วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

คดีพี่ฟ้องน้อง 112 ในห้องลับหลังประตูบ้าน


คดีพี่ฟ้องน้อง 112 ในห้องลับหลังประตูบ้าน





       สิ้นสุดการสืบพยานทุกปากไปแล้วเมื่อวันที่ 22 ส.ค.2556 สำหรับคดีนายยุทธภูมิ ที่ถูกพี่ชายตัวเองกล่าวหาดำเนินคดีตามมาตรา112 จากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูจะห่างไกลจากความผิดอันกระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร

       เหตุการณ์ของคดีนี้ เป็นอีกฉากหนึ่งที่ควรจดจำไว้เป็นบทเรียนเพื่อเล่าขานกันต่อสำหรับคนที่สนใจการทำงานเพื่อสร้างบรรยากาศความกลัวของกฎหมายหนึ่งมาตราที่เป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดของยุคสมัย การที่พี่ชายนำถ้อยคำที่น้องชายพูดพูดกันขณะดูทีวีในบ้านสองคน และข้อความบนแผ่นซีดีที่อ้างว่าเป็นน้องชายเขียนแล้ววางไว้เฉยๆ มากล่าวหาน้องชายว่าหมิ่นฯ ในหลวง อันเป็นเรื่องภายในบ้านที่ไม่มีคนอื่นได้รับรู้รับเห็น แต่กลับมีโทษจำคุก 3-15 ปี พร้อมโทษทัณฑ์ทางสังคมอีกนับไม่ถ้วน

        คดีนี้ตอกย้ำความบิดเบี้ยวของกระบวนการยุติธรรมอีกขั้น เมื่อนายยุทธภูมิไม่ได้รับการประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาล ต้องถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มานานเกือบหนึ่งปีแล้ว

         20 ส.ค.56 ตัวพี่ชายขึ้นเบิกความ ตอบคำถามอัยการอย่างฉะฉาน นอกจากกล่าวหาน้องชายว่าพูดคำหยาบคายขณะที่ในทีวีมีภาพในหลวง และเขียนข้อความหยาบคายลงบนแผ่นซีดีใต้คำว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" แล้ว พี่ชายยังยอมรับว่า ไม่ถูกกับน้องชายมานานแล้ว เคยทำการค้าขายด้วยกันแต่ทะเลาะกันรุนแรงจนต้องย้ายออกจากบ้านถึงสองครั้ง เพราะน้องชายชอบกินเหล้าเมา ชวนทะเลาะวิวาท และเคยมีเรื่องกันจนน้องชายไปแจ้งตำรวจ ด้านพี่ชายเป็นเสื้อเหลืองส่วนน้องชายเป็นเสื้อแดง เห็นว่าน้องชายเป็นคนไม่ดีไม่สำนึกในความผิดที่ทำไม่ดีกับตนจึงนำเรื่องดูหมิ่นในหลวงมาแจ้งตำรวจ ปัจจุบันแยกกันอยู่และไม่พูดคุยกัน

ศาลสรุปใจความได้ว่าผู้กล่าวหากับจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน

         เรื่องราวแบบนี้ฟังผิวเผินศาลควรจะยกฟ้องทันที แต่ความยากอยู่ตรงที่ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ของตำรวจให้ความเห็นยืนยันว่า ลายมือบนแผ่นซีดีที่พี่ชายนำมาเหมือนกับลายมือของจำเลย นั่นเป็นปมที่ยังแก้ไม่ออก ขณะที่จำเลยปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่เคยพูด และไม่ได้เขียนข้อความตามฟ้อง แต่ถูกใส่ร้ายเพราะทะเลาะกันในเรื่องอื่น ด้านภรรยาจำเลย เพื่อนบ้าน และแม่ก็เบิกความตรงกัน เชื่อว่าพี่ชายกล่าวหาใส่ร้าย ส่วนจำเลยจงรักภักดีมาตลอด

        ปมข้อกฎหมายอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจในคดีนี้ คือ ต่อให้จำเลยกระทำตามที่พี่ชายกล่าวหาจริง ลำพังเพียงการสบถขณะดูโทรทัศน์ โดยมีพี่ชายอยู่บริเวณนั้น กับการเขียนข้อความลงบนซีดีแล้ววางไว้เฉย ๆ ไม่ได้เอาให้ใครดู เมื่อไม่มีผู้รับสารโดยตรงจะถือเป็นการ "ดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้าย" ได้หรือไม่ และการกระทำของจำเลยภายในบ้านของตัวเอง ร้ายแรงขนาดกระทบต่อ "ความมั่นคงของรัฐ" อันเป็นวัตถุประสงค์ที่กฎหมายอาญามาตรา 112 มุ่งคุ้มครองหรือไม่

        หากการกระทำตามฟ้องคดีนี้เพียงพอที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 112 อันมีโทษจำคุก 3-15 ปีแล้ว คดีนี้คงส่งผลสะเทือนต่อบรรยากาศการถกเถียงพูดคุยกันอย่างสันติในสังคมไทย ผลักให้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นเรี่องอ่อนไหวที่ไม่อาจแม้แต่จะเอ่ยถึงกับคนในครอบครัวได้ และปิดประตูให้สถาบันพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทยถูกขังอยู่ในห้องลับเบื้องหลังความหวาดกลัวของประชาชน

        หากศาลไม่เชื่อคำกล่าวหาของพี่ชายเพราะมีเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ระยะเวลาในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เกือบหนึ่งปีคงเป็นบทเรียนชีวิตราคาแพงของยุทธภูมิและครอบครัว และเป็นกรณีศึกษาที่ไม่ควรมองข้ามไปในระบบยุติธรรมทางอาญาของไทย หากศาลเชื่อคำกล่าวหาของพี่ชายและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน แนวทางการตีความบังคับใช้กฎหมายของศาลในคดีนี้คงจะเป็นที่โจษจันกันไปอีกหลายระยะเวลา

        หลังสืบพยานเสร็จสิ้น ยุทธภูมิและครอบครัวมีความหวังเพิ่มขึ้นเล็กๆ จากการยื่นขอประกันตัวครั้งที่ 7 ด้วยหลักทรัพย์จากกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพที่ยังทำหน้าที่อยู่ข้างประชาชน ก่อนที่จะเดินกลับไปห้องขังอีกครั้งเพื่อการรอคอยและพบกับความผิดหวังครั้งที่ 7 ในอีกหนึ่งวันให้หลัง

"13 กันยายน นัดฟังคำพิพากษา"

13 ก.ย. ยกฟ้องคดี 112 พี่ฟ้องน้อง หลังถูกขัง 1 ปี ศาลชี้พยานหลักฐานไม่เพียงพอ


          สำหรับนายยุทธภูมินั้นถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2555 หลังจากอัยการสั่งฟ้องคดี โดยศาลไม่ให้ประกันตัวเนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีร้ายแรง เกรงว่าจำเลยจะหลบหนี แม้จะมีการยื่นขอประกันต่อมาอีกหลายครั้ง คดีนี้เริ่มต้นจากพี่ชายแท้ๆ ของยุทธภูมิเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษกับตำรวจว่า ยุทธภูมิกล่าวถ้อยคำและเขียนข้อความไม่เหมาะสมต่อหน้าพี่ชายในบ้านพักเมื่อราวเดือนสิงหาคม 2552  
          ศาลให้เหตุผลในการพิพากษาว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 จนถึงปัจจุบัน กฎหมายรัฐธรรมนูญทุกฉบับมีบทบัญญัติคุ้มครองพระมหากษัตริย์ว่า ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้อง ในทางใดๆ ไม่ได้ รวมทั้งยังมีมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาเขียนคุ้มครองไว้เช่นเดียวกับนานอารยประเทศและการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนโดยทั่วไปในกฎหมายหมิ่นประมาท
         ในประเด็นตามฟ้อง หากมีบุคคลดูภาพข่าวที่ปรากฏพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับรถเข็น แล้วกล่าวถ้อยคำไม่เหมาะสม ทั้งที่เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร การกล่าวถ้อยคำดังกล่าว ผู้พูดย่อมเจตนาเหมือนเป็นการสาปแช่งให้สวรรคตเร็ว ๆ ซึ่งเป็นคำพูดที่ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อประชาชนที่มีความเคารพสักการะต่อพระมหากษัตริย์ คำพูดดังกล่าวยังแสดงออกถึงเจตนาผู้พูดได้ว่าเป็นการจาบจ้วงและแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ อันเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 112 ส่วนการเขียนถ้อยคำด้วยปากกาเมจิกในวงเล็บส่อแสดงถึงอวัยวะเพศชายบนซีดีซึ่งมีถ้อยคำว่า “หยุดก้าวล่วงพระเจ้าอยู่หัว” ผู้เขียนจงใจให้มีการอ่านต่อเนื่องกัน ในทางวัฒนธรรมหรือการรับรู้ของประชาชนชาวไทยถือว่าเป็นของต่ำ และเป็นถ้อยคำหยาบคาย  เป็นการจาบจ้วง ดูหมิ่นและเหยียดหยาม ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง การกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นความผิดตามมาตรา 112 เช่นกัน
        แต่สำหรับคดีนี้ โจทก์มีพี่ชายเพียงปากเดียวที่เบิกความยืนยัน แต่ก่อนหน้านั้นทั้งคู่ทะเลาะเบาะแว้งกันรุนแรงหลายครั้งแทบจะใช้อาวุธมีดทำร้ายร่างกายกัน จึงถือว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกันอย่างรุนแรงการรับฟังประจักษ์พยานปากนี้จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ซึ่งในชั้นสอบสวนพยานปากนี้ให้การว่า ขณะที่พยานนั่งดูโทรทัศน์ช่องเสื้อแดงทางเคเบิลกับจำเลย จำเลยเอาเมจิกมาเขียนแผ่นซีดีขณะเดียวกับที่มีข่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับรถเข็นจำเลยก็ได้กล่าวถ้อยคำไม่เหมาะสม เมื่อจำเลยเผลอจึงเก็บซีดีซ่อนไว้ แต่เมื่อพยานมาเบิกความในศาลกลับระบุว่า  จำเลยเขียนข้อความไม่สมควรภายหลังจากที่กล่าวถ้อยคำไม่สมควรแล้วเป็นเวลา 5 วัน อีกเดือนเศษภรรยาพยานเอาแผ่นมาให้จึงเก็บไว้ โดยฝ่ายโจทก์ก็ไม่ได้นำภรรยาพยานมาเบิกความยืนยัน คำเบิกความพยานคลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ ถือเป็นข้อพิรุธและไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง ลักษณะเป็นการกลั่นแกล้งก็เป็นได้
        ในส่วนของการตรวจพิสูจน์ลายมือ แม้ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่าเป็นลายมือคนคนเดียวกัน และความคิดเห็นตามหลักวิชาการของพยานผู้เชี่ยวชาญเป็นพยานที่ศาลรับฟังได้ แต่มิใช่ว่าศาลจะต้องเชื่อพยานผู้เชี่ยวชาญนั้นเสมอไป จะมีน้ำหนักหรือไม่ต้องพิจารณาตามรูปเรื่องและอาศัยพยานหลักฐานอื่นประกอบ คดีนี้ตัวอักษรเขียนด้วยปากกาเคมีเส้นใหญ่ ยากที่จะพิสูจน์ทราบได้ และอักษร “ห” ที่ปรากฏในซีดีก็มีลักษณะในทำนองเดียวกับลายมือของประจักษ์พยานโจทก์ด้วย ความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญจึงยังไม่อาจรับฟังได้โดยสนิทใจ ประกอบกับจำเลยและมารดาจำเลยเบิกความยืนยันว่ามีความเคารพสักการะและจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
        พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงไม่มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอให้ปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้องแต่ให้ริบแผ่นซีดีของกลางไปทำลายเสีย
        ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากถูกคุมขังมาเกือบ 1 ปีเต็ม คาดว่ายุทธภูมิจะได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ภายในเย็นวันนี้