วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

เสียงข้างมาก อ.วีระ ธีรภัทร










ระบอบทักษิณ


ระบอบทักษิณ

ระบอบทักษิณ บันทึกเรื่องราวของคำสร้างคำหนึ่ง (ตอนต้น)

โดย เกษียร เตชะพีระ มติชนรายวัน วันที่ 08 มิถุนายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10681

         “ระบอบทักษิณ” … เป็นคำนิยามทางการเมืองที่นักวิชาการทางด้านสังคมศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ เช่น นายธีรยุทธ บุญมี ดร.เกษียร เตชะพีระ และ ดร.อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์ ได้กล่าวไว้ในงานศึกษาวิจัยของตน…โดย ดร.เกษียร เตชะพีระ ได้กล่าวถึง “ระบอบทักษิณ” มาตั้งแต่ปี 2546 ในการปาฐกถาเรื่อง “2 ปีระบอบทักษิณ กับสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศ”

คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ, คำวินิจฉัยที่ 1 – 2/2550, เรื่องอัยการสูงสุดขอให้มีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า และพรรคประชาธิปัตย์,

30 พฤษภาคม พ.ศ.2550

คือเรื่องของเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ…..

ตอนหัวค่ำคืนหนึ่งต้นเดือนกุมภาพันธ์สี่ปีก่อน หลังจากนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 29, 30 และ 31/2546 ลงวันที่ 28 มกราคม 2546 เปิดฉากทำสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดทั่วประเทศนับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไปได้ไม่นาน

ในสภาพที่ยอดตัวเลขผู้ต้องสงสัยค้ายาเสพติดซึ่งถูก “วิสามัญ-ฆ่าตัดตอน” รายวันพุ่งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็วนับพันคน และถูกขึ้นบัญชีดำอีก 44,700 คน เสียงทักท้วงทัดทานวิตกวิจารณ์เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน การบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมและการที่ผู้บริสุทธิ์ต้องตกเป็นเหยื่อก็เริ่มดังเซ็งแซ่ขึ้นทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยรัฐบาลไม่แยแส….

คุณสมชาย หอมลออ เพื่อนเก่ารุ่น 6 ตุลาฯ 2519 ผู้รอดชีวิตอย่างอาบเลือดจากเหตุการณ์ฆ่าหมู่ในธรรมศาสตร์ และหันมายึดวิชาชีพทนายความสิทธิมนุษยชน ได้โทร.มาหาผมที่บ้านเพื่อชักชวนในนามของ “คณะทำงานปกป้องนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน” ให้ช่วยไปปาฐกถานำทางวิชาการ ในเวทีสาธารณะเรื่อง “2 ปีระบอบทักษิณ กับสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย” ณ โรงแรมรัตนโกสินทร์ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ ศกเดียวกัน ในหัวข้อเกี่ยวกับ “ระบอบทักษิณ”

นั่นนับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้ยินคำคำนี้และออกจะลังเลว่ามันหมายถึงอะไร?

หลังจากหารือคุณสมชายอยู่ครู่หนึ่ง ผมจึงตอบรับแต่เลี่ยงไปว่าแทนที่จะพูดถึง “ระบอบทักษิณ” โดยตรงซึ่งผมยังไม่แน่ใจนัก เอาเป็นว่าผมขอพูดเรื่องวัฒนธรรมการเมืองในสมัยรัฐบาลทักษิณได้หรือไม่? คุณสมชายไม่ขัดข้อง ตราบเท่าที่มีคำว่า “ระบอบทักษิณ” อยู่ในหัวข้อ

ถึงวันนัด ผมจึงร่างเค้าโครงปาฐกถาไปอ่านในที่ประชุมเกี่ยวกับแนวโน้มของปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมการเมืองไทยแต่เดิม และที่สร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัฐบาลทักษิณ โดยเน้นกรณีฆ่าตัดตอนผู้ต้องสงสัยค้ายาเสพติด ที่กำลังลุกลามรุนแรงขณะนั้น ในหัวข้อ

“ระบอบทักษิณกับวัฒนธรรมการเมืองประชาธิปไตยไทย”
         ซึ่งต่อมาได้ปรับปรุงเพิ่มเติมเป็นบทความภายใต้ชื่อใหม่ว่า “วัฒนธรรมการเมืองอำนาจนิยมปฏิปักษ์ปฏิรูปภายใต้ระบอบทักษิณ” และตีพิมพ์เผยแพร่ในโอกาสและรูปแบบต่างๆ ราว 4 ครั้งคือ:
  • คอลัมน์ประจำวันศุกร์ของผมในมติชนรายวันตลอดเดือนมีนาคม พ.ศ.2546
  • สมชาย หอมลออ, บก. อุ้มทนายสมชาย นีละไพจิตร: บทสะท้อนวัฒนธรรมอำนาจนิยมในสังคมไทย (มิ.ย. 2547)
  • เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง, บก. รู้ทันทักษิณ 2 (ส.ค. 2547)
  • อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์, บก. ปิดหู ปิดตา ปิดปาก: สิทธิเสรีภาพในมือธุรกิจการเมืองสื่อ (มี.ค. 2548)

        อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าจุดเปลี่ยนสำคัญในแวดวงวัฒนธรรมสื่อสาธารณะที่ทำให้คำสร้างคำนี้ติดตลาดขึ้นมา คือการสัมมนานักวิชาการ ปัญญาชนสาธารณะ สื่อมวลชนและเอ็นจีโอครั้งใหญ่กว่า 30 คนที่เชียงใหม่ จัดโดยกองบรรณาธิการนิตยสาร ฟ้าเดียวกัน ในหัวข้อเรื่อง “ระบอบทักษิณ: ความเป็นมาและความเป็นไปในอนาคต” เมื่อ 10-11 ม.ค. 2547

       ในที่สัมมนานี้เองที่ผมมีโอกาสนำเสนอเค้าโครงความคิดความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุปัจจัยที่มา, บุคลิกลักษณะเฉพาะและแนวโน้มที่น่าจะเป็นไปในอนาคตของ “ระบอบทักษิณ” ซึ่งผมได้ค่อยๆ สั่งสมรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์วิจารณ์และประมวลสังเคราะห์ขึ้นอย่างเป็นระบบในรอบปีที่ผ่านมาและทยอยเขียนลงเป็นตอนๆ ในคอลัมน์ประจำวันศุกร์ที่มติชนรายวันนับแต่เดือนตุลาคม 2546-กุมภาพันธ์ 2547

        ส่วนหนึ่งของข้อเขียนเหล่านี้และบันทึกคำอภิปรายในที่สัมมนาได้รวมตีพิมพ์ในวารสารฟ้าเดียวกันฉบับระบอบทักษิณ ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 (ม.ค.-มี.ค. 2547)

         ต่อมาผมได้รวบรวมงานเขียนชุดนี้มาตัดต่อจัดลำดับเรียบเรียงปรับปรุงเข้าด้วยกันใหม่เป็นภาคสองของหนังสือเรื่อง บุชกับทักษิณ: ระบอบอำนาจนิยมขวาใหม่ไทย-อเมริกัน (ก.ย. 2547) พิมพ์โดยโครงการจัดพิมพ์คบไฟในที่สุด

        ผมคิดว่านี่คงไม่ใช่สถานที่และโอกาสอันควรที่จะมากล่าวซ้ำเรื่องความเข้าใจ “ระบอบทักษิณ” ของผม มันไม่ใช่ความลึกลับอะไรสำหรับท่านผู้อ่านที่ติดตามคอลัมน์ของผมเป็นประจำ และท่านอื่นที่สนใจย่อมสามารถสอบค้นจากรายชื่อหนังสือเอกสารสิ่งพิมพ์ที่ผมแจ้งไว้ข้างต้นได้

        ผมเพียงใคร่เรียนว่า โดยปกติวิสัยของสิ่งสร้างทางถ้อยคำความคิด เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์วิเคราะห์ทำความเข้าใจ ปรากฏการณ์ทางสังคม และการเมืองเช่นนี้ “ระบอบทักษิณ” อย่างน้อยในตำรับของผม ก็มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและเห็นต่างโต้แย้งในทางวิชาการแต่ต้น เช่น:

         ในที่สัมมนาปี 2547 ซึ่งกล่าวถึงข้างต้น อาจารย์อัมมาร สยามวาลา คุรุเศรษฐศาสตร์และนักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เห็นต่างออกไปว่าทักษิณเป็นแค่ deal-maker มีแต่ทำลายสถาบันที่มีอยู่เดิมลงไป ไม่ได้สร้างระบอบอะไรใหม่ขึ้นมา

       ผู้ร่วมสัมมนาอีกท่านคืออาจารย์อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์ นักวิจัย และรองผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เขียน The Thaksinzation of Thailand (2548) ร่วมกับอาจารย์ Duncan McCargo แห่งมหาวิทยาลัย Leeds ประเทศอังกฤษ ก็คล้อยตามทรรศนะของอาจารย์อัมมารและเห็นว่าทักษิณไม่มีหลักปรัชญาอะไร เพียงแค่พลิกแพลงฉวยโอกาสหาประโยชน์ ไปตามสถานการณ์

       เมื่อบทวิเคราะห์ “ระบอบทักษิณ” ของผมตีพิมพ์เผยแพร่ออกไป อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ร้องทักว่าวิสัยทัศน์ของผมต่อ “ระบอบทักษิณ” คล้ายกันอย่างน่าทึ่งในบางประเด็น กับวิสัยทัศน์ของเขาต่อประวัติความเปลี่ยนแปลงคลี่คลายของรัฐไทย หากแต่เขาเสนอกรอบการวิเคราะห์ที่แตกต่างออกไปซึ่งเขาเห็นว่า “เหนือกว่า” (ว่าด้วยสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ” : อนุสนธิจาก “ฟ้าเดียวกัน” ฉบับล่าสุด โดย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, 23 มีนาคม พ.ศ.2547, X)

          อาจารย์ทักษ์ เฉลิมเตียรณ แห่งมหาวิทยาลัย cornell ผู้เขียน การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ (ฉบับแปลเป็นไทย พ.ศ.2526) อันเป็นงานศึกษาการเมืองการปกครอง “ระบอบสฤษดิ์” ที่ดีที่สุด ก็โต้แย้งการที่ผมพยายามวิเคราะห์เปรียบเทียบ “ระบอบทักษิณ” กับ “ระบอบสฤษดิ์” ในบทสัมภาษณ์ “ทักษิณเปรียบเทียบกับสฤษดิ์ไม่ได้”, ฟ้าเดียวกัน, 3: 2 (เม.ย.-มิ.ย. 2548), 48-58

          และศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักศึกษาปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาวาย ก็เห็นว่าเวลาในอำนาจเพียง 3 ปีสั้นเกินกว่ารัฐบาลทักษิณจะกลายเป็นระบอบอะไรขึ้นมาได้ (สัมภาษณ์พิเศษศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ ตอนที่ 1 : 30 ปี 6 ตุลาประชาธิปไตยแพ้แล้ว? โดย พิณผกา งามสม, 10 กรกฎาคม พ.ศ.2549, http://www.prachatai.com)

         ในทางกลับกัน อาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เพื่อนร่วมงานที่คณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ก็ได้กล่าวปาฐกถานำ ในการประชุมทางวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์แห่งชาติ ครั้งที่ 5 เมื่อ 2 ธันวาคม พ.ศ.2547 แสดงความเห็นพ้องกับข้อวิเคราะห์ “ระบอบทักษิณ” ของผม โดยมองมันในกรอบแนวคิดที่ท่านเรียกว่า “ระบอบประชาธิปไตยอำนาจนิยม” (“ประชาธิปไตยอำนาจนิยม อำนาจอันน่าสะพรึงกลัวแล้วเราจะอยู่ร่วมกันอย่างไร? (สองตอนจบ), มติชนสุดสัปดาห์, 25: 1270 (17 ธ.ค. 2547) และ 25: 1271 (24 ธ.ค. 2547) เป็นต้น




ระบอบทักษิณ บันทึกเรื่องราวของคำสร้างคำหนึ่ง (ตอนจบ)

โดย เกษียร เตชะพีระ มติชนรายวัน วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10

            สัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ลำดับความเป็นมาของการสร้างแนวคิดคำว่า “ระบอบทักษิณ” ขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2546 รวมทั้งตัวอย่างปฏิกิริยาต่อแนวคิดดังกล่าวในทางวิชาการ ในตอนนี้ ผมจะขอเล่าต่อเกี่ยวกับปฏิกิริยาทางการเมืองต่อคำสร้างคำนี้

           แน่นอน ขณะเดียวกันคำสร้างคำนี้ก็ย่อมเผชิญการบิดเบือน ฉวยใช้ และประณามโจมตีทางการเมืองเป็นธรรมดา ชั่วแต่ว่าน่าเสียดายที่จำนวนมากเป็นการโจมตีอย่างสาดเสียเทเสีย ต่ำช้าหยาบคายกระหายเลือดและเหมารวมไม่เลือกหน้า โดยไม่ฟังเหตุฟังผล ไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้เห็นต่าง ตามหลักตรรกะบ้องตื้นสามานย์ทางการเมืองว่า:-
  • 1) กำหนดศัตรูคู่อาฆาตหลักให้แน่ชัดตายตัว!
  • 2) เอ็งต้องอยู่ข้างข้า หรือไม่เอ็งก็อยู่ข้างศัตรู! (ตามวาทะอื้อฉาว “Either you are with us. or you are with the terrorists.” ในคำปราศรัยของประธานาธิบดีจอร์จ บุช ผู้ลูก ต่อที่ประชุมสภาคองเกรสสหรัฐอเมริกา เมื่อ 20 กันยายน พ.ศ.2544)
  • 3) ศัตรูของศัตรูก็คือมืตร! และ
  • 4) สิ่งใดศัตรูสนับสนุน เราต้องคัดค้าน สิ่งใดศัตรูคัดค้าน เราต้องสนับสนุน!

        โดยในบรรดาผู้โจมตีนั้นบางรายก็เคยแสดงจุดยืน “สิทธิเสรีภาพ” และ “ประชาธิปไตย” อันกล้าหาญ ด้วยการเป่าไม้ตีพริกเงียบสนิท ระหว่างที่สงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด และนโยบายผิดพลาดรุนแรงทางชายแดนภาคใต้ ดำเนินไปอย่างนองเลือดภายใต้รัฐบาลทักษิณ

         จะว่าไปแล้ว มันก็เหมือนสิ่งสร้างทางวิชาการทั้งหลาย คำและความคิดว่าด้วย “ระบอบทักษิณ” ในการตีความค้นคว้าของผมอาจผิดหมดก็ได้ หรือที่มีโอกาสเป็นไปได้มากกว่าคือมีทั้งผิด ทั้งถูก คละเคล้าปะปนกันไป โดยที่ผมก็ได้แต่หวังว่ามันจะถูกมากกว่าผิดสักเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์วิจารณ์วิวาทวาทากันต่อไปในทางวิชาการ

          แต่สำหรับในแง่อื่นที่ไม่ใช่วิชาการ ผมพิจารณาทบทวนตัวเองดูแล้ว บอกได้ว่า
My conscience is clear. I have nothing to apologize for.

         บทสรุปตอนท้ายปาฐกถาแรกเริ่มของผมเกี่ยวกับ “ระบอบทักษิณ” เมื่อสี่ปีก่อน มีข้อสังเกตบางประการ เกี่ยวกับประสบการณ์การสร้างเสรีประชาธิปไตย ภายใต้รัฐธรรมนูญปฏิรูปการเมือง พ.ศ.2540 ซึ่งเมื่อดูการคลี่คลายของเหตุการณ์ที่ผ่านมาจนเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ.2549 ขึ้น ผมคิดว่ามันยังมีค่าควรแก่การนำมากล่าวซ้ำในที่นี้:

          “ภัยคุกคามที่ระบอบเสรีประชาธิปไตยไทย กำลังเผชิญอยู่ต่างจากอดีตที่ผ่านมา มันไม่ใช่ (ถึงทุกวันนี้คงต้องเติมคำว่า “แค่”) ภัยเผด็จการจากภายนอก แต่เป็นปัญหาความเสียดุลโน้มเอียงเบี่ยงเบนทางวัฒนธรรมการเมืองที่อันตราย ภายในระบอบเลือกตั้งประชาธิปไตยนั้นเอง ระหว่างการรวมศูนย์ผูกขาดอำนาจกับการจำกัดและกระจายอำนาจ, ระหว่างเสียงข้างมากกับเสียงข้างน้อย, ระหว่างผู้ปกครองกับพลเมือง, ระหว่างรัฐกับบุคคล, และระหว่างอำนาจกับสิทธิ ซึ่งซับซ้อนกว่าและจัดการแก้ไขยากกว่า, ในแง่หนึ่งเป็นเผด็จการเต็มรูปเสียอีกจะมองออก เข้าใจและจัดการง่ายขึ้น แต่การจำกัดลิดรอนสิทธิเสรีภาพ และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราในนามของรัฐบาลเสียงข้างมาก ที่ได้รับเลือกตั้งมาแบบประชาธิปไตยนั้น ทำให้มาตรการอำนาจนิยม/อ-เสรีนิยมกลับดูชอบธรรม เกิดภาพสับสนคลุมเครือ สร้างความเข้าใจไขว้เขวซึ่งรับมือยากยิ่ง จนเกิดคำถามว่าหลักสิทธิเสรีภาพ และระบอบรัฐธรรมนูญ จะเอาตัวรอดจากระบอบประชาธิปไตยไทยดังที่เป็นอยู่ (actually existing Thai democracy) ได้หรือไม่?

           “เพื่อธำรงรักษาระบอบรัฐธรรมนูญไว้ท่ามกลางกระแสวัฒนธรรมการเมืองอำนาจนิยม-ปฏิปักษ์ปฏิรูป, ฟื้นฟูสมดุลและผลักดันการปฏิรูปการเมืองในทิศทางเสรีนิยมและประชาธิปไตยต่อไป สังคมไทยคงต้องทำความเข้าใจ หลักมูลฐานต่างๆ ของการใช้ชีวิตการเมืองอยู่ร่วมกันในระบอบเสรีประชาธิปไตย โดยเฉพาะในประเด็นความสัมพันธ์ และดุลยภาพของหลักการเหล่านั้นให้มากขึ้น อาจกล่าวได้ว่าในประวัติการต่อสู้เพื่อเสรีประชาธิปไตยในสังคมไทยที่ผ่านมา ไม่เคยมีครั้งใดที่สถานการณ์เรียกร้องให้ต้องใช้สติปัญญา ความอดทนอดกลั้น ความเข้าอกเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และอหิงสธรรมสูงขนาดนี้…..

           “พรรคไทยรักไทยย่อมจะไม่เป็นพรรครัฐบาลไปตลอดกาล, ท่านนายกฯทักษิณก็คงจะไม่แบกรับภาระรับใช้ชาติอันหนักหน่วง ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และผมก็คงจะไม่ตั้งหน้าตั้งตาค้านยันทุกลมหายใจ ของท่านจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายของผมเช่นกัน ยังมีอย่างอื่นอีกในชีวิตและสักวันหนึ่งพรรคไทยรักไทย ท่านนายกฯ ผม พวกเราทุกคนก็จะจากโลกใบนี้และบ้านเมืองนี้ไป, อนาคตจะเป็นของคนรุ่นหลังที่จะรับช่วงดูแลและอยู่กับมันต่อ ผมหมายถึงคนอย่างคุณพานทองแท้และน้องๆ กับหนูกลอยของผม

         “มันจึงสำคัญว่าท่านนายกฯ และพวกเราจะทิ้งมรดกทางวัฒนธรรมการเมืองอะไรไว้ให้กับพวกเขา เพราะสิ่งที่เราทำในวันนี้ จะเป็นของพวกเขาในวันหน้า, จำเป็นที่ท่านนายกฯ และพวกเราจะถามตัวเองตั้งแต่วันนี้ว่า
  • วิสัยทัศน์ทางการเมืองของเราในอนาคต post-us หรือภายหลังพวกเราจากไปแล้วคืออะไร? 
  • เราปรารถนาให้ลูกหลานของเรา– คุณพานทองแท้และน้องๆ รวมทั้งหนูกลอย – ดำรงความสัมพันธ์ทางอำนาจต่อกันอย่างไร ใช้อำนาจต่อกันอย่างไรในอนาคต? 
  • เพราะเราไม่รู้แน่ – มันเป็นธรรมชาติของอนาคตว่ามันเป็นสิ่งที่ทำนายไม่ได้แน่ – ว่าใครจะลงเอยเป็นผู้ปกครองหรือผู้ถูกปกครอง, เสียงข้างมากหรือเสียงข้างน้อย, เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหรือพลเมืองผู้มีสิทธิ, ตำรวจ ทหาร หรือผู้ต้องหาผู้ต้องสงสัย? 
  • ทำอย่างไรจึงจะวางหลักประกันได้ตั้งแต่วันนี้ว่าลูกหลานของพวกเราในวันข้างหน้า ไม่ว่าเขาจะตกอยู่ในฐานะการเมืองใด มีอำนาจหน้าที่เหลื่อมล้ำมากน้อยต่างกันอย่างไร ทุกคนจะมีหลักประกันอย่างเท่าเทียม ในสิทธิเสรีภาพของร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สิน, และมีความเอื้ออาทรต่อกันในฐานะเพื่อนมิตร, เพื่อนมนุษย์ และเพื่อนร่วมชาติ?

        “กรรมย่อมสนองผู้ประพฤติกรรม, ปลูกอะไรวันนี้ ลูกหลานของเราย่อมจะได้รับผลของมันในวันหน้า”

        คำทักท้วงเตือนข้างต้นไม่ใคร่มีใครใส่ใจฟังเมื่อสี่ปีก่อน มาครั้งนี้จะมีคนสนใจฟังมันมากขึ้นบ้างไหมหนอ?

ม๊อบหน้ากากขาว อธิบายระบอบทักษิณ






















มันไม่มีข่าวละครับ

          วันอาทิตย์แบบนี้  อิือิ Tiffy เพิีงจะเข้ืานอน  แต่ทางผมแค่เก้าโมงเช้ากว่า ๆ ท่องเวปแล้ว ไม่ค่อยมีข่าว ๆ อะไร ก็เลยไป Search ข่าวในเน็ท  แค่คำว่า ประชาวิบัติ อย่างเดียว ได้ภาพมาอื้อซ่าเลย  อิอิ เลยเอาภาพมาฝาก นัยว่าเป็นการสะท้อนภาพของ ประชาวิบัติใน Google ก็แล้วกันนะครับ









































ม็อบสวนยาง บอกคนอีสานแดกแค่น้ำปลาก็พอ


ม็อบสวนยาง บอกคนอีสานแดกแค่น้ำปลาก็พอ




         หลังจากที่ได้เห็นคลิปดังกล่าวแล้ว ก็รู้สึกปรี๊ดขึ้นสมองทันที เนื่องจากความระยำที่หลุดออกมาให้เห็น 

        คนใต้ความคิดระยำบัดซบเหยียดหยามภูมิภาค ประเภทเดียวไอ่ตาแก่หัวหงอกนั่น ยังมีอยู่เยอะเหมือนกัน ในฐานะของความเป็นมนุษย์นั้น พื้นฐานย่อมเท่าเทียมกัน การที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดจะกินข้าวกับน้ำปลาหรือกินอาหารคำละสองหมื่นห้า มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับภูมิภาคแต่อย่างใด ดังนั้นการที่ไอ่แก่หัวหงอกตัวนั้นเหยียดหยามพี่น้องชาวอีสาน ว่ากินน้ำปลาก็อยู่ได้เลยไม่จำเป็นต้องใช้เงินนั้น เป็นความคิดที่ บัดซบ เลว ระยำ อัปปรีย์ ต่ำช้าสามานย์ที่สุดเท่าที่คนๆหนึ่งจะพึงคิดต่อบุคคลอีกคนหนึ่งได้

        จริงอยู่ ที่ผมเป็นคนใต้แท้ ๆ 100% แต่ผมและเพื่อนๆอีกมากมาย ไม่ได้คิดแบบไอ่ตาแก่หัวหงอกนั้นเลยแม้แต่น้อย จากความคิดและคำพูดของไอ่ตาแก่บัดซบนั่น ทำให้กระผม นายสุรย่าน มเหศักดิ์อธิกะสุรธิน เดือดร้อนเป็นอันมาก หากเป็นไปได้ ผมขอถอดรองเท้า ตบปากไอ่คนใต้หัวหงอกที่ดูหมิ่น เหยียดหยาม พี่น้องชาวอีสานที่รักของผมให้เลือดกบปาก

         ลักษณะความคิดเช่นนี้ ผมเคยได้ยินจากสถานีวิทยุอสมท.ของนักข่าวสมุนนักการเมืองผู้ตายไปแล้วคนหนึ่งเช่นกัน เมื่อนานมาแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินอย่างชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นผมโทร.ไปด่าออกอากาศเสียจนต้องวางสาย คำพูดของเขาทำนองว่า คนใต้อยู่ใกล้ทะเล มีปลากินอย่างมากมายเลยฉลาดกว่าคนภาคอื่น ว่างั้น ซึ่งความจริงแล้ว ไม่ใช่เลย ไม่ใช่สักนิดเดียว

          จากคำพูดหมาๆของไอ่แก่หัวหงอกคนใต้ ที่บอกว่าคนอีสานกินข้าวกับน้ำปลาก็อยู่ได้นั้น ในฐานะที่ผมเป็นคนหนึ่งที่เป็นคนใต้ ผมคงไม่อาจกล่าวขอโทษแทนไอ่บัดซบตัวนั้นได้ แต่อยากจะบอกพี่น้องอีสานที่รักทุกท่านว่า ผมรักคนอีสาน ผมมีเพื่อนคนอีสานเยอะแยะ

         เมื่อคราวที่ผมต้องหนีตาย หนีคดีไปอยู่ที่อีสาน ผมไม่มีแม้แต่เงินติดตัวสักบาท แต่ด้วยน้ำใจอารีย์ของคนอีสานที่กว้างขวางเหมือนแม่น้ำ จึงทำให้สุรย่านคนนี้ ยังมีชีวิตอยู่มาโม้อยู่จนถึงทุกวันนี้ได้ สิ่งที่ไอ่แก่ตัวนั้นกล่าวไปมันเป็นคำพูดที่เลว ๆ มาก ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะก้มลงกราบแทบเท้าพี่น้องชาวอีสานทุกท่าน ที่ไอ่แก่บัดซบมันล่วงเกินด้วยความคิดอย่างไร้สาระที่สุด  แต่ก็มิอาจจะกระทำได้

          และเมื่อสถานีบัดซบ มันเอาคำพูดของไอ่หัวหงอกเลว ๆ มาออกอากาศ นั่นมันก็เพื่อหวังให้เกิดความแตกแยกระหว่างใต้ - อีสาน เพียงเพื่อที่จะหวังผลให้ประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นรัฐบาล ท่ามกลางความขัดแย้งดูแคลนของคนไทยด้วยกัน ซึ่งเป็นการกระทำที่ระยำอย่างยิ่ง 

          สำหรับสื่อที่นำเรื่องดังกล่าวมาออกอากาศ ในนามของคนใต้แท้ๆ ผมขอประณามสองกรณีดังนี้

  • 1.ประณามไอ่แก่หัวหงอกบัดซบที่บอกว่าคนอีสานกินข้าวกับน้ำปลาก็อยู่ได้
  • 2.ขอประณามสื่อที่เอาความคิดโง่ๆของไอ้แก่โง่ หยิบมาตอกลิ่มแห่งความแบ่งแยก และเกลียดชังระหว่างคนภาคใต้และอีสาน

       ขอให้ความบัดซบของการเอาภูมิภาคมาดูถูกเหยียดหยาม และการใช้สื่อมาทำลายความรัก ความเอื้ออารีย์ของคนไทยด้วยกัน ขอให้สิ่งที่มันทั้งสองกระทำ จงกลับไปสนองตอบให้เกิดความพินาศชิ๊บหายแก่ไอ่บัดซบทั้งสองด้วยเถิด

เมื่อกะเทยควาย..สอนควายพรรคประชาธิปัตย์

กะเทยควาย..สอนส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อย่าหยาบคายเหมือนพรรครัฐบาล เอิ๊กๆๆ 


         ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด ได้เผยผ่านเฟซบุ๊ก “ดร.เสรี วงษ์มณฑา” ว่า ฝ่ายค้านทำงานในสภาให้ประชาชนได้สบายใจหน่อยจะได้ไหม ที่ผ่านมาพวกคุณเก็บอารมณ์กันไม่อยู่หลายครั้ง เปิดโอกาสให้ฝ่ายรัฐบาลและคนที่รักรัฐบาลเอาพวกคุณและคนที่นิยมพวกคุณมาด่าได้ว่าเป็นพวกป่าเถื่อน ไม่ใช่แค่ด่าว่าพวกคุณป่าเถื่อนเท่านั้น แต่เขาจะว่าคนที่นิยมคุณว่านิยมความป่าเถื่อนด้วย

        นอกจากนั้นแล้ว เวลาที่พวกรัฐบาลหยาบคายหรือใช้ความรุนแรงคุกคามฝ่ายตรงกันข้ามรัฐบาล คนที่นิยมพวกคุณและไม่ชอบรัฐบาลจะพูดจาเต็มปากได้อย่างไร ก็เข้าใจนะว่าคุณอยากจะพูดแต่เขาไม่ให้พูด คุณอึดอัด คุณโกรธ แต่คุณก็ไม่ควรจะกระชากเก้าอี้ ขว้างปาเอกสารใส่คนอื่น หรือขว้างเก้าอี้ และเวลาที่พวกเขาหยาบ คุณจะไปหยาบตอบทำไม เมื่อคุณหยาบเหมือนเขา คุณจะต่างอะไรกับเขา คำด่าว่าสำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล มันก็จะกระทบถึงท่านด้วย ทำไมไม่ดำรงตนเป็นผู้ดีที่ด่าได้เจ็บแสบโดยไม่ต้องใช้คำหยาบละคะ นั่นคือศิลปะของการพูดหรือวาทศิลป์นี้ ฝึกหัดให้มีเหนือกว่าคนที่หยาบคาย ถ่อยซิจ๊ะ

สิ่งที่พวกคุณควรจะทำในสภาคือ

  • 1. นำเสนอความคิดอย่างมีน้ำหนักน่าเชื่อถือพร้อมหลักฐาน อย่าพูดจาลอยๆ
  • 2. พูดจาให้ตรงประเด็นอย่าตีสำนวนเพราะเรื่องในสภาเป็นเรื่องจริงจังที่มีความสำคัญกับบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาเล่นสำบัดสำนวนเหมือนสภาโจ๊ก
  • 3. ประท้วงด้วยเหตุด้วยผล อย่าประท้วงเพื่อตีรวนอย่างพร่ำเพรื่อ ทำให้คนเบื่อและมองดูการทำงานไร้สาระ แทนที่จะได้ความสนใจจากประชาชน เมื่อเขาเบื่อ เขาไม่ติดตามแทนที่จะได้เสนอความคิดดีๆให้ประชาชนได้รับรู้ก็กลายเป็นพูดฟังกันเองในสภา และมีแต่พวกเดียวกันเองด้วยที่ฟัง ฝ่ายรัฐบาลเขาไม่ฟังหรอก เพราะเขายกมือตามโผคำสั่งที่กำหนดมา
  • 4. ถ้าจะ walk out ก็ขอให้เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆที่ประชาชนมองแล้วว่าประธานสภาและ สส. ฝ่ายรัฐบาลทำไม่ถูกจริงๆ ฝ่ายค้านไม่ควรร่วมสังฆกรรมด้วย
  • ถ้าหากคุณถูกปิดกั้นในสภา ก็ไม่ใช่ว่าคุณจะหมดหนทางที่จะเผยแพร่ความคิดของคุณนี่น่า 
ลองพิจารณาช้องทางต่อไปนี้สักหน่อยดีไหม
  • 1. ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์บางฉบับที่ยังมีพื้นที่ให้ฝ่ายค้าน
  • 2. เข้าสายรายการวิทยุที่ยังให้โอกาสฝ่ายค้าน
  • 3. ออกรายการ cable TV และ satellite TV ที่ยังให้โอกาสฝ่ายค้าน
  • 4. พูดบนเวทีผ่าความจริง
  • 5. ทำ AV เช่นCD, Video หรือ DVD แจกไปยังกลุ่มคนแนวร่วมที่เขามี outlet ในการขยายต่อ ทั้งทาง face-to-face และ on line ในรูปแบบplatform ต่างๆ
  • 6. ทำเอกสารสิ่งพิมพ์(booklet) ออกมาจะเป็นสมุดปกฟ้าก็ได้ คุณมีทนายตั้งมากมาย ดูแลขเอความที่ดผยแพร่อย่าให้ผิดกฎหมาย อย่าให้เสี่ยงกับการถูกฟ้องหมิ่นประมาท(แต่ถ้าคุณพูดจริง พิสูจน์ได้ในศาลก็คงไม่ใช่หมิ่นประมาท)
  • 7. ใช้ WOM ที่คุณมีอยู่ให้เกิดประโยชน์ ต้องช่วยกันทำหลายๆคน เพราะถ้าทำอยู่คนเดียวก็ขยายกลุ่มได้ช้า
  • 8. สส. สก. สข. และนักการเมืองท้องถิ่นฝ่ายของคุณน่าจะเผยแพร่ในพื้นที่ได้
  • 9. แกนนำของคุณทั้งหลายจะต้องใช้ social media แบบevangelist (ผู้มีความกล้า) ในการเสนอข้อเท็จจริงกับประชาชน เปิด blog เล่าเรื่องราวในtwitter เปิด Facebook และ fan page. โดยจะต้องประชาสัมพันธ์ sites ต่างๆเหล่านี้ให้มีจำนวน fans และfollowers เยอะๆ มห้มีคนดังมาร่วม share. และ comment ในฐานะเป็นthird party endorsers เพิ่มความน่าเชื่อถือ
  • 10. มีClip ที่สมควรเผยแพร่ให้คนรู้ก็เอาลงใน YouTube กระตุ้น public dialogue ให้ข่าวสารกระจายเป็น viral messages อยู่ใน social network
  • 11. เมื่อมีจำนวน fans. และ followers. มากพอก็จัดการสร้าง events คือจัดการชุมนุมให้ fans. และ followers รวมตัวกันเป็กลุ่มคนร่วมอุดมการณ์

         ลองทำดูซิแล้วคุณจะหายอึดอัดไม่ต้องใช้กิริยาป่าเถื่อนดังที่บางคนทำในช่วงที่ผ่านมา  อ้อเวลาพูดอะไรอย่าเอาแต่ด่าว่าเพื่อไทยไม่ดีอย่างไรเท่านั้น ต้องบอกด้วยว่าถ้าประชาธิปัตย์จะทำเรื่องเดียวกัน ที่คิดว่าน่าจะเป็นการกระทำที่ดีกว่า

        เป็นความหวังให้ประชาชนหน่อยเถอะ ตอนนี้คนที่ไม่ชอบเพื่อไทยวังเวงโหวงเหวงเพราะไม่มั่นใจว่าจะพึ่งใครได้ที่จะนำพาประเทศเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาล