วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เพื่อนบ้านสุดทนแฉภาพ “การ์ด กปปส.” บุกทุบรถตำรวจที่จอดในรั้วบ้าน ขโมยปืน-เอกสารสำคัญในรถยนต์ ไปทั้งหมด





            วันที่ 10 พฤษภาคม 2557(go6tv) ผู้ใช้ไอดี Kittykung Laws ได้เผยแพร่ภาพการ์ด กปปส. กำลังทุบทำลายรถยนต์สีดำคันหนึ่ง โดยมีคำบรรยายภาพว่า เป็นภาพที่เธอแอบถ่ายเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ช่วงเที่ยงขณะที่การ์ด กปปส.บุกเข้ามาในรั้วบ้านของเพื่อนบ้านและทุบทำลายรถยนต์ ซึ่งเป็นรถยนต์ตำรวจที่จอดในรั้วบ้านและขโมยปืน-บัตรประจำตัวตำรวจ ที่อยู่บนรถยนต์คันดังกล่าวในบ้านออกไปให้พุทธะอิสระ จากนั้น พุทธะอิสระได้ไปโกหกแถลงข่าวว่าเป็นตำรวจโดนจับได้ระหว่างปลอมตัวปนกับม็อบหน้า ศอ.รส.

            เจ้าของไอดี Kittykung Laws ได้เขียนบรรยายในเฟสบุ๊คดังต่อไปนี้

           “เมื่อวาน มีการ์ด กปปส.บุดเข้ามาในบ้านเพื่อน แล้วพังรถตำรวจในบ้าน ถ่ายรูปไว้ได้หลายคน แต่ไม่กล้าโพสต์ กลัวมันมาแก้แค้น...โอย....บ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแปแล้วนะ

เลือกรูปที่ไม่เด่นมากมาวางให้ดู

          ก็เข้าใจคนกรุงเทพฯอ่ะนะ - รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ขืนไปยุ่งกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัว หรือหือกะพวกมันที่มาเป็นกลุ่มพร้อมอาวุธ ก็อาจจะเจ็บตัว และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
พวกที่เชียร์ให้ออกมาจับมือกัน ช่วยกัน บลา บลา บลา ก็ดีแต่พิมพ์ ไม่ได้มาช่วยเหลืออะไร - ก็ไม่รู้ทำไงนะ ก็ได้แต่เอาใจช่วยและให้ข้อแนะนำ ส่วนจะทำหรือเปล่าก็เป็นเรื่องวิจารณญาณส่วนบุคคล และวาระโอกาส สิ่งแวดล้อมขณะนั้นประกอบการตัดสินใจ

         แต่ความเป็นมนุษย์ของเราย่อมมีศักดิ์ศรี ผู้เจริญแล้วย่อมภาคภูมิในเกียรติของตัวเอง ภาคภูมิในเขต ในอาณาจักร และที่แน่ๆ ภาคภูมิในสิทธิความเป็นมนุษย์ผู้เจริญแล้วของตัวเอง

          ถ้าคุณไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่ปกป้อง-แก้ไข สิ่งอะไรก็ตามที่มันทำให้เราต่ำต้อยด้อยค่าในความเป็นคน คุณก็ต้องทนมันต่อไป เพื่อคุณจะได้ไม่เจ็บตัว และคุณจะได้มีชีวิตต่อ..รอ..รอ..และ รอ..ให้พระสยามเทวาธิราชดลบันดาลให้พวก การ์ดกปปส.มันสะดุดก้อนหินหัวน็คพื้น-หัวใจวายตายในส้วม-หรือไม้จิ้มฟันแทงเหงือกตาย ...ก็แล้วแต่พวกคุณก็แล้วกัน

รู้มั๊ย ทำไมมันไม่กล้าทำอย่างนี้ที่ต่างจังหวัด?
จะบอกว่าคนมันน้อยก็ไม่ใช่
ทุกวันนี้ในกทม.การ์ดพวกนี้ก็เป็นคนส่วนน้อยสุดๆ -
.
        ต่างจังหวัดเค้ามีความเห็นแก่ตัวน้อยกว่าคนในกรุง เกิดการ์ดพวกนี้ไปทำรุ่มร่ามแถว-ไม่ต้องไกล แค่ เพชรบุรี ราชบุรี นครปฐม อยุธยา หรือแม้แต่ปทุมธานี คงจะไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัส

         ก็แสนจะเข้าใจว่าพวกคุณ ว่าการเอาตัวรอดในเมืองใหญ่มันเป็นยังไง..แต่มันถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะมาจับเข่าคุยกันหน่อย ในมาตรการปกป้องชีวิตและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ต้องเริ่มคุยกันแล้วค่ะ ไม่ใช่จะมาคิดสั้นๆแค่ว่า ไม่ใช่เรื่องของเรา เราไม่เกี่ยว - ช่างมันเถอะ ขืนหือเดี๋ยวมันเอามีดฟันจะเจ็บตัวเปล่า บลา บลา บลา ฯลฯ

        เอาเป็นว่า เอาใจช่วยให้มีความเข้มแข็ง เอาใจช่วยให้หันหน้าพูดคุยกันในละแวกบ้าน-เพื่อนร่วมงาน-ในสมาคมต่างๆ เอาใจช่วยให้กล้าหาญยิ่งๆขึ้นไป เเอาชนะการ์ด กปปส. หรือการ์ดไหนๆที่คุกคามความเป็นคนสิทธิเท่ากันของเราค่ะ”

"สรยุทธ์" เผ่น! ช่อง 3 หนีตายออกจากตึกมาลีนนท์ ย้ายไปจัดรายการสดนอกสถานที่ทั้งหมด


 

           วันที่ 10 พฤษภาคม 2557 (go6tv) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเที่ยงที่ผ่านมา รายการเรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งดำเนินรายการโดย นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา และ น.ส.พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ หรือ น้องไบร์ท ซึ่งจะออกอากาศในวันเสาร์และอาทิตย์ทุกสัปดาห์ เวลา 10.30-12.15 น. ปรากฏว่า นายสรยุทธ์ และ น.ส.พิชญทัฬห์ ไม่ได้จัดรายการภายในสตูดิโอของช่อง 3 อาคารมาลีนนท์ ถนนพระราม4 ตามปกติ แต่ได้ย้ายไปใช้สตูดิโอชั่วคราวนอกสถานที่แห่งหนึ่ง และถ่ายทอดสดผ่านรถโมบายและยิงสัญญาณผ่านสถานีภาคพื้นดินที่หนองแขม แต่ไม่เป็นการเปิดเผยว่าย้ายไปจัดรายการที่ใด

           และจากการตรวจสอบเบื้องต้น รายการข่าวสดทั้งหมดของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 น่าจะย้ายไปจัดนอกสถานที่ทั้งหมดด้วยเช่นกันนับแต่วันนี้เป็นต้นไป

สุเทพเร่งประธานวุฒิสภาตั้งนายกรัฐมนตรี-ไม่เช่นนั้น กปปส.จะทำเอง

Sat, 2014-05-10 04:16
เลขาธิการ กปปส. ลั่นไม่มีสภาผู้แทนราษฎรแล้ว-วุฒิสภาตั้งนายกรัฐมนตรีได้ตาม ม.7 ขอให้ "ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง" รีบปรึกษากันและดำเนินการให้จบ หากพ้นวันจันทร์ไปแล้ว กปปส.จะตั้งรัฐบาลเอง พร้อมเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนออกมาชุมนุมเพิ่ม-เทหมดหน้าตัก
สุเทพ เทือกสุบรรณ ปราศรัยที่เวที กปปส. สวนลุมพินี เมื่อคืนวันที่ 9 พ.ค. 2557 (ที่มา: เพจเวทีราชดำเนิน)
10 พ.ค. 2557 - ภายหลังจากที่ กปปส. ได้ถือฤกษ์ 9 พ.ค. เวลา 09.09 น. เคลื่อนขบวนจากสวนลุมพินี โดยนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ พาผู้ชุมนุมไปช่อง 3 กองทัพธรรม กองทัพประชาชนนำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และนายแซมดิน เลิศบุศย์ จะไปสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 นายอิสระ สมชัย นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ นายสกลธี ภัททิยกุล ไปช่อง 7 นายชุมพล จุลใส ไปช่อง 9 นายถาวร เสนเนียม ไป NBT ถนนวิภาวดีรังสิต นายวิทยา แก้วภราดัย ไป NBT ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ขบวนของสุเทพ เทือกสุบรรณ และ คปท. ไปทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา และพุทธะอิสระ ไป ศอ.รส. ก่อนถอยกลับเวที กปปส. แจ้งวัฒนะนั้น (อ่านข่าวก่อนหน้านี้)
ต่อมา เวลา 20.30 น. คืนวานนี้ (9 พ.ค.) ที่เวที กปปส. สวนลุมพินี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวปราศรัยว่า เราปฏิบัติตามสัตยาธิษฐานได้สำเร็จ กราบขอบคุณพี่น้องมวลมหาประชาชนที่ออกมากันเยอะจริงๆ และต้องขอขอบคุณคนของกองทัพธรรมที่สามัคคีกันเป็นเลิศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ออกนำทัพเองโดยที่ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2556 แต่ปรากฎว่าเกิดป่วยขึ้นมาต้องเข้าโรงพยาบาล ตอนนี้ยังต้องพักฟื้น แต่ก็เสียสละนำมวลชนไปที่ช่อง 5 ด้วยตัวเอง นอกจากนี้สุเทพได้ขอบคุณแกนนำที่พาผู้ชุมนุมไปชุมนุมยังจุดต่างๆ
สุเทพปราศรัยว่า "ขอบคุณมวลมหาประชาชนจริงๆที่ร่วมมือร่วมใจกันเป็นพิเศษวันนี้ แล้วก็เติมพลังไม่ขาดสายทั้งวัน ผมพามวลชนไปล้อมทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภาไว้แล้ว และขอแอบกระซิบบอกว่าวันนี้ผมไปดูที่ทางทำเนียบ ไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าถึงเวลาที่เราต้องตั้งกองบัญชาการขึ้น เราก็จะตั้งกองบัญชาการที่ทำเนียบรัฐบาลละครับ ตอนนี้มวลชน กปปส. อยู่รอบทำเนียบรัฐบาลทุกด้าน เชื่อมกับ คปท. เป็นเนื้อเดียวกันหมดแล้ว เรียบร้อยแล้วพี่น้องครับ"
เลขาธิการ กปปส. ยังปราศรัยขอบคุณสื่อมวลชนที่ให้ความร่วมมือ ที่เข้าใจเจตจำนงของ กปปส. เข้าใจสถานการณ์บ้านเมือง
"เราปฏิบัติการทุกอย่างด้วยความเป็นคนมีธรรมะ นุ่มนวล สุภาพ พูดคุยอธิบายให้พี่น้องสื่อมวลชนว่า ประเทศมีปัญหา เราจำเป็นต้องร่วมมือกันแก้ปัญหา สื่อมวลชนเป็นส่วนสำคัญของประเทศนี้ เพราะฉะนั้นเลยขอร้องสื่อมวลชน โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ โปรดได้งดการรายงานข่าวของ ศอ.รส. หรือศูนย์รวมสัตว์ โดยสิ้นเชิง เพราะมันโกหกพกลม"
อย่างไรก็ตามสุเทพระบุว่า ช่อง 11 ยังมีปัญหา โดยเตือนว่า "ถ้าคนช่อง 11 ยังดื้อดึงดัน มวลมหาประชาชนต้องรักษาผลประโยชน์ชาติเหนือสิ่งอื่นใด ขอเตือนผู้บริหาร สื่อมวลชน อย่าทำอะไรนอกลู่นอกทางอีกเป็นอันขาด"
นอกจากนั้นสุเทพกล่าวว่า มีอุบัติเหตุเล็กๆ ที่ช่อง 9 หลังจากตกลงกับนายจุมพล จุลใส แล้ว แต่ก็ปล่อยให้มีแถลงการณ์ ศอ.รส. ออกมาได้ จึงคิดเสียว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่อย่าทำอีกแล้วกัน ส่วนหนังสือพิมพ์ขอกราบเรียนแทนมวลชน โปรดร่วมมือหยุดการเสนอข่าวบิดเบือนของทรราช นี่เป็นโอกาสเดียวที่สื่อกับมวลมหาประชาชนจะได้หล่อหลอมจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน
เลขาธิการ กปปส. กล่าวถึงผู้ชุมนุมว่า "ขอวิงวอนอีกครั้งเชิญชวนพี่น้องที่ยังไม่ออกมาร่วมต่อสู้กับเรา วันนี้อาจมีกิจธุระอยู่ แต่พรุ่งนี้ มะรืนนี้ เป็นวันเสาร์ อาทิตย์ ออกมาเถิดครับ มาร่วมต่อสู้ด้วยกันดีกว่า นี่เป็นโอกาสเดียวเท่านั้น ที่จะเอาชนะกลุ่มโจรร้ายของแผ่นดินได้ พี่น้องทุกคนที่มาได้โปรดเสียสละมาร่วมการต่อสู้"
ส่วนคนที่มาแล้ว ให้กอดคอต่อสู้กัน ให้รักษาพลังชุมนุมไว้ รักษาให้ยืนยาวจนถึงยกสุดท้ายให้ได้ อย่าให้ลดลงเด็ดขาด "เดี๋ยวฝ่ายข้าศึกจะได้ใจ รักษาพลังนี้ไว้ให้แน่นเหนียวที่สุด และต้องช่วยกันชักชวน เชิญชวน ญาติมิตรสหาย ให้ออกมาช่วยกันเติมพลัง ให้เพิ่มขึ้น ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เหลืออีกแค่ไม่กี่วันแล้ว ใกล้จะเอื้อมถึงแล้ว มาเถิดมาช่วยเติมพลังให้ยิ่งใหญ่กว่านี้"
สุเทพยังกล่าวเตือนกรณีที่ ศอ.รส. ยิงแก๊สน้ำตาใส่ กปปส.แจ้งวัฒนะที่นำโดย "พุทธะอิสระ" (อ่านข่าวก่อนหน้านี้) ว่า ขอเตือน พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. ซึ่งอยู่บัญชาการที่นั่น อย่าใช้ความรนุนแรงกับมวลมหาประชาชนอีกเด็ดขาด เพราะจะทำให้ชีวิตท่านมีปัญหา และจะเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในชีวิต
ในช่วงท้ายการชุมนุม สุเทพเรียกร้องให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีว่า "มาวันนี้นางดอกงิ้วสิ้นสภาพ ไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ถ้ายังมีสภาผู้แทนราษฎรอยู่ วันนี้สภาผู้แทนราษฎรต้องประชุมกันแล้วเลือกนายกรัฐมนตรีมาใหม่ แต่กรรมของมันเอง นางดอกงิ้วขว้างระเบิดสังหารหมู่สภาผู้แทนราษฎรของมันตายหมดแล้ว วันนี้จึงไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ผมอยากเรียนพี่น้องว่า ยังมีวุฒิสภาอยู่ ชอบด้วยกฎหมาย เป็นองค์กรที่ถูกต้อง เมื่อไม่มีสภาผู้แทนราษฎรก็สมควรที่วุฒิสภาจะได้เลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ขึ้นมา พี่น้องทั้งหลาย วันนี้ ผมได้เป็นตัวแทนมวลมหาประชาชนไปยื่นหนังสือต่อประธานวุฒิสภา จริงๆ แล้วตอนที่ผมไปยื่น ยังไม่มีประธานวุฒิสภา มีแต่รองประธานวุฒิสภา รักษาการเป็นประธาน ผมไปยื่นหนังสือบอกว่าต้องให้วุฒิสภา ทั้งประธาน ทั้งสมาชิก ต้องรีบดูแลแก้ไขหาทางออกให้ประเทศ ที่ไม่มีนายกรัฐมนตรีอยู่ในขณะนี้"
สุเทพกล่าวว่าได้ยื่นหนังสือให้กับมือ และอธิบายต่อรองประธานวุฒิสภา มีคนของ กปปส. มานั่งเฝ้าหน้าสภา ไปลุ้นว่าวันนี้วุฒิสภาเขาประชุมกัน จะเลือกประธานวุฒิสภาคนใหม่จะได้ใคร จะได้คนของระบอบทักษิณ หรือได้คนที่พอจะไว้วางใจได้ว่าอยู่ข้างมวลมหาประชาชน ข่าวด่วนสุดท้ายมาแล้ว อยู่ข้างมวลมหาประชาชนครับ
"ผมขอเรียกร้องไปยังท่านว่าที่ประธานวุฒิสภาคนใหม่ คือท่านสุรชัย แม้ว่าจะยังไม่มีการโปรดเกล้า เพราะมีขั้นตอนทูลเกล้ารายชื่อ ให้พระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่ตอนนี้คุณสุรชัยมีสถานะเป็นรองประธานวุฒิสภา และว่าที่ประธานวุฒิสภา จึงมีฐานะที่ชอบธรรม ผมเรียกร้องเลยให้ว่าที่ประธานวุฒิสภา ลงมือทำงานตั้งแต่คืนนี้ อย่ารอช้า ปรึกษากันเสียกับบรรดาสมาชิกวุฒิสภา จะปรึกษา หรือประชุมเป็นพิเศษ จะทำอย่างไรก็ตาม คุณสุรชัย และสมาชิกวุฒิสภา คุณสุรชัยต้องร่วมกันทูลเกล้าเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่โดยทันที"
"ปล่อยให้ประเทศว่างอยู่อย่างนี้ ไม่มีนายกรัฐมนตรีแบบนี้ อย่าหวังลมๆ แล้งๆ รอการเลือกตั้ง เพราะเราไม่ยอมให้มีการเลือกตั้งอยู่แล้ว ที่ผมพูดนี้ พูดตามกฎหมายนะครับ มันไม่เคยมีบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าถ้าเกิดกรณีนายกรัฐมนตรีสิ้นสภาพหรือตายไป ในขณะที่ไม่มีสภาผู้แทนราษฎรจะต้องทำอย่างไร ไม่มีบทบัญญัติไว้ แต่มีมาตรา 7 รัฐธรรมนูญเขียนว่าในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ บังคับกรณีได้ ให้วินิจฉัยกรณีนั้นตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข"
"ยืนยันได้ครับว่า เมื่อไม่มีสภาผู้แทนราษฎรที่จะเลือกคนเป็นนายกรัฐมนตรี วุฒิสภาเลือกคนเป็นนายกรัฐมนตรีได้ตามบทบัญญัติ ผมจึงขอเรียกร้องไปถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ท่านประธานศาลฎีกา ท่านประธานศาลปกครองสูงสุด ท่านประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธาน กกต. พรุ่งนี้วันเสาร์ท่านต้องทำงานครับ ไม่ต้องพักผ่อน รีบมาปรึกษากัน และต้องรีบดำเนินการให้เป็นไปตามนี้ ผมถึงเรียกร้องพี่น้องประชาชนครับ พรุ่งนี้ต้องมาเพิ่มอีก มาให้มากกว่านี้อีก มาให้ท่านประธานเห็นว่าเรามวลมหาประชาชนมีเจตจำนงค์แรงกล้า ต้องการรัฐบาลตัวจริง ไม่ใช่รัฐบาลผีหัวขาด"
"แล้วกราบเรียนฝากไว้นะครับ อย่าหาว่าผมสะเออะเลย เป็นเด็กเป็นเล็กไปสอนผู้ใหญ่ ผมทำหน้าที่ร่างทรงมวลมหาประชาชน กราบเรียนท่านผู้หลักผู้ใหญ่ว่า เลือกคนที่จะมาดูแลบ้านเมืองได้ คนที่ซื่อสัตย์ สุจริต จงรักภักดีต่อแผ่นดิน ดูแลให้บ้านเมืองเดินหน้าได้ อย่าเอาคนของพรรคการเมืองมาเด็ดขาด เพราะมวลมหาประชาชนไม่เอา"
"ถ้าท่านเลือกคนที่ไม่ใช่ตัวแทนนักการเมือง ตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว เรามวลมหาประชาชนจะสนับสนุนให้รัฐบาลนั้นแก้ปัญหาชาวนา แก้ปัญหาประเทศไทย และปฏิรูปประเทศทันที แล้วก็ขอความกรุณา อย่าได้คิดว่ากระผมบังอาจ จะยื่นคำขาดคำเกินอะไรทั้งสิ้น ผมกราบเรียนว่ามวลมหาประชาชนสู้มา 6 เดือนแล้ว คราวนี้ ไม่สามารถอดรนทนต่อไป เรื่องนี้ต้องจบให้ได้ภายในวันจันทร์ พ้นจากนั้นเราทำเอง"
"โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง ขอท่านผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลาย รีบทำงานวันเสาร์อาทิตย์ และจบเรื่องนี้ให้ได้ภายในวันจันทร์ ถ้าท่านไม่ทำ หรือท่านทำไม่ได้ อย่ามาโกรธพวกผมนะ เพราะว่าเราจะทำเองด้วยมือประชาชน"
"พี่น้องทั้งหลายเป็นไงเป็นกัน เที่ยวนี้สู้เพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน แต่ว่าเราปล่อยให้ประเทศชาติอยู่ในมือมารต่อไปไม่ได้ ขอทุกท่านร่วมแรงร่งมใจกัน สู้มาด้วยกันนานแล้ว เหลือแค่มือเอื้อมเท่านั้น ออกมาให้หมด สู้กันเต็มที่ เทให้หมดหน้าตักไปเลย เพราะฉะนั้นออกมา ตะโกนให้ก้องไปทั้งประเทศ"
ทั้งนี้หลังปราศรัยที่เวที กปปส. สวนลุมพินี สุเทพ เทือกสุบรรณ และเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ได้เดินทางมาที่เวที คปท. หน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อร่วมปักหลักพักค้างกับผู้สนับสนุน

นักบินฝึกหัดถูกการ์ด กปปส. ทำร้ายหลังย้ายกรวยบนทางด่วน

           หนุ่มนักบินฝึกหัดขับรถขึ้นทางด่วนดอนเมืองจะไปฟังผลสอบการบิน เจอกรวยจราจรของ กปปส. ขวางจึงเปิดประตูลงไปย้าย ก่อนถูกผู้ชุมนุมรุมทำร้าย ล่าสุดแม่พาลูกชายไปแจ้งความแล้ว





?หนุ่มนักบินร้องถูกการ์ด กปปส.ยำเลือดคั่ง-ไร้ปราณี(ชมคลิป)?














           ด้านนายสุรศักดิ์ ระบุว่า เวลาประมาณ 12.30 น. ตนพร้อมเพื่อนสาวขับรถเก๋งยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู รุ่น 525 สีบรอนซ์เงิน ขึ้นทางยกระดับโทลล์เวย์จากด่านดินแดง มุ่งหน้าไปดอนเมือง เพื่อไปฟังผลสอบ ขณะที่ขับรถผ่านมายังด้านหน้าสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เห็นว่ามีการปิดกั้นการจราจรทั้งฝั่งขาเข้าและขาออกโดยทางกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. แต่ก็ยังมีรถบางคันที่วิ่งฝ่าด่านกั้นของทางกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.ไป ตัวเขานั้นไม่ได้มีเจตนาอื่น เพียงแค่ต้องการไปยังดอนเมืองเท่านั้น จึงลงไปเปิดกรวยจราจรที่กั้นทาง
          หลังจากนั้นจึงกลับมาที่รถเพื่อที่จะขับออกไป หลังจากขึ้นรถมีกลุ่มการ์ด กปปส.ประมาณ 10 คนเข้าล้อมรถของตนไว้ โดยคนที่เดินเข้ามามีทั้งที่สวมเสื้อยืดสีดำแขนสั้น สีดำแขนยาว เสื้อสีฟ้า เสื้อลายทหาร และมีผ้าพันคอสีม่วง
         นายสุรศักดิ์ ระบุด้วยว่ากลุ่มผู้ชุมนุมบางคนตะโกนว่าเขาเป็นคนทำ ซึ่งเขาไม่รู้เรื่องอะไร จึงนั่งนิ่งอยู่ในรถ พร้อมทั้งล็อคประตู 4 ด้าน กลุ่มผู้ชุมนุมได้ยืนขวางรถตนไว้ ส่วนคนที่เหลือพยายามจะเคาะกระจกเรียกให้เปิดประตูรถ บางคนก้มลงไปปล่อยลมยาง หลังจากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีอาวุธปืนสั้นและปืนยาวได้ใช้ด้ามปืนเป็นไม้กระแทกกระจกรถฝั่งคนนั่งจนแตก จากนั้นใช้ด้ามปืนกระแทกมาที่ต้นขา ก่อนจะกระทุ้งมาที่ใบหน้าแล้วรุมทำร้ายตน พร้อมทั้งทุบตีรถ จนกระทั่งสลบไป หลังจากเกิดเหตุมีพลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์พยายามเข้าช่วยเหลือ โดยได้รับบาดเจ็บบริเวณใบหน้า โหนกแก้ม ตา จมูก และต้นขาขวา
          ร.ต.ท.อนุชิต เผยว่า ผู้เสียหายมาลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานแล้ว แต่เวลานี้ยังต้องไปพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล พรุ่งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสอบสวนอย่างละเอียดอีกครั้ง 

สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ออกแถลงการณ์แนะใช้มาตรา 7

สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ออกแถลงการณ์แนะใช้มาตรา 7



สภาทนายความออกแถลงการณ์ "ปัญหาความชอบด้วยกฎหมายของรักษาการรองนายกรัฐมนตรีผู้จะทำหน้าที่แทนรักษาการนายกรัฐมนตรี และปัญหาการปฏิบัติหน้าที่ราชการของรักษาการรัฐมนตรีชุดที่เหลือหลังมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ" ระบุสถานการณ์ไม่ปกติโยงไปใช้บทบัญญัติของ ม. 7 ให้วุฒิสภาเสนอชื่อนายกและเสนอจัดตั้งรัฐบาล
 
9 พ.ค. 2557 แนวหน้ารายงานว่าสภาทนายความออกแถลงการณ์ กรณีศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยโดยมติเอกฉันท์ ให้รักษาการนายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง และพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของรักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรักษาการรัฐมนตรีที่เหลือ กรณีหลายฝ่ายคลางแคลงใจกับข้อกฎหมาย ซึ่งสภาทนายความได้อธิบายข้อกฎหมายและการบังคับใช้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินให้กับประชาชนโดยทั่วไปได้ทราบ
 
โดยแถลงการณ์ของสภาทนายความมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
 
แถลงการณ์ของสภาทนายความ
ฉบับที่ 9/2557
เรื่อง ปัญหาความชอบด้วยกฎหมายของรักษาการรองนายกรัฐมนตรีผู้จะทำหน้าที่แทนรักษาการนายกรัฐมนตรี และปัญหาการปฏิบัติหน้าที่ราชการของรักษาการรัฐมนตรีชุดที่เหลือหลังมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
 
ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยโดยมติเอกฉันท์ (9 : 0) ให้รักษาการนายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง และพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 นั้น  ยังมีข้อกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับความชอบธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ของรักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรักษาการรัฐมนตรีที่เหลือ ซึ่งจะมีสถานการณ์ตามรัฐธรรมนูญและตามกฎหมายบริหารราชการแผ่นดินที่จะทำได้แค่ไหนเพียงไรนั้น เป็นสิ่งที่ประชาชนให้ความสนใจ เพราะเป็นกรณีที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในระบอบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยของประเทศไทย  สภาทนายความเห็นว่าข้อกฎหมายกับการทำความเข้าใจในการบังคับใช้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินนั้น จะเป็นประโยชน์ในการศึกษาและการเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายให้กับประชาชนโดยทั่วไป จึงออกแถลงการณ์เพื่อประกอบการพิจารณาของทุกท่าน ดังต่อไปนี้
 
1.ข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงก็คือในขณะนี้ประเทศไทยไม่มีนายกรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีรักษาการ คงมีแต่รักษาการรองนายกรัฐมนตรีกับรักษาการรัฐมนตรีที่เหลืออยู่ 25 คน และตามที่ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อมอบหมายให้รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่ง โดยได้มีการมอบหมายกันในขณะที่นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น  การรับช่วงงานหลังจากมีคำวินิจฉัยแล้วจึงเป็นข้อเท็จจริงที่ควรตรวจสอบให้ได้ความชัดเจนว่ารักษาการนายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีและมอบหมายงานให้รักษาการรองนายกรัฐมนตรีได้ เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันคณะรัฐมนตรีทันที
 
2.ตามความในมาตรา 11 (1) ของพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2553 กำหนดไว้ชัดเจนว่า “นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลเท่านั้นที่มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับโดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการแผ่นดิน และจะสั่งให้ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และส่วนราชการซึ่งมีหน้าที่ควบคุมราชการส่วนท้องถิ่น ชี้แจง แสดงความคิดเห็น ทำรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการ ในกรณีจำเป็นจะยับยั้งการปฏิบัติราชการใด ๆ ที่ขัดต่อนโยบายหรือมติของคณะรัฐมนตรีก็ได้” แต่บทบัญญัติของ (1) ดังกล่าว ไม่ได้กำหนดให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรักษาการรองนายกรัฐมนตรีที่ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีตามที่มีมติแต่งตั้งกันไป มีฐานะเป็นหัวหน้ารัฐบาลหรือใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลได้  ดังนั้นในขณะนี้จึงไม่มีนายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่จะปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยได้โดยชอบ
 
3.ตามความในมาตรา 11 (2) ของพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฉบับนี้ก็ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่า รองนายกรัฐมนตรีจะกำกับการบริหารราชการของกระทรวงหรือทบวงหนึ่งหรือหลายกระทรวงหรือทบวงก็ได้ แต่ต้องเป็นการมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล  ดังนั้นความในอนุ (2) ของมาตรา 11 นี้จึงเป็นการยืนยันข้อกฎหมายได้ชัดเจนว่ารองนายกรัฐมนตรีที่มาปฏิบัติจะมาปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีดังที่เข้าใจกันนั้น ต้องได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี และไม่มีบทบัญญัติใดในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบริหารราชการแผ่นดินให้รักษาการรองนายกรัฐมนตรีมีฐานะเป็นหัวหน้ารัฐบาลได้ ทำให้กรณีของรักษาการรองนายกรัฐมนตรี ที่ประชุมกันเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2557 จะมาทำหน้าที่ของรักษาการนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลอีกตำแหน่งหนึ่งนั้นย่อมไม่อาจกระทำได้
 
4.กรณีที่มีอดีตรัฐมนตรีหลายคนอ้างข้อกฎหมายเกี่ยวกับความเป็นรัฐมนตรีของตนเองยังอยู่ ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว แต่กลับมากล่าวอ้างว่าในขณะที่มีคำวินิจฉัยได้มีสองตำแหน่งควบกัน เช่นตนเองดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอยู่ด้วยหรือเป็นรัฐมนตรีที่ได้ถูกสับเปลี่ยนกระทรวงที่รับผิดชอบไปแล้ว จึงสามารถทำหน้าที่ได้ต่อไปนั้น เป็นกรณีที่พยายามแปลความให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในเรื่องการขัดกันของผลประโยชน์ และไม่มีกฎหมายสนับสนุนข้ออ้างเช่นนั้นอย่างชัดเจน
 
ในเรื่องนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบจ่ายเงินเดือนหรือให้สิ่งอำนวยความสะดวกในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่งอยู่ ต้องเรียกกลับคืนรถประจำตำแหน่งและทรัพย์สินของทางราชการ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยของรักษาการรัฐมนตรีนั้น ๆ พร้อมกับให้ข้าราชการประจำที่ไปช่วยงานรักษาการรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งกลับสู่งานในหน้าที่เดิมทั้งหมด และต้องงดจ่ายเงินเดือนและผลประโยชน์ให้กับรักษาการรัฐมนตรีทั้งหมดจากเงินภาษีอากรของประเทศโดยทันที
 
อนึ่ง หากยังมีข้าราชการไม่ยึดถือปฏิบัติโดยยังคงจะรับใช้รักษาการรัฐมนตรีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งไปแล้วนั้น ควรที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินจะมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ในทุกส่วนราชการงดการจ่ายเงินและประโยชน์ใด ๆ รวมถึงการเพิกถอนหรือเรียกคืนทรัพย์สินของรัฐที่อยู่ในความครอบครองของรัฐมนตรีนั้นกลับคืนทันทีเช่นกัน
 
5.การพ้นจากตำแหน่งของรักษาการนายกรัฐมนตรีตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนี้ แม้จะเป็นการวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเป็นความผิดเฉพาะตัวตามความในมาตรา 182 (7) ของรัฐธรรมนูญก็จริงอยู่ แต่ความในมาตรา 180 ของรัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดเจนว่า รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (1) ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามมาตรา 182 (2) และความในวรรคสองของมาตรา 180 ก็กำหนดไว้ชัดเจนว่าถ้าในกรณีที่ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามมาตรา 182 (1) (2) (3) (4) (5) (7) หรือ (8) ให้ดำเนินการตามมาตรา 172 และมาตรา 173 โดยอนุโลม กล่าวคือต้องมีการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่ แต่เนื่องจากขณะนี้ไม่มีสภาผู้แทนราษฎรคงมีแต่วุฒิสภา กรณีจึงเป็นปัญหาทางกฎหมายว่าวุฒิสภาจะสามารถแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ ข้อกฎหมายในเรื่องนี้หากจะพิจารณาตามความในมาตรา 132 (2) ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันระบุไว้ชัดเจนว่า “การประชุมที่ให้วุฒิสภาทำหน้าที่พิจารณาให้บุคคลดำรงตำแหน่งใดตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้” ข้อความที่บัญญัติไว้นี้ชัดเจนว่าไม่ได้หมายถึงบุคคลดำรงตำแหน่งในหน่วยงานพิเศษ เช่น คณะกรรมการ ป.ป.ช.  คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือคณะกรรมการตุลาการ เท่านั้น  เพราะมาตราเดียวกันนี้ที่เคยบัญญัติไว้ในมาตรา 168 ของรัฐธรรมนูญปี 2540 ได้ถูกแก้ไขใหม่แล้ว  ดังนั้นการแต่งตั้งหรือรับสนองพระบรมราชโองการโดยวุฒิสภาที่ให้มีนายกรัฐมนตรีใหม่ย่อมทำได้ตามบทบัญญัติของมาตรา 132 (2) เพียงแต่ว่าในขณะนี้ ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร จึงต้องโยงไปใช้บทบัญญัติของมาตรา 7 กล่าวคือ “ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ซึ่งก็คือวุฒิสภาสามารถที่จะเสนอชื่อของนายกรัฐมนตรีต่อองค์พระประมุขและรับสนองพระบรมราชโองการให้นายกรัฐมนตรีตามที่วุฒิสภาได้เสนอจัดตั้งคณะรัฐบาลและดำเนินการตามกรอบของรัฐธรรมนูญต่อไปได้
 
สภาทนายความได้เคยให้ความเห็นเรื่องการบังคับใช้มาตรา 7 มาแล้วเมื่อเดือนมีนาคม 2549 รายละเอียดปรากฏตามบทวิเคราะห์กฎหมายของสถาบันวิจัยและพัฒนากฎหมายของสภาทนายความแนบท้าย
 
จึงแถลงการณ์มาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์
9  พฤษภาคม  พ.ศ. 2557

วุฒิสภาลงมติเลือก 'สุรชัย' นั่งเก้าอี้ประธาน



          ผลการคะแนนเลือกประธานวุฒิสภา ปรากฎว่านายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ได้ 96 คะแนน พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ ได้ 51 คะแนน งดออกเสียง 1 คะแนน
 
          9 พ.ค. 2557 ในการประชุมวุฒิสภาสมัยวิสามัญ โดยมีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานวุฒิสภา พิจารณาญัตติเรื่องขอเสนอญัตติให้ที่ประชุมวุฒิสภาดำเนินการเลือกประธานวุฒิสภา เลือกรองประธานวุฒิสภาคนที่สองและตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อสรรหาสมาชิกวุฒิสภาให้ดำรงตำแหน่งกรรมาธิการสามัญประจำวุฒิสภา
 
         ทั้งนี้ในการเลือกประธานวุฒิสภา นายมณเฑียร สรงประภา ส.ว.ชัยนาท ได้เสนอชื่อ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ ส.ว.สรรหาเป็นประธานวุฒิสภา ขณะที่ นางเพ็ญพักตร์ ศรีทอง  ส.ว.สรรหา  เสนอชื่อ นายสุรชัย  เลี้ยงบุญเลิศชัย  เป็นประธานวุฒิสภา  จากนั้น นายสุรชัย ได้มอบหมายให้ ร.ศ.หม่อมราชวงศ์วุฒิเลิศ เทวกุล ส.ว.สรรหา ผู้ที่อาวุโสสูงสุด ทำหน้าที่ในช่วงเลือกตั้งประธานวุฒิสภา

 
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่าผลการนับคะแนนปรากฎว่านายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ได้ 96 คะแนน   พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ ได้ 51 คะแนน งดออกเสียง 1 คะแนน
 
พักประชุมก่อนลงคะแนนเลือกประธานวุฒิ 
 
            ก่อนหน้านี้เมื่อเวลาเวลา 17.00 น. การประชุมวุฒิสภา สมัยวิสามัญ ที่มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 ฐานะปฏิบัติหน้าที่ประธานวุฒิสภา ได้เข้าสู่วาระพิจารณาการเลือกประธานวุฒิสภา รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง และตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อสรรหา ส.ว.ให้ดำรงตำแหน่งกรรมาธิการสามัญประจำวุฒิสภา โดยนายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ กล่าวว่า การเลือกประธานวุฒิสภา และรองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ไม่สามารถทำได้ในสมัยประชุมวิสามัญ ตามพ.ร.ฎ.เรียกประชุมวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ.2557 ที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 132 (2) ว่าด้วยการให้วุฒิสภาพิจารณาให้บุคคลดำรงตำแหน่งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เพราะเกินกว่าเรื่องที่ได้กำหนดไว้ใน พ.ร.ฎ.เรียกประชุม อย่างไรก็ตามตนมองว่าสิ่งที่จะทำให้การเลือกประธานวุฒิสภาและรองประธานวุฒิสภาจะทำได้ก็ต่อเมื่อนายสุรชัย ลาออกจากตำแหน่งรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 ตั้งแต่วันแรกของการเปิดสมัยประชุมวิสามัญ เมื่อวันที่ 2 พ.ค. เพื่อให้มีเหตุจำเป็นที่จะเลือกประธานวุฒิสภาได้ในสมัยประชุมวิสามัญ
 
           ขณะที่นายอนุรักษ์ นิยมเวช ส.ว.สรรหา อภิปรายสนับสนุนให้มีการเลือกประธานวุฒิสภาในการประชุมวิสามัญ แต่ได้ท้วงติงว่าอาจจะประเด็นพิจารณาทางกฎหมายที่สำคัญคือการมีผลประโยชน์ทับซ้อนของนายสุรชัยที่ต้องการให้มีการเลือกประธานวุฒิสภา เพราะจากการประชุมที่ผ่านมาเห็นชัดว่านายสุรชัยมีคำพูดที่ต้องการให้มีการเสนอญัตติเพื่อเลือกประธานวุฒิสภา ทั้งที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้ส.ว.ได้อภิปรายแสดงความเห็น โดยผู้อภิปรายส่วนใหญ่ที่อยู่ในกลุ่ม 40 ส.ว. อาทิ นายตวง อันทะไชย ส.ว.สรรหา, นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา สนับสนุนให้วุฒิสภาดำเนินการเลือกประธานวุฒิสภา ส่วน นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา อภิปรายสนับสนุนว่าการออก พ.ร.ฎ.เรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา ถือว่าออกโดยฉ่อฉล และไม่ทำตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 132 (2) อย่างควรจะเป็น อย่างไรก็ตามตนมองว่าสิ่งที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 132(2) ได้ออกแบบในกรณีที่บ้านเมืองไม่ปกติ และผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญคาดไม่ถึงว่าจะเกิดสถานการณ์ที่ไม่มีประธานรัฐสภาและประธานวุฒิสภา ดังนั้นหากไม่มีการออกแบบไว้ในรัฐธรรมนูญ และสิ่งที่วุฒิสภาเตรียมดำเนินการถือเป็นกิจการภายในโดยยึดหลักความต่อเนื่อง ตนจึงเชื่อว่าการเลือกประธานวุฒิสภาและรองประธานวุฒิสภาทำได้โดยไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 
 
         ต่อมาเวลา 18.00 น. นายสุรชัยได้ขอพักการประชุมเพื่อรับประทานอาหารเย็นและหลังจากพักประชุมไปเกือบ 40 นาที ที่ประชุมได้กลับมาพิจารณาอีกครั้งและให้สิทธิ์ ส.ว.อภิปรายจนครบถึงเวลา 19.30 น. นายมณเฑียร บุญตัน ส.ว.สรรหา เสนอให้ที่ประชุมใช้การลงคะแนนลับ โดยที่ประชุมเห็นชอบและใช้การลงมติแบบลับ ผลปรากฏว่า เสียงข้างมาก 96 เสียง ต่อ 19 เสียง งดออกเสียง 19 เสียง ให้เดินหน้าเลือกประธานวุฒิสภา, รองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 และตั้งกรรมาธิการสรรหา ส.ว.เข้าไปเป็นกรรมาธิการสามัญวุฒิสภา

แถลงการณ์ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ฉบับที่ ๔ เรื่อง ประนามการกระทำผิดของ กปปส. และขอเรียกร้องประชาชนอย่าเข้าร่วมกระทำผิด





แถลงการณ์ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ฉบับที่ ๔
เรื่อง ประนามการกระทำผิดของ กปปส. และขอเรียกร้องประชาชนอย่าเข้าร่วมกระทำผิด


----------------------------------------

​            ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. เป็นหน่วยงานพิเศษที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๕๑ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดย ศอ.รส. มีภารกิจสำคัญในการสนธิกำลัง ทั้งข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ และข้าราชการพลเรือน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต่างๆ เพื่ออำนวยการและปฏิบัติการให้เกิดความเรียบร้อยในทุกๆ มิติ ทั้งในเขตพื้นที่รับผิดชอบ และสังคมในภาพรวม

​           บัดนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับแกนนำ กปปส. ได้ร่วมกันกระทำความผิดต่างๆ นานาอย่างต่อเนื่อง และสร้างความเสียหายกับประเทศชาติบ้านเมืองตลอดมา จนในที่สุดเมื่อวานนี้ พนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้องแกนนำถึง ๕๑ คน ในข้อหาอุกฉกรรจ์ ได้แก่ ร่วมกันเป็นกบฎ, ร่วมกันก่อการร้าย, กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน, มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยมีอาวุธ โดยเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการ, มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป และเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกไปแต่ไม่เลิก, ยุยงให้ร่วมกันหยุดงาน การร่วมกันปิดงาน งดจ้าง เพื่อบังคับรัฐบาลฯ, ร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปในเวลากลางคืน, ร่วมกันขัดขวางเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง และร่วมกันขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง, ร่วมกันกระทำการโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อไม่ให้ผู้เลือกตั้งสามารถใช้สิทธิได้ หรือขัดขวางหรือหน่วงเหนี่ยวมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไป ณ ที่เลือกตั้งหรือเข้าไป ณ ที่ลงคะแนนเลือกตั้ง และร่วมกันเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจร

​           ตลอดเวลาที่ผ่านมานายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับ แกนนำ กปปส. ได้มีข้อเรียกร้องต่างๆนานา ซึ่งรัฐบาลก็ได้ผ่อนปรนความประสงค์ และรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย ได้แก่ การยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวก ก็ได้กระทำการขัดขวางการเลือกตั้ง จนเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และเป็นเหตุให้ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศได้

          ​ดังนั้น ข้อเรียกร้องของกลุ่ม กปปส. ในเรื่องสำคัญ จึงได้รับการตอบสนอง รวมถึงการที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รวมถึงรัฐมนตรีที่มีส่วนร่วมและมีมติเห็นชอบการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี สิ้นสุดลง และคณะกรรมการ ปปช. ก็ได้ชี้มูลนายกรัฐมนตรีกรณีโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นไปตามข้อเรียกร้องของ กปปส. ซึ่งต้องการให้นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง

​           อย่างไรก็ตาม แม้ว่าข้อเรียกร้องของ กปปส. ได้รับการตอบสนองแล้ว กปปส. ก็มิได้หยุดชุมนุม แต่กลับกระทำการรุนแรงต่างๆ เพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะในวันนี้ ได้ระดมมวลชนเข้าบุกยึดสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ รวมถึงสถานที่ราชการสำคัญหลายแห่ง

​            ศอ.รส. ขอประนามการกระทำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกแกนนำ กปปส. และขอเรียกร้องให้ประชาชนงดเว้นการเข้าร่วมกระทำความผิด มิฉะนั้น จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทุกคนไปโดยไม่มีการละเว้น ส่วนแกนนำทุกคนจะต้องรับผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่งจนถึงที่สุด ในการนี้ ศอ.รส. ขอเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ รวมถึงความเสียหายต่อชาติบ้านเมืองที่อาจเกิดจากการกระทำของท่านที่ได้เข้าร่วมในการกระทำผิดดังกล่าว

           ศอ.รส. จึงเห็นสมควรแถลงการณ์มาเพื่อพี่น้องประชาชนได้รับทราบ อนึ่ง แถลงการณ์ฉบับนี้ เป็นความเห็นของฝ่ายบริหาร ศอ.รส. โดยมิได้ขอให้ฝ่ายทหารร่วมแถลง หรือแสดงความเห็นด้วย​​​​​​​

จึงแถลงการณ์มาเพื่อทราบทั่วกัน​​
ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย
๙ พฤษภาคม ๒๕๕๗

2 สมาคมสื่อออกแถลงการณ์ จี้ "กปปส.-เทือก" ยุติการคุกคามทีวี 3-5-7-9-NBT ทันที!



             วันที่ 9 พ.ค. สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์เรื่องขอให้ยุติการคุกคามและแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน เนื้อหาระบุว่า ตามที่ทางแกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ได้เคลื่อนขบวนมวลชนไปตั้งเวทีชุมนุมที่หน้าสถานีวิทยุและโทรทัศน์ ช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 7 ช่อง 9 ช่อง 11 โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้สถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ถ่ายทอดสัญญาณการเคลื่อนไหวและคำแถลงของ กปปส. และห้ามนำเสนอข่าวจากฝ่ายรัฐบาลนั้น

             องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนประกอบด้วย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อการกระทำที่เข้าข่ายการคุกคามสิทธิ เสรีภาพสื่อมวลชนหรือขัดขวางการทำหน้าที่ในการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชน ซึ่งขัดแย้งต่อเจตนารมณ์การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ให้ความสำคัญกับเสรีภาพสื่อมวลชน

              ด้วยเหตุนี้ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้

  • 1. ขอให้แกนนำของ กปปส. และมวลชนผู้ร่วมชุมนุม หยุดกระทำการดังกล่าวทันทีหรือ ทบทวนท่าทีในการปิดล้อมสถานีโทรทัศน์ต่างๆ โดยด่วน
  • 2. ต้องไม่ไปกดดันให้กองบรรณาธิการข่าวของสถานีโทรทัศน์ต่างๆ นำเสนอข่าวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียวและควรเคารพความเป็นอิสระของกองบรรณาธิการต่างๆ ในการใช้ดุลพินิจในการนำเสนอข่าวสารที่เป็นประโยชน์กับประชาชนต่อไป ที่สำคัญ จะต้องไม่ทำให้ทรัพย์สินของสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ได้รับความเสียหายอย่างเด็ดขาด และต้องให้ความปลอดภัยและความสะดวกแก่พนักงานและผู้สื่อข่าวทุกคนของสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ
  • 3. ขณะเดียวกัน สถานีโทรทัศน์ในสังกัดหน่วยงานรัฐ ซึ่งมีรัฐธรรมนูญคุ้มครองสิทธิเสรีภาพให้มีความอิสระในการเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้าน และให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อสาธารณะ โดยไม่อยู่ภายใต้อาณัติของรัฐบาล จะต้องไม่ยอมรับการถูกแทรกแซงหรือสั่งการจากฝ่ายรัฐบาล ให้นำเสนอข่าวสารเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
          สมาคมนักข่าวทั้ง 2 สมาคม ขอยืนยันหลักการว่า สื่อมวลชนต้องมีสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารและความคิดเห็นของทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม กองบรรณาธิการและผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนในสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ควรตระหนักถึงการรายงานข่าวในสถานการณ์ความขัดแย้ง ซึ่งต้องนำเสนอข่าวจากทุกฝ่าย อย่างความเป็นธรรม โดยคำนึงถึงสิทธิในการรับรู้ข่าวสารของประชาชน

         สมาคมนักข่าวทั้ง 2 มีความห่วงใยในความปลอดภัยของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนในภาคสนามทุกคน โดยขอให้ระมัดระวังการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงภัยเกินความจำเป็น ทั้งนี้ ให้ตระหนักว่าความปลอดภัยของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน มีความสำคัญไม่น้อยกว่าการแสวงหาข้อมูลข่าวสารและข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านมานำเสนอต่อสาธารณะชน

         เราขอเป็นกำลังใจให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนทุกคน ที่นำเสนอข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านเพื่อประโยชน์ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน และขอให้ทุกฝ่ายเคารพและไม่แทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในทุกรูปแบบ

คลิปการ์ดม็อบโล้นสุดเหี้ย! ปิดถนนบนโทเวลย์ กระทืบเจ้าของรถ BM เละเลือดสาดเหตุ "ขยับกรวย"



            วันที่ 9 เมษายน 2557 (go6TV) ม็อบ กปปส.บนโทลเวย์ บำเพ็ญเพียรกระทืบชาวบ้านที่ถูกกักไว้บนโทเวล์มากกว่า 4ชั่วโมง โดยผู้ใช้ไอดีว่า Phantagan Pts ได้เผยแพร่ข้อความและคลิปในขณะเกิดเหตุว่า

        “เรื่องคือ อยู่ดีๆก็มีกลุ่มชายชุดดำ มากั้น โทลเวย์ตรงช่วงThai PBS แบบไม่มีสาเหตุ เราอยู่ในแทคซี่ประมานแถวที่3 มี ผช.ชุดดำใส่โม่งเป็นกลุ่ม มาบอกว่าปิดถนน พูดจาหยาบคายมาก เค้าบอกว่าจะเปิดก็ต่อเมื่อ กระทืบเสื้อแดงได้สักคนสองคน ...ชม.นึงผ่านไป คนที่โดนกักก็เริ่มลงจากรถ แต่ก็โดนไล่กลับมากัน มีช่วงนึงปล่อยรถ แต่ก็ไปได้แค่ไม่กี่คันก็ปิดอีก พี่ผช.เจ้าของรถBMWในคลิป เราเห็นเดินลงไปคนเดียว สักพักพี่เค้าเดินกลับมาบอกว่า ถ้าจะไปให้ขับตามเค้ามา แต่ถ้าไม่ไปให้หลบบให้หน่อย แล้วสักพักพี่เค้าก็เดินไปเอากรวยยออก แล้วกลับมาขึ้นรถ ...เหตุการณ์ต่อมาก็ตามคลิป กลุ่มชายชุดดำเดินตามมา เริ่มทุบรถ ในมือเหมือนมีอาวุธ แล้วก็เข้าไปทุบรถจนกระจกฝั่งคนขับแตก .. . ยำพี่BMสักพัก พอพวกชุดดำกลับไป สภาพที่เห็นคือ พี่ผญ.เดินลงมาเลือดเต็มไปหมด ส่วนพี่ผช.ก็ ...เยินนนนหน่ะ และ พวกเค้าาาก็ยังปิดโทลเวย์ต่อไปปปป!!!!!!!”

"แป๊ะลิ้ม" สั่ง ผบ.ทบ. "การรัฐประหารไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ทหารต้องออกมาได้แล้ว!"





           วันนี้ (9 พ.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 20.14 น. ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยที่เวทีกองทัพธรรม หน้าสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ว่า วันนี้ได้สั่งให้หยุดรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ทางเอเอสทีวี เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่ประชาชนออกมา และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้โทรศัพท์ไปชวนให้มาขึ้นเวทีกองทัพธรรม ซึ่งตนไม่ขัดข้อง


          นายสนธิ กล่าวว่า ที่พี่น้องออกมาสู้ในวันนี้ เราไม่ได้ต้องการปฏิรูปการเมือง แต่เราต้องการปฏิรูปประเทศเพื่อคนไทย 65 ล้านคน ไม่ใช่ปฏิรูปการเลือกตั้งให้โปร่งใส เพราะมันเป็นไปไม่ได้ อย่าสู้แค่ให้นักเลือกตั้งได้ วันนี้เป็นวันที่เรามาเรียกร้องให้นักการเมืองเสียสละ หยุดเล่นการเมืองไป 5 ปี ไม่ว่าหล่อไม่หล่อช่างมัน เราต้องทำให้คนไทย 65ล้านคน ไม่ใช่ทำให้พรรคใดพรรคหนึ่ง ประเทศไทยวันนี้ยิ่งกว่าล่มสลาย ทั้งตัวเลขทางเศรษฐกิจ คดีทางสังคม ระดับศีลธรรมคุณธรรมอยู่ในขั้นฉิบหายแล้ว เราออกมาวันนี้ต้องมีเป้าที่ชัดเจนว่าจะทำเพื่อลูกเพื่อหลาน ให้เขารู้ว่าประเทศไทยขณะนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน เป็นสงคราม 2 ฟาก สงครามระหว่างคุณงามความดี กับสิ่งที่ชั่วร้ายอย่างตระกูลชินวัตรทั้งหลาย

           นายสนธิ กล่าวต่อว่า การรัฐประหารไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่ถ้ารัฐประหารแล้วเอาชาติบ้านเมืองมาเป็นสมบัติผลัดกันชม เหมือน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นั่นเป็นเรื่องที่ชั่วร้ายที่สุด แต่ถ้ารัฐประหารแล้วทหารถอยออกไป ให้ผู้มีความรู้ความสามารถมาเปลี่ยนแปลงชาติบ้านเมือง เพื่อคน 65 ล้านคน ก็เป็นเรื่องที่ดี เป็นสิริมงคล ขอฝากไปถึงทหารที่ยังจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ วันนี้จะเป็นมาตรา 7 หรือมาตรา 3 ไม่ควรเอามาใช้ เพราะเมื่อเราเล่นมาตรานี้ เรากำลังกดดันพระเจ้าอยู่หัวให้ตัดสินใจเลือกข้าง พระองค์เลือกข้างไมไ่ด้ เพราะคน 65 ล้านคนล้วนเป็นพสกนิกร แต่ทหารเลือกข้างได้ ทหารต้องออกมาแล้วบอกว่าเราต้องไม่ทำให้เป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท