอย่างเต็มที่ โดยจะมีการสอบพยานบุคคลทุกปากตามที่อดีตนายกรัฐมนตรีร้องขอให้มีการสอบพยานเพิ่มเติม
http://www.redusala.blogspot.com/

"อาจารย์วันนอร์" อดีตประธานรัฐสภา ชี้ชัดเจน "สุรชัย-ว่าที่ ปธ.วุฒิฯ" ไม่มีอำนาจทูลเกล้าฯชื่อนายกรัฐมนตรี



             วันที่ 12 พฤษภาคม 2557 (go6TV) นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา อดีตประธานรัฐสภา ได้ขึ้นปราศรัยกล่าวถึงกรณีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ว่าที่ประธานวุฒิสภา ไม่มีอำนาจทูลเกล้าฯ ชื่อนายกรัฐมนตรี และหากกระทำ ก็จะไม่บังควร เพราะการแต่งตั้งนายกฯ มีในบทบัญญัติมาตรา 171 เรียบร้อยชัดเจนอยู่แล้ว

           "มาตรา 171 มีอยู่แล้ว เปรียบเทียบรัฐธรรมนูญปี 2516 ไม่ได้ เพราะทำไม่ได้ มันกำลังจะนำประเทศไปสู่หายนะ วิธีที่นายสุเทพกระทำนั้น เป็นการกระทำนอกรัฐธรรมนูญ และเป็นการกบฏ การเลือกตั้งเท่านั้นคือทางออกของประเทศ" นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กลุ่าวในที่สุด

"จตุพร" แฉ! ประธาน 3 ศาลตัดหางปล่อยวัด "กบฏสุเทพ" เหตุอวดฉลาดลากศาลคลุกฝุ่น ปล่อยตายเดี่ยวซะ




              เมื่อเวลา 18.10 น. วันที่ 12 พ.ค. ที่เวทีชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ถ.อักษะ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า วันนี้หัวหน้าทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์เสนอทางออกให้เลขาธิการวุฒิสภา เป็นผู้รับสนองพระราชโองการ แต่งตั้งนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย เป็นประธานวุฒิสภาแทนนายกรัฐมนตรี ถ้าเลขาฯวุฒิสภาเชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ตนขอท้าให้เลขาฯวุฒิสภา นำชื่อนายสุรชัยขึ้นทูลเกล้าฯเอง เพราะผิดกฎหมายชัดเจน เพราะตามขั้นตอนทูลกล้าฯเสนอชื่อประธานวุฒิสภา ผู้รับสนองพระบรมราชโองการต้องเป็นนายนิวัฒน์ธำรงค์ บุญทรงไพศาล เท่านั้น ฝากถึงถ้าอยากทำลายประเทศก็ขอให้เชื่อนายสุเทพ แล้วตัวเองก็ต้องถูกดำเนินคดีฐานก่อกบฏขึ้นในราชอาณาจักร วุฒิสภาจะต้องฟังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ตรัสว่ามาตรา 7 ไม่เป็นประชาธิปไตย ถ้าตัดสินใจอย่างที่นายสุเทพต้องการ เท่ากับเป็นการกระทำที่มิบังควรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

             นายจตุพร กล่าวอีกว่า วันนี้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าประมุขทั้ง 3 ศาล และประธานกกต. ไม่เอาด้วยกับสุเทพ เหลือคนเดียวคือประธานวุฒิสภา นปช.ยังมีจุดยืนว่าถ้ามีการแต่งตั้งนายกฯมาตรา 7 จะดำเนินการทั้งทางกฎหมาย และเคลื่อนพลอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อหยุดยั้งพฤติกรรมดังกล่าว นปช.เดินมาขนาดนี้จะยอมถอยหลังให้บ้านเมืองกลับไปเป็นอำมาตยาธิปไตยอีกไม่ได้ เราไม่เอานายกมาตรา 7 และไม่เอาการรัฐประหารใดๆทั้งสิ้น

          ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขา นปช. ขณะนี้การชุมนุมของนานสุเทพทำลายสถิติการชุมนุมต่อเนื่องยาวนานที่สุด193 วัน ตามที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ทำไว้ สิ่งสำคัญไม่ใช่เรื่องเวลา แต่การชุมนุมของนายสุเทพได้ทำลายทุกระบบ ทุกกลไก ทุกโครงสร้างของประชาธิปไตยมากกว่าทุกการชุมนุมที่ผ่านมาด้วย

            นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมานายสุเทพพยายามร้องหาผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลาย แต่วันนี้ตนทราบจากแหล่งข่าวว่า หากผู้ใหญ่ที่นายสุเทพพูดถึงหมายรวมถึง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ บัดนี้มีข้อมูลค่อนข้างแน่ชัดว่า พล.อ.สุรยุทธ์พูดกับคนใกล้ชิดหลายครั้งหลายหนว่า การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง จะไม่เข้ามาข้องเกี่ยวแต่อย่างใด นายสุเทพต้องเข้าใจว่าผู้ใหญ่เขาสลัดนายสุเทพทิ้งไม่เหลือเยื่อใยแล้ว เขาไม่อยากอุ้มอีกต่อไป เพราะเห็นหายนะะที่รออยู่ข้างหน้า ตนมั่นใจว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะเห็นนายสุเทพเดินไปมาแบบคนหมดตัว หมดหน้าตัก จึงแนะนำให้ไปสมทบกับพุทธอิสระแล้วไปปลงกันที่วัดอ้อน้อย หลังจากนั้นก็ประกาศยุติการชุมนุม น่าจะเป็นช่องทางที่เป็นไปได้

ถึงคุณอภิสิทธิ์: แจ้งเพื่อทราบเกี่ยวกับนายกฯ “คนนอก” หลังพฤษภา 2535




เนื่องจากคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แสดงความเห็นว่าการเสนอชื่อนายกฯ คนกลาง (ซึ่งผมไม่เห็นด้วยและคิดว่าควรใช้คำว่า “คนนอก” มากกว่า”) เป็นวิถีทางหนึ่งในการแก้ไขวิกฤติทางการเมือง โดยได้หยิบยกเหตุการณ์ในประเทศอิตาลีและการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีในประเทศไทยภายหลังเหตุการณ์พฤษภามหาโหดเมื่อ พ.ศ. 2535 มาเป็นตัวอย่างสนับสนุนความคิดเห็นของตนเองนั้น
ผมไม่มีความรู้อย่างเพียงพอสำหรับเหตุการณ์ในอิตาลี ดังนั้น จะกล่าวถึงเฉพาะกรณีภายหลังการแต่งตั้งนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน เมื่อ พ.ศ. 2535 โดยขออธิบายข้อเท็จจริงบางส่วนที่คุณอภิสิทธิ์ ไม่ได้กล่าวถึงแต่เป็นส่วนที่มี “ความสำคัญ” ที่จะทำให้เข้าใจว่าการแต่งตั้งนายกฯ อานันท์ มีเงื่อนไขที่มีความแตกต่างเป็นอย่างมากกับความพยายามในการเสนอนายกฯ ตาม ม. 7 ในห้วงเวลาปัจจุบัน หรือตามข้อเสนอของคุณอภิสิทธิ์ก็ตาม
ข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่รับรู้กันทั่วไปก็คือ ภายหลังจากที่ พล.อ. สุจินดา คราประยูร ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ได้มีการเสนอชื่อนายกฯ คนใหม่ ทางพรรคร่วมรัฐบาลซึ่งถูกตั้งฉายาว่า “พรรคมาร” ในห้วงเวลานั้นได้เสนอชื่อ พล.อ.อ. สมบุญ ระหงษ์ ให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ คนต่อไป แต่นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้เสนอชื่อนายอานันท์ ปันยารชุน ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ โดยได้มีการโปรดเกล้าฯ ในวันที่ 10 มิถุนายน 2535 จากการกระทำดังกล่าว นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ได้รับการยกย่องว่าเป็น “วีรบุรุษประชาธิปไตย” อันสืบเนื่องมาจากกระแสสังคมในห้วงเวลาดังกล่าวมีความเกลียดชังพรรคมารและนักการเมืองที่อยู่ในกลุ่มเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจก็คือว่ารัฐธรรมนูญ 2534 ซึ่งมีผลใช้บังคับอยู่ในห้วงเวลาดังกล่าวยังไม่มีบทบัญญัติว่านายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง ดังนั้น การปฏิบัติหน้าที่ของอาทิตย์ จึงมิได้เป็นการกระทำที่ขัดกับรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด แน่นอนว่าปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่าในช่วงเวลานั้น การเคลื่อนไหวเพื่อคัดค้านนายกฯ คนนอก ได้ทำให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง (หรือนายกฯ ต้องเป็น ส.ส.)  ติดตามมาใน พ.ศ. 2535 (รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 4) แม้การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวจะเกิดขึ้นในห้วงเวลาเดียวกันกับที่มีการเสนอชื่อนายกฯ แต่รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนนี้ได้มีการทูลเกล้าฯ และมีผลใช้บังคับอีกประมาณ 3 เดือนต่อมา (ในวันที่ 12 กันยายน 2535) ซึ่งเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ก็ย่อมเป็นผลให้นายกฯ อานันท์ พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากไม่มีคุณสมบัติตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ซึ่งก็เป็นกระบวนการที่สอดรับกับการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่ได้มีการจัดขึ้นในวันที่ 13 กันยายน 2535
ประเด็นสำคัญก็คือว่าการเสนอรายชื่ออานันท์ เพื่อขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ ของนายอาทิตย์ ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร จึงไม่ได้เป็นการกระทำที่ขัดกับรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ซึ่งแตกต่างไปจากสถานการณ์ปัจจุบันรัฐธรรมนูญ 2550 ที่มีข้อกำหนดว่านายกฯ ต้องมาจาก ส.ส. เพราะฉะนั้น หากมีการเสนอชื่อนายกฯ คนนอกในปัจจุบัน การกระทำดังกล่าวจึงมีความหมายเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน
หากจะกล่าวว่าคุณอภิสิทธิ์ ไม่รับรู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ ก็คงเป็นเรื่องที่ชวนให้ประหลาดใจไม่น้อยในฐานะที่คุณอภิสิทธิ์ ได้มีส่วนร่วมและสามารถกล่าวได้ว่าคุณอภิสิทธิ์ “แจ้งเกิด” ในทางการเมืองหลังพฤษภามหาโหด ดังนั้น ในการรับฟังถึงข้อมูล ข้อเท็จจริง และความเห็นต่างๆ ของคุณอภิสิทธิ์ ก็ควรที่ผู้ฟังต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เฉกเช่นเดียวกับบุคคลธรรมดาทั่วไปซึ่งมีรัก โลภ โกรธ หลง หรือจุดยืนทางการเมือง  
อย่างไรก็ตาม หากการให้เหตุผลแบบเลือก/ละเลยข้อมูลบางด้านของคุณอภิสิทธิ์ เกิดขึ้นเพราะความไม่รู้แล้วก็ยังนับว่าเป็นเรื่องที่ดีกว่าการที่รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้วเลือกที่จะไม่พูด เพื่อที่จะตอบสนองต่อเป้าหมายทางการเมืองของตนเองเท่านั้น

 

กลุ่มเพื่อนสาธารณสุขเพื่อประชาธิปไตยแต่งดำ-ชูป้ายคัดค้านตัดสินเลือกตั้ง 2 ก.พ.เป็นโมฆะ


Fri, 2014-03-21 17:38

กลุ่มเพื่อนสาธารณสุขเพื่อประชาธิปไตยใส่เสื้อสีดำ และชูป้ายคัดค้านกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ.เป็นโมฆะ ที่ จ.เชียงใหม่
21 มี.ค.57 เวลา 12.00 น. บริเวณหน้าโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ (โรงพยาบาลสวนดอก) กลุ่มเพื่อนสาธารณสุขเพื่อประชาธิปไตยและประชาชนทั่วไป ได้รวมตัวกันใส่เสื้อสีดำ และชูป้ายคัดค้านกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ.เป็นโมฆะ
ก่อนหน้าการมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่มีทั้งบุคลากรด้านสาธารณสุขและประชาชนทั่วไปราว 20 คน ได้ร่วมกันแต่งชุดสีดำ และชูป้ายต่างๆ ที่มีข้อความคัดค้านการตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ และคัดค้านการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ เช่น “ประชาชนไม่ได้เลือกศาลรัฐธรรมนูญมาบริหาร และปกครองประเทศ” “ไม่มีโมฆะเลือกตั้ง มีแต่โมฆะบุรุษ” “อยุติธรรมนำกลียุค” “สุดท้ายประเทศนี้ต้องตัดสินโดยประชาชน” “ในระบอบประชาธิปไตย ศาลมีไว้ถ่วงดุลอำนาจ ไม่ใช่ถ่วงความเจริญ” เป็นต้นก่อนผู้ร่วมกิจกรรมมีการตะโกนพร้อมกันว่า “คัดค้านโมฆะเลือกตั้ง” และ “หนึ่งเสียงของเรามีความหมาย” และนำป้ายต่างๆ ที่เตรียมมาไปติดไว้ตามประตูรั้ว
กรรณิกา วิทย์สุภากร ผู้ประสานงานของกลุ่มสาธารณสุขเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่าวันนี้ทางศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยในเรื่องการเลือกตั้ง 2 ก.พ. ซึ่งหลายคนอึดอัดมาตลอดว่าจะมีการให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ จึงอยากมาแสดงพลังพร้อมกับกลุ่มที่กรุงเทพฯ โดยเรามีความเห็นว่าคนร้องเป็นอาจารย์หนึ่งท่าน ไปร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งมีไม่กี่คนก็ไปฟ้องให้ศาลรัฐธรรมนูญมาตัดสิน คน 9 คนจะมาตัดสินเสียงของคน 20 ล้านเป็นโมฆะ เราจึงไม่เห็นด้วย เราอยากให้รู้ว่า 20 ล้านเสียงมีความหมาย กรุณาเคารพสิทธิของเราด้วย การตัดสิทธิ์จะเหมือนกับการทำรัฐประหาร และไม่เห็นหัวของประชาชน

กลุ่มเพื่อนสธ. เพื่อประชาธิปไตยแถลงไม่ยอมรับนายกนอกระบบเลือกตั้ง



            แถลงการณ์ฉบับที่สาม กลุ่มเพื่อนสาธารณสุขเพื่อประชาธิปไตย ปฏิเสธนายกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เรียกร้องผู้ที่ทำงานในกระบวนการยุติธรรมตีความกฎหมายตามลายลักษณ์อักษรไม่ใช้อคติ เสนอรัฐบาลรับตัวแทนของสหประชาชาติหรือตัวแทนของสหภาพยุโรป เป็นคนกลางในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง
           โดยรายละเอียดอื่นๆ ยังประกอบไปด้วย การเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐ พนักงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจดำรงความเป็นกลางทางการเมือง ทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลทำคำประกาศรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมไม่อาจทำคำวินิจฉัยให้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปได้
โดยรายละเอียดของแถลงการณ์ทั้ง 5 ข้อมีดังนี้

            กลุ่มเพื่อนสาธารณสุขเพื่อประชาธิปไตย อันประกอบด้วยแพทย์ เภสัชกร ทันตแพทย์ พยาบาล และวิชาชีพสาธารณสุขด้านอื่นๆ จำนวนกว่า 1,200 คน ทั่วประเทศ มีความรู้สึกห่วงใยต่อสถานการณ์ของประเทศที่ยังมีความขัดแย้งกันอย่างสูงตลอด 6-7 เดือนที่ผ่านมา ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะสงบลง ทั้งยังอาจจะเกิดความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคต มีแถลงการณ์ต่อสถานการณ์ของประเทศ ดังนี้
  • 1. ขอสนับสนุนให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานของรัฐ มีความเป็นกลางทางการเมือง ปฏิบัติตามคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับบัญชา และทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ตามรัฐธรรมนูญ และตาม พรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน เพื่อให้ประชาชนมีขวัญกำลังใจและมีที่พึ่งในสถานการณ์ในปัจจุบัน
  • 2. เราปฏิเสธนายกรัฐมนตรีที่มิได้มาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เพราะรัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดเจนว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเพื่อให้มีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ เนื่องจากคณะรัฐมนตรีรักษาการ ต้องปฏิบัติงานภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ไม่มีอำนาจหน้าที่เต็มในการดูแลแก้ไขปัญหาของประเทศ จนสภาวะเศรษฐกิจเริ่มถดถอย และการปล่อยให้การเลือกตั้งเนิ่นช้าออกไปจะทำให้ความขัดแย้งในสังคมขยายวงกว้างยิ่งขึ้น
  • 3. ขอเรียกร้องให้ผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ผู้บังคับใช้กฎหมาย และองค์กรตามรัฐธรรมนูญ พิจารณากฎหมายตามลายลักษณ์อักษร หลีกเลี่ยงการใช้อคติและความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งอาจทำให้มีการโน้มเอียงไปทางฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ไม่สามารถทำให้ทุกฝ่ายยอมรับ เกิดความเคลือบแคลงสงสัย และยิ่งเพิ่มความขัดแย้งและนำไปสู่ความรุนแรงในที่สุด
  • 4. ขอให้รัฐบาลรับตัวแทนของสหประชาชาติหรือตัวแทนของสหภาพยุโรป เป็นคนกลางในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง เนื่องจากปัจจุบันไม่มีคนกลางที่ทุกฝ่ายยอมรับ ทั้งสององค์กรดังกล่าวก็เคยแสดงเจตจำนงมาก่อนหน้านี้ในการเป็นตัวกลางในการเจรจา เฝ้าระวังความรุนแรง และสังเกตการณ์การเลือกตั้ง เพื่อให้ทุกฝ่ายหันมาวิธีแก้ปัญหาตามครรลองในระบอบประชาธิปไตย ตามกฎหมาย สันติ และนำความสงบกลับคืนสู่ประเทศ
  • 5. เรียกร้องให้รัฐบาลทำคำประกาศรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมไม่อาจทำคำวินิจฉัยให้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปได้ ฝ่ายต่างๆอาจเลือกใช้วิธีรุนแรงต่อกัน การยอมรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศจะเป็นการป้องปรามมิให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดใช้ความรุนแรงต่อกัน

นพ.ภีศเดช สัมมานันท์ 
รศ.นพ.ไตรจักร ซันดู
นพ.ดิเรก บรรณจักร์
กลุ่มเพื่อนสาธารณสุขเพื่อประชาธิปไตย

“พานทองแท้” โพสต์คำสอน “นายกทักษิณ” ทฤษฎี “ต้นไม้พิษ” ย่อมต้องออกลูกมาเป็น “ผลไม้พิษ”







             12 พฤษภาคม 2557 Go6TV – นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Oak Panthongtae Shinawatra (https://www.facebook.com/oakpanthongtae) โดยมีเนื้อหาดังนี้

           คุณพ่อผมพูดถึงทฤษฎี "ต้นไม้พิษ" ย่อมต้องออกลูกมาเป็น "ผลไม้พิษ" มาตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แล้วครับ

            เพียงแค่ไม่ถึง 8 ปี ต้นไม้พิษจากการรัฐประหาร 49 ต้นนี้ เติบใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขา ทำท่าจะใหญ่โตกว่าต้นไม้ที่มีอายุกว่า 80 ปี ที่ชื่อ "ประชาธิปไตย" ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ได้ทรงปลูกและพระราชทาน ให้แก่คนไทยทั้งชาติเสียแล้ว

  • การเลือกตั้งที่ใช้เสียงส่วนใหญ่เป็นตัวชี้ขาด เป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย ถูกผลไม้พิษต่อต้านขัดขวาง และมีทีท่าว่าจะไม่ให้เกิดขึ้นในอีก 1-2 ปีข้างหน้า 
  • รัฐบาลที่ประชาชนเลือกมาถูกย่ำยีถอดถอน และจ้องจะเอาผิดทั้งทางแพ่งและอาญา นายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง ถูกผลไม้พิษปฏิวัติและถอดถอนไปแล้วถึง 4 คนในรอบ 7 ปี ส่วนคนที่แพ้เลือกตั้ง แล้วทหารอุ้มมาเป็นนายกฯ อยู่ได้จนครบวาระของรัฐบาล
  • ผลไม้พิษที่เป็นเสียงข้างน้อยในสภาฯ ลาออกมาตั้งตนเป็น "องค์รัฏฐาธิปัตย์" ยิ่งใหญ่เหนือคะแนนเสียงของประชาชน ขับไล่รัฐบาลยึดทำเนียบเป็นที่ทำงาน โดนข้อหากบฏมีโทษถึงประหารชีวิต แต่สามารถปิดถนน เดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างเสรี 
  • สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพี่น้องประชาชนถูกริดรอน การทำมาค้าขาย หากอยู่ใกล้กลุ่มผลไม้พิษ ประสบปัญหาขาดทุน เจ๊งแทบทุกราย 
  • ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การเดินทางสัญจรไปมาติดขัด ใครบังอาจไปแตะต้องกรวยพิษ เป็นทหารยังถูกยิง คนส่งน้ำแข็งถูกแทง เป็นนักบินถูกรุมกระทืบ
  • ชาวนาถูกกลั่นแกล้ง ไม่ยอมจ่ายเงินค่าจำนำข้าว จนกว่าจะยอมรับในผลไม้พิษต้นนี้ 

           ที่สำคัญที่สุดคือ กลไกในการช่วยเหลือและให้ความเป็นธรรมในสังคม กลับกลายเป็นกลไกที่ใช้ทำร้ายพี่น้องประชาชน และใช้เป็นกลไกในการขุดรากถอนโคนต้นไม้ประชาธิปไตย องค์กรอิสระที่ควรเป็นที่พึ่งหวังของประชาชน กลับพยายามต้อนประเทศไทย ให้เข้าสู่ทางตันไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ....!!

          ขณะนี้การผสม "ปุ๋ยพิษ” สูตรพิเศษ 96-51 ซึ่งสามารถเร่งผลผลิตได้เร็วขึ้น 10 เท่า เป็นผลสำเร็จแล้ว ถ้าเรายังชะล่าใจ ปล่อยให้ความอยุติธรรมครองเมืองอยู่ ลูกหลานไทยยุคใหม่ ก็จะต้องบริโภคผลไม้พิษนี้ไปจนตาย

          ต้นไม้พิษทำท่าจะเจริญเติบโตยิ่งใหญ่ ส่วนต้นไม้ประชาธิปไตยกำลังจะเฉาตาย ทั้งหมดนี้อยู่ในมือคนไทยทั้ง 60กว่าล้านคน ว่าเราต้องการจะนำพาประเทศของเรา ไปในทิศทางใด

          เรามาร่วมมือกัน ขุดรากถอนโคน ฟันต้นไม้พิษนี้ทิ้งไป กันดีไหมครับ..??