วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

'แก้วสรร' เล็งแปรญัตติ ชี้วางเพลิงนิรโทษไม่ได้

'แก้วสรร' เล็งแปรญัตติ ชี้วางเพลิงนิรโทษไม่ได้

        'แก้วสรร' เล็งแปรญัตติชั้น กมธ.นิรโทษกรรม ลั่นวางเพลิงเป็นคดีอาชญากรรมไม่ควรนิรโทษ ชี้ขั้นตอนกรรมาธิการคงมีโอกาสใช้เหตุใช้ผลได้น้อย เพราะพวกเสียงข้างมากคงลากไป ไฮไลท์น่าจะอยู่ที่การลงคะแนนในวาระที่ 3 มากกว่า
 
        10 ส.ค. 56 - โพสต์ทูเดย์รายงานว่านายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เปิดเผยถึงการมีชื่ออยู่ในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ว่า เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้โทรศัพท์มาทาบทาม ขอให้ไปช่วยเหลือ เพราะคงเห็นว่าตนเองเข้าใจข้อแตกต่างกฎหมาย และสามารถอธิบายให้สภาฟังได้
 
         ทั้งนี้ ร่างนิรโทษกรรม ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องกฎหมาย ส่วนตัวเห็นด้วยกับหลักคิดของพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มผู้เสียหาย โดยตนจะแปรญัตติในชั้นกรรมาธิการส่วนของแกนนำและการวางเพลิง เพราะไม่ใช่ความผิดทางความผิด แต่เป็นคดีทางอาชญากรรม จึงไม่ควรนิรโทษกรรมทั้งสิ้น
 
        ส่วนการไปขึ้นเวทีผ่าความจริงของพรรคประชาธิปัตย์ นั้น นายแก้วสรร เผยว่า เพราะเป็นห่วงคดี ในคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เช่น เรื่องการคอร์รัปชัน พร้อมไม่กังวล หากรัฐบาลมีการสอดไส้เนื้อหาอื่นเข้ามาในชั้นกรรมาธิการ เพราะต้องเจอตนในสภาอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม มองว่า เป็นเรื่องของ ส.ส. และ ส.ว. ที่จะยื่นร้องต่อองค์กรอิสระหรือไม่
 
        อย่างไรก็ตาม นายแก้วสรร เชื่อว่า ในสถานการณ์ขณะนี้ ขั้นตอนกรรมาธิการคงมีโอกาสใช้เหตุใช้ผลได้น้อย เพราะพวกเสียงข้างมากคงลากไป ไฮไลท์น่าจะอยู่ที่การลงคะแนนในวาระที่ 3 มากกว่า

พนง.สอบสวนคดี 'จรูญ-สยาม' เบิกคลิป,พยาน,วิถี-ขนาดกระสุนชี้ถูกยิงมาจากทหาร

พนง.สอบสวนคดี 'จรูญ-สยาม' เบิกคลิป,พยาน,วิถี-ขนาดกระสุนชี้ถูกยิงมาจากทหาร

        พนังงานสอบสวนคดี ‘จรูญ-สยาม’ เหยื่อกระสุนขอคืนพื้นที่ 10 เมษา ชี้ที่เกิดเหตุพบรอยกระสุน 108 รอย มาจากสะพานวันชาติไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่ไม่พบว่ามีวิถีตรงกันข้าม ระบุผู้ตายถูกกระสุนขนาด .223 ที่ยิงมาจากฝั่งของทหารทางสะพานวันชาติ
         8 ส.ค. 56 เวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนัดไต่สวนชันสูตรพลิกศพ คดีหมายเลขดำที่ ช.13/2555 ที่พนักงานอัยการ สำนักอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรพลิกศพนายจรูญ ฉายแม้น ผู้ตายที่ 1 และนายสยาม วัฒนนุกูล ผู้ตายที่ 2 ถูกยิงเสียชีวิตหน้า ร.ร.สตรีวิทยา ถนนดินสอ ในเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 53 โดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ภายใต้รัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ขณะนั้น
[Image: 20401.jpg]
[Image: p0108251254p1.jpg&width=360&height=360]

         โดยในวันนี้พนักงานอัยการนำพยานเข้าเบิกความ 3 ปาก ประกอบด้วย พ.ต.ต.นิติ อินทุลักษณ์ นักวิทยาศาสตร์(สบ2) กลุ่มงานตรวจพิสูจน์อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ผู้ตรวจวีดีโอคลิปที่เกี่ยวข้องกับเหตุกีร ร.ต.อ.อรีย์ธัช อธิสุรีย์มาศ พงส.สน.พลับพลาไชย 1 และ พ.ต.ท.สมชาย สินธนเจริญวงศ์ พงส.ผู้ชำนาญการพิเศษ สน.พลับพลาไชย 1 พนักงานสอบสวนในคดีนี้
         พ.ต.ต.นิติ เบิกความโดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 55 บก.น.6 ส่งแผ่นวีซีดีจำนวน 3 แผ่น มาให้ตรวจพิสูจน์ว่ามีร่องรอยการตัดต่อหรือไม่ จากผลการตรวจ ซีดีแผ่นที่ 1 มีข้อมูลแบ่งเป็น 2 แฟ้ม ไม่พบร่องรอยการตัดต่อเนื้อหาทั้งภาพและเสียง ส่วนซีดีแผ่นที่ 2 มีข้อมูลแบ่งเป็น 2 แฟ้ม แฟ้มที่ 1 เป็นคลิปขณะเกิดเหตุมี 3 แฟ้ม เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ต่อเนื่องกัน มีการเพิ่มเติมตัวเลขเปรียบเทียบลงในคลิป แต่ไม่พบร่องรอยการตัดต่อเนื้อหาของแฟ้มข้อมูลทั้งหมด
        พ.ต.ต.นิติ เบิกความต่อว่า ส่วนแฟ้มที่ 2 มี 1 แฟ้ม เป็นคลิปเหตุการณ์ที่โรงพยาบาล มีการเพิ่มเติมตัวอักษรและเพิ่มเสียงเพลงในบางช่วงของเหตุการณ์ แต่ไม่พบร่องการตัดต่อเนื้อหาของคลิป สำหรับซีดีแผ่นที่  3 มี 1 แฟ้ม ปรากฏเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ มีการเพิ่มตัวอักษร เสียงบรรยาย และเสียงเพลง แต่ไม่พบร่องรอยการตัดต่อเนื้อหาของคลิป หลังการตรวจได้จัดทำรายงานการตรวจพิสูจน์ส่งให้ บก.น.6
         ขณะที่ ร.ต.อ.อรีย์ธัช เบิกความโดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 เวลา 21.30 น. ได้รับแจ้งจาก รพ.กลาง ว่า มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง บริเวณแยกคอกวัวต่อเนื่องถึงถนนดินสอให้ไปตรวจสอบ พยานจึงเดินทางไปพร้อมกับ พ.ต.ท.ปกรณ์ วะศินรัตน์ นายแพทย์ (สบ2) สถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ พบศพชาย 2 คน มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืน จากการสอบสวนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทราบว่า เป็นนายจรูญ ฉายแม้น และนายสยาม วัฒนนุกูล ถูกนำส่งมาจากบริเวณถนนดินสอ
        ร.ต.อ.อรีย์ธัช เบิกความต่อว่า จากนั้นพยานจึงเคลื่อนย้ายศพไปยังสถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ ในวันที่ 11 เม.ย. 53 เพื่อให้แพทย์ชันสูตรพลิกศพ เบื้องต้นยังไม่มีพยานหลักฐานที่เชื่อว่าการตายของทั้งสองเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ ต่อมาประมาณปลายปี 53 กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) มีมติให้คดีที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมเป็นคดีพิเศษ จึงส่งสำนวนการสอบสวนไปรวมกับคดีหลักที่ดีเอสไอ
         พยานเบิกความอีกว่า กระทั่งวันที่ื 15 พ.ย. 54 ดีเอสไอส่งสำนวนกลับที่ สน.พลับพลาไชย 1 เนื่องจากมีทนายความญาติผู้ตายร้องขอให้ดำเนินการสอบสวนหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพราะเชื่อว่าการตายของทั้งสองเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 55 บก.น.6 จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนคดีดังกล่าว โดยพยานเป็นพนักงานสอบสวนร่วมในคดีนี้ด้วย จากการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดสรุปความเห็นว่า การตายของทั้งสองเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
        จากนั้นทนายความญาติผู้ตายถามพยานว่า จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุพบรอยกระสุนบริเวณใดบ้าง พยานเบิกความว่า มีร่องรอยหลงเหลืออยู่ตามป้ายรถเมล์ เสาไฟฟ้า ตู้โทรศัพท์ มีทิศทางมุ่งหน้าไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
         พ.ต.ท.สมชาย เบิกความโดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 55 ได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นพนักงานสอบสวนในคดีนี้ จากการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งประจักษ์พยาน พยานแวดล้อม พยานวัตถุ และเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ รวมถึงคลิปวิดีโอที่ปรากฏภาพนายสยามเดินอยู่ในเหตุการณ์เดียวกับที่นายวสันต์ ภู่ทอง ถูกยิง และคลิปวิดีโอในวันเกิดเหตุที่ปรากฏภาพการยิงมาจากฝั่งทหารที่อยู่ทางสะพานวันชาติ

[Image: 68962310.jpg]
        พ.ต.ท.สมชาย เบิกความต่อว่า มีพยานบุคคล 5 ปาก ยืนยันว่าขณะนั้นมีการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุม นปช. และเจ้าหน้าที่ทหาร ระหว่างนั้นพยานเห็นเจ้าหน้าที่ถอยร่นเข้าไปทางสะพานวันชาติ พร้อมกับได้ยินเสียงปืนดังขึ้น และเห็นแสงไฟจากปลายกระบอกปืนของทหาร ก่อนมีคนล้มลง ซึ่งมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวรวม 5 ศพ ประกอบด้วย นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ชาวญี่ปุ่น นายวสันต์ ภู่ทอง นายทศชัย เมฆงามฟ้า นายจรูญ ฉายแม้น และนายสยาม วัฒนนุกูล โดยพยานทั้งหมดยืนยันว่าผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ
        พ.ต.ท.สมชาย เบิกความอีกว่า ผู้ตายทั้งหมดเสียชีวิตจากการถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูงขนาด .223 หรือ 5.56 มม. ซึ่งในศพของนายจรูญมีการตรวจพบเศษโลหะเป็นลูกตะกั่ว จากการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า เป็นกระสุนขนาด .223 หรือ 5.56 มม. ที่ใช้กับปืนเอชเค 33 ทาโวร์ และเอ็ม 16 ซึ่งเป็นอาวุธที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้ปฏิบัติการในวันเกิดเหตุ จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุพบรอยกระสุนที่ยืนยันได้จำนวน 108 รอย มีทิศทางจากสะพานวันชาติไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่ไม่พบว่ามีวิถีกระสุนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปยังสะพานวันชาติ
       พยานเบิกความต่อว่า จากการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด จึงสรุปความเห็นว่า ผู้ตายทั้งสองเสียชีวิตด้วยกระสุนปืนความเร็วสูงขนาด .223 หรือ 5.56 มม. ที่ยิงมาจากฝั่งของทหารทางสะพานวันชาติ ก่อนนำสำนวนส่งให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้ศาลทำการไต่สวนชันสูตรพลิกศพ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150
        ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการไต่สวนเสร็จสิ้น ศาลนัดไต่สวนครั้งต่อไป วันที่ 15 ส.ค. เวลา 09.00 น.
รายชื่อผู้เสียชีวิตจากการปะทะที่สี่แยกคอกวัวและถนนดินสอ ณ วันที่ 10 เมษายน 2553

  • 1 Mr. Hiroyuki Muramoto อายุ 43 ปี ถูกยิงอกซ้าย เสียชีวิตก่อนถึง รพ. (ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์)
  • 2 นาย สวาท วางาม อายุ 43ปี ถูกยิงศีรษะด้านบนข้างขวาทะลุขมับซ้าย เสียชีวิตก่อนถึง รพ.
  • 3 นาย ธวัฒนะชัย กลัดสุข อายุ 36 ปี ถูกยิงอกซ้าย ทะลุหลังเสียชีวิตก่อนถึง รพ. 
  • 4 นาย ทศชัย เมฆงามฟ้า อายุ 44 ปี ถูกยิงอกซ้าย ทะลุหลัง เสียชีวิตก่อนถึง รพ. 
  • 5 นาย จรูญ ฉายแม้น อายุ 46 ปี ถูกยิงอกขวากระสุนฝังใน เสียชีวิตก่อนถึง รพ. 
  • 6 นาย วสันต์ ภู่ทอง อายุ 39 ปี ถูกยิงศีรษะด้านหลัง ทะลุด้านหน้า เสียชีวิตก่อนถึง รพ. 
  • 7 นาย สยาม วัฒนนุกุล อายุ 53 ปี ถูกยิงอก ทะลุหลัง เสียชีวิตก่อนถึง รพ. 
  • 8 นาย มนต์ชัย แซ่จอง อายุ 54 ปี ระบบหายใจล้มเหลวจากโรคถุงลมโป่งพอง เสียชีวิตที่รพ. 
  • 9 นาย อำพน ตติยรัตน์ อายุ 26 ปี ถูกยิงศีรษะด้านหลัง ทะลุด้านหน้า เสียชีวิตก่อนถึง รพ. 
  • 10 นาย ยุทธนา ทองเจริญพูลพร อายุ 23 ปี ถูกยิงศีรษะด้านหลัง ทะลุด้านหน้า เสียชีวิตก่อนถึง รพ. 
  • 11 นาย ไพรศล ทิพย์ลม อายุ 37 ปี ถูกยิงศีรษะด้านหน้า ทะลุท้ายทอย เสียชีวิตที่ รพ. 
  • 12 นาย เกรียงไกร คำน้อย อายุ 24 ปี ถูกยิงสะโพก กระสุนฝังในช่องท้อง เสียชีวิตที่รพ. 
  • 13 นาย คะนึง ฉัตรเท อายุ 50 ปี ถูกยิงอกขวา กระสุนฝังใน เสียชีวิตก่อนถึง รพ. 
  • 14 พลฯ ภูริวัฒน์ ประพันธ์ อายุ 25 ปี แผลเปิดกะโหลกท้ายทอย เสียชีวิตก่อนถึง รพ. 
  • 15 พลฯ อนุพงษ์ เมืองอำพัน อายุ 21 ปี ทรวงอกฟกช ้า น่อง 2 ข้างฉีกขาด เสียชีวิตก่อนถึง รพ. 
  • 16 นายนภพล เผ่าพนัส อายุ 30 ปี ถูกยิงที่ท้อง เสียชีวิตที่ รพ. 
  • 17 พ.อ. ร่มเกล้า ธุวธรรม อายุ 43 ปี ท้ายทอยขวาฉีกขาดน่อง 2ข้างฉีกขาด เสียชีวิตที่รพ. 
  • 18 พลฯ สิงหา อ่อนทรง อกซ้ายและด้านหน้าต้นขาซ้ายฉีกขาด เสียชีวิตก่อนถึง รพ. 
  • 19 พลฯอนุพงศ์ หอมมาลี อายุ 22 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดที่ศีรษะ เสียชีวิตที่รพ. 
  • 20 นายสมิง แตงเพชร อายุ 49 ปี ถูกยิงศีรษะ เสียชีวิตที่รพ. 
  • 21 นาย สมศักดิ์ แก้วสาน อายุ 34 ปี ถูกยิงหลัง ทะลุอกซ้าย เสียชีวิตที่รพ. 
  • 22 นาย บุญธรรม ทองผุย อายุ 40 ปี ถูกยิงหน้าผากซ้ายทะลุศีรษะด้านหลังส่วนบน เสียชีวิตก่อนถึง รพ. 
  • 23 นาย เทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ อายุ 29 ปี แผลที่หน้าอกซ้าย เสียชีวิตที่รพ. 
  • 24 นายบุญจันทร์ ไหมประเสริฐ อายุ 45 บาดแผลเข้าสะโพกขวาตัดเส้นเลือดแดงใหญ่ที่ขาหนีบ เสียชีวิตที่รพ. 
  • 25 นาย มานะ อาจราญ อายุ 23 ปี ถูกยิงศีรษะ ด้านหลังทะลุหน้า เสียชีวิตก่อนถึง รพ. 
  • 26 นาย อนันต์ สิริกุลวานณิชย์ อายุ 54 ปี ถูกยิง เสียชีวิต

'สนธิ ลิ้มทองกุล เสนอให้ ส.ส.ปชป.ลาออกทั้งหมด แล้วพันธมิตรฯ จะร่วมสู้นอกสภา

         แกนนำ พธม. เสนอประชาธิปัตย์ลาออกจาก ส.ส. ทั้งหมด เดินเกมนอกสภา แล้วแกนนำ พธม. จะร่วมมือด้วย โดยให้ประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ เชื่อคนจะออกมาเป็นล้านๆ ด้าน "เทพไท เสนพงศ์" ทวิตโต้ถ้าลาออก ส.ส. คิดหรือว่ารัฐบาลจะยุบสภา พร้อมบอกผู้สนับสนุนให้ใจเย็นๆ เพราะมีอีกหลายยก
        เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า เมื่อวานนี้ (9 ส.ค.) ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และได้ร่วมรายการด้วย ในฐานะผู้ดำเนินรายการ โดยในรายการดังกล่าวเขาสวมแว่นตากันแดด โดยให้เหตุผลว่า "เผอิญตาเคือง เป็นต้องหิน" จึงต้องใส่แว่นดำ
         ทั้งนี้ในรายการ นายสนธิ ได้กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจพลาดที่ในรัฐสภาเมื่อ 7 ส.ค. ไม่ยอมเดินออกจากสภาทั้งหมด หลังฝ่ายรัฐบาลลงมติให้ประชุมต่อ โดยเขาเชื่อว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจออกจากสภามาทั้งหมด "ตรงนี้รัฐบาลก็เดินไม่เป็นนะ รัฐบาลไปไม่เป็นนะตรงนี้" และ ส.ส.เพื่อไทยที่เก๋าเกมก็จะบอกไม่ให้เดินหน้าออก พ.ร.บ.ดังกล่าว เพราะจะไม่มีความชอบธรรม
        อย่างไรก็ตาม นายสนธิกล่าวว่า "ประชาธิปัตย์นอกจากไม่ทำอันนี้แล้ว ยังเสือกไปร่วมในกรรมาธิการเขาอีก ทั้งๆ ที่รู้ว่า ในกรรมาธิการก็แพ้"
       นายสนธิกล่าวว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะพรรคประชาธิปัตย์ติดกับดักความกลัว คิดว่าถ้าเอามวลชนไปแล้วบุกเข้าสภาเดี๋ยวจะโดนดำเนินคดี ประชาธิปัตย์ถนัดแต่จะให้คนอื่นติดคุกแทน นอกจากนั้นยังติดกับดักในเรื่องการหลงตัวเอง ว่าตัวเองพูดเก่ง พูดแล้วคนจะฟัง ประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ชอบพูด
       โดยตอนหนึ่งนายสนธิได้มีข้อเสนอว่า "ผมพูดเนี่ยผมอยากจะพูดให้สาวกพรรคประชาธิปัตย์ฟัง ให้ตั้งใจฟังกันให้ดีๆ คุณอยากจะเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองมั้ย คำว่าเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองต้องหมายความว่า ต้องไม่ยอมรับระบบเดรัจฉานในสภานี้ หมายความว่ายังไง หมายความว่าต้องพิจารณา หาทางที่จะให้ทุกฝ่ายมานั่งคุยกัน วิธีเดียวที่จะหาทางให้ทุกฝ่ายมานั่งคุยกันได้คือ พรรคประชาธิปัตย์ทุกคนต้องลาออกหมดเลย ลาออกมาเดินเกมการเมืองนอกสภา แล้วการเดินเกมการเมืองนอกสภา"
      เมื่อลาออกจาก ส.ส. แล้วเดินเกมนอกสภาแล้ว นายสนธิกล่าวว่ายินดีร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ "ผมพร้อมจะร่วม พันธมิตรฯ พร้อมจะร่วม แต่คุณต้องลาออกนะ พันธมิตรฯ พร้อมจะร่วม ให้คุณนำ ผมไม่ต้องการนำ ผมเป็นผู้ตามคุณ ผมยินดีตามพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าคุณกล้าทำอย่างนี้ อาการเจ็บหลังของผมที่ผมโดนแทงทั้งหลัง และเจ็บหัวที่โดนยิงหัว ผมลืมได้ ผมทิ้งไว้ข้างตัวเลย เอาชาติมาก่อน"
       "ถ้าอย่างนั้นแล้ว ระดมคนทั่วประเทศไทย 7 วันต้องมีคนเป็นล้านมา วันนั้นเพื่อไทยต้องเคาะประตูแล้วขอคุยด้วย เพราะเขาต้องขอคุยด้วยทันทีเลย ขอคุยด้วยตอนนั้นล่ะ คือการที่จะมากำหนดกติกาทางการเมืองที่มีภาคประชาชนเป็นส่วนร่วม ที่ไม่ใช่พึ่งพาหลักคณิตศาสตร์ วันนั้นเป็นวันที่เจรจาได้หมดทุกอย่าง และวันนั้นอาจจะเป็นวันที่บอกว่าให้ทหารมาตั้ง หรือให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งรัฐบาลรักษาการชั่วคราว 2 ปี เพื่อมาตกลงกติกา วิธีการกันใหม่ นี่คือทางออกของประเทศไทย"
       "แต่ถ้าประชาธิปัตย์ยังจมอยู่กับความคิดโง่ๆ หวังไปเชื่อทหารบางคนที่แทงกั๊กอยู่ว่าทหารจะออกมาสลับขั้วให้ ไม่ลงมาเล่นการเมืองกับประชาชน ประชาธิปัตย์ต้องถึงเวลาต้องมาเล่นการเมืองกับภาคประชาชน ต้องลาออกเลย สละระบบการเมืองนี้ไป ผมพร้อมจะเข้ามาร่วมและผมพร้อมจะเดินตามแกนนำประชาธิปัตย์ ให้ประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ และผมไม่จำเป็นต้องมีแกนนำ ผมพร้อม จะให้ผมขึ้นเวทีพูดปราศรัยผมจะขึ้น ไม่ให้ขึ้น ผมก็ไม่ขึ้น แต่ผมจะไปแสดงความบริสุทธิ์ใจของผม ถ้าเราจะทำอย่างนี้เพื่อความบริสุทธิ์ เพื่อชาติ แต่ต้องไม่มีพรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าประชาธิปัตย์อยากจะปฏิรูปการเมือง อยากทำการเมืองให้ดี ประชาธิปัตย์ลาออกมาแล้วนำไปเลย จะให้ แม้กระทั่งอภิสิทธิ์อยากนำ นำไป สุเทพอยากนำ นำไปไม่เป็นไร ผมไม่ว่า แต่คุณลาออกมาได้ไหม พิสูจน์ตรงนี้ให้ผมดูหน่อย เสียสละให้ผมดูก่อน อย่าใช้นโยบายตีกินเหมือนเดิม ถ้าอย่างนั้นแล้วผมเชื่อ"
       ทั้งนี้นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวว่า ข้อเสนอของเขาไม่ใช่มติของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่เชื่อว่าแกนนำคนอื่นๆ เห็นด้วย "ผมเชื่อว่าผมพูดกับพี่ลอง ผมพูดกับพี่พิภพ หรือ อ.สมเเกียรติ ทุกคนเอาด้วย เพราะทุกคนพวกผม และพันธมิตรฯ เป็นคนที่ไม่มีผลประโยชน์กับใคร แต่เอาชาติเป็นหลัก"
       "วิธีนี้เท่านั้นเองที่จะทำให้ทุกอย่างกลับไปสู่ที่ศูนย์แล้วเริ่มกันใหม่ด้วยความแฟร์" นายสนธิกล่าวในรายการ
       ถ้าปล่อยให้เพื่อไทยปู้ยี่ปู้ยําประเทศต่อไป ความผิดจะอยู่ที่ประชาธิปัตย์ เพราะมีศักยภาพสูงสุดในการเปลี่ยนประเทศได้ มีถึง 12 ล้านเสียง พันธมิตรฯ มีแค่ 1-2 ล้านเสียงเอง และมีผู้นำที่มีบารมีพอ ขอแค่ใส่ความกล้าเข้าไป การสู้ในสภารอถึงวาระ 3 เป็นแค่การซื้อเวลาตายเท่านั้น แต่ในที่สุดก็ต้องตาย สู้ดิ้นออกมาก่อนและหาทางเกิดใหม่ดีกว่า
        "ผมไม่ต้องไปพูดถึงความผิดพลาดเขา ที่เขามีอำนาจและเขาไม่ปราบเสื้อแดง เอาล่ะ ช่างมัน เขามีโอกาสล้างความผิดในชีวิตเขาได้ด้วยการลาออก เชื่อผมสิถ้าเขาลาออกปั๊บ รัฐบาลเดินไม่ถูกเลย เดินไม่เป็นจริงๆ นะ" นายสนธิกล่าว
        ทั้งนี้นายสนธิ กล่าวด้วยว่า เขาเชื่อว่ามวลชนจะเยอะมากขั้นต่ำเป็นล้านและเผลอๆจะสูงถึง 2-3 ล้านคน อย่างน้อยที่สุดพันธมิตรฯ ไปแน่ นี่จะเป็นการเปลี่ยนประเทศจริงๆ และตนเชื่อว่าด้วยปริมาณคน ความรู้ของมวลชน คนชนชั้นกลาง ด้วยอะไรต่ออะไรที่พร้อมอยู่ มันจะทำให้พรรคเพื่อไทยต้องมานั่งโต๊ะเจรจา แล้ววันนั้นทุกคนจะก้าวข้ามพรรคการเมืองทั้งหมดและก้าวข้ามทักษิณด้วย นี่คือข้อเสนอทางออกของประเทศ
           อย่างไรก็ตาม ภายหลังข้อเสนอของนายสนธิ นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว โดยโพสต์สเตตัสผ่านทวิตเตอร์ว่า "จะให้ผมลาออกจาก ส.ส.มาสู้นอกสภา ไม่ต่างอะไรกับ ปิ้งปลาประชดแมว เป็น ส.ส.ก็สู้ได้ทั้งในและนอกสภาไม่ดีกว่าหรือ?" [1] นอกจากนี้ยังโพสต์ว่า "ลาออกจาก ส.ส. ก็มีเลือกตั้งซ่อม คิดหรือว่ารัฐบาลนี้จะยุบสภา หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ชาติหน้าก็เป็นไปไม่ได้" [2] "การสู้เพื่อขัดขวาง พ.ร.บ.นิรโทษ ยังมีอีกหลายยก ใจเย็นๆ นะพี่น้อง" [3] "ม็อบ 7 สิงหา เดินไปส่ง ส.ส. หน้าสภา เป็นแค่ออเดิร์ฟ" [4] ฯลฯ

เฉดหัวส่ง! "มาร์ค" ปัด "พิชัย รัตตกุล" เข้าร่วมสภาปฏิรูปฯ ไม่ใช่ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์


เฉดหัวส่ง! "มาร์ค" ปัด "พิชัย รัตตกุล" เข้าร่วมสภาปฏิรูปฯ ไม่ใช่ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์



           วันที่ 10 สิงหาคม 2556 (go6TV) จากกรณีที่นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ตอบรับคำเชิญนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมสภาปฏิรูปการเมืองของรัฐบาล ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเกี่ยวกับกระแสข่าวดังกล่าว ซึ่งนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นสิทธิ์ของท่าน แต่นายพิชัยไม่ใช่ตัวแทนของพรรค เข้าร่วมในฐานะอดีตประธานรัฐสภา ซึ่งได้คุยกับนายพิชัยล่วงหน้าแล้ว เพราะในพรรควิเคราะห์กันว่านายพิชัยอยู่ในข่ายที่ตัวแทนรัฐบาลจะขอพบ และนายพิชัยคงมาในแนวนี้ ส่วนที่นายพิชัยวิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์ขัดขวางการปรองดองนั้น พรรคไม่ได้ขัดขวาง ก่อนหน้านี้นายกฯ บอกว่าขอให้ทุกอย่างอยู่ในเวทีสภา แต่เมื่อประชุมสภา นายกฯ ก็ไม่เข้าร่วม เลี่ยงไม่ตอบถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการผลักดันร่างพ.ร.บ. นิรโทษกรรม ทั้งนี้ ยอมรับว่าสมัยที่เป็นนายกฯ นายพิชัยเคยขอเป็นตัวแทนไปพบกับ พ.ต.ท. ทักษิณที่ดูไบ เพื่อสร้างความปรองดอง แต่ตนเห็นว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจึงไม่ทำตามข้อเสนอ และตนเคยคุยกับนายพิชัยไปแล้ว

         นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ส่วนที่พรรคภูมิใจไทยตอบรับเข้าร่วมสภาปฏิรูปนั้น ถือเป็นสิทธิ์ ส่วนพรรคจะเดินหน้าคัดค้าน แม้จะเหลือเพียงพรรคเดียว ไม่คิดว่าถูกโดดเดี่ยว เพราะเชื่อว่ามีคนจำนวนมากที่มีจุดยืนสอด คล้องกับสิ่งที่เราเสนออยู่ และไม่ว่าพรรคจะเข้าร่วมหรือไม่ รัฐบาลก็เดินหน้าอยู่แล้ว เพราะรัฐบาลมีท่าทีไม่รับฟังความเห็นของพรรคประชาธิปัตย์ หากรัฐบาลตั้งโจทย์และนำสู่การรื้อรัฐธรรมนูญ เราก็ไม่แปลกใจ เพราะนั่นคือเป้าหมายของรัฐบาลที่จะทำคู่ไปกับการนิรโทษกรรม ซึ่งการแก้รัฐธรรมนูญจะนำสู่การล้างผิดให้คนอื่น และแก้ดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายตุลาการ แต่คิดว่าเขาทำไม่สำเร็จ เพราะไม่เชื่อว่าหลักการที่อยู่บนความไม่ถูกต้อง จะทำได้อย่างราบรื่น สุดท้ายเชื่อว่าสังคมส่วนใหญ่จะมองเห็นว่าการรักษาความสมดุลและความถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญกว่า


ขอขอบคุณ ข่าวสดออนไลน์

ผ่าความจริง 62 เวทีเสียเปล่า!


ผ่าความจริง 62 เวทีเสียเปล่า! ควรทบทวนตัวเองและเริ่มต้นด้วยการ "เลิกโกหก" 
ตั้งแต่วันนี้ 

โดย: เจเจ สาทร







วันนี้ ได้มีโอกาสแวะไปดูม็อบที่สวนลุมฯ ตอน 6 โมงเย็น

          ได้เดินสังเกตรอบๆ ตั้งแต่หน้าประตู มีการตรวจค้นกระเป๋าละเอียดยิบ ทั้งที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ หน้าเวทีตั้งตรงสามแยกพอดี มีเต็นท์กองทัพธรรมแจกอาหารทางด้านขวามือ เต้นอำนวยการทั่วไปเรียงรายด้านซ้ายมือ คนเดินผ่านเพื่อไปด้านหลังสวน กับคนมาออกกำลังกาย ต้องวิ่งผ่านทางแยก แต่คนนั่งอยู่ คนวิ่ง ก็วิ่งไม่ได้ ต้องหยุดและเดินเลี่ยงไป จำนวนคนหากไม่นับคนวิ่งคนเดินผ่านเลย ไม่เกิน 500 คน

        คิดในใจว่าทำไมม็อบถึงจุดไม่ติด สงสารแต่คนแก่ๆ เดินไปมาอยู่รอบๆ ฟังบนเวทีสักพัก ก็พูดให้ความหวังตลอดเวลาเช่น มีข่าวดีว่า สมศักดิ์ โกศัยสุข ก็มาร่วมกับเราแล้ว (เย้ทีนึง) สนธิ ลิ้มทองกุล กำลังจะมาหาเราคืนนี้ (เย้กันอีกที) ตกลงว่าทั้งหมดทั้งปวงที่แพ้ราบคาบ ณ ขณะนี้เพราะเขาทั้งหมด (ย้ำว่าตั้งแต่ ปชป. สื่อเหลือง เว็บเพจสาวก ทั้งหมด) แพ้ราบคาบเพราะมัวแต่ “โกหกตัวเอง”

        “ผ่าความจริง” เวทีแรก จนถึงเวทีสุดท้ายจบลง สรุปได้ชัดเจนว่า “เค้าเหนื่อยฟรี” ทำไมเหรอครับ เพราะเขา “โกหก” จนเคยชิน พูดปราศรัยบนเวทีด้วยข้อความที่ โกหกจนเกินความจริงไปมาก มากจนคนฟังเองก็ไม่ค่อยจะเชื่อข้อมูลบนเวทีเท่าไร แต่เฮไปตามอารมณ์ แต่ข้อเท็จจริงที่พร่ำพูดกับมา 62 เวทีไม่ได้แปรเปลี่ยนเป็น “พลังม็อบ” เลยหรือ?

         หน้ากากขาว ไม่ต้องโกหกก็รู้ว่า ดำเนินการโดยคนของพรรคประชาธิปัตย์ การ์ดเอย คนนำเอย โฆษณาตามบลูสกายเอย หริโชคช่วยบิ้วสุดชีวิตอีก แถมเพจทั้งหมดทุกเพจทั้งหน้ากากขาวและเพจด่าฝ่ายตรงข้ามหยาบๆคายๆ ก็ล้วนเป็นของเครือข่ายสาวกพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น ทำไมข้อมูลต่างๆที่เผยแพร่ และแชร์กัน และอ้างว่ามีแฟนคลับรวมกันเป็นล้านๆ ถึงออกมาช่วยพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถึง 2,000 คนในวันที่ 7 สิงหาคมละครับ?

         ทำไมดีเดย์ ชุมนุมใหญ่ปราศรัยข้ามวันข้ามคืน ตอนตีสาม หน้าเวทีไม่มีคนเลยสักคน? แฟนคลับที่บอกว่าเหนียวแน่กลับหายหมด แต่ทนปราศรัยเพราะถ่ายทอดสด ทำไมคำพูดที่แสนทรงพลังของนายชวน หลีกภัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถึงไม่สามารถจูงใจคนกรุงเทพที่รักพรรคฯ ให้ออกมาร่วมต่อสู้ละครับ

          เพราะทั้งหมดของพรรคประชาธิปัตย์ “โกหกเป็นนิสัย” ไงครับ

         โกหกตั้งแต่ในทีวี คนฟังย่อมอยากฟังเอามันส์ แต่เขาไม่ได้ “เชื่อ” ในสาระของรายการเลย โกหกตั้งแต่จำนวนคนมาฟังปราศรัยตามเวทีต่างๆ รู้อยู่แก่ใจว่า “เกณฑ์มา” คนมาน้อย แต่อาศัยโบกธง อาศัยเทคนิคถ่ายภาพให้ดู “มาเป็นแสน” เลยหลงตัวว่า หากตัวเองเป่านกหวีด จะแห่ออกมา

        โกหกตามเพจและเว็บต่างๆ ในเครือข่าย ด้วยข้อมูลเท็จ และหยาบคาย โกหกได้ทุกเม็ด โกหกทุกข้อความ เล่นทุกดอกแบบไม่สนใจความเป็นจริง เท่ากับ “ดูถูกแฟนคลับ”

       ก่อนชุมนุมใหญ่ ทุกวันอาทิตย์ ที่มีชุมนุมหน้ากากขาว คนมาแค่หลักร้อย หรือพันต้นๆ ก็โกหกบิดเบือนข่าวตามเพจเครือข่ายตนเอง ให้ดูกลายเป็นหลักหมื่นด้วยสื่อฝ่ายของตน

       แม้กระทั่งวันชุมนุมใหญ่ ยังโกหกคนทั้งประเทศ ด้วยการสั่งเกณฑ์ข้าราชการ กทม.มาร่วมชุมนุม สก.สข.ทุกเขตถูกสั่งระดมมาอย่างน้อยเขตละ 100 คน 50 เขตก็ควรมี 5000 อย่างน้อย แต่เอาเข้าจริงๆ ประชาชนที่ถูกเกณฑ์มา ต่างส่ายหัวไม่เอาด้วยเพราะรู้ว่า ถูกพรรคประชาธิปัตย์หลอกมาเจ็บ หลอกมาตาย เหมือนกับหลายๆครั้งในประวัติศาสตร์เช่นพฤษภา 53

        ที่สำคัญที่สุด “ข่าวประจำวัน” ที่ส่งถึงผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์เอง ก็จัดทำโดยหนังสือพิมพ์ในเครือข่าย หัวข้อข่าว เนื้อข่าว ผ่านการบิดเบือน ตกแต่งข้อความกันใหม่ให้“ดูดี” เสพแต่ข่าวฝ่ายตนจน “หลงเชื่อข่าวลวง-ตัดแต่ง” ที่ตนเองทำกันเอง และก็ตกจมอยู่ในกระแสข่าวเท็จทั้งหมดที่ตนสร้างมา

       เมื่อถึงเวลา แทนที่จะได้ “เป่านกหวีด” กลับกลายเป็น “เป่าแตรนอน” ด้วยประการฉะนี้

ที่มา https://www.facebook.com/photo.php?fbid=223451264475146&set=a.205981529555453
.1073741826.204293683057571&type=1&theater

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มรณภาพ


สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มรณภาพแล้ว สิริอายุ 85



          10 สิงหาคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ เผยแพร่ข่าวจากสำนักข่าวไทย ออกอากาศข่าวด่วนต้นชั่วโมงเวลา 10.00น. ระบุว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (อดีตผู้รักษาการแทนสมเด็จพระสังฆราช) ปัจจุบันเป็นประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้มรณภาพแล้ว ด้วย สิริอายุ 85ปี จากการติดเชื้อกระแสเลือดมรณภาพ ณ โรงพยาบาลสมิติเวช

          ทางด้านเว็บไซท์วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร http://www.watsraket.com/ ยังไม่สามารถเข้าใช้งานได้ ส่วนเฟซบุ๊ก วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร https://www.facebook.com/watsraket ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดข่าวดังกล่าวแต่อย่างใด

'สมเด็จเกี่ยว' มรณภาพแล้ว สิริอายุ 85 ปี

เช้าวันนี้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว  อุปเสโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ และประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้มรณภาพแล้ว ที่โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท สิริอายุ 85 ปี 6 เดือน โดยจะมีพิธีน้ำหลวงสรงศพวันที่ 11 ส.ค. ที่วัดสระเกศ
มีรายงานว่า เวลา 8.41 น. เช้าวันนี้ (10 ส.ค.) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว  อุปเสโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ และประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้มรณภาพแล้ว ที่โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท สิริอายุ 85 ปี 6 เดือน โดยสาเหตุเบื้องต้นคาดว่า ติดเชื้อในกระแสโลหิต
โดย มติชนออนไลน์ รายงานว่า พระวิจิตรธรรมมาภรณ์  ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ เปิดเผยว่า จะมีพิธีเคลื่อนศพสมเด็จพระพุฒาจารย์ ในเวลา 09.00 น. วันที่ 11 สิงหาคม จากโรงพยาบาลสมิติเวช ไปยังวัดสระเกศฯ  จากนั้นเวลา 13.00 น. จะเปิดให้พุทธศาสนิกชนได้สรงน้ำ โดยคาดว่า จะมีพิธีน้ำหลวงสรงศพ เวลา 17.00 น. แล้วจึงมีพิธีสวดพระอภิธรรม โดยอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ 7 วัน
ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย ระบุว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) นามเดิม เกี่ยว โชคชัย เป็นพระสงฆ์มหานิกาย และอดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เคยเป็นผู้รักษาการแทนสมเด็จพระสังฆราช อดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระเถระที่มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์สูงสุดของมหาเถรสมาคม ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดฯ สถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ เมื่อปี พ.ศ. 2533 มีนามตามจารึกในสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ ภาวนากิจวิธานปรีชา ญาโณทยวรางกูร วิบูลวิสุทธิจริยา อรัญญิกมหาปริณายก ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี
สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2471 ณ บ้านเฉวง ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดภูเขาทอง อำเภอเกาะสมุย ได้อุปสมบทที่วัดสระเกศ เมื่อปี พ.ศ. 2492
สมเด็จพระพุฒาจารย์ ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 9 และเป็นเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เมื่อปี พ.ศ. 2508 เมื่อปี พ.ศ. 2516 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานแต่งตั้งเป็น รองสมเด็จพระราชาคณะ ที่ พระพรหมคุณาภรณ์ และเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม เมื่อปี พ.ศ. 2533 สมเด็จพระพุฒาจารย์ ได้เลื่อนเป็น สมเด็จพระราชาคณะ ที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ในปี พ.ศ. 2540 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายเผยแผ่พระพุทธศาสนามหาเถรสมาคม
เนื่องจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกมีพระอาการประชวร และเสด็จเข้าประทับรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มาตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2545 ทำให้เข้าร่วมงานพระศาสนาไม่สะดวก มหาเถรสมาคม จึงได้แต่งตั้งให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ในต้นปี พ.ศ. 2547[ต้องการอ้างอิง] ต่อมาการแต่งตั้งนั้นได้สิ้นสุดลงเพราะครบระยะเวลาที่กำหนด มหาเถรสมาคมจึงมีมติให้แต่งตั้ง คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เพื่อบริหารกิจการคณะสงฆ์แทนสมเด็จพระญาณสังวรฯ โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ในฐานะมีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ในขณะนั้นทำหน้าที่เป็นประธาน การแต่งตั้งดังกล่าวทั้งสองครั้ง ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากกลุ่มลูกศิษย์ของพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว นายสนธิ ลิ้มทองกุล และนายทองก้อน วงศ์สมุทร