วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557

ไม่ให้ประกัน ฝากขังผลัด5 นศ.ขอนแก่น คดี 112 ละครเจ้าสาวหมาป่า


25 ก.ย. 2557 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน แจ้งว่า ในวันนี้ศาลได้เบิกตัวนายปติวัฒน์ (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องขังคดี 112 กรณีละครเจ้าสาวหมาป่ามาศาล เนื่องจากตำรวจได้ยื่นคำร้องของฝากขังผลัดที่ 5 ขณะที่ทนายผู้ต้องหาได้ยื่นคัดค้านคำร้องขอฝากขังเนื่องจากกระบวนการสอบสวนได้ เสร็จสิ้นแล้ว เหลือเพียงการอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนว่าเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาหรือไม่ ซึ่งกระบวนการนี้ไม่เกี่ยวกับผู้ต้องหาแล้ว อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนได้แจ้งว่ายังมีซีดีบันทึกการแสดงละครดังกล่าวที่ยังตรวจสอบไม่เสร็จด้วย
ท้ายที่สุดศาลมีคำสั่งยกคำร้องคัดค้านการฝากขังและอนุญาตให้ฝากขังต่ออีก 6 วัน (ปกติฝากขังผลัดละ 12 วัน) คำสั่งศาลระบุว่า “เห็นควรให้ยกคำร้องคัดค้านการขอฝากขังครั้งที่ 5 ของผู้ต้องหาเสีย แต่เนื่องจากศาลได้ให้เวลาแก่พนักงานสอบสวนมาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว เพื่อเป็นการเร่งรัดให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสรุปสำนวนโดยเร็ว จึงอนุญาตให้ฝากขังอีก 6 วัน กำชับให้พนักงานสอบสวนเร่งรัดการสอบสวนคดีนี้โดยเร็ว และศาลจะพิจารณาคำร้องขอฝากขังครั้งต่อไปอย่างเคร่งครัด”
ศศินันท์ กล่าวด้วยว่า หลังจากนั้นทางทนายได้ยื่นขอประกันตัว พร้อมหลักทรัพย์เงินสด 600,000 บาท โดยอ้างเหตุเพิ่มเติมด้วยว่าผู้ต้องหามีเนื้องอกที่ไหล่และมีอาการปวดอย่างหนักเมื่ออยู่ในเรือนจำควรได้รับการผ่าตัด ต่อมาศาลยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราว โดยระบุเหตุผลว่า “พิเคราะห์แล้ว ศาลเคยสั่งไม่อนุญาตโดยระบุเหตุผลไว้ชัดแจ้งแล้ว กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว”
ทั้งนี้ ปติวัฒน์ ถูกจับกุมตัวเมื่อ 14 ส.ค. โดยเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้สืบสวนรูปภาพบุคคลตามหมายจับของศาลอาญาที่ จ988/2557 จนทราบว่าคือนายปติวัฒน์ ในวันที่ 14 ส.ค.จึงได้ประสานไปยังมหาวิทยาลัยขอนแก่นขอเชิญตัวนายปติวัฒน์ โดยมีรองคณบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาพามาพบเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมที่ สภ.เมืองขอนแก่นเพื่อดูหมายจับดังกล่าว เมื่อมาถึงเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้แสดงหมายจับให้นายปติวัฒน์ดูและเขารับว่า รูปภาพบุคคลตามหมายจับดังกล่าวเป็นเขาจริง และไม่เคยถูกจับในคดีนี้มาก่อน เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป เจ้าพนักงานได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทราบ ผู้ต้องหาทราบสิทธิและข้อกล่าวหาแล้ว ผู้ต้องหาให้ถ้อยคำปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 6 และ 13 ต.ค. 2556 ผู้ต้องหาได้ร่วมแสดงละครเวทีเรื่องเจ้าสาวหมาป่า โดยเป็นการรวมตัวเฉพาะกิจของนักแสดงบางส่วนของกลุ่มประกายไฟการละครซึ่งปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2555 ละครเวทีเรื่องนี้จัดแสดงในงานรำลึก 40 ปี 14 ตุลาฯ ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ต่อมาวันที่ 30 ต.ค.2556 เครือข่ายเฝ้าระวัง พิทักษ์และปกป้องสถาบัน มีการจัดประชุมสมาชิกเครือข่าย โดยมีผู้เข้าร่วมราว 200-300 คน ได้ประชุมร่วมกันเพื่อแจกจ่ายคลิปดังกล่าวและนัดแนะให้สมาชิกเครือข่ายฯ เข้าแจ้งความตามมาตรา 112 ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ที่อยู่อาศัย
นอกจากปติวัฒน์แล้ว หลังจากนั้น 1 วันก็มีการจับกุมนางสาวภรณ์ทิพย์ (สงวนนามสกุล) เพิ่มอีก 1 รายในข้อกล่าวหาเดียวกัน ซึ่งมีกำหนดครบฝากขังในผลัดที่ 4 ในวันพรุ่งนี้ (26 ก.ย.)

3 นักศึกษา ศนปท. เข้าพบตำรวจจ่ายค่าปรับ 1,000 แขวนป้ายดำ 19 กันยา


26 ก.ย.2557  เวลาประมาณ 15.30 น. นักศึกษาจากนักศึกษาศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย (ศนปท.) 3 รายได้แก่ นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ , นายเสกสรร สายสืบ, นายทรงธรรม แก้วพันพฤกษ์ เดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีสุทธิสารตามที่มีการแจ้งให้นักศึกษาเข้าพบ
สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว นักศึกษาชั้นปี 4 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในสามนักศึกษาที่เข้าพบเจ้าหน้าที่กล่าวว่า เขาได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เข้าพบเพื่อจ่ายค่าปรับจากกรณีที่ทางกลุ่มจัดกิจกรรมติดป้ายผ้ารำลึกเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหาร่วมกันโฆษณาด้วยปิด ทิ้ง หรือโปรยแผ่นประกาศหรือใบปลิวในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 10 ของพ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 โดยเปรียบเทียบปรับคนละ 1,000 บาท
ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวของ ศนปท. มีการติดป้ายดำรำลึก 8 ปี รัฐประหาร 19 กันยาบริเวณสดมภ์อนุสรณ์ ‘นวมทอง ไพรวัลย์’ สะพานลอยหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ถนนวิภาวดีรังสิต พร้อมข้อความ “นายประชาธิปไตย ของไทย ชาตะ 24 มิ.ย.2475 มรณะ 19 ก.ย. 49 และล่าสุด...?”

ภาพ ติดป้ายผ้ารำลึกเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา บริเวณหน้า สนพ.ไทยรัฐ ใกล้อนุสรณ์ นวมทอง ไพรวัลย์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นักศึกษาทั้ง 3 คนเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งแต่ราว 15.30 น. พร้อมทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และได้รับการปล่อยตัวในเวลาราว 19.30 น. โดยในการสอบสวนนักศึกษาระบุว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารนอกเครื่องแบบร่วมอยู่ด้วย 1 นาย
“ผมคิดว่าไม่ควรต้องดำเนินการอะไรขนาดนี้ เพราะแค่เพียงติดป้ายผ้าพูดถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ คือ การรัฐประหารปี 2549 กับรำลึกถึงลุงนวมทอง การกระทำครั้งนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดความสกปรกหรือเสียหายแก่สาธารณะ ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้ ควรมีพื้นที่แสดงออกกันบ้าง” สิรวิชญ์กล่าว

‘ลุงอะแกว’ เหยื่อกระสุน ‘ศึกชิงคูหาเลือกตั้งหลักสี่’ เสียชีวิตแล้ว หลังอัมพาตมากว่า 7 เดือน


ภาพแรกของอะแกวที่ยงยุทธ หมกคล้าย โพสต์ 
ขณะเข้าไปช่วยเหลือหลังถูกยิงเมื่อเวลา 17.15 น. วันที่ 1 ก.พ.57
25 ก.ย. 2557 อะแกว แซ่ลิ้ว วัย 72 ปี เหยื่อกระสุนเหตุความรุนแรงที่บริเวณใกล้ห้างไอทีสเเควร์ หลักสี่ กรุงเทพ เมื่อวันที่ 1 ก.พ.57 จนต้องนอนอัมพาตมาเกือบ 8 เดือน เสียชีวิตแล้วเมื่อเช้านี้เวลาประมาณ 7.00 น. ที่บ้านพักย่านหลักสี่ โดยจะมีพิธีน้ำศพจะจัดที่วัดหลักสี่ เวลา 17.00 น วันนี้ (25 ก.ย.) และสวดอภิธรรม 5 วัน จนถึงกำหนดฌาปนกิจศพ วันที่ 30 ก.ย. นี้
เอื้องฟ้า แซ่ลิ้ว บุตรสาวคนโตของอะแกว วัย 42 ปี กล่าวว่า บิดาตนเสียชีวิตเมื่อเช้าเวลา 7 โมง ที่บ้านตน สำหรับความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีและการเยียวยานั้น เอื้องฟ้า กล่าวด้วยว่า อยากเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลการเยียวยาและเร่งดำเนินคดี เนื่องจากชะงักไปหลังเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร
วลัยพร แซ่ลิ้ว บุตรสาวคนเล็กของอะแกว วัย 35 ปี กล่าวว่า ไม่อยากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงแบบที่พ่อตนเองประสบอีก อยากให้คนในสังคมคุยกันด้วยเหตุด้วยผลดีกว่า อย่าใช้กำลังหรืออาวุธเข้าตอบโต้กัน
ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่อะแกวถูกยิงจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและเป็นอัมพาต ก่อนจะเสียชีวิตนั้นเกิดขึ้นก่อนหน้าการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 2 ก.พ. เพียง 1 วัน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันใน ‘ศึกชิงคูหาเลือกตั้งที่หลักสี่’ โดยด้านหนึ่งปรากฏภาพ ‘มือปืนป็อบคอร์น’ และมือปืน ‘ถุงกีต้าร์’ ขณะที่อีกด้านหนึ่งปรากฏภาพชายชรานอนจมกองเลือดอยู่ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลเน็ตเวิร์กขณะนั้นตั้งแต่ถูกฝ่ายเสื้อแดงยิงบาดเจ็บ จนเป็นชาวกัมพูชาที่เป็นแกนนำกองกำลังติดอาวุธที่มายิงทำร้ายผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.
ซึ่งต่อมาทราบชื่อคืออะแกว แซ่ลิ้ว วัย 72 ปี พ่อค้าขายน้ำหวาน น้ำอัดลมที่บริเวณหน้าโรงเรียนเคหะทุ่งสองห้องวิทยา 2 และในวันเกิดเหตุด้วยความเป็นห่วงลูกสาวที่ทำงานขายอาหารอยู่ฟู้ดเเลนด์ ภายในห้างไอทีสเเควร์ จึงได้เดินทางมาหา และเห็นมีการชุมนุมกันบริเวณที่เกิดเหตุจึงเข้าไปสังเกตการณ์อยู่ฝั่งผู้ชุมนุมสนับสนุนการเลือกตั้งและถูกยิงจนกลายเป็นอัมพาต เกือบ 8 เดือน จนกระทั่งเสียชีวิตในวันนี้

ภาพอะแกว แซ่ลิ้ว ภาพโดย ยงยุทธ หมกคล้าย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ‘ลุงอะแกว’ ที่

ผ่านร่างข้อบังคับประชุม สนช. สามารถถอดถอนและให้บุคคลพ้นจากตำแหน่ง

สนช.มีมติเอกฉันท์ผ่านความเห็นชอบร่างข้อบังคับการประชุม สนช.ที่มีเรื่องของอำนาจถอดถอนและให้บุคคลพ้นจากตำแหน่ง โดยตัดขั้นตอนวิป สนช.พิจารณาคำร้อง มีผลบังคับใช้ 26 ก.ย.  แต่งตั้ง กมธ.สรรหาแล้ว 12 คน
 
 
สำนักข่าวไทยรายงานว่าการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ 25 ก.ย. ที่ผ่านมา มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นประธาน ที่ประชุมพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุม สนช.วาระ 2 ที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว สนช.เสนอคำแปรญัตติ 8 คน ส่วนใหญ่เห็นชอบกับการแก้ไขของคณะกรรมาธิการฯ แต่มีบางข้อ อาทิ ข้อ 84 วรรค 2 เรื่องจำนวนกรรมาธิการสามัญที่คณะกรรมาธิการฯแก้ไขว่าให้มีได้ไม่เกิน 26 คนต่อคณะ โดยคำนวณเผื่อไว้ในกรณีที่มี สนช.ครบ 220 คน
 
นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สนช. อภิปรายไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่าการคิดจำนวนกรรมาธิการฯ ควรอยู่บนพื้นฐาน สนช. 196 คน และตามร่างไม่ได้บังคับว่า สนช.ทุกคนต้องเป็น 2 คณะ ขณะที่นายสมชาย แสวงการ เห็นตรงกับนายวัลลภ โดยระบุว่า จากประสบการณ์ในอดีตที่ไม่สามารถตั้งกรรมาธิการได้ครบตามจำนวนถึง 2คณะ จึงยืนยันให้คงจำนวนเดิมคือกรรมาธิการสามัญ 1 คณะ ไม่ควรเกิน 21 คน
 
นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ ในฐานะกรรมาธิการ ยืนยันว่าคณะกรรมาธิการฯ ได้คิดบนฐานของตัวบทกฎหมายที่มี สนช.ไม่เกิน 220 คน และเชื่อว่าอีกไม่นานน่าจะตั้งสนช.ครบตามจำนวน 220 คน จึงควรกำหนดไว้ให้รองรับในส่วนนี้ และเห็นว่าหากระบุไว้เช่นนี้จะเป็นประโยชน์มากกว่า เพราะเป็นการกำหนดไว้ว่ามีจำนวนกรรมาธิการได้ไม่เกิน 26 คน ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามการแก้ไขของคณะกรรมาธิการฯ ให้กรรมาธิการสามัญแต่ละคณะมีสมาชิกได้ไม่เกิน 26 คน ด้วยคะแนน 137ต่อ 22 คะแนน งดออกเสียง 3 เสียง
 
จากนั้นที่ประชุมพิจารณาเรื่องจำนวนกรรมาธิการสามัญ ที่ร่างข้อบังคับการประชุมสนช.กำหนดให้มี 16 คณะ โดยนายนรนิติ เศรษฐบุตร สนช. ท้วงติงว่า การนำเรื่องความมั่นคงของรัฐกับต่างประเทศมารวมอยู่ในกรรมาธิการชุดเดียวกัน โดยใช้ชื่อว่ากรรมาธิการความมั่นคงของรัฐและการต่างประเทศ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากเรื่องความมั่นคงของรัฐและการต่างประเทศเป็นคนละเรื่องกันอย่างชัดเจน ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของกรรมาธิการในอนาคต
 
กรรมาธิการชี้แจงว่า การนำเรื่องความมั่นคงและการต่างประเทศรวมกัน เพราะปัจจุบันปัญหาความมั่นคงและภัยคุกคามเป็นเรื่องไร้พรมแดน ที่มีความเชื่อมโยงในหลายด้าน ซึ่งวิธีการทางการทูตจะเป็นกลไกสำคัญของการแก้ไขปัญหา ดังนั้น จึงเกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ และให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ขณะที่นายพีระศักดิ์ พอจิต ประธานกรรมาธิการยกร่างฯ กล่าวว่า หากสมาชิกหลายคนแสดงความไม่เห็นด้วย กรรมาธิการจะนำไปพิจารณาปรับแก้ให้เหมาะสม
 
เวลา 12.15 น. ประธาน สนช.สั่งพักการประชุมชั่วคราวก่อนกลับมาประชุมต่ออีกครั้ง 13.30 น. ซึ่งนายพีรศักดิ์ชี้แจงถึงถ้อยคำที่แก้ไขว่า คณะกรรมาธิการได้แก้ไข ข้อ 84 (13) ให้กลับไปสู่ร่างเดิม คือ (13) คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ ส่วนเรื่อง “ความมั่นคง” ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ศึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศกิจการทหาร ให้นำไปรวมใน ข้อบังคับที่ 84 (2) คณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งที่ประชุมเห็นด้วยกับการแก้ไขดังกล่าว
 
จากนั้นที่ประชุมพิจารณาประเด็นที่อยู่ในความสนใจของ สนช. คือ หมวด 10 ว่าด้วยการถอดถอนและการให้บุคคลพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งตามร่างที่คณะกรรมาธิการฯแก้ไขเพิ่มอำนาจให้คณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือวิป สนช.กลั่นกรองคำร้องก่อน โดยระบุว่า ในกรณีที่มีการยื่นคำร้องขอให้ถอดถอนบุคคลใดออกจากตำแหน่งหรือให้บุคคลใดพ้นจากตำแหน่งตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายต่อประธานสภา ให้ประธานสภามอบหมายให้คณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาตรวจสอบว่าคำร้องดังกล่าวอยู่ในอำนาจการพิจารณาหรือไม่ และให้เสนอรายงานต่อประธานสภา
 
นายธานี อ่อนละเอียด สนช. คนเดียวที่ขอแปรญัตติ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่จะกำหนดให้ สนช.ใช้อำนาจถอดถอนบุคคล เพราะแต่ละสำนวนที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เสนอเข้ามามีฐานความผิดแตกต่างกัน พร้อมเสนอให้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายของคดีถอดถอนแต่ละคดี จำนวน 19 คน เพื่อพิจารณาอำนาจ สนช.ในแต่ละคดี ก่อนส่งที่ประชุม สนช.ชี้ขาดว่าจะถอดถอนหรือไม่ พร้อมขอให้ประธาน สนช.พิจารณาประเด็นนี้อย่างรอบคอบ ไม่เช่นนั้นอาจส่งผลกระทบต่อตำแหน่งประธาน หากคู่กรณียื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครอง ยืนยันไม่มีเจตนาแอบแฝงในการแปรญัตติในประเด็นนี้
 
นายตวง อันทะไชย ในฐานะกรรมาธิการยกร่างข้อบังคับฯ ชี้แจงว่า ร่างข้อบังคับไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่า สนช.จะมีอำนาจถอดถอนได้ เพราะการดำเนินการจะต้องอ้างอิงกับกฎหมายของแต่ละหน่วยงานที่ยื่นคำร้องถอดถอนมาด้วย อย่างไรก็ตามที่สุดแล้วคณะกรรมาธิการได้ตัดข้อ 145/1 ที่ให้คณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ วิป สนช. พิจารณาตรวจสอบคำร้องว่าอยู่ในอำนาจของสภาหรือไม่ออกจากร่างข้อบังคับ จากนั้นที่ประชุมลงมติเอกฉันท์ผ่านความเห็นชอบร่างข้อบังคับการประชุมในวาระ 3 ด้วยคะแนนเอกฉันท์ 148 ต่อ 0 เสียง งดออกเสียง 4 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง โดยร่างข้อบังคับดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ทันทีวันที่ 26 ก.ย. นี้
 
ล่าสุดในวันนี้ (26 ก.ย.) ที่ประชุมมีมติแต่งตั้งคณะกรรมาธิการสามัญสรรหาคณะกรรมการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จำนวน 12 คน
 

'อัญจารี' ชวน LGBT เขียน จม.ถึงแม่ฯ หวังสร้างความเข้าใจ-ยอมรับระหว่างกัน


26 ก.ย.2557 โครงการจัดตั้งมูลนิธิอัญจารี ร่วมกับมูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง เชิญชวนบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ (แอลจีบีที) เขียนจดหมายถึงแม่และคนสําคัญ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและการยอมรับของพ่อแม่ต่อลูกที่เป็นคนรักเพศเดียวกัน คนรักสองเพศ และคนข้ามเพศ โดยจะคัดเลือกจดหมายเพื่อจัดพิมพ์เป็นหนังสือต่อไป
นางสาวอัญชนา สุวรรณานนท์ ผู้อํานวยการโครงการจัดตั้งมูลนิธิอัญจารี เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาสังคมไทยมี
ความคิด ความเชื่อที่ฝังแน่นว่ามนุษย์เกิดมามีเพียงสองเพศเท่านั้น คือ หญิงและชาย ความคิดเหล่านี้ส่งผ่านมาทางวัฒนธรรม ประเพณี และการบ่มเพาะภายในครอบครัว อันนําไปสู่ความไม่เข้าใจและความรุนแรงต่อกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ดังจะเห็นได้จากข่าวผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ และสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกรณีการก่ออาชญากรรมต่อทอม กรณีทอมฆ่าตัวตาย หรือในบางกรณีผู้มีความหลากหลายทางเพศต้องหนีออกจากบ้านเพราะพ่อแม่ไม่เข้าใจ
“จากการดําเนินงานมาระยะหนึ่งของโครงการจัดตั้งมูลนิธิอัญจารี ได้รับข้อความทางอีเมลและทางสื่อสังคมออนไลน์มากมายที่ส่งข้อความเข้ามาปรึกษาปัญหาที่พ่อแม่ไม่เข้าใจตัวตนและวิถีทางเพศลูกที่มีความหลากหลายทางเพศ บางรายประกาศตัดความเป็ นพ่อแม่ลูกกัน และสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ได้เกิดขึ้นมานานแล้วในสังคมไทย เสมือนหนังที่ฉายซ้ำเรื่องเดิมตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา”
ทางโครงการจัดตั้งมูลนิธิอัญจารีเล็งเห็นความสําคัญและเชื่อว่าหากได้มีพื้นที่ในการทําความเข้าใจทั้งจากตัวของผู้มีความหลากหลายทางเพศ และได้แสดงความรู้สึกในอัตลักษณ์ที่ตนได้เลือก จะทําให้ความรุนแรงลดลง สร้างให้เกิดความเข้าใจในครอบครัวมากขึ้น จึงจะจัดทําโครงการหนังสือ “จดหมายถึงแม่และคนสําคัญ” ที่จะรวบรวมจดหมายจากผู้มีความหลากหลายทางเพศซึ่งเขียนจดหมายถึงแม่และพ่อ เพื่อบอกเล่าตัวตนและความรู้สึกของการเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศให้แม่และพ่อได้เข้าใจความรู้สึกของตน
“การบอกเล่าจากข้อความสั้นๆ ในรูปของจดหมายซึ่งเป็นการสื่อสารของคนที่คุ้นเคยกันเป็นวิธีการหนึ่งที่จะทําให้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศได้มีพื้นที่ในการแสดงตัวตนของตนเอง เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับความเข้าใจและความตระหนักของครอบครัวและสังคม เพื่อให้ได้เกิดการยอมรับและเรียนรู้ในความแตกต่างหลากหลายข้างต้น” นางสาวอัญชนา กล่าว
ทั้งนี้ จะมีการแถลงข่าวโครงการหนังสือ "จดหมายถึงแม่และคนสําคัญ" ณ ห้องประกายเพชร โรงแรมเอเชีย ในวันที่ 30 กันยายน 2557 เวลา 9.00 -12.00 น. โดยจะมีพ่อ แม่ และลูกที่มีความหลากหลายทางเพศ ร่วมพูดคุยถึงสาเหตุและปัญหาที่ทําให้ไม่เข้าใจกัน และการเล่าเรื่องจะคลี่คลายปัญหาได้อย่างไร

ขี้ข้านิยม 12 ประการ ‘สัมภาษณ์: ค่านิยม 12 ประการในทัศนะนักเรียนมัธยม



Fri, 2014-09-26 21:57

หลังจากพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ได้มอบนโยบายค่านิยม 12 ประการให้หน่วยงานต่างๆนำไปปรับใช้ในองค์กร และเน้นเป็นอย่างยิ่งกับโรงเรียน จนนำไปสู่การออกแนวนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการเขตการศึกษาขั้นพื้นฐานเรียบเรียงค่านิยม 12 ประการจากท่านผู้นำให้เป็นบทอาขยาน สำหรับให้นักเรียนท่องจำ และจัดทำเป็นป้ายไวนิลให้ทุกโรงเรียนทั่วประเทศนำไปแปะประกาศ ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้
หนึ่งรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  สองซื่อสัตย์ เสียสละ อดทนได้
สามกตัญญู พ่อแม่ สุดหัวใจ  สี่มุ่งใฝ่ เล่าเรียน เพียรวิชา
ห้ารักษา วัฒนธรรม ประจำชาติ  หกไม่ขาด ศีลธรรม ศาสนา
เจ็ดเรียนรู้ อธิปไตย ของประชา  แปดรักษา วินัย กฎหมายไทย
เก้าปฏิบัติ ตามพระ ราชดำรัส   สิบไม่ขาด พอเพียง เลี้ยงชีพได้
สิบเอ็ดต้อง เข้มแข็ง ทั้งกายใจ   สิบสองไซร้ คิดอะไร ให้ส่วนรวม

ประชาไท สัมภาษณ์นักเรียนระดับมัธยมศึกษา 2 คน ตัวแทนจากกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท คือ ‘ไนซ์’ ณัฐนันท์ วรินทรเวช จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา อายุ 17 ปี และ ‘เซน’ ศุภณัฐ ฉัตร์รุ่ง จากโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย อายุ 18 ปี เพื่อทราบถึงมุมมองของคนรุ่นใหม่ต่อค่านิยม 12 ประการของคนรุ่นใหญ่
กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท เป็นกลุ่มที่ก่อตั้งโดยนักเรียนมัธยมศึกษาเมื่อราวปลายปี 2556 ปัจจุบันมีสมาชิกราว 50 คน ไม่นับรวมเครือข่ายต่างจังหวัด กลุ่มเด็กเหล่านี้ทำกิจกรรมเสวนา ตั้งคำถามในประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับชีวิตนักเรียน เช่น การทวงถามการอนุญาตเรื่องทรงผม การรณรงค์ให้ยกเลิกการสอบยูเน็ต ฯลฯ
“หลังรัฐประหารเราจะจัดเสวนาเรื่องประชาธิปไตยในห้องเรียน แต่ปรากฏว่าเจ้าของสถานที่เขาไม่อนุญาต ได้ยินคำว่าประชาธิปไตยปุ๊บ แบนเลย” ณัฐนันท์เล่า
นอกจากนี้ในวันเด็กแห่งชาติปีล่าสุด กลุ่มนี้ยังจัดกิจกรรม ‘มอบดอกไม้ให้ทหาร’ ...ไม่ใช่อย่างที่เห็นเมื่อปี 2549 แต่เป็นการมอบดอกไม้ที่ทหารออกมายืนยันว่าจะไม่ทำรัฐประหาร
“กิจกรรมนี้เราเจ็บปวดมาก” ณัฐนันท์พูดถึงความเชื่อที่ผิดพลาด
คนรุ่นใหม่ทั้งสองพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเราอย่างออกรส พวกเขาติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างใกล้ชิด และคิดอย่างเป็นระบบ พวกเขายืนยันว่ายึดถือความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ชื่นชอบการถกเถียง และอยากให้เพื่อนๆ ตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆ ในสังคม โดยเฉพาะในโรงเรียน จึงจัดกิจกรรมต่างๆ จนครูอาจารย์บางท่านก็มองว่าพวกเขา ‘หัวรุนแรง’
“จุดเริ่มต้นของพวกเราคือ เราอ่านเยอะ เพราะเรายังหาจุดยืนที่แน่นอนไม่เจอ ท่ามกลางสังคมที่แตกแยกและสับสนขนาดนี้ มันทำให้เรายิ่งต้องหาข้อมูล ยิ่งต้องสนทนา เราไม่อยากอยู่ไปวันๆ แบบไม่ต้องคิดอะไรเลย” ณัฐนันท์กล่าว
 ‘คำถาม’ คือดาวนำทางของเยาวชนกลุ่มนี้ และดูเหมือนเขายังคง ถาม ถาม ถาม แม้ในสถานการณ์ที่ทุกคนถูกขอให้เงียบ

บางส่วนของความคิดเห็นเกี่ยวกับค่านิยม 12 ประการ

“เห็นได้ชัดเลยว่าเขาต้องการสร้างคนดีที่เป็นแบบเดียวกัน เป็นเหมือนกันทั้งหมด ซึ่งมันพื้นฐานความคิดมาจากระบอบอำนาจนิยม”
“12 ข้อนี้ไม่ดีตรงที่ว่า การศึกษาในศตวรรษที่ 21 คุณควรจะสอนให้นักเรียนคิดต่างอย่างสร้างสรรค์ หรือคุณจะสอนให้นักเรียนจำทั้งหมดแล้วเอาไปปฏิบัติอย่างไม่ตั้งคำถาม”
“แค่ความเป็นคนดี คุณยังไม่ให้นักเรียนคิดเอง ทุกคนก็มีชุดศีลธรรมของเขา แต่คุณยังไปดูถูกผู้เรียนว่าคิดแบบนี้ถึงจะถูก คิดแบบคุณมันไม่ถูกต้อง แทนที่เราจะมาถกกันว่าทำไมคุณถึงคิดแบบนี้ ทำไมเราถือคิดแบบนี้ คนเราแตกต่างกันได้บนพื้นฐานของความสันติ”
“อย่างข้อที่ 7 เองผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ถูกต้อง เขาก็ไม่ได้จำกัดความว่าคืออะไร”
“เข้าใจแล้วเรียนรู้ความเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่แน่ใจว่าความเข้าใจของเราตรงกับท่านผู้นำหรือเปล่า เพราะความเป็นประชาธิปไตยของเราคือการถกเถียง คือการรับฟังในสิ่งที่เราไม่อยากรับฟัง”

อดีตคนไทยมีความสุขมาก-พล.อ.ประยุทธ์หวังอนาคตความสุขต้องมากกว่าอดีต



พบกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" ให้กำลังใจคนกินเจ - ขอร้องพ่อค้าอย่าเอากำไรมากเพราะคนเดือดร้อน - จะเร่ง"ลดต้นทุนการผลิตเพื่อความสุขของชาวนาไทย" - พร้อมขอแรงใจคนทั้งประเทศ จะพาประเทศให้มีความสุขอย่างถาวร เหมือนในอดีตที่ผ่านมานานแล้ว จะนำสิ่งที่ดีๆ มาทำให้ดีขึ้นไปอีก
26 ก.ย. 2557 - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 26 กันยายน 2557 เวลา 20.15 น โดยมีรายละเอียดตามที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลดังนี้
สวัสดีพ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยที่เคารพรักทุกท่าน พบกันอีกครั้งนะครับ สำหรับในห้วงนี้ระหว่างวันที่ 24 กันยายน – 2 ตุลาคม เป็นห้วงเทศกาลที่พี่น้องประชาชนชาวไทยจำนวนมากถือศีลกินเจ ด้วยการละเว้นบริโภคเนื้อสัตว์ ละเว้นการเบียดเบียนชีวิต และมุ่งมั่นทำจิตใจให้ผ่องใส ผมขอส่งแรงใจให้ทุกท่าน ปฏิบัติได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ทุกประการทุกคน และขอให้กุศลผลบุญแห่งการทำความดีได้ปกปักรักษาให้ทุกท่านและครอบครัว ให้เจริญรุ่งเรืองตลอดไป
สำหรับสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลก็ยังคงเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่มีอยู่หลายเรื่องด้วยกัน ทั้งที่เป็นปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้า และความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องแก้ไขให้บรรลุผลโดยเร็ว และต้องการจะวางการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้เป็นรากฐานในการดำเนินการต่อไปในระยะหรืออนาคต ปัญหานั้นมีอยู่มากบางเรื่องแก้ได้ทันที บางเรื่องต้องอาศัยเวลา บางเรื่องรัฐบาลสามารถดำเนินการได้โดยลำพัง และบางเรื่องต้องการความร่วมแรงร่วมใจจากทุกภาคส่วน ขอให้พ่อแม่พี่น้องได้เชื่อมั่นว่ารัฐบาลมีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้ลุล่วงโดยเร็วที่สุด พวกเรายังคงยืนยันเรื่องผลประโยชน์เราไม่ต้องการสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่มีวาระส่วนตัวหรือซ่อนเร้น มีแต่ความจริงใจ และตั้งใจที่จะแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนและประเทศชาติ ทั้งนี้การแก้ปัญหานั้น ๆ จะต้องเป็นไปตามหลักการความมีเหตุมีผล ไม่แก้ปัญหาชนิดที่เรียกว่าแก้ที่ปลายเหตุ ไม่ยั่งยืน นำมาซึ่งปัญหาอื่น ๆ ตามมาในภายหลัง
เรื่องที่อยู่ในความสนใจ
ประเด็นเรื่องกฎหมายภาษีมรดกที่อยู่ในความสนใจของสังคม มีการสร้างข่าวลือต่าง ๆ ทั้งในโซเชียลมีเดียและจากปากต่อปาก ว่ารัฐบาลจะเก็บภาษีมรดกในอัตราร้อยละ 40 และให้มีการเก็บย้อนหลังจากวันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ 5 ปีนั้น ผมขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงแต่ประการใด ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการหารือในที่ประชุมของคณะรัฐมนตรี ซึ่งที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า กฎหมายภาษีมรดกเป็นเครื่องมือที่จะสร้างความเท่าเทียมและความเป็นธรรมในสังคม เป็นหลักสากลที่หลาย ๆ ประเทศก็มีการดำเนินการอยู่แล้ว โดยรัฐสามารถจะนำเงินภาษีดังกล่าว มาใช้ในการพัฒนาประเทศ ซึ่งสำหรับประเทศของเรานั้นคงไม่มากมายนัก เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดความเท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้นเราจะได้นำมาดูแลยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนส่วนอื่น ๆ ด้วย รายละเอียดของเนื้อหาของกฎหมายขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา เบื้องต้นร่างกฎหมายที่จะนำเสนอเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อจะพิจารณาออกมาเป็นกฎหมาย ขั้นต้นก็พิจารณากันว่าจะเรียกเก็บภาษีสำหรับมรดกทรัพย์สินที่มีมูลค่ารวมเกินกว่า 50 ล้านบาท โดยจัดเก็บเฉพาะส่วนเกินจาก 50 ล้านบาท ในอัตราคงที่ร้อยละ 10 อย่างไรก็ตาม ยังมีรายละเอียดข้อยกเว้นต่าง ๆ มากมาย มีมาตรการสำหรับผู้ที่มีทรัพย์สินจำนวนน้อย มรดกมีทั้งผู้ให้หรือผู้รับอย่างไร มีรายละเอียดปีกย่อยมากมาย อย่าเพิ่งมาวิพากษ์วิจารณ์กันเวลานี้เลย ผมคิดว่าในส่วนนี้คณะกรรมธิการก็ดำเนินการอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกคน เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาเพิ่มเติม ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีรายได้น้อย ผู้ที่มีที่ดินหรือทรัพย์สินต่าง ๆ เป็นจำนวนไม่มากนัก อันนี้คงไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว
 
ในเรื่องของการดูแลควบคุมราคาสินค้าและค่าใช้จ่ายของประชาชน วันนี้ผมทราบดีมีความเดือดร้อน ปัญหาสินค้าราคาแพง ผมเคยขอร้องกันไปแล้วในส่วนของพ่อค้าคนกลาง ในส่วนของรายใหญ่ จะต้องช่วยกัน พยายามรักษาระดับราคาของสินค้าให้เกิดความเป็นธรรมกับคนมีรายได้น้อย อย่าเพิ่งไปเอากำไรมากมาย ในขณะนี้เลยเพราะทุกคนเดือดร้อนกันไปหมดในขณะนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ตาม ถ้าเราคิดว่าเราลดกำไรเราลงสักเล็กน้อยให้ขายปริมาณสินค้าได้มากขึ้น เงินที่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยก็จะได้ออกมาจับจ่ายใช้สอยได้ และทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ขอความร่วมมืออีกครั้ง
 
เพราะฉะนั้นรัฐบาล ก็พยายามอย่างเต็มที่ในการที่จะกำกับดูแลราคาสินค้า ให้อยู่ในราคาที่เหมาะสม และเน้นในเรื่องของค่าโดยสาร ค่าขนส่ง ที่มีผู้ประกอบการขอให้ปรับขึ้นราคานั้น ได้สั่งการให้ไปดูในรายละเอียดให้กระทรวงคมนาคมไปดูแลอย่างเร่งด่วน ว่าจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมอย่างไรบ้าง ในต้นทุนที่ดำเนินการทั้งหมด กำไรต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน และสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจของในประเทศด้วย ประชาชนผู้มีรายได้น้อยเขาเดือดร้อนอย่างไร ต้องมาช่วยกัน และหารือกัน หาหนทางปฏิบัติที่เหมาะสม ก็ไม่มีใคร อย่างที่เคยเรียนไปแล้ว ไม่มีใครได้ทั้งหมด หรือเสียทั้งหมด เห็นใจคนจนหน่อย และพยายามจะให้ความเป็นธรรม ราคาต้องอยู่ในระดับที่รับได้ทั้งผู้ประกอบการและประชาชนผู้ใช้บริการ
 
สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค อันนี้ได้สั่งการกระทรวงพาณิชย์ และหลาย ๆ หน่วยงาน ก็มีหลายหน่วยงานที่จะต้องเข้าไปดูแล กรุงเทพมหานคร (กทม.) หรือเทศกิจ หรืออะไรต่าง ๆ ต้องไปดูทั้งหมด และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต้องไปตรวจ ในพื้นที่การค้าขาย ในชุมชนต่าง ๆ ทั้งใน กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดด้วย ระดับราคาสินค้าตั้งแต่ต้นทางเราพอทราบอยู่แล้ว พอกลางทางไปแล้วเพิ่มด้วยค่าขนส่ง เพิ่มด้วยการบริหารจัดการ ไปถึงปลายทางราคาก็สูงขึ้น มากเกินกว่าความจำเป็น อันคงต้องไปดูแลกันตั้งแต่เริ่มต้น วัตถุดิบเป็นอย่างไร ที่ต้องใช้ในการผลิตเป็นอย่างไร การดูแลราคาจำหน่ายของตัวแทนจำหน่ายและผู้ค้าส่ง ให้สอดคล้องกับราคาโรงงาน ไม่ให้มีการฉวยโอกาส ถูกเอารัดเอาเปรียบ รวมไปถึงการดูแลราคาสินค้าปลีก ปลายทางให้มีความสอดคล้องกัน และจะใช้มาตรการทางกฎหมายที่เข้มงวดและรัดกุมด้วย เพื่อไม่ให้มีการกักตุนสินค้า และให้มีสินค้าเพียงพอกับความต้องการของพี่น้องประชาชน โดยรัฐบาลจะมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการเพื่อขยายระยะเวลาในการตรึงราคาสินค้าต่อไปอีก 2-3 เดือน หลังจากที่มาตรการตรึงราคาสินค้าที่ดำเนินการอยู่จะสิ้นสุดในเดือนพฤศจิกายนนี้
 
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อลดภาระค่าครองชีพ เช่น ศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตรชุมชน หรือ Farm Outlet เพื่อเป็นแหล่งกระจายสินค้าและจำหน่ายสินค้าการเกษตรที่เป็นระบบ ซึ่งได้มีการเปิดตัวศูนย์ที่ 20 ไปแล้ว ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา ร้านจำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จ เพื่อคืนความสุขทุกจานให้ประชาชนภายใต้สัญลักษณ์ "หนูณิชย์ พาชิม" ที่เน้นร้านค้าที่ถูก สะอาด ดี และอร่อย ซึ่งตั้งแต่เปิดตัวโครงการฯ ไปแล้วเมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ ได้มีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเกินกว่าเป้าหมาย 1,000 แห่งไปแล้ว ก็ยังต้องการอีกเพิ่มเติม และโครงการนี้จะทยอยลงสู่ทั่วทุกภูมิภาค ขอความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน ทุกร้านค้าทั้งของรัฐทั้งเอกชน โดยจะเริ่มที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในเดือนหน้า เชื่อว่าหากมีการเปิดตัวครบทั่วทุกภูมิภาคแล้ว จะมีร้านเข้าร่วมโครงการไม่ต่ำกว่า 5,000 ร้าน ซึ่งถ้านับกับสัดส่วนแล้วยังมีจำนวนน้อย ผมอยากให้ทุกกระทรวง ทบวง กรม ไปช่วยกัน ทั้ง องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ทั้งในส่วนของสมาคม พ่อค้า เอกชนอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ที่มีโครงการหรือมีร้านอาหารประเภทนี้ ขอให้ช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนในการซื้ออาหารปรุงสำเร็จได้ประมาณร้อยละ 10-35 ของค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหารในแต่ละวัน เป็นกุศลกับท่านด้วย
 
สำหรับการลดภาระต้นทุนให้แก่พี่น้องชาวนานั้น รัฐบาลได้เริ่มดำเนินโครงการ “ลดต้นทุนการผลิตเพื่อความสุขของชาวนาไทย” ได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ประสานงานกับผู้ประกอบการปัจจัยการผลิตต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการลดต้นทุนปัจจัยการผลิตสำหรับการปลูกข้าว โดยจะดำเนินการเป็นแพ็กเกจใหญ่ ๆ ในกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำนาทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อเป็นการดูแลเกษตรกรอย่างทั่วถึง
 
นอกจากนี้ก็เพื่อจะให้การปลูกข้าวของไทยได้พัฒนาได้อย่างยั่งยืน รัฐบาลก็กำลังพิจารณาดำเนินการจัดตั้งสถาบันพัฒนาการพาณิชย์ข้าวไทย เพื่อทำหน้าที่สนับสนุนการพัฒนาข้าวไทยอย่างบูรณาการด้วย ในเรื่องของข้าวผมถือว่าเกษตรกรชาวนาเป็นบุคลากร หรือเป็นประชาชนที่น่าเป็นห่วง และเป็นหลักให้กับประเทศไทย เพราะเราเป็นประเทศที่มีการผลิตข้าว และกว่าจะได้ข้าวมาแต่ละเมล็ดผมว่าใช้แรง ใช้ความตั้งใจ ใช้ความเอาใจใส่มหาศาล กว่าจะได้ข้าวมาให้เรารับประทานกัน ผมถือว่าเป็นผู้ที่มีคุณค่ากับประเทศไทย เราจะดูแลให้ดีที่สุดสำหรับชาวนา และวันนี้ท่านก็ยังมีรายได้ที่น้อยมากอยู่ เราต้องแก้ไขทั้งระบบชาวนา ต่อไปก็เป็นเรื่องของชาวสวน ชาวไร่ต่าง ๆ อีก ซึ่งมีปัญหามากพอสมควรในขณะนี้ ก็จะเร่งดำเนินการทั้งมาตรการเร่งด่วน และมาตรการที่เป็นระยะยาวด้วย
 
ในเรื่องของการทะเลาะวิวาทของนักเรียนอาชีวะ ผมก็ไม่ได้ไปว่าทุกโรงเรียนทุกคน เพราะว่าที่ดีเขาก็มีมาก มากเกินกว่า 90% ขึ้นไป มีอยู่ไม่กี่ที่ กี่แห่ง กี่คน ผมไม่ได้ไปตำหนิสถานศึกษา ผมตำหนิตัวบุคคล ผู้เข้ารับการศึกษา และผู้ที่ให้การอบรม ทำอย่างไรที่จะทำให้คนเหล่านี้กลายเป็นคนที่ดีต่อสังคมได้ ทำประโยชน์ไม่ไปตีรันฟันแทงกัน เพราะฉะนั้นหลังจากที่ผมได้มีการกำหนดมาตรการลงไป หรือพูดเป็นการป้องปรามไปแล้ว ก็ได้มีสถานศึกษาเอกชนได้มีมาตรการป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวหลายอย่างด้วยกัน อาทิเช่น ถ้าหากว่ามีการก่อเหตุจะถูกปิดการเรียนการสอนทันที 3-7 วัน ก็เดือดร้อนอยู่ดี ยังไงก็เดือนร้อน เพราะฉะนั้นคนส่วนน้อยอย่าไปทำให้คนส่วนใหญ่เขาเดือดร้อน ระหว่างการสอบสวน หากสถาบันฯ ไม่สามารถทำแผนป้องกันเหตุให้ผ่านการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชนได้ ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดอีก
 
ขณะเดียวกัน ถ้าสถาบันฯใดเป็นฝ่ายก่อเหตุครบ 3 ครั้งต่อปี อาจจะต้องงดรับนักศึกษาในปีการศึกษาถัดไป แต่อย่างไรก็ตามผมคิดว่าอันนี้เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ ต้องสร้างค่านิยมให้กับคนในชาติ ค่านิยมให้กับนิสิตนักศึกษาด้วย ว่าทำอย่างไรจะไม่เกิดเหตุการณ์เหล่านั้น ดีกว่าที่เราจะไปแก้ที่ปลายเหตุไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นทั้งผู้ปกครอง เพื่อนฝูงที่มีการสูญเสียบาดเจ็บกันไปแล้วก็เกิดความโกรธแค้นชิงชังกันต่อไป และจะอยู่กันได้อย่างไรในอนาคต เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนนั้น ผมว่าพ่อแม่ผู้ปกครองก็มีส่วน สังคม รวมทั้งสื่อมวลชนก็ต้องช่วยกันตักเตือน ช่วยกันปรับเปลี่ยนทัศนคติและให้โอกาสนักเรียนกลุ่มดังกล่าวเหล่านั้น และนักเรียนสายอาชีวะเป็นแรงงาน ซึ่งผมคิดว่ามีคุณค่าและยังมีขีดความสามารถและมีทักษะสำคัญต่อการพัฒนาชาติ ตลอดจนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จากผลการวิจัยพบว่ามีภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ยังคงประสบปัญหาจากการขาดแรงงานที่มีคุณภาพ โดยความต้องการแรงงานมากที่สุด ถ้าจำแนกออกมาตามรายภาค 5 อันดับแรก ได้แก่ เกี่ยวกับธุรกิจสิ่งทอ เครื่องแต่งกาย และเครื่องหนัง ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก และธุรกิจก่อสร้าง
 
ดังนั้น เราควรยกระดับให้การศึกษาสายอาชีวะเป็นการศึกษาที่เป็นรากฐานสำคัญของประเทศ ให้มีภาพลักษณ์ว่านักเรียนสายอาชีวะเป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าของประเทศและเศรษฐกิจไทย ให้โอกาสนักเรียนอาชีวะในการทำประโยชน์ให้กับสังคม การช่วยเหลือผู้ประสบภัย การนำความรู้ไปช่วยฝึกอบรมแก่แรงงานระดับล่าง เป็นต้น หรือจ้างงานอะไรต่าง ๆ ในแผนงานโครงการของรัฐให้เขาไปช่วยทำงานให้เกิดประโยชน์กับสังคม ก็ขอให้ทุกกระทรวง ทบวง กรม ช่วยกันขับเคลื่อนด้วย ในส่วนของมหาวิทยาลัยของราชภัฏ ต่าง ๆ อยากให้เน้นในเรื่องของการศึกษา ภาษาอังกฤษ ภาษาเพื่อนบ้าน หรือต่อยอดจากผู้ที่จบการศึกษาให้สามารถที่จะไปทำงานทางด้านที่เป็นฝ่ายบริหารได้ ผมเคยเรียนไปแล้วว่าทำอย่างไรเราจะเตรียมคนไปสู่ AEC ได้ เพราะฉะนั้นต้องสอนคนให้สามารถไปประกอบอาชีพได้เลย ถ้าสอนไปเฉพาะภาควิชาการ จบปริญญามาแล้วทำงานไม่ได้เลย ก็ตกงาน กว่าจะเรียนรู้ใหม่อีกทีก็ใช้เวลามากพอสมควร ผมอยากทางสภาบันต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ให้ช่วยกันอาชีวะด้วย ช่างกลต่าง ๆ เหล่านี้ เราขาดแรงงานประเภทนี้เป็นจำนวนมากตามโรงงานต่าง ๆ วันนี้เรามีการจัดตั้งสนับสนุนของ BOI ขึ้นมา ให้มีมาตรการเพิ่มเติมในเรื่องของการเปิดโรงงานที่มีการเพิ่มพูนเทคโนโลยี เปิดโรงงานเกี่ยวกับเรื่องพลังงานทดแทน เกี่ยวกับเรื่องการผลิตไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ อีกมากมาย ถ้าเราไม่เตรียมคนที่จะไปทำงานในแหล่งเหล่านี้ ในโรงงานเหล่านี้ ก็ขาดแรงงาน เรามีแต่แรงงานที่ใช้กำลังทั้งหมด เป็นแรงงานที่ไม่มีความรู้ ทางการประกอบอาชีพมากมายนักในขณะนี้ เป็นจำนวนมาก ฉะนั้นเราต้องเพิ่มคุณวุฒิของแรงงานเหล่านี้ ให้เป็นแรงงานที่มีคุณภาพ เดี๋ยวสู้เขาไม่ได้ใน AEC ในอนาคต เพราะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานกันได้อีกต่อไป จะพูดในตอนสุดท้ายด้วย
 
ในส่วนของการปลูกฝังระเบียบวินัยไม่แบ่งแยกสถาบันฯ สถาบันฯ มีไว้ให้ภูมิใจ มีไว้ให้เป็นประวัติศาสตร์ อะไรที่ดีก็ทำ อะไรที่ไม่ดีก็อย่าไปทำอีก ขณะเดียวกันครูก็ต้องสอดแทรกการปลูกฝังระเบียบวินัยที่เข้มแข็ง ให้มีศักยภาพในการที่จะทำงาน ด้วยทั้งกำลังทั้งสติปัญญาด้วย เฉพาะอย่างยิ่งในหลักสูตรอาชีวศึกษา ขอร้องน้อง ๆ ทุกคน หลาน ๆ ทุกคน ช่วยกันอย่าตีอะไรกันต่อไปอีกเลย เสียเวลา เสียโอกาสเปล่า ๆ
 
การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ขอชื่นชมหลายกระทรวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงสาธารณสุข ได้รับรายงานว่าได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในเรื่องการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นซึ่งเรากำหนดเป็นวาระแห่งชาติ ได้นำสัญญาคุณธรรมขององค์การต่อต้านคอร์รัปชั่นแห่งประเทศไทยที่กำหนดให้ประชาชนและผู้มีความรู้ ผู้ทรงคุณวุฒิที่อยู่นอกระบบราชการเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบในกระบวนการจัดซื้อ จัดจ้าง หรือการลงทุนของภาครัฐ และได้นำสัญญาคุณธรรมนี้ มาใช้ในการจัดซื้อยาและเครื่องมือแพทย์ชุดใหญ่ที่มีราคาสูง ก็เป็นตัวอย่างขอชมเชยทุกกระทรวงก็ทำในลักษณะเดียวกันก็จะดี
 
การวางรากฐานในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ คสช. ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ก่อนการจัดตั้งรัฐบาล โดยการดำเนินงานของซุปเปอร์บอร์ด ดำเนินการโดยสำนักงานนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง คณะกรรมการติดตามการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) และองค์การต่อต้านคอร์รัปชั่นแห่งประเทศไทย ได้รับการยืนยันจากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ หรือ COST ที่ตกลงแล้วว่าจะทำความร่วมมือกับเราและรับไทยเป็นสมาชิก ที่จะนำกระบวนการตรวจสอบความโปร่งใสในโครงการก่อสร้าง ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ จัดทำทีโออาร์ จัดซื้อจัดจ้าง ตรวจรับงาน มาใช้ในการจัดซื้อ จัดจ้าง สำหรับโครงการขนาดใหญ่ของรัฐวิสาหกิจเพื่อให้แน่ใจว่ามีความโปร่งใส ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ทั้งนี้จะเริ่มนำมาตรวจสอบ หรือทดสอบใช้ในโครงการก่อสร้างของบริษัทการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยระยะที่ 2 เป็นแห่งแรก ทั้งนี้ อย่ากังวลว่าจะทำให้เกิดความล่าช้า เพราะหากเราดำเนินโครงการไปแบบผิด ๆ แล้วต้องหยุดชะงักเพราะความไม่โปร่งใสก็ทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชนเป็นจำนวนมากเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามให้สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องด้วยความถูกต้อง ไม่ต้องเกิดการสะดุด หรือล่าช้า หรือต้องล้มลงไปในที่สุดเหมือนที่ผ่านมา
 
การขับเคลื่อนงานด้านต่าง ๆ
 
แนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับชุมชน ซึ่งอันนี้รัฐบาลตระหนักดีว่าวันนี้ ขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจมีความซบเซาต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลายาวนานตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ทั้งภาวะการเมืองในประเทศ และผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาทั่วโลก อีกทั้งเราก็รู้กันดีว่าในปีนี้เศรษฐกิจอาจจะไม่เติบโตเท่าที่ควร ได้มีการประมาณการ GDP ในปีนี้ อาจจะไม่ถึงระดับร้อยละ 2 ก็พยายามต้องพยายาม รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจเลย ทำอย่างไรพี่น้องประชาชนคนไทยจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทั้งในประเทศ นอกประเทศ ให้น้อยที่สุด รัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจเรื่องเหล่านี้ มีการประชุม มีการพูดคุย มีการหารือ มีการกำหนดมาตรการต่าง ๆ มากมาย แต่ทุกอย่างทำทันทีไม่ได้เว้นแต่เรื่องที่เป็นเรื่องที่แก้ไขได้ง่าย ๆ ได้มีการวางแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับชุมชน ให้ทั่วถึงทุกภูมิภาคของประเทศ และเน้นการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคเสริมสร้างความเข้มแข็งในแต่ละชุมชน สร้างอาชีพและรายได้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องถิ่น ยกระดับการศึกษาในชุมชน
 
ขณะนี้รัฐบาลได้สั่งการเร่งด่วนให้แต่ละกระทรวงไปตรวจสอบว่า มีโครงการใดบ้างที่ยังไม่ได้ดำเนินการและจะต้องมีการปรับแผน หรือยังไม่ได้ทำสัญญาจ้างงาน เพื่อจะได้เร่งใช้งบลงทุนในปี 2557 ที่ยังมีเหลืออยู่กว่าแสนล้านบาทไปกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและจ้างงานได้ทันทีภายใน 3 เดือนนี้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจใน 3 เดือนที่เหลืออยู่ และส่งเสริมให้เกิดการสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนอีกทางหนึ่งด้วย ก็ได้กำหนดไปแล้วว่าจะให้ทำอะไรบ้าง เพื่อจะเป็นการจ้างงาน เป็นการขับเคลื่อนและมีเม็ดเงินออกมาสู่พื้นที่
 
นอกนั้นแล้วรัฐบาลจะเร่งทำสัญญาจ้างงานกับโครงการขนาดเล็กต่าง ๆ ให้ได้ภายในสิ้นปีและก็จะนำงบลงทุนในปีงบประมาณ 2558 ระยะแรกก็เตรียมไว้ประมาณ 50,000 ล้านบาท มาใช้อีกเพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่นและเป็นการสร้างรายได้อย่างทั่วถึง รายละเอียดต่าง ๆ เหล่านี้ท่านต้องไปติดตามรายละเอียดในส่วนของ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ทุกจังหวัดจะมีงบประมาณเหล่านี้ซึ่งจะยังคงประกาศให้ทราบต่อไป ว่าจะทำอะไรกันบ้าง ท่านก็ไปร่วมมือกัน ตรวจสอบ ร่วมมือกันในการทำให้งบประมาณนั้นมีประโยชน์และคุ้มค่า
 
ขณะเดียวกัน รัฐบาลจะเร่งตรวจสอบงบประมาณและวงเงินกู้ต่าง ๆ ที่กันไว้ อีกส่วนหนึ่งอีกที่ยังไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ในช่วงที่ผ่านมามีจำนวนอีกประมาณ 20,000 ล้านบาท ก็จะนำมาลงทุนเช่นกัน ในโครงการสาธารณูปโภคที่อยู่ในความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการซ่อมแซมอาคารเรียน ระบบชลประทาน และสาธารณูปโภค ซ่อมถนนหนทาง สถานีอนามัย โรงเรียน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อชุมชน ก่อให้เกิดการจ้างงานในภูมิภาค รวมทั้งสนับสนุนการใช้จ่ายภายในท้องถิ่น อันจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นได้อีกทางหนึ่ง
 
แนวทางที่วางไว้นี้จะดูจากความต้องการของแต่ละท้องถิ่นด้วยอย่างแท้จริง ให้สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร พี่น้องแรงงาน และประชาชนในทุกภูมิภาค ขณะนี้กำลังเตรียมความพร้อมอยู่จะเร่งรัดให้เร็วที่สุด ได้ให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) สำนักงบประมาณ เข้ามาร่วมกันดูแล ถ้าทุกคนทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น และทุกภาคส่วนนั้นร่วมมือกัน เชื่อได้ว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถขับเคลื่อนไปได้ด้วยดีภายในสิ้นปีนี้และก็ไปขับเคลื่อนต่อในปีหน้าอีกต่อไป
 
การแก้ปัญหาราคายางพารา ก็มีคำพูด คำกล่าวกันมากมายหลายกลุ่มหลายสมาคมเกิดจากปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ก็ได้เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ หรือ กนย. ไปแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ และก็มีผู้แทนจากส่วนราชการต่าง ๆ และภาคเอกชนเข้าร่วมหารือ หาแนวทางการแก้ไขปัญหายางพารา โดยเฉพาะแนวทางการพัฒนายางพาราทั้งระบบ ซึ่งก็มีข้อเสนอมามากมายจากสมาคม จากภาคเอกชนด้วยต้องฟังหลาย ๆ ทางซึ่งทั้งหมดนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รวบรวมเสนอมาถึงการบริหารจัดการคลังยางของรัฐบาลด้วย ซึ่งจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อกลไกการตลาดในปัจจุบัน ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอต่อที่ประชุมใน 4 แนวทางด้วยกันก็คือ เร่งรัดการใช้ยางภายในประเทศให้มากขึ้น โดยนำยางมาใช้ในการสร้างถนน ทำอิฐบล็อก ทำพื้น ฝาย ผลิตภัณฑ์แปรรูป ที่นอนอะไรต่าง ๆ อีกมากมาย แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า สถาบันวิจัยยางเพื่อไปเพิ่มมูลค่าการผลิตเรายังไม่สมบูรณ์
 
ผมก็เร่งรัดไปให้มีการเร่งรัดในเรื่องของการจัดตั้งสถาบันวิจัยยางเพื่อไปทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในประเทศเราถ้าเราไม่มีตรงนี้การรับรองคุณภาพก็ไม่เกิด เมื่อไม่เกิดไปทำอะไร เขาก็รับไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ได้แก้ไขมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ระยะเวลาที่ผ่านมา ถ้าเรามีสถาบันอันนี้ขึ้นมาเราก็สามารถนำไปใช้โน่น ใช้นี่ได้ ไม่อย่างนั้นต่างชาติเขาก็ไม่นำไปใช้หรอกครับ ไม่มีใครรับรองให้เขา เรามีปริมาณแต่คุณภาพต้องดูให้ดี การตัดต้นยางเก่าอะไรนี่เป็นแนวทางเดิมอยู่แล้ว ประเด็นสำคัญก็คือต้นยางถ้าอายุเกิน 25 ปี เขาก็ต้องตัดทิ้ง นำไปทำเฟอร์นิเจอร์อะไรก็ว่าไป อันไหนที่ยังอายุน้อยกว่า เดิมที่ผ่านมาก็ได้น้ำยางน้อยวันนี้ก็นำไปปรับปรุงกันเอาเอง ไปอัดแก๊สเข้าไปให้ได้น้ำยางเร็ว ๆ ก็เหมือนไปเร่งให้มีน้ำยางมาก ๆ วันหน้าก็อันตราย ต้นยางก็ไม่แข็งแรง
 
เพราะฉะนั้น เราต้องช่วยกันลดทั้งอุปทาน รักษาระดับปริมาณยางทั้งในประเทศและการค้าขายกับต่างประเทศให้ได้ กำหนดราคาให้ได้ เพราะฉะนั้น ต้องไปสู่การโซนนิ่งในอนาคต ที่มีการพูดว่าจะมีการจ้างให้เลิกปลูกยาง ผมไม่เคยพูดอย่างนั้นเลย เดี๋ยวจะเข้าใจกันผิด ก็เพียงแต่ว่าใครอยากจะเปลี่ยนไปเป็นอาชีพอื่น ๆ รัฐบาลก็จะหาทางสนับสนุนให้ว่า อยากทำอะไรไปหาช่องทางที่เหมาะสม ราคาไม่ตกและก็เหมาะสมกับพื้นที่ก็เป็นทำนองนั้นมากกว่า ใครจะนำเงินไปจ้างใครให้เลิกทำอาชีพ เป็นไปไม่ได้ อย่างมากก็เยียวยาให้หรือสนับสนุนให้ไปทำใหม่ ทำอย่างอื่นแทน อะไรทำนองนี้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับท่าน บังคับท่านได้ที่ไหน เวลาบังคับก็มีเรื่องทุกที เพราะฉะนั้นถ้าท่านสมัครใจทำนี้ก็จะเกิดขึ้น ๆ และอนาคตก็จะยั่งยืน
 
ในเรื่องของการผลักดันและเร่งรัดโครงการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้สถาบันเกษตรกรรับซื้อยางจากเกษตรกรในราคาที่สูงขึ้น วันนี้มีนายทุนหรือพ่อค้าคนกลางไปซื้อไว้ วันนี้เราก็หาเงินมาอีกก้อนหนึ่งเพื่อสหกรณ์เกษตรกรนี้ มีเงินเพื่อจะไปซื้อในราคาที่สูงกว่าที่พ่อค้าคนกลางเขาซื้อ อย่างน้อยยังเป็นการยกระดับ ยกระดับให้ราคายางสูงขึ้นโดยทันที อันนี้ก็ดำเนินการอยู่แล้ว
 
ในขณะนี้ ก็จะเร่งรัดเม็ดเงินต่าง ๆ ออกให้ได้โดยเร็ว เรื่องการปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการ เพื่อไปเปลี่ยนเครื่องจักร เพื่อใช้ในการแปรรูปยางหรือผลิตภัณฑ์ยางอะไรก็แล้วแต่ หรือการจัดตั้งโรงงานที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ยางให้มากขึ้นจากในประเทศนี้ก็ไปร่วมมือกันทั้ง BOI ด้วย กระทรวงอุตสาหกรรมด้วยรวมทั้งหมดต้องทำให้เกิดให้ได้ ตั้งแต่การผลิตยางออกมาและการปรับปรุงคุณภาพ เพิ่มมูลค่า จากนั้นก็ไปสู่ในเรื่องการวิจัยยาง นำไปสู่การผลิตเป็นวัสดุต้นทุนอย่างอื่นและนำไปขายในราคาที่สูงกว่าเดิมและไปขายทั้งในประเทศและนอกประเทศถึงจะเกิด เหมือนประเทศอื่น ๆ เขาเกิด ประเทศเราก็แก้ปัญหามา พอขาดราคาตกนำเงินอุดหนุน ๆ ตลอด มันเกิดอะไรขึ้นมาได้หรือยัง ก็ไม่เกิดซักที ก็เป็นอย่างนี้เป็นสิบ ๆ ปีมาแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าไปบิดเบือนราคา ทำอย่างไรเราจะทำให้ราคายางสูงขึ้น เราก็ต้องไปคุย เช่น ในเรื่องของการสร้างตลาดการซื้อยาง ขายยางธรรมชาติ เชื่อมโยงมีการทำสัญญาเมื่อซื้อขายแล้วจะต้องส่งมอบสินค้าจริง ไม่ใช่สัญญาในกระดาษอย่างเดียวและก็เก็บสต็อกลมเอาไว้ อะไรแบบนี้เป็นเรื่องซับซ้อน เพราะฉะนั้นเกษตรกรชาวสวนยางผู้รับซื้อต้องคุยกัน รัฐบาลก็จะเข้าไปดูแลในส่วนนี้ให้
 
ในด้านร่วมมือกับต่างประเทศ จะต้องกำหนดแนวทางจัดการเก็บสต็อกยางร่วมกัน ประเทศที่ผลิตยางใหญ่ ๆ ของโลกก็มีอยู่ไม่กี่ประเทศ เพราะฉะนั้นถ้าเราบริหารจัดการกันได้ ร่วมมือกันได้ราคายางก็สูงขึ้น เพราะอย่างไรก็ตามการใช้ยางยังคงต้องใช้อยู่ ในโลกนี้มีหลายอย่าง เพียงแต่ประเทศอื่น ๆ เขาผลิตยางออกมาและเขาทำไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสูง เรายังไปไม่ได้ตรงนั้นมากนักก็ต้องเร่งรัดตรงนั้นให้ได้
 
นอกจากนั้น ในเรื่องของการหารือกัน เมื่อ 2 วันนี้ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ขออนุมัติเดินทางไปต่างประเทศเพื่อจะไปพูดคุยกับ 3 ประเทศใหญ่ ๆ ในการผลิตยาง เดินทางไปแล้วนะครับว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหายางค้างสต็อก และขณะเดียวกันภายในของเรา เราก็จะเร่งจ่ายเงินช่วยเหลือให้เกษตรกรจำนวน 2,520 บาทต่อไร่ ซึ่งค้างอยู่ตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วก็คงต้องจ่ายให้ เพราะเป็นการอนุมัติผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) มาเรียบร้อยจะดำเนินการควบคู่ไปกับการปล่อยเงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธกส.จำนวน 10,000 ล้านบาท เพื่อให้สถาบันเกษตรกรซื้อยางไว้เพื่อเก็บเป็นสต็อก และอีก 5,000 ล้านบาทให้กู้เพื่อเป็นทุนในการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากยางให้ทันสมัย อีก 15,000 ล้านบาท ให้กู้จาก ธนาคารออมสิน เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราจะเห็นว่ารัฐบาลแก้ในทุกมิติ ทุกเรื่อง หลาย ๆ เรื่องด้วยกันเกษตรกรก็กรุณาใจเย็นเล็กน้อย
 
ท่านต้องไปพูดคุยให้รู้เรื่องและรวมกลุ่มให้ได้อย่างแท้จริงอย่าแยกเป็นหลายกลุ่มหลายฝ่ายพอพรุ่งนี้มาอีกพวกไม่มาเสร็จแล้วก็กลับไปก็บอกไม่เข้าใจกัน ไม่ได้ ท่านต้องรวมกันให้ได้ เพราะรัฐบาลมีรัฐบาลเดียว ท่านก็ต้องมีสมาคมที่พูดคุยกันให้เหมือนกับสมาคมเดียวได้ไหม ผมไม่รู้ ท่านต้องไปดำเนินการมา จะได้แก้ปัญหาได้ทีเดียวไม่อย่างนั้นก็พูดกันไปกันมาหลายเรื่อง หลายกลุ่มด้วยกัน
 
เพราะฉะนั้น ขณะนี้มีการประชุมในชั้นต้นแล้วกับกลุ่มพ่อค้า สมาคมต่าง ๆ บางคนอาจจะบอกว่ามาไม่ครบ ก็ไปให้ครบสิครับ เวลาเขาเชิญก็บอก ๆ กันไปถ้าท่านรวมกันไม่ได้ ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ส่วนใหญ่ที่เราประกาศไปแล้ว ที่พูดคุยอย่างที่ผมเรียนไว้เมื่อสักครู่ เขาก็มีความพึงพอใจ แต่อย่างไรก็ตาม ผมยังรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มอื่น ๆ ด้วย เพียงแต่ขอร้องให้ท่านไปรวมกันมาให้ได้โดยเร็ว อย่างไร ผมก็ฟังท่านอยู่ดี เพราะท่านเป็นคนไทย ท่านเป็นเกษตรกรไทย
 
การแก้ปัญหาราคาข้าวสำหรับผลผลิตฤดูกาลล่าสุด ในอีกไม่กี่เดือน ก็จะถึงหน้าการเก็บเกี่ยวข้าว รัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจอีกเหมือนกัน ที่ผ่านมาก็แก้ไปแล้วขั้นตอนหนึ่ง พอลงทุนใหม่กรอบใหม่ก็ต้องเตรียมการใหม่อีก เพราะเป็นปัญหาที่ทับซ้อนมาเป็นเวลานานแล้ว วันนี้ก็เลยให้มีการลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาของพี่น้องชาวนาในจังหวัดต่าง ๆ พี่น้องชาวนาส่วนใหญ่มีความกังวลในเรื่องของปัญหาราคาข้าว รัฐบาลเองมีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาก็พยายามผลักดันให้ราคาข้าวเปลือกสูงขึ้น กระทรวงพาณิชย์ก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่าราคาข้าวเปลือกเจ้า5% น่าจะต้องมีราคาให้ใกล้เคียงตันละ 8,500 บาท และจะจัดการระบายข้าวในสต็อก เน้นการส่งออกไปต่างประเทศ และขอให้พี่น้องชาวนามั่นใจว่า รัฐบาลจะมีการวางแผนการระบายข้าว ไม่ให้กระทบต่อราคาข้าวที่ควรจะเป็น
 
นอกเหนือจากลงพื้นที่เพื่อพบกับพี่น้องชาวนาไทยโดยตรงแล้ว รัฐบาลจะนัดหารือเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกันกับตัวแทนผู้นำเกษตรชาวนาจาก 5 องค์กร ประกอบด้วย สมาคมชาวนาไทย สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย สมาคมส่งเสริมชาวนาไทย สมาคมเครือข่ายชาวนาไทย และเครือข่ายศูนย์ข้าวชุมชน โดยจะเป็นการระดมสมอง กำหนดแนวทางในการรักษาเสถียรภาพของราคาข้าว ซึ่งจะมีการนัดหารือติดตามผลการดำเนินงานทุก 15 วัน จะมีการเรียกประชุมกับผู้ส่งออกและโรงสีเพื่อกำหนดแนวทางในการดูแลข้าวทั้งระบบ
 
ทั้งนี้ ก็เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืน รัฐบาลจะส่งเสริมในเรื่องของการปรับปรุงคุณภาพข้าว ลดต้นทุนการเพาะปลูก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปลูกข้าว เพื่อจะทำให้สามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้ ใช้พื้นที่ให้น้อยลง ใช้น้ำให้น้อยลงและจะมีการเข้มงวดในการใช้กฎหมายในการตรวจสอบสต็อกข้าว ที่กฎหมายระบุไว้ให้ผู้ส่งออกต้องมีสต็อกข้าวตลอดเวลา 500 ตัน และรัฐบาลเองจะช่วยในเรื่องแหล่งเงินทุน โดยจะจัดหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ให้กับชาวนาที่มียุ้งฉางในภาคอีสานและภาคเหนือตอนบน เพื่อจูงใจให้มีการเก็บข้าวและนำออกขายในราคาที่เหมาะสม และจัดหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้โรงสี เพื่อจูงใจการซื้อข้าวจากชาวนาและทยอยขายเมื่อราคาเหมาะสม นอกจากนี้นั้น รัฐบาลกำลังพิจารณาดำเนินการจัดตั้งสถาบันพัฒนาการพาณิชย์ข้าวไทย เพื่อสนับสนุนการพัฒนาข้าวไทยอย่างบูรณาการ ทำให้เป็นระบบ
 
สำหรับเรื่องการประกันภัยข้าวนาปี การผลิต 2557 ที่ทาง คสช. ได้มีมติอนุมัติ และทาง ธ.ก.ส. ได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว ก็อยากให้พี่น้องชาวนาได้มาเข้าร่วมโครงการกันให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้ลดความเสี่ยงลงจากภัยธรรมชาติและภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งค่าเบี้ยประกันที่เกษตรกรต้องจ่ายนั้น อยู่ในอัตราเพียง 60 – 100 บาท ต่อไร่ รัฐช่วยอุดหนุนเบี้ยประกันภัยให้เพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่ง ทั้งนี้ หากเกิดภัยธรรมชาติหรือภัยพิบัติขึ้น พี่น้องชาวนาจะได้รับเงินชดเชยรวมถึงไร่ละ 2,224 บาท ซึ่งก็มาจากเงินช่วยเหลือของรัฐบาลตามปกติ และจากการประกันภัยตามโครงการเพิ่มเติมขึ้นมาอีก
 
เรื่องแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีความเป็นเอกภาพ บูรณาการ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน รัฐบาลก็ใช้แนวทางคือ การดำเนินการใด ๆ ของทุกกระทรวง หากต้องเป็นเรื่องของการแต่งตั้งบุคลากรระดับสูง การใช้จ่ายเงินงบประมาณ นโยบายหลักของรัฐบาลนั้น จะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. เพื่อขออนุมัติจึงจะดำเนินการได้ โดยนายกรัฐมนตรี (นรม.) จะเป็นผู้อนุมัติให้นำเข้าที่ประชุม ครม. เอกสารทางราชการของทุกกระทรวงที่มีถึง นรม. จะต้องผ่านความเห็นชอบของ รอง นรม.ด้วย แต่ละฝ่ายควรจะระมัดระวังการให้ข่าวสาร ประชาสัมพันธ์
 
ถ้าให้ไปก่อนเร็วเกินไปยังไม่ได้ผ่าน ครม. เดี๋ยวเกิดความเข้าใจผิด ประชาชนก็สับสน เพราะฉะนั้นผมได้
 
ย้ำเตือนท่านรัฐมนตรี ท่านปลัดกระทรวงไปแล้ว เรื่องใดก็ตามที่ผ่าน ครม. แล้วจึงจะมีการประชาสัมพันธ์ได้ เรื่องอื่น ๆ ก็ประชาสัมพันธ์ให้รับทราบว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ได้ แต่รายละเอียดอย่าเพิ่งลงไปมากนัก วันนี้ก็ให้มีการตรวจสอบในเรื่องของนโยบายจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีก่อน เพื่อป้องกันความสับสนของประชาชนวันนี้ก็ให้กระทรวงดำเนินการตามนี้
 
เรื่องการปฏิรูปปรองดอง ก็พูดกันมากมายในเรื่องของการประชุมของคณะกรรมการสรรหาสมาชิก ได้คัดเลือกรายชื่อมาแล้วด้านละ 50 คน รวมทั้ง 11 ด้าน ได้ส่งรายชื่อให้กับ คสช. แล้วจำนวน 550 คน คสช. จะคัดเลือกให้เหลือ 173 คน ในส่วนของจังหวัดซึ่งได้ครบวันนี้ ทั้งหมด 77 จังหวัด จังหวัดละ 5 คน 385 คน ซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 30(6) 2557 ฉบับชั่วคราว ได้กำหนดให้ คสช. เป็นผู้คัดเลือก วันนี้เราก็ได้นำรายชื่อเหล่านั้นมาดู มาตรวจสอบรายละเอียด ดูคุณสมบัติ ดูที่อยู่ ที่ทำงานอะไรต่าง ๆ เพื่อสรรหาคนที่มีคุณภาพเหมาะสม
 
ผมก็อยากจะเรียนว่า ผมก็ไม่เห็นประโยชน์ว่าผมจะไปล็อกใคร เข้ามาทำงานตรงนี้ เพราะในเมื่อเราไม่ต้องการอะไรแล้วเราจะไปล็อกเขามาทำไม มีแต่ล็อกอย่างเดียวก็คือ ล็อกด้วยความรู้ความสามารถของเขา เขามีความรู้ความสามารถก็นำเขาเข้ามา จะได้ปฏิรูปได้จริง ๆ ถ้านำคนที่ไม่มีความรู้มาเลยก็ไม่ได้ แต่ต้องนำคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามาด้วย ก็พยายามทำอย่างเต็มที่ คนทั้งหมด 7,000 กว่าคนคัดเลือกไม่ใช่ง่าย ๆ ผมคิดว่าเรื่องที่ร่ำลือกันอยู่ในสื่ออะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ ก็ตรวจสอบกันทีหลังได้ ใครเข้ามาแล้ว ไม่ดีหรือถูกร้องเรียนก็ตรวจสอบกันก็ปรับออก ก็ดำเนินการใหม่ เพราะว่าการคัดเลือกคน 7,000 กว่าคนให้เหลือ 250 ท่านคิดแล้วกันว่ายากง่ายขนาดไหน โดยที่เราไม่ได้ต้องการอะไรตรงนี้ เพราะฉะนั้นก็ให้เกียรติเขาหน่อย ให้เกียรติกับคนคัดสรรเขาหน่อย แล้วถ้าเราได้มาเรียบร้อยแล้ว เราก็จะนำทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ต่อไป
 
ในกรณีที่ว่าเรียกร้องว่าไม่โปร่งใสก็ร้องเรียนมาทีหลังได้ เมื่อประกาศรายชื่อแล้วรอบสุดท้าย ต้องประกาศ 250 ไม่มีไปปิดไว้อะไรไม่ได้ เพราะว่าต้องเปิดเผยอยู่แล้วไม่ต้องกลัว เพราะฉะนั้นสังคมอย่าเพิ่งไปตัดสินเลยว่าจะไปล็อกสเป็กหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมขอร้องไม่อย่างนั้นจะวุ่นวายไปหมด ทำงานก็ไม่ได้ ทั้งหมด 250 นี้ก็หลังจากสมัครมาเป็นฝ่าย ๆ เป็นพวก ๆ แล้ว ใน 250 ก็จะตีรายชื่อยาวไปเลย 250 คน แล้วเดี๋ยวเขาต้องไปประชุมจัดกลุ่มกันใหม่อีกเพราะที่มาไม่เท่าเทียมกันแต่ละกลุ่มแต่ละฝ่าย จำนวนมากบ้าง น้อยบ้าง เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการคนเหล่านี้เข้ามาก็ทั้งหมดก็มารวมกันอยู่ในสภาปฏิรูปทั้ง 250 คน แล้วไปจัดกลุ่ม 11 กลุ่มใหม่ตามความสมัครใจของตัวเองในนั้น เพราะทั้งหมดนี้ไม่ใช่กลุ่มใครกลุ่มมันทำแล้วสำเร็จเอง ไม่ใช่ ทุกกลุ่มต้องไปศึกษาในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็นำเสนอในสภาปฏิรูป และให้สภาฯ ทั้งสภาฯ ให้ความเห็นชอบ ถึงจะไปทำต่อได้ ก็ใช้หลักการเดียวคล้าย ๆ กับ สนช. ในการทำงาน อย่ากังวลเลย เพราะฉะนั้นถ้าจะเลือกใครไปสักคนหรือจะล็อกสเป็กแต่ละคน มันไม่เกิดประโยชน์หรอกครับ อย่างที่ผมว่า จะเกิดได้อย่างไร ทำในรูปสภาฯ ฉะนั้นก็ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีการตรวจพบในเรื่องของการทุจริตอะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ ไปหาหลักฐานกันมา
 
ในส่วนของสภานิติบัญญัติแห่งชาตินั้น ได้มีคำสั่งนัดประชุมเมื่อวันที่ 25 , 26 ก็จะมีวาระการประชุมที่สำคัญคือ การพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่คณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาเสร็จแล้ว รวมถึงเรื่องที่ค้างจากการพิจารณา เพื่อตรากฎหมาย โดยมีกฎหมายที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชนผู้ใช้แรงงานและผู้ด้อยโอกาส เช่น ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่าง พ.ร.บ. การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กล่าวคือ ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานนั้น วัตถุประสงค์ก็เพื่อสร้างแรงขับในตัวลูกจ้างหรือตัวแรงงานให้มีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งในปลายปี 2558 ไทยจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ปรากฎว่าทุกประเทศมีระบบออกใบรับรองให้กับการทำงานแต่ละสาขาแล้ว ของเรา ประเทศไทยยังมีเพียง 7 สาขาอาชีพที่หน่วยงานออกใบรับรองให้ มีอีกมากมายหลายอาชีพ ออกได้เพียง 7 อาชีพเท่านั้นเอง ฉะนั้นต้องรีบดำเนินการให้ได้โดยเร็ว สาขาอาชีพอื่น ๆ ยังไม่มีการออกให้เลย ถ้าหากว่าใบรับรองการทำงานเรายังไม่เรียบร้อย กฎหมายใหม่ยังไม่พร้อมในการสร้างกติกาขึ้นมา เพื่อเตรียมพร้อมรับการขับเคลื่อนหรือการเคลื่อนย้ายแรงงาน แรงงานฝีมือต่างชาติก็จะไหลเข้ามาสู่ประเทศไทยอีก เพราะเราส่งไปไม่ได้ เรารับรองคนของเราไม่ได้ ก็ไปทำงานที่อื่นไม่ได้ ขณะเดียวกัน ต่างชาติได้รับรองมาแล้วเขาก็เข้ามาทำงานในประเทศไทย งานเราก็ลดลงอีก ฉะนั้นต้องขอความร่วมมือ กระบวนการต่าง ๆ จะต้องเร่งดำเนินการโดยเร็ว แล้วก็เพื่อพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นแรงงานฝีมือจริง จึงจะสามารถทำงานทั้งในประเทศได้ ต่างประเทศก็ได้ นี้เป็นกติกาของอาเซียน จะเห็นว่ากฎหมายเหล่านี้มีประโยชน์ทั้งต่อแรงงานเอง รวมถึงนายจ้างด้วย จะได้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงาน ทั้งคนไทยคนต่างชาติอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราทำให้เกิดสมดุลกันได้ของคนไทยของคนต่างชาติก็จะดีกับบ้านเมืองด้วย
 
นอกจากนั้นยังมีร่าง พ.ร.บ. การค้างาช้าง ซึ่งมีสาระสำคัญในการกำหนดกลไกควบคุมการค้าและการครอบครองงาช้าง หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากงาช้างตามกฎหมายว่าด้วยสัตว์พาหนะ เพื่อมิให้มีการนำงาช้างที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมายปะปนกับงาช้างตามกฎหมายว่าด้วยสัตว์พาหนะ ทั้งนี้กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะประกอบกิจการค้างาช้าง หรือผู้ที่จะนำเข้าหรือส่งออกงาช้างต้องขออนุญาตต่ออธิบดี รวมทั้งจะมีการกำหนดหลักเกณฑ์การควบคุมผู้ครอบครองงาช้างด้วย รวมทั้งร่าง พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ซึ่งจะมีสาระสำคัญในการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การนำเข้า ส่งออก หรือผ่านซึ่งสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครอง เพื่อให้ครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากซากของสัตว์ป่าดังกล่าว รวมทั้งมีการแก้ไขบทกำหนดโทษในกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้มีความครอบคลุมและเหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถดำเนินการกับผู้กระทำความผิดได้อย่างครอบคลุม การตรากฎหมายทั้ง 2 ฉบับนั้น เป็นการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศตาม “อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือที่เรียกว่า CITES เราจะถูกมาตรการสกัดกั้นหรือกดดันในเรื่องของการค้าอื่น ๆ ด้วย ถ้าเรายังมีการค้างาช้างอยู่ ที่ผิดกฎหมาย ทั้งงาช้างที่นำเข้าจากแอฟริกา และงาช้างในประเทศด้วย ต้องเลิกให้หมดเรื่องเหล่านี้ จะดูกันอย่างไรว่า ผู้ประกอบการธุรกิจเหล่านี้จะทำอย่างไรกันต่อไป
 
เรื่องการขอความร่วมมือ / เรื่องอื่น ๆ
 
เช่น การปฏิบัติตนเอง สื่อ ขององค์กรต่าง ๆ ทุกภาคส่วน ขอร้องช่วยกันปลูกฝังค่านิยม 12 ประการ บางคนบอกว่า ปลูกฝังแล้วจะเกิดอะไร จะเกิดขึ้นได้ไหม ประเทศชาติสงบไหม ท่านถามอย่างนี้ผมไม่รู้จะตอบอย่างไร ถ้าพูดอย่างนี้ แล้วทำอย่างนี้ และท่องไว้ เตือนใจตัวเองไว้ มันก็น่าจะได้ประโยชน์กว่าไม่มีอะไรอยู่ในหัวสมองเลย ผมไม่เข้าใจคิดอะไรกัน บางคนขอให้ได้ต่อต้านทุกอย่าง ผมไม่เข้าใจ ก็ไม่เป็นไร คนดี ๆ ก็มี คนที่เขาต้องการจะทำก็มีมากมาย ทำอย่างไรจะไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน สามัคคีกัน ให้มีความรู้ความสามารถ แข่งขันการประกอบอาชีพ มีความทัดเทียมอารยประเทศ ไม่ละเมิดสถาบัน จะสอนเรื่องการเมืองอะไรต่าง ๆ ก็ตาม ก็อย่าให้เกิดความวุ่นวาย คัดค้าน เลือกข้าง โต้แย้งกับรัฐบาลในทำนองนี้ เรากำลังปฏิรูปประเทศอยู่ เพื่อไม่ให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น โกงกิน เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ทั่วถึง และเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ใช่เลือกตั้งอย่างเดียว แล้วได้นักการเมืองที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาบริหารประเทศ อย่างนี้ไม่ใช่ เราถึงต้องทำวันนี้
 
สำหรับท่านอาจารย์ กี่ท่านไม่ทราบ หลายสิบท่าน ผมคิดว่าท่านน่าจะเข้าใจที่ผมพูด ถ้าท่านไม่มีอคติเป็นอย่างอื่น ท่านก็จะอ้างเรื่องความเป็นประชาธิปไตยบ้าง ท่านต้องการสอนการเมืองบ้าง ท่านบอกว่าไม่สอนบ้านเมืองแล้วคนจะเรียนการเมืองอย่างไร ก็มีวิธีการสอนตั้งหลายหมื่น หลายแสนวิธี ที่จะเข้าใจเรื่องการเมืองที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ทำไมท่านไม่สอนว่า การเมือง นักการเมือง ต้องทำตัวอย่างไร ผู้เลือก ประชาชนต้องเลือกอย่างไร การเป็นประชานิยมที่สร้างปัญหาเป็นอย่างไร ท่านสอนอย่างนั้นกันบ้างหรือเปล่า ผมถามหน่อย ผมไม่เคยเห็นท่านพูดเรื่องเหล่านี้ ท่านพูดแต่เพียงว่า นี้จะต้องเลือกตั้ง จะต้องเป็นประชาธิปไตย แล้วที่ขัดแย้งที่ผ่านมา ท่านก็ไม่ได้แก้ปัญหาให้เราเลย ไม่ได้แก้ปัญหาให้คนทั้งประเทศเลย เพราะฉะนั้นท่านหยุดสักที ไปหาวิธีการสอนอย่างอื่น ไปสอนลูกศิษย์มาอีกวิธีหนึ่ง ไม่ใช่ว่าสถาบันนี้ต้องสอนเรื่องการเมือง ก็ต้องเด่นดังการเมืองอย่างเดียว ไม่ใช่ ผมว่าสอนอย่างไรให้คนประกอบอาชีพได้ สอนอย่างไรให้เป็นคนดี สอนอย่างไรให้มีงานทำ ไปหาวิธีการอย่างโน้น ถ้าสอนให้เป็นการเมืองอย่างเดียวแล้วตีกัน ผมว่าเหนื่อยเปล่า ไม่รู้จะสอนไปทำไม
 
สื่อก็ต้องระมัดระวังการขยายความขัดแย้ง ขยายคำพูดที่ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายไปสู่เจตนาร้าย และบางครั้งท่านไม่เข้าใจ บางทีท่านก็ลืมไป สื่อต่างประเทศเขาก็นำคำพูดของท่านไปเขียนว่าพวกเรากันเอง คนไทยเขียนว่าคนไทย คนต่างชาติก็นำสิ่งที่คนไทยว่าคนไทย ไปว่าต่อ ก็เท่ากับเหมือนกับเราไปชี้โพรงให้กระรอก อะไรสักอย่างทำนองนั้น ถ้าผิดจริง ถ้าไม่ดีจริง ผมไม่ได้ปิดกั้นท่านเลย แต่ถ้าไม่ใช่แล้วท่านพูด มันเสียหาย เสียหายกับองค์กร เสียหายกับประเทศชาติ ความเชื่อมั่นเขาก็ลดลง ทั้ง ๆ ที่ท่านก็ไม่ได้เจตนา ผมรู้ว่าท่านเป็นห่วงประเทศชาติเหมือนกัน ท่านเตือนผม ผมก็รับฟัง แต่ผมเตือนท่าน ท่านไม่ฟังผม อย่างนี้ไม่ใช่ ต้องช่วยกัน ผมโกรธท่านไม่ได้ ท่านก็โกรธผมไม่ได้เหมือนกัน วันนี้เราเข้ามาด้วยวิถีทางของเราแบบนี้ ท่านก็จะจี้เราตรงนี้ ตรงโน้นอยู่ตลอดเวลา แล้วมันได้อะไรขึ้นมา มีอะไรดีขึ้นมาไหม ถ้าเป็นอย่างที่ท่านต้องการ จะเป็นไปได้ไหม คนส่วนใหญ่เขาก็เข้าใจ เพราะฉะนั้นผมว่าต้องขอร้องอีกครั้ง ฉะนั้นให้เสนอข่าวให้ตรงตามข้อเท็จจริง อะไรที่เสียหายกับประเทศก็เพลา ๆ บ้าง หยุด พอเสนอเสร็จแล้วก็จบ เรื่องอื่น ๆ ก็เป็นเรื่องของการสอบสวนสืบสวน พอสืบสวนสอบสวน ท่านก็ไปว่าเจ้าหน้าที่ไม่ดี ทุจริต ทำไม่เรียบร้อย ไม่มีฝีมือ พูดอย่างนี้ มันขยายความขัดแย้งนะผมว่า ต่างชาติเขาบอกในประเทศยังไม่รักกันเลย แล้วต่างประเทศจะรักทำไม เพราะฉะนั้นต่างประเทศอย่ามาเลย อย่ามาเที่ยวประเทศไทย แล้วท่านก็มาโทษผมว่า รัฐบาลทำให้การท่องเที่ยวลดลง ต้องร่วมมือกันทั้งสองส่วน ที่ผมพยายามทำสร้างความเข้าใจกับเขา ส่งคนไปประชุมกับเขา ส่งรองนายกรัฐมนตรี ส่งรัฐมนตรี ส่งใครไปประชุม เขาก็ให้เกียรติอยู่ทุกประเทศตอนนี้ ก็กลายเป็นเราไม่ให้เกียรติกันเอง ผมว่าไม่ใช่ เป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่ดีอยู่แล้ว ผมชมเชย มีส่วนน้อยบางสื่อ บางสำนัก เรารู้อยู่ว่าท่านเป็นอย่างไรมาโดยตลอด ท่านสนับสนุนฝ่ายใดอยู่ ผมว่าวันนี้เราอย่ามีฝ่ายเลยได้ไหม วันนี้เอาประเทศไทย เอาคนไทย เอาประชาชนคนไทยที่ยากจน ที่มีรายได้น้อยไม่ดีกว่าหรือ เราจะได้แก้ปัญหาให้ได้
 
เรื่องการเยือนต่างประเทศ ของผมเอง หรือของรัฐมนตรีอะไรก็แล้วแต่ หลายท่านให้ความสนใจ จับตามองดูอยู่ว่า เราจะไปไหน ประเทศไหนก่อนประเทศไหนหลัง วันนี้เราก็อยู่ในการพิจารณา ผมยังไม่ตัดสินใจอะไรเลย อย่าพึ่งไปพูดจาอะไรต่าง ๆ ก่อน ผมต้องใช้วิจารณญาณที่เหมาะสม มีข้อมูลจากกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้องว่าไปเยือนใครก่อน – หลัง จะมีผลดีผลเสียอย่างไร เกิดประโยชน์กับประเทศอย่างไร กระทรวงการต่างประเทศก็ไปเตรียมข้อมูลต่าง ๆ มา กระทรวงอื่น ๆ ก็จะมีข้อพิจารณาเพิ่มเติมเข้ามา ถ้าไปแล้วเกิดผลดีตรงนั้น ตรงนี้ เราก็ตัดสินใจอีกครั้งหนึ่งว่าจะไปที่ไหน ให้เกียรติทุกประเทศ ทุกประเทศคือมิตรประเทศเราทั้งหมด ไม่ว่าเขาจะไม่เห็นชอบกับเราหรืออะไรต่าง ๆ เพราะเราเป็นโลกใบเดียวกัน ผมยังทำใจได้เลย เพราะฉะนั้นทุกคนก็น่าจะทำใจได้แบบผม แบ่งกลุ่มประเทศ วันนี้เราแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มมิตรประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านของเรารอบ ๆ บ้านในเอเชีย ใกล้ ๆ กันก่อน 5 – 6 ประเทศ กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 2 ก็เอเชียที่ไกลออกไป กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มมิตรประเทศยุโรป และประชาคมตะวันตก ทั้ง 3 กลุ่มนี้ ผมต้องไปลำดับว่า ใน 3 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะไปอันไหนก่อน - หลัง ไม่ใช่ไม่ให้ความสำคัญ แต่เป็นไปด้วยกติกา เป็นไปด้วยการประชุมที่มีอยู่แล้ว อะไรทำนองนี้ เราต้องให้เกียรติทุกประเทศ แต่ผมไม่สามารถจะไปหลายประเทศในเวลาเดียวกันได้ ทุกประเทศก็ต้องการให้นายกรัฐมนตรีไป บางทีก็ไปไม่ได้ ผมได้ย้ำให้ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงานได้พิจารณามาให้ชัดเจน ทั้งสถานการณ์ความมั่นคงด้วย สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ ความร่วมมือระหว่างกัน ต้องช่วยกันหารือกันว่า เราควรจะไปที่ไหนก่อน – หลัง ค่อยมาว่ากันอีกที เดือนหน้าเป็นต้นไปคงต้องคุยเรื่องนี้กันอีกครั้งหนึ่งให้เร็วที่สุด เพราะใกล้ระยะเวลาการประชุม ทั้งในอาเซียน แล้วก็มีในต่างประเทศที่ไกล ๆ ด้วย ก็ให้ความสำคัญทุกประเทศ เพราะว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ร่วมกันของไทย ของเขาด้วย ต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่า เราไปแล้วคนไทยจะได้อะไรขึ้นมา เพราะว่าเราเป็นรัฐบาลที่ต้องการปฏิรูป เพราะฉะนั้นตระหนักดีว่า เราเข้ามารับหน้าที่ที่สำคัญ ในช่วงสถานการณ์พิเศษ เราอาจจะมีเวลาในการที่จะไปเดินสายเยี่ยมเยียนทุกประเทศบ่อย ๆ คงเป็นไปไม่ได้มากนัก ผมไม่ได้เป็นห่วงเพราะอย่างอื่น การไปก็ดี แต่ถ้าไปเวลาก็น้อยลง ก็อยู่ในประเทศให้มาก เยี่ยมเยียนคนในทุกจังหวัดให้ได้ ทุกภาคให้ได้ก่อน ฉะนั้นไปต้องได้ประโยชน์ แล้วต้องคุ้มค่ากับเงินภาษีของพี่น้องประชาชน
 
ขณะนี้ได้มีหลายประเทศที่ได้ส่งคำเชิญให้ผมเดินทางไปเยี่ยมเยือน ขอขอบคุณ ณ ที่นี้ไว้ก่อน การที่เขาเชิญเรามาไม่ใช่เพราะผม เขาเชิญมาเพราะเขาให้ความสำคัญกับประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นมิตรประเทศ บางประเทศก็ยาวนานที่สุด บางประเทศก็หลาย 10 ปี เกือบ 100 ปีมาแล้ว อะไรทำนองนี้ บางประเทศก็กำลังเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมที่สำคัญ เช่น การประชุมผู้นำเอเปค การประชุมผู้นำอาเซียน ผมจะต้องพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะหารือในการดำเนินการ และก็จะถือโอกาสแนะนำตัว กับประเทศอื่น ๆ ที่มาร่วมประชุม มีผู้นำหลายประเทศมีร่วมกัน ผมคิดว่าเขาเข้าใจเรา ในขณะนี้เข้าใจเรามากขึ้นกว่าเดิมมากนัก มากกว่าที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นผมและคณะรัฐมนตรีชุดนี้ จะพยายามเดินทางไปเยือนประเทศให้น้อยที่สุด เพราะว่า ไปตามความจำเป็นเท่านั้น เราพยายามจะใช้จ่ายงบประมาณให้น้อยที่สุด ไม่สิ้นเปลือง ให้ได้ประโยชน์ ไม่ได้ประโยชน์ก็ไม่ไป ฉะนั้นจะทำอย่างไรก็เดี๋ยวว่ากันอีกครั้งหนึ่ง
 
อีกเรื่องหนึ่ง ในขณะนี้มีการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ก็ขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทย ร่วมกันส่งแรงใจให้นักกีฬาทุกคนทุกชาติด้วย ได้แสดงศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ตามได้ตั้งใจฝึกซ้อมมา ทั้งเหรียญรางวัลก็ถือว่าเป็นเครื่องหมายของชัยชนะ แต่หากว่าเราได้แสดงความมีน้ำใจของนักกีฬา แสดงความรักความสามัคคี ความมุ่งมั่น มีระเบียบวินัย เคารพระเบียบกติกา จะเป็นเครื่องหมายของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่าชนะมาอีก เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนมีจิตใจเป็นนักกีฬา ใครแพ้ใครชนะก็เป็นเพื่อนกัน เป็นมิตรกัน แต่เราก็ต้องการให้ของเราชนะเหมือนกัน นั้นเป็นเรื่องของกีฬา ทางรัฐบาลได้เตรียมการไว้อยู่แล้ว จัดตั้งงบประมาณไว้ 300 กว่าล้านบาท เพื่อจะเป็นรางวัล รางวัลนักกีฬา เดี๋ยวจะดูว่าพอไม่พออย่างไร ขึ้นอยู่กับจำนวนเหรียญที่ได้มาด้วย บอกนักกีฬาไปเลยว่า อย่างน้อยเราก็มีไม่ต่ำไปกว่าในช่วงที่ผ่านมา ที่จะให้กับนักกีฬาเป็นรางวัลต่าง ๆ ทั้งผู้ฝึกซ้อม – ฝึกสอน มีอยู่แล้วระเบียบ มีอยู่แล้ว อย่างกังวล วันนี้มีเรื่องพูดคุยเพียงเท่านี้ ต้องขอบคุณอีกครั้งหนึ่งในการที่รับฟัง รับชม ผมพูดมาตลอดระยะเวลา 4 เดือนเต็ม ๆ ก็มีเรื่องหนักใจมากมายหลายประการ หนักนิดเบาหน่อยต้องให้อภัยกัน คืออย่าคิดว่าเรื่องเล็กเรื่องน้อย เป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ ผมทำไมต้องมาพูดบ่อยอยู่เรื่อย ๆ ก็พูดเพราะความห่วงใย แล้วก็คำนึงถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ จะแก้ปัญหากันอย่างไร จะเดินหน้าปฏิรูปกันได้ไหม และความกระทบกระทั่งกัน ความขัดแย้งซึ่งมีอยู่จะทำกันอย่างไร กฎหมายที่ยังไม่เรียบร้อย ยังดำเนินการไม่ได้ ที่ยังออกไม่ได้ บังคับใช้เป็นกฎหมายไม่ได้ ทำให้บ้านเมืองเราหยุดชะงักมาเป็นเวลานานมาก ผมว่าอยากให้ลดลงหน่อย ต่างฝ่ายต่างลดกัน ผมก็ยอม จะให้ผมลดอะไรลง ผมก็ลดลง อะไรที่ยังลดไม่ได้ ก็ลดไม่ได้ ก็คงเข้าใจ ผมคิดว่าผมอยากได้แรงใจจากคนทั้งประเทศ ในการที่จะนำพาประเทศชาติให้มีความสุขอย่างถาวร เหมือนอดีตที่ผ่านมานานแล้ว เคยมีความสุขกันมาก ๆ ฉะนั้นต่อไปก็ต้องมีความสุขมาก ๆ กว่าอดีต ประวัติศาสตร์คือปัจจุบันและอนาคต เพราะฉะนั้นประวัติศาสตร์อะไรที่ไม่ดี อย่าให้เกิดขึ้นอีก นำสิ่งที่ดี ๆ มา แล้วทำให้ดีขึ้นไปอีก ก็จะเป็นประวัติศาสตร์ที่ดีวันนี้ต่อไปวันข้างหน้า ขอบคุณทุกคน ขอบคุณพ่อแม่พี่น้องอีกครั้งหนึ่ง สวัสดี