วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคดียิงอาร์พีจีใส่กลาโหม แต่ยังให้ขังจำเลยรอศาลฎีกา

ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคดียิงอาร์พีจีใส่กลาโหม แต่ยังให้ขังจำเลยรอศาลฎีกา

คดียิงอาร์พีจีใส่กระทรวงกลาโหมเมื่อมี.ค. 53 ที่ศาลชั้นต้นจำคุก 38 ปีนั้น ล่าสุดศาลอุทธรณ์ตัดสินว่าพยานโจกท์ 4 ปากเบิกความไม่มีน้ำหนักพอว่าจะจำหน้าจำเลยได้เพราะเป็นช่วงกลางคืน จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยไว้ก่อน รอชั้นศาลฎีกา
         ตามที่เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 53 มีผู้ยิงจรวดอาร์พีจีใส่กระทรวงกลาโหมแต่พลาดเป้าถูกสายไฟและไปตกบริเวณถนนอัษฎางค์ และต่อมา ประชาไท รายงานว่า ในวันที่ 13 ธ.ค. 54 ศาลมีคำพิพากษาอาญาหมายเลขดำที่ อ.2317/2553 ตามที่อัยการเป็นโจกท์ ลงโทษ ส.ต.ต.บัณฑิต สิทธิทุม จำเลย ฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอม (แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอม) จำคุก 2 ปี, ฐานร่วมกันก่อการร้ายตามมาตรา 135/1(1) จำคุก 20 ปี, ฐานร่วมกันใช้และครอบครองเครื่องยิงจรวดจำคุก 5 ปี, ฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิด จำคุก 5 ปี, ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนกลมือ จำคุก 5 ปี, ฐานร่วมกันพกพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควร ตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 จำคุก 1 ปี แต่ยกฟ้องความผิดตามพ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 และสนับสนุน นปช. ในการก่อการร้าย รวมจำคุก 38 ปี ส่วนความผิดฐานปลอมแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์นั้นยกฟ้อง เนื่องจากโจทก์มีเพียงพยานที่มาเบิกความว่ามีชายไม่ทราบชื่อมาว่าจ้างให้ทำแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ทำปลอมเอกสารแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์นั้น (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
       ล่าสุดในวันนี้ (9 ส.ค.) ข่าวสดออนไลน์ รายงานว่า ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า คดีนี้มีพยานโจทก์หลายปาก ซึ่งเห็นคนร้ายในช่วงเวลาแตกต่างกัน ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า พยานพบเห็นคนร้ายขับรถยนต์ โตโยต้า วีโก้ สีบรอนซ์ทอง หมายเลขทะเบียน ตศ 9818 กทม. เข้ามาจอดภายในซอยบริเวณด้านหลังกระทรวงกลาโหม ซึ่งพยานระบุว่าเห็นจำเลยอยู่ในรถคันดังกล่าวด้วย จากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมงก็ได้ยินเสียระเบิดดังขึ้น ซึ่งภายหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตรวจค้นพบรถยนต์ดังกล่าวจอดอยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุ สภาพกระจกแตกทั้งคัน ประตูรถเสียหายทั้งบาน และตัวรถได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก และภายในรถยังพบเครื่องยิงจรวดอาร์พีจีจำนวน 1 กระบอก และระเบิดเอ็ม 67 จำนวน 3 ลูก และเสื้อแจ็คเก็ต 1 ตัว  แสดงว่าคนร้ายใช้รถยนต์คันดังกล่าวในการก่อเหตุจริง

ประเด็นมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ได้นำพยานขึ้นเบิกความจำนวนหลายปาก แต่คำเบิกความของพยานถึงสาระสำคัญตำแหน่งที่นั่งภายในรถยนต์ของคนร้ายไม่ตรงกัน โดยพยานบางรายระบุเห็นจำเลยเป็นคนขับ แต่พยานบางรายระบุว่าจำเลยนั่งข้างคนขับ พยานบางคนระบุว่าจำเลยใส่หมวกแก๊ป ขณะที่พยานบางคนบอกว่าไม่ได้ใส่หมวก  ซึ่งพยานให้การขัดแย้งกันเองไม่มีน้ำหนักมั่นคงน่าเชื่อถือ และขัดแย้งกับคำให้การของตนเองที่เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวน จึงยังไม่แน่ใจว่าคนร้ายใช่จำเลยหรือไม่ ซึ่งเป็นส่วนสาระสำคัญแห่งคดี พยานต้องเบิกความให้ชัดเจนมั่นคง  
อีกทั้งขณะเกิดเหตุเป็นช่วงเวลากลางคืนแสงไฟมีน้อย และถึงแม้ว่าผลตรวจลายนิ้วมือแฝงภายในรถและเสื้อเจ็คเก็ต จะพบว่ามีดีเอ็นเอจำเลยปะปนอยู่ แต่ก็มีของบุคคลอื่นรวมอยู่ด้วย ส่วนที่พยานให้การว่าจำเลยมีส่วนเกี่ยวกับรถยนต์คันก่อเหตุที่มีการซื้อขายต่อกันมาหลายทอดนั้น พยานโจทก์ก็ไม่ได้เบิกความยืนยันว่าจำเลยอยู่ในรถยนต์คันเกิดเหตุด้วยและเป็นคนร้ายจริงหรือไม่ ศาลเห็นว่าแม้ว่าพยานแวดล้อมจะเบิกความระบุว่าจำเลยเกี่ยวข้องกับรถยนต์คันดังกล่าว แต่โจทก์ไม่มีพยานเบิกความเน้นว่าจำเลยเป็นคนร้ายแต่อย่างใด จึงมีเหตุสมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษากลับยกฟ้อง แต่ให้ขังไว้ระหว่างฎีกา และให้ริบของกลาง แต่ให้กักขังจำเลยไว้ระหว่างรอศาลฎีกา (อ่านต่อที่นี่)
สำหรับคดีดังกล่าว ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมฯ (ศปช.) เคยให้ข้อมูลว่า ส.ต.ต.บัณฑิต ถูกควบคุมตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย. 53 จากบ้านของเขาที่ อ.บางแสน จ.ชลบุรี โดยเจ้าหน้าที่นำกำลัง 20 นายมาจับเขาที่บ้านพัก มีการค้นบ้าน และระหว่างควบคุมตัวมีการนำผ้ามาปิดตา และระหว่างชั้นสอบสวนมีการข่มขู่ด้วยว่าถ้าไม่ตอบจะเอาไปให้ทหารยิง โดยภรรยาของ ส.ต.ต.บัณฑิต ใช้เวลากว่า 1 เดือน ถึงทราบว่าสามีถูกจับไปไว้ควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

บ.ก.ไทยพีบีเอส เข้าพบ ปอท.หลังโดนออกหมายเรียกโพสต์ปลุกปั่น เจ้าตัวยันไม่มีเจตนา

บ.ก.ไทยพีบีเอส เข้าพบ ปอท.หลังโดนออกหมายเรียกโพสต์ปลุกปั่น เจ้าตัวยันไม่มีเจตนา

         "เสริมสุข กษิติประดิษฐ์" เข้าพบพนักงานสอบ ยืนยันไม่ได้โพสต์ปลุกปั่นสถานการณ์ และเป็นการทำหน้าที่สื่อมวลชน แถมยังชี้แจงเพื่อนในเฟซบุ๊คไม่ให้หลงเชื่อข้อความดังกล่าว
          9 ส.ค. 56 - มติชนออนไลน์รายงานว่านายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ บรรณาธิการข่าวการเมืองและความมั่นคง สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสเดินทางทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกองบังคับการตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือ ปอท. พร้อมกับทนายความส่วนตัวหลังถูกออกหมายเรียกให้เข้ามาให้การที่ได้โพสต์ข้อความในทำนองว่าจะมีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นให้ประชาชนกักตุนอาหารในเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาตรา 14 และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงแก่กฎหมายแผ่นดินเกิดความปั่นป่วนซึ่งจะก่อให้เกิดความไม่สงบในราชอาณาจักร
         พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำนายเสริมสุขนานกว่า 2 ชั่วโมง ซึ่งนายเสริมสุขได้ปฏิเสธว่าไม่ได้มีเจตนาปลุกปั่นสถานการณ์แต่อย่างใดแต่เป็นการโพสต์เพื่อชี้แจงให้กลุ่มเพื่อนในเฟซบุ๊กว่าอย่าหลงเชื่อข้อความดังกล่าวเพราะได้ตรวจสอบเรื่องนี้แล้วว่าไม่เป็นความจริงซึ่งถือเป็นการทำหน้าที่สื่อมวลชนเท่านั้น
       สำหรับผู้ที่ถูกออกหมายเรียกในกรณีนี้มีทั้งหมด 4 คน และได้เข้ามาให้การแล้ว 3 คน เหลืออีก 1 คน อยู่ระหว่างการติดต่อประสานเข้ามา ซึ่งพนักงานสอบสวนยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหากับคนใดเพราะจะดูเจตนาที่ชัดเจนของผู้โพสต์ก่อนและพยานหลักฐานอื่นหากเข้าข่ายตามความผิดจริงพนักงานสอบสวนก็จะเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป

คลิป 'สุเทพ เทือกสุบรรณ' ยืนยันไม่มีสไนเปอร์ในปี 53

คลิป 'สุเทพ เทือกสุบรรณ' ยืนยันไม่มีสไนเปอร์ในปี 53

สภาถก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม 'สุเทพ เทือกสุบรรณ' ยันไม่เคยสั่งทหารไปฆ่าประชาชน ไม่มีการใช้สไนเปอร์ มีแต่ปืนติดลำกล้องใช้ยิงโต้ผู้ก่อการร้ายที่มุ่งร้าย จนท. - ประชาชน คนที่ถูกยิงคือผู้ก่อการร้ายแฝงตัวมา ด้านลูก เสธ.แดง ยกมือโต้ อัดสุเทพกล่าวเท็จ เชื่อประชาชนมีคำตอบแล้วว่าใครเป็นฆาตรกร
การอภิปรายตอบโต้ระหว่างสุเทพ เทือกสุบรรณ (ซ้าย) และขัตติยา สวัสดิผล (ขวา) เมื่อ 8 สิงหาคม 2556 ที่มา: โทรทัศน์รัฐสภา

        เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่ผ่านมา ในการประชุมรัฐสภา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตนายกรัฐมนตรี และ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ได้ขอสิทธิกล่าวอภิปรายถึงกรณีที่ถูกนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ และ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย พาดพิงว่าเป็นผู้มีอำนาจ เป็นรัฐบาลอำมหิต สั่งทหารฆ่าประชาชน และเป็นรัฐบาลแรกของโลกที่เอาสไนเปอร์จัดการประชาชน โดยนายสุเทพอภิปรายว่า ไม่เคยสั่งทหารไปฆ่าประชาชน เมื่อมีเหตุการณ์จลาจลก็ถือว่าเป็นอำนาจรัฐบาลต้องยับยั้งเหตุการณ์ แต่เหตุการณ์ที่เกิดความรุนแรงฆ่าประชาชนนั้นเป็นของบุคคลกลุ่มหนึ่งที่มีอาวุธสงครามอยู่ในมือ ทั้งที่ไม่มีสิทธินำมาฆ่าประชาชนและเจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่ต้องปกป้องชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยใช้อาวุธยับยั้งผู้ก่อการร้ายที่ใช้อาวุธสงครามมาฆ่าเจ้าหน้าที่ ถือเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย
        "ในประการที่ณัฐวุฒิบอกว่าเป็นรัฐบาลแรกของโลกที่เอาสไนเปอร์มาจัดการประชาชน เอาปืนส่องประชาชนตามหัวมุมตึก ก็ไม่เป็นความจริงครับ ไม่ได้เอาปืนสไนเปอร์ไปส่องดักยิงประชาชนด้วยความเมามันในอำนาจแต่ประการใด แต่ว่าที่จำเป็นต้องให้มีพลแม่นปืนขึ้นไปประจำอยู่ในพื้นที่สูงข่มเป็นการดำเนินการเพื่อคุ้มครองชีวิตเจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติหน้าที่ ที่ไปตั้งด่าน ไปตั้งจุดสกัด อยู่ตามจุดต่างๆ เพื่อไม่ให้ผู้ก่อการร้ายออกไปก่อกรรมทำเข็ญกับประชาชนชาวกรุงเทพฯ พลแม่นปืนที่ว่านั้นไม่ใช่สไนเปอร์ ปืนสไนเปอร์นั้นมีความยาวเป็นพิเศษ มีลักษณะปืนเป็นพิเศษ แต่ปืนที่ใช้นั้นเป็นอาวุธประจำกายของทหารตามปกติ แต่ว่าได้มีการดัดแปลงติดกล้อง ไม่ใช่สไนเปอร์ และไม่ได้ตั้งใจเอาไปเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ มีคำสั่งของผมชัดเจนว่าให้ใช้พลแม่นปืนนี้ ยิงระงับผู้ก่อการร้ายที่มุ่งทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์ คนที่ถูกยิงคือบรรดาผู้ก่อการร้ายที่แฝงตัวมาครับ ท่านประธานครับ"
       "ในประเด็นที่สาม กรณีที่คุณณัฐวุฒิกล่าวหาว่า ผมพูดจาโดยไม่รับผิดชอบ อยากจะพูดอะไรก็พูด เรื่องไปเอ่ยชื่อบุคคลที่เผาเซ็นทรัลเวิลด์"
        ต่อมา น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย บุตรสาวของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุลอบยิงที่หน้าสวนลุมพินีเมื่อ 13 พ.ค. 53 ได้ลุกขึ้นประท้วง และอภิปรายว่า "ผู้ที่กำลังกล่าวว่าตัวเองถูกพาดพิงนั้น ท่านกล่าวความเห็น ท่านกล่าวว่าไม่มีสไนเปอร์ในเหตุการณ์ ในพื้นที่ดังกล่าว แล้วนี่คืออะไรคะ" จากนั้น น.ส.ขัตติยา ได้แสดงรูปภาพทหารถือปืนติดลำกล้องในเหตุการณ์ระหว่างวันที่ 13 - 19 พ.ค. 53 และอภิปรายต่อไปว่า "บุฟการีของดิฉัน โดนยิงในวันที่ 13 พ.ค. ฝีมือใครคะ ฝีมือฆาตรกรคนไหนคะ กรุณากล่าวความจริงในสภาค่ะ ท่านโกหกคนทั้ง..."
       อย่างไรก็ตาม รองประธานสภาผู้แทนราษฎร นายเจริญ จรรย์โกมล ซึ่งทำหน้าที่ประธานสภาฯ ได้ปิดไมโครโฟนของผู้อภิปรายและกล่าวว่า "ใจเย็นๆ ฮะ คืออย่างนี้ครับ ท่านที่ใช้สิทธิพาดพิง ท่านก็อธิบายของท่านไป ส่วนท่านจะมีความรู้สึกเชื่อไม่เชื่อเป็นเรื่องของท่าน ท่านก็บอกว่าอาวุธที่ใช้มาควบคุมอะไรท่านก็อธิบายประเด็นที่สามเลย"
        จากนั้น นายสุเทพ ได้อภิปรายต่อไปว่า "ท่านสุภาพสตรีที่อภิปรายเมื่อสักครู่ บังเอิญท่านพาดพิงว่าผมโกหก บังเอิญมีผู้พาดพิงใหม่แล้วเป็นการพาดพิงซึ่งหน้าเลย ซึ่งถ้าผมไม่พูดนี่เสียหายมาก ผมต้องขอชี้แจงตรงนี้ก่อน ก่อนที่จะไปประเด็นคุณณัฐวุฒิ ท่านประธานครับ กรณีของคุณพ่อท่านที่เสียชีวิต จนเดี๋ยวนี้เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ทราบว่าฝ่ายไหนทำให้เสียชีวิต ยังไม่เคยมีผลของการสอบสวน เพราะฉะนั้นจะมากล่าวหาผมไม่ได้ ผมไม่ทราบจริงว่าฝ่ายไหน อาจจะเป็นพวกคุณยิงกันเองก็ได้" ซึ่งการอภิปรายของนายสุเทพช่วงนี้ ทำให้มีเสียงโห่ร้องเกิดขึ้นในที่ประชุมสภา
        รองประธานสภากล่าวต่อไปว่า "เดี๋ยวท่านสุเทพ ผมว่าประเด็นนี้พอแล้วล่ะ เชิญประเด็นที่สามครับ"
        นายสุเทพกล่าวว่า "ก็ถ้าไม่พูดพาดพิง ผมก็ไม่ชี้แจง แต่ผมต้องชี้แจงให้จบ เพราะว่าก่อนหน้าที่จะเสียชีวิต..."
        อย่างไรก็ตาม น.ส.ขัตติยา ได้ลุกขึ้นประท้วงอีกรอบและอภิปรายว่า "ท่านสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นหนึ่งในคณะ ศอฉ. ดิฉันลุกขึ้นประท้วงเพราะว่าท่านกล่าวเท็จบอกว่าไม่มีสไนเปอร์ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และดิฉันก็ลุกขึ้นพูดว่าที่พ่อดิฉันถูกยิงเสียชีวิตก็จากปืนสไนเปอร์ ส่วนใครจะเป็นคนทำจะเป็นจากเจ้าหน้าที่หรือไม่ อันนั้นอยู่ในกระบวนการยุติธรรม แต่ดิฉันเชื่อว่าประชาชนทั่วประเทศมีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่าใครเป็นฆาตรกร"
         อนึ่ง ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อ 16 ส.ค. 55 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ได้ชี้แจงรูปที่ปรากฏเป็นทหารถือปืนติดลำกล้องที่ประจำการที่หน้าสนามมวยลุมพินีเมื่อ 16 พ.ค. 53 ว่าไม่ใช่สไนเปอร์ แต่เป็นปืนที่ "ติดกล้องเฉยๆ และกล้องตัวนั้นและปืนตัวนั้นไม่ใช่แบบสไนเปอร์" โดยระบุว่าลำกล้องดังกล่าวในตลาดนัดก็มีขายที่ใช้สำหรับยิงนก ไม่ใช่สไนเปอร์ และในปี 2553 พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. ในสมัยนั้นเรียกทหารที่ใช้อาวุธในลักษณะดังกล่าวว่า "เจ้าหน้าที่พลแม่นปืนระวังป้องกัน" หรือ "sharpshooter" (อ่านข่าวย้อนหลัง)
 
           และต่อมาเมื่อ 18 ส.ค. 55 ประชาไท ได้เผยแพร่เอกสาร ส่วนราชการ สยก.ศอฉ. ที่ กห.0407.45 (สยก.)/130 ลงวันที่ 17 เม.ย. 53 เรื่อง “ขออนุมัติแนวทางการปฏิบัติในการใช้อาวุธเพื่อ รปภ. ที่ตั้งหน่วยและสถานที่สำคัญ รวมทั้งการปฏิบัติ ณ จุดตรวจ/ด่านตรวจและสายตรวจเคลื่อนที่” ลงนามโดย พล.ท.อักษรา เกิดผล หน.สยก.ศอฉ. เสนอ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. ในเวลานั้น โดยมีเนื้อหาในข้อ 2.5 ระบุว่า "ในกรณีพบความผิดซึ่งหน้าในลักษณะผู้ก่อเหตุใช้อาวุธยิงใส่เจ้าหน้าที่ หรือใช้อาวุธ/วัตถุระเบิดต่อที่ตั้งหน่วยและสถานที่สำคัญที่ ศอฉ. กำหนด ได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้อาวุธยิงผู้ก่อเหตุ เพื่อหยุดยั้งการปฏิบัติได้ แต่หากผู้ก่อเหตุอยู่ปะปนกับผู้ชุมนุมจนอาจทำให้การใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ เป็นอันตรายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ให้งดเว้นการปฏิบัติ ยกเว้นในกรณีที่หน่วยได้จัดเตรียมพลแม่นปืน (Marksmanship) ที่มีขีดความสามารถเพียงพอให้ทำการยิงเพื่อหยุดยั้งการก่อเหตุได้ นอกจากนี้หากหน่วยพบเป้าหมายแต่ไม่สามารถทำการยิงได้ เช่น เป้าหมายอยู่ในที่กำบัง ฯลฯ หน่วยสามารถร้องขอการสนับสนุนพลซุ่มยิง (Sniper) จาก ศอฉ. ได้” (อ่านข่าวย้อนหลัง)
 
        และก่อนหน้านี้เมื่อ 18 มี.ค 54 พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ได้เปิดเผยรายงานบัญชีสรุปรายการเบิกจ่ายกระสุนจากหน่วยคลังแสงสรรพาวุธทหารบก เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ตั้งแต่ 11 มี.ค. 53 จนถึงเสร็จสิ้นการโดยมีการเบิกกระสุนจากคลังแสงทหารบกกว่า 597,500 นัด ส่งคืน 479,577 นัด ใช้ไป 117,923 นัด เผยมีการเบิกกระสุนปืนซุ่มยิง 3,000 นัด คืนเพียง 880 นัด ขณะที่เบิกกระสุนซ้อมเพียง 10,000 นัด ส่งคืน 3,380 นัด (อ่านข่าวย้อนหลัง)

นายกขอบคุณฝ่ายค้านประชุมสภาผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมวาระแรก

นายกขอบคุณฝ่ายค้านประชุมสภาผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมวาระแรก

         นายกรัฐมนตรีขอบคุณฝ่ายค้านและ ส.ส.ทุกคนที่ร่วมอภิปรายและผ่านความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในวาระแรก ผบ.ทบ.ชี้ขั้นตอน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ต้องเป็นตามกระบวนการ ด้าน 'ชูวิทย์' เผยงดออกเสียงเพราะอยากให้ศาลตัดสินก่อน แล้วถึงเดินหน้านิรโทษฯ 'อภิสิทธิ์' ลั่นแปรญัตตินิรโทษฯ เต็มที่
 
          9 ส.ค. 56 - สำนักข่าวไทยรายงานว่าที่โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคน โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านฯ และสมาชิกพรรคฝ่ายค้าน ที่ร่วมพิจารณาอภิปรายและผ่านความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในวาระแรก ถือว่าทุกอย่างผ่านไปอย่างเรียบร้อย และหลังจากนี้ก็หวังว่า เวทีของสภาฯ จะเป็นอีกเวทีหนึ่งที่ได้มีการหารือและพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการ เพื่อหาทางออกและแก้ปัญหาในปัจจุบัน โดยเวทีของสภาฯ จะเป็นบรรทัดฐานเชื่อมโยงต่อไปยังเวทีที่รัฐบาลได้เชิญผู้ที่มีความรู้ความสามารถมาร่วมหารือ เพื่อหาทางออกสำหรับอนาคตต่อไป
 
         ต่อข้อถามว่า เป็นห่วงหรือไม่ เพราะฝ่ายค้านระบุไม่ให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในวาระ 3 นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับเวทีที่จะพูดคุยกัน ตนเชื่อว่าเราเป็นคนไทยด้วยกัน มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน มองอนาคตข้างหน้าด้วยการเดินไปด้วยกัน เชื่อว่าความเสียสละ การให้อภัย และเห็นแก่อนาคตของลูกหลาน จะมีแรงผลักดันและได้รับความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วน
 
ผบ.ทบ.ชี้ขั้นตอน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ต้องเป็นตามกระบวนการ

 
         มติชนออนไลน์รายงานว่าเมื่อเวลา 07.30 น. ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมว่า เป็นกระบวนการทางรัฐสภา ซึ่งในตอนนี้ผ่านวาระที่ 1 แล้ว เหลือวาระ 2 และ 3  ตนไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปหรือไม่ ซึ่งเท่าที่อ่านดูจากสื่อเห็นว่า อาจจะมีการฟ้องศาลรัฐธรรมนูญกันอีก ส่วนอะไรจะเกิดขึ้นต้องว่ากันไปตามกระบวนการ
 
        เมื่อถามว่า นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ถามถึง ผบ.เหล่าทัพ ว่ามีจุดยืนอย่างไร ที่จะมีการนิรโทษกรรมผู้ที่ทำความผิดมาตรา 112 พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนเคยตอบไปแล้วว่า อะไรก็ตาม ถ้าได้มีการเดินตามกระบวนการทางกฎหมายและถูกต้อง ตนไม่สามารถไปขัดขวางได้ แต่ถ้าอะไรไม่ถูกต้องและชอบธรรม สิ่งนั้นก็ผ่านไปไม่ได้ ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย นี่คือกระบวนการประชาธิปไตย ตนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสังคมไทยในขณะนี้ กฎกระทรวงกลาโหมเขียนไว้ชัดเจนว่า ทหารจะต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง หรือกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมืองดำเนินการ ไม่พูดจาขัดขวางต่อต้านกับรัฐบาล ไปดูกฎกระทรวงกลาโหมที่เขียนมา ตนพยายามยืนหยัดอยู่ตรงนั้น
               
         เมื่อถามย้ำว่า แต่กองทัพมีหน้าที่ปกป้องสถาบัน จะยอมได้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า จะให้ตนปกป้องด้วยอะไร ด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์หรือ ตนทำอะไรมากมายพอสมควร ซึ่งตนพูดคุยกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในเรื่องนี้แล้ว แต่ไม่จำเป็นที่จะมาพูดออกสื่อ เพื่อประชาสัมพันธ์ เพราะไม่ใช่เรื่อง เราทำหน้าที่ตามกฎหมาย เขาว่าอย่างไรก็ทำตามนั้น ใครละเมิดมาตรา 112 ถ้าเกินกว่าเหตุหรือพูดจาพบปะพูดคุยแล้วไม่รู้เรื่องจะต้องส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี ซึ่งเป็นขั้นตอนของตำรวจและกระทรวงไอซีทีดำเนินกันไป ไม่ใช่ทหารตั้งแต่ต้นจน
 
 
'ชูวิทย์' FB จุดยืน ให้ศาลตัดสินก่อน แล้วถึงเดินหน้า'นิรโทษฯ'

 
ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่านายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพลต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ชูวิทย์ I'm No.5 ยืนยันว่า ส่วนตัวไม่เชื่อว่า "ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม" จะช่วยทำให้เกิด "ความปรองดอง" และยืนยันจุดยืนของตนเองในเรื่องดังกล่าว ให้ศาลตัดสิน" ทุกคดี ที่ยังค้างคาอยู่ 
 
หลังจากนั้น เราถึงไป "นิรโทษกรรม" กันได้ เราต้องเชื่อมั่นกระบวนการ "ตุลาการ" เมื่อตัดสินออกมาแล้ว จึงถึงกระบวนการ "นิติบัญญัติ" ที่จะทำให้สังคมมีทางออก
 
แต่ผมมีเพียงเสียงเดียว ไม่สามารถทำให้ "มติ" เปลี่ยนแปลงได้ แต่เสียงของผม "สะท้อน" ออกมาให้เห็นว่า ผมไม่ยอมตกเป็น "เครื่องมือ" ของใคร คนเขาบอกว่า “Forgive and Forget” ให้อภัย ลืมเรื่องเก่า แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ ไม่มีใครเขาบอกให้ "ลืมก่อน แล้วค่อยมาให้อภัยทีหลัง"
 
โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้….
 
เมื่อผมกด "งดออกเสียง"
 
            ผมไม่เชื่อว่า "ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม" จะช่วยทำให้เกิด "ความปรองดอง" อย่างที่คุณเห็นไม่กี่วันนี้ว่า "ม็อบ" หรือ "การประชุมสภาฯ" มีความคิดเห็นแตกต่างสุดกู่อย่างไร สังคมแตกแยกอันเนื่องมาจาก "ผลประโยชน์" ของนักการเมืองนี่เอง 
 
            ไม่ว่าคุณเลือกฝ่ายไหน คุณจะถูกอีกฝ่ายเอาเหตุผลมาหักล้าง ส่วนที่กล่าวหาผมว่า "ไม่มีจุดยืน" จะบอกให้ว่า "จุดยืน" ผมเป็นอย่างไร มันอาจไม่ถูกใจคุณ เหมือนตอนคุณคุยกับเพื่อน แล้วเขาไม่เห็นด้วยกับความเห็นของคุณ หรือแม้แต่คนที่ "นอนเตียงเดียวกัน" กับคุณ อาจจะมีความเห็นไม่ตรงกับคุณ แล้วคุณจะไม่ชอบหน้าพวกเขาหรือไม่?
 
           "ความคิดเห็นทางการเมือง" ไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก เพราะสังคมหลากหลายไปด้วยความคิดเห็นที่แตกต่างของผู้คน หากไม่อย่างนั้นแล้ว สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของ "กฎหมาย" ทุกคนต้องปฏิบัติตามเชื่อมั่นในหลักยุติธรรม
 
           จุดยืนของผมคือ "ให้ศาลตัดสิน" ทุกคดีที่ยังค้างคาอยู่ หลังจากนั้นเราถึงไป "นิรโทษกรรม" กันได้ เราต้องเชื่อมั่นกระบวนการ "ตุลาการ" เมื่อตัดสินออกมาแล้ว จึงถึงกระบวนการ "นิติบัญญัติ" ที่จะทำให้สังคมมีทางออก
 
          แม้ว่าผมมีเพียงเสียงเดียว ไม่สามารถทำให้ "มติ" เปลี่ยนแปลงได้ แต่เสียงของผม "สะท้อน" ออกมาให้เห็นว่า ผมไม่ยอมตกเป็น "เครื่องมือ" ของใคร
 
         คนเขาบอกว่า “Forgive and Forget” ให้อภัย ลืมเรื่องเก่า แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ ไม่มีใครเขาบอกให้ "ลืมก่อน แล้วค่อยมาให้อภัยทีหลัง"
 
หากคุณไม่เห็นด้วยกับผม มีอีกสองทางให้คุณเลือก คือ "พรรคเพื่อไทย" กับ "พรรคประชาธิปัตย์" แต่อย่ามาบังคับให้ผมเลือกแนวทางเดียวกับเขา
 
เพราะผมเป็นเสรีชน "พรรครักประเทศไทย".
 
 
“อภิสิทธิ์” ลั่นแปรญัตตินิรโทษฯ เต็มที่ เตือนอย่าอ้าง “ปู่พิชัย” ตัวแทน ปชป. ปาหี่ปฏิรูป

 
        ASTV ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงบทบาทของพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติรับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมวาระ 1 แล้ว ว่า การทำงานของพรรคในสภาก็จะเน้นเรื่องการแปรญัตติให้เกิดความชัดเจน ให้เกิดการจำแนกกลุ่มผู้กระทำความผิด และกลุ่มบุคคลที่จะได้รับการนิรโทษกรรมไม่ให้เสียหลักการของบ้านเมือง และใช้โอกาสนี้ให้ได้เห็นประเด็นที่เป็นปัญหามากขึ้น ซึ่งขณะนี้สมาชิกของพรรคส่วนหนึ่งก็ได้เริ่มทำคำแปรญัตติแล้ว ส่วนตนก็เป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมอยู่แล้ว ซึ่งคาดว่าสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมกรรมาธิการนัดแรก ส่วนกิจกรรมของพรรคก็จะเน้นการเผยแพร่ข้อมูลให้ได้รับทราบจากการพิจารณาในวาระที่ 1 และสิ่งที่จะทำในวาระที่ 2 นอกจากนั้นก็จะมีกิจกรรมที่จะเชิญชวนประชาชนให้สามารถสะท้อนความคิดเห็นหรือแสดงการคัดค้านกฎหมายดังกล่าวในรูปแบบต่างๆ

       
       นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การที่นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่าจะใช้เวลา 2 เดือนกฎหมายดังกล่าวก็สามารถประกาศใช้ได้นั้น เราก็เห็นว่ามีความพยายามที่จะรีบทำอยู่แล้ว เพราะเมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมาก็มีการเสนอญัตติปิดประชุมสภากลางคัน ทั้งที่มีการอภิปรายค้างอยู่ ซึ่งตนก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งนี้ตนเป็นห่วงว่าการที่รัฐบาลไม่รับฟังข้อท้วงติด หรือความเห็นต่าง แต่พยายามเดินหน้าในสิ่งที่ตัวเองต้องการเป็นหลัก ทั้งนี้ตนสงสัยว่าเหตุใด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่เข้าร่วมประชุมสภาทั้ง 2 วัน จึงไม่แน่ใจว่าเป็นการหลีกเลี่ยงการลงคะแนนหรือไม่ ซึ่งก็ต้องถามนายกฯ ว่าเรื่องที่สำคัญเร่งด่วนจนไม่สามารถมาร่วมประชุมสภาได้คืออะไร
       
        “เชื่อว่าเขาคงผลักดันแน่เพราะดูพร้อมที่จะทำทุกอย่าง ไม่ฟังเสียงท้วงติงทั้งภายในภายนอก แต่ก็เริ่มเห็นแล้วว่าบางเรื่องที่ทักท้วงไปก็เริ่มมีการพิจารณา อาทิ การกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ทั้งนี้ต้องรอดูบรรยากาศการประชุมกรรมาธิการก่อน เพราคงจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าการทำงานในกรรมาธิการจะเป็นอย่างไร ทั้งนี้ ผมยืนยันว่าพวกเราจะทำเต็มที่ และต้อชี้แจงประชาชนหากมีการหยิบยกประเด็นสำคัญขึ้นมา แล้วไม่พิจารณาก็ยิ่งเป็นการฟ้องตัวเองว่าเป็นการผลักดันกฎหมายโดยไม่คำนึงถึงหลายๆ อย่าง ซึ่งหากเดินหน้าไปอย่างนี้เรื่องๆ ปัญหาความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญก็เป็นประเด็นอยู่แล้ว” นายอภิสิทธิ์กล่าว

       
         ส่วนกรณีที่นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และนายวราเทพ รัตนากร รมว.ประจำสำนักนายกฯ เดินสายไปพบกับนายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเชิญเข้าร่วมเวทีปรองดองปฏิรูปการเมืองนั้นว่า นายพิชัยก็มีสิทธิ์ใช้ดุลพินิจของตัวเอง ส่วนที่วิจารณ์ว่าพรรคประชาธิปัตย์ขัดขวางความปรองดองนั้น เป็นเรื่องที่ไม่จริง เพราะในการประชุมสภา ตนและ ส.ส.ของพรรคได้อภิปรายชัดเจนว่า นายกฯบอกให้ทุกอย่างมาพูดในสภา แต่พอ ส.ส.ฝ่ายค้านเข้าสภานายกฯ ก็ไม่อยู่ และไม่มาตอบคำถามว่าอะไรคือความจำเป็นเร่งด่วนในการพิจารณากฎหมายนี้ทั้งที่เพียงแค่เลื่อนกฎหมายนี้ออกไป แล้วทุกฝ่ายมาหารือหาทางออกให้ประเทศไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การที่นายพิชัยออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบใดๆ กับพรรค เพราะมีการวิเคราะห์แล้วว่าคงจะมาแนวนี้ ซึ่งจะเอานายพิชัยมาอ้างเป็นตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ เพราะท่านไปในส่วนของอดีตประธานสภา

       
        เมื่อถามว่าการที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เข้าร่วมวงเสวนาปฏิรูปการเมืองนั้น จะกลายเป็นถูกโดดเดี่ยวทางการเมืองหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนเชื่อว่ามีคนจำนวนมากที่มีจุดยืนสอดคล้องกับสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์แสดงออก และก็มีคนไม่เห็นด้วยก็เป็นเรื่องปรกติ ซึ่งไม่ว่าเราจะเข้าร่วมหรือไม่รัฐบาลก็คงเดินหน้าอยู่แล้ว เพราะท่าทีที่ผ่านมาก็ไม่มีการรับฟังฝ่ายค้าน ทั้งนี้หากไม่มีการคุยในเรื่องที่เป็นความขัดแย้งก็ไม่สามารถขจัดความขัดแย้งได้ จะบอกว่ามีปัญหาแต่คุยได้ทุกเรื่องยกเว้นตัวปัญหานั้นก็แก้ปัญหาไม่ได้
       
       “ผมยังไม่เห็นการตั้งโจทย์ที่ชัดเจน แต่หากจะมีการตั้งโจทย์แล้วไปลงเอยที่การแก้รัฐธรรมนูญเราก็ไม่แปลกใจ เพราะเป็นขั้นต่อไป หลังจากเรื่องนิรโทษกรรม ซึ่งเป็นการกลับไปเหมือนเดิม ตั้งเงื่อนไขประเทศว่าสุดท้ายต้องไปจบลงตรงนั้น เพราะเขายืนยันอย่างนี้มาโดยตลอด จึงอยากให้คนที่เข้าร่วมสังเกตตรงนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าจะทำไม่สำเร็จเพราะผมไม่เชื่อว่าหลักการที่อยู่บนความไม่ถูกต้อง และตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มเดียวจะทำได้อย่างราบลื่น ซึ่งสุดท้ายสังคมส่วนใหญ่ จะมองเห็นว่าการรักษาสมดุล และความถูกต้องจะสำคัญกว่า” นายอภิสิทธิ์กล่าว
       
        หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวถึงกรณีกลุ่มบีอาร์เอ็นปล่อยคลิปล้มโต๊ะการเจรจากับฝ่ายไทยนั้นว่า ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ และรัฐบาลต้องกำหนดท่าทีให้ชัด และต้องแสดงจุดยืนเพื่อกำหนดแนวทางการทำงานต่อไป เพราะเราต้องรู้ก่อนว่าการถอนตัวนั้นแค่ตัวบุคคล หรือถอนทั้งองค์กร หรือล้มเลิกกระบวนการนี้ ซึ่งรัฐบาลต้องมาประเมินสิ่งที่ผ่านมาว่าเหตุใดหลังจากการพูดคุย 5-6 เดือนจึงกลายมาเป็นถึงจุดนี้ ส่วนที่กลุ่มบีอาร์เอ็นเสนอให้รัฐบาลพิจารณา 5 ข้อเสนอที่เคยพูดไปก่อนหน้านี้นั้น เราเตือนตั้งแต่ต้นว่าไม่คัดค้านการพูดคุย แต่ที่มาของการพูดคุยใน 6 เดือนที่ผ่านมาเริ่มต้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลมาเลเซีย ทำให้เกิดกระบวนการนี้ขึ้น เพื่อหวังผลทางการเมืองระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่าย ส่วนกลุ่มบีอาร์เอ็นเมื่อเข้ามาสู่โต๊ะเจรจาแล้ว ก็ใช้เวทีนี้โฆษณาตัวเอง และทำให้ปัญหายกระดับเป็นที่รับรู้ทั่วโลก ซึ่งบีอาร์เอ็นบรรลุเป้าหมายเขาแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ควรเป็นบทเรียนรัฐบาลว่าหากอยากพูดคุยให้เกิดสันติภาพจริงควรจะต้องเปลี่ยนแปลงเจรจาอย่างไร

       
        “ตอนนี้ยังทันที่จะตั้งหลัก เราอย่าไปถลำลึกในสิ่งที่เห็นว่าจะเป็นปัญหาต่อไปในอนาคต ขอให้กลับมาตั้งหลักให้ดี หากจะมีกระบวนการพูดคุย ก็ต้องตกลงให้ชัดเรื่อง รูปแบบ วิธีการ ตัวผู้เจรจา อย่าให้ซ้ำรอยกับที่ผ่านมา” นายอภิสิทธิ์กล่าว

       
        นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องจำเลยในคดียิงอาร์พีจีใส่อาคารกระทรวงกลาโหมนั้นว่า ตนยังไม่เห็นรายละเอียดคำพิพากษา แต่ก็ต้องปล่อยให้เป็นตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ตนคิดว่าอัยการควรจะยื่นฎีกาในคดีนี้ เพราะเป็นคดีที่เกิดความเสียหาย และกระทบกระเทือนกับส่วนรวมอย่างมาก และศาลชั้นต้นตัดสินลงโทษสูงมาก ดังนั้นคดีนี้ก็ควรดำเนินการให้ถึงที่สุด โดยยื่นฎีกา หากไม่มีการยื่นฎีกาก็จะเป็นปัญหาว่า หากต่อไปมีความเคลื่อนไหว โดยอ้างแรงจูงใจทางการเมืองก็สามารถทำผิดอย่างนี้ได้ ก็เท่ากับบ้านเมืองไม่มีกฎหมาย

ยกเลิก พ.ร.บ.มั่นคงแล้ว

สภารับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ด้วยเสียงข้างมาก 300 ต่อ 124 เสียง

(8 ส.ค.56) มติชนออนไลน์ รายงานว่า ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 16.30 น. หลังจากมีการถกเถียงว่าให้มีการปิดการอภิปราย ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่เสนอโดยนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ เพื่อไทย หรือไม่นั้น ประธานในที่ประชุม นายเจริญ จรรย์โกมล ได้เปิดให้มีการลงมติ ซึ่งเสียงข้างมาก 300 เสียงเห็นควรให้ปิดการอภิปราย  ขณะที่ 126 เสียง เห็นควรให้เปิดอภิปรายต่อ งดออกเสียง 6 เสียง โดยที่ประชุมในขณะนั้นมี 323 เสียง
ต่อมานายเจริญ ก็เปิดให้ลงคะแนนมติรับหลักการวาระที่ 1 ทันที และเป็นไปตามคาดคือเสียงส่วนใหญ่ 300 เสียง รับหลักการ ส่วนไม่รับหลักการมีเพียงแค่ 124 เสียง งดออกเสียง 14 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 2 เสียง โดยที่ประชุมในขณะนั้นมี 437 เสียง จากนั้นจึงเข้าสู่วาระการตั้งคณะกรรมาธิการ

ศอ.รส.ยกเลิก พ.ร.บ.มั่นคงแล้ว

         ศอ.รส. ยกเลิก พ.ร.บ.ความมั่นคง ในพื้นที่ เขตดุสิต ป้อมปราบฯ และ พระนคร แล้ว หลังร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ผ่านความเห็นชอบของสภาฯ ในวาระที่ 1
          พล.ต.อ อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร ลงนามในคำสั่งประกาศศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. ที่ 4/2556  ยกเลิก ประกาศ ศอ.รส ทั้ง 2 ฉบับ 
          ประกาศ ศอ.รส. ฉบับที่ 1/2556  เรื่อง ห้ามบุคคลเข้าหรือต้องออกจากบริเวณ พื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่กำหนด ประกาศ ศอ.รส. ฉบับที่ 2/2556  เรื่อง ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือยานพาหนะ ใน 12 เส้นทางในพื้นที่ ใช้ พ.ร.บ.มั่นคง
          ทั้งนี้ ศอ.รส ได้ประกาศให้ 3 พื้นที่ คือ เขตพระนคร ดุสิต และเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เป็นพื้นที่ได้รับผลกระทบด้านความมั่นคง ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ตั้งแต่วันที่ 1-10 สิงหาคม 2556
         อย่างไรก็ตาม ศอ.รส ยังคงประกาศ ศอ.รส ฉบับที่ 3/2556 ที่มีสาระสำคัญห้ามนำอาวุธออกนอกเคหะสถาน ยังคงบังคับใช้ต่อไป

วิวาทะรายงานสลายชุมนุม 53: ปธ.กรรมการสิทธิ - ศปช.


         (9 ส.ค.56) เมื่อเวลา 20.00น. รายการคมชัดลึก ทางเนชั่นแชนแนล ตอน ความจริง...พฤษภาอำมหิต 2553 โดยบัญชา แข็งขัน ผู้ดำเนินรายการ เชิญ อมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และ ขวัญระวี วังอุดม ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา 2553 (ศปช.) และ อาจารย์สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ม.มหิดล  ร่วมรายการ
        โดยวานนี้ (8 ส.ค.) เว็บไซต์ กสม. เผยแพร่รายงาน "รายงานผลการตรวจสอบเพื่อมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย กรณีเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ระหว่างวันที่ 12 มีนาคม 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553" ความยาว 92 หน้า โดยประธาน กสม. ระบุว่าได้ส่งรายงานให้คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา คาดว่าอีก 1-2 อาทิตย์คงจะเข้า ครม. แต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน
        ทั้งนี้ ศปช. ก่อตั้งโดยกลุ่มนักกิจกรรมร่วมกับนักวิชาการกลุ่มสันติประชาธรรม เมื่อวันที่ 19 ก.ค.53 โดยมีการลงพื้นที่เก็บข้อมูล และสัมภาษณ์พยาน ผู้ได้รับผลกระทบฯ และเผยแพร่รายงานเมื่อวันที่ 19 ส.ค.55 
000

ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เหมาะสมหรือไม่

       ช่วงแรกของรายการผู้ดำเนินรายการถามเรื่องการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ในช่วงเริ่มต้นของการชุมนุม โดยนางอมรา กล่าวว่า บทสรุปมีแนวการมองคล้าย คอป. เพราะข้อมูลที่ได้ก็ใกล้เคียงกัน ตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ รับรองสิทธิการชุมนุม โดยต้องเป็นไปอย่างสงบและไม่ใช้อาวุธ จากการศึกษา ตั้งแต่ 12 มี.ค. ถึง 7 เม.ย. 53 พบว่า การชุมนุมยังไม่รุนแรงและยังไม่พบอาวุธ ยังอยู่ภายใต้ใต้รัฐธรรมนูญ แต่หลังจากนั้น เริ่มมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในวันที่ 7 เม.ย. 53 และต่อมามีการใช้ความรุนแรงจนเกินขอบเขต
       ด้าน น.ส.ขวัญระวี กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลอภิสิทธิ์ บอกว่าเป็นประชาธิปไตยจะต้องสนับสนุนสิทธิในการชุมนุมของประชาชน การประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ครั้งนั้น เกิดขึ้นก่อนมีการชุมนุม เช่นเดียวกับกรณีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่เคยประกาศไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ ในสังคมประชาธิปไตย สิทธิการชุมนุมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เพื่อให้คนที่รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมใช้สิทธิเรียกร้องต่อคนมีอำนาจเหนือกว่า ซึ่งพอประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง จึงขัดหลักนี้
       ทั้งนี้ตั้งแต่ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง มีการปิดเว็บกว่า 9,000 เว็บในช่วงหนึ่งเดือน เท่ากับศาลต้องใช้เวลาพิจารณา 300 กว่าเว็บต่อวัน ถามว่าในความเป็นจริงทำได้หรือไม่ ทั้งยังไม่มีการแถลงว่าแต่ละเว็บก่อความวุ่นวายอย่างไร นอกจากนี้ ยังมีการสั่งปิดสถานีไทยคม ทำให้ผู้ชุมนุมเคลื่อนไปชุมนุมที่นั่น จากนั้นรัฐบาลก็ออกหมายจับแกนนำ บอกให้ย้ายมวลชนจากแยกราชประสงค์ไปที่สะพานผ่านฟ้า แต่วันต่อมา ศอฉ. กลับไปสลายการชุมนุมที่ผ่านฟ้า หมายความว่าอย่างไร จะเห็นว่า การกระทำของรัฐบาลมีส่วนทำให้มวลชนโกรธเคือง โดยเฉพาะการปิดสถานีโทรทัศน์พีเพิลชาแนล ทำให้ไม่มีสื่อของเสื้อแดงที่จะสะท้อนเสียงของเขา ยิ่งกระตุ้นให้มวลชนเกิดอารมณ์
       ทั้งนี้การตีความการชุมนุมโดยสงบ ไม่ควรตีความอย่างแคบๆ เช่น ก่อความวุ่นวาย หงุดหงิด เดือดร้อน เพราะการชุมนุมย่อมสร้างความเดือดร้อน แต่จะทำอย่างไรให้คนเดือดร้อน มีพื้นที่ รัฐบาลมีหน้าที่เอื้อให้เขาชุมนุมได้โดยสงบ
        ต่อมา นางอมรากล่าวว่า เดือนมีนาคม เป็นจุดเริ่มต้นที่ควรดูให้ละเอียดว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดอะไรตามมา และย้ำว่าการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ไม่จำเป็นไม่ควรใช้โดยเด็ดขาด เพียงแต่ว่าตอนนั้นไม่ได้ออกมาแถลงคัดค้าน เพราะอาจจะยังงงๆ อย่างไรก็ตาม หลังรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ในระยะแรก การชุมนุมยังสงบ หลังๆ ถึงมีกิจกรรมที่รุนแรงขึ้น เช่น  การเข้าไปในสถานที่ราชการ รัฐสภา เป็นการกระตุ้นให้รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
         “ไม่ได้บอกว่าการปิดพีเพิลชาแนลนั้นถูก การขัดขวางการเผยแพร่ข่าวสารเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นข้อบกพร่องของรัฐบาลแน่นอน”
000

ผู้ชุมนุมมีสิทธิเคลื่อนขบวนออกจากที่ตั้งหรือไม่

        เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า ผู้ชุมนุมมีสิทธิเคลื่อนออกจากที่ตั้งไหม ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกล่าวว่า  เป็นเรื่องการวางแผนของผู้ชุมนุมและแกนนำ ถ้าเขาจะค่อยๆ รุกและเริ่มแรงกดดัน ก็เป็นการวางแผนของผู้ชุมุนม คนที่เคยทำงานมวลชนมาก็รู้ เมื่อถึงขั้นนึงไม่ได้อย่างที่ตั้งใจก็ต้องยกระดับ เพราะฉะนั้น เป็นยุทธศาสตร์การเคลื่อนมวลชน
        ด้าน น.ส.ขวัญระวี กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวมีที่มาที่ไป ไม่ใช่อยู่ๆ ก็จะยกกำลังไปปิดล้อม ส่วนตัวมองว่า การเอาคนบุกไปรัฐสภาอาจสุ่มเสี่ยงเกินไป แต่ขณะนั้น มีการตัดสัญญาณพีเพิลชาแนลเป็นระยะๆ ขณะที่ในสภากำลังจะพิจารณาต่ออายุ พ.ร.บ.ความมั่นคง อย่างไรก็ตามความวุ่นวายขึ้นที่สภา ก็จบในไม่กี่ชั่วโมง ทั้งนี้ตามหลักกฎหมาย การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะให้อำนาจฝ่ายบริหาร และไม่มีการตรวจสอบของฝ่ายตุลาการ การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะต้องมีความจำเป็นและได้สัดส่วนกับสถานการณ์ แต่กรณีที่เกิดขึ้นไม่ได้มีความรุนแรง และรัฐสภาทำงานได้ปกติ แต่หลังจากนั้นรัฐบาลกลับประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นเรื่องเกินกว่าเหตุ

000

พ.ร.ก.ฉุกเฉิน "เขาเลิกถึงธันวาเชียวหรือ"

         ส่วนคำถามของผู้ดำเนินรายการที่ว่า กรณีรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติบอกว่า การชุมนุมใช้เวลานานเกินไป ส่งผลต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและการใช้ชีวิตปกตินั้น น.ส.ขวัญระวี ตอบว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ต้องกลับไปดูว่ารัฐบาลเอื้ออย่างไรให้ผู้ชุมนุม ชุมนุมโดยสงบ ทั้งนี้ การประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ไม่ควรคงไว้นาน แต่กรณีของไทย มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ 300 กว่าวัน ตั้งแต่ 7 เม.ย. ถึง 22 ธ.ค. ปี 2553
        โดยนางอมรา ถามกลับว่า "พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เขายกเลิกถึงธันวาเชียวหรือ ดิฉันไม่แน่ใจ เรื่องนี้ต้องไปถามรัฐบาลว่าทำไม" โดยประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกล่าวต่อว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อผ่าน 19-20 พ.ค. ไปแล้ว ก็ไม่ควรคงไว้ ควรยกเลิกเมื่อเหตุการณ์คลี่คลายแล้ว
       ทั้งนี้ รัฐบาลก็ระบุว่า หน่วยข่าวกรองได้ข่าวว่าจะมีกิจกรรมอะไรต่อ มีระเบิด มีเอ็ม 79 จึงจำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งตรวจสอบแล้ว พบว่าจริง เพราะมีระเบิดประปราย และมีเหตุการณ์ในเดือนพฤษภาคมหลายเหตุการณ์ที่เห็นว่ารุนแรง
       ทั้งนี้ รายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติยืนยันว่ามีชายชุดดำ มีอาวุธสงคราม และระเบิดจริง โดยนางอมราระบุว่า มีการเก็บข้อมูลหลายทาง ทั้งพยานเอกสาร พยานบุคคล สัมภาษณ์คนในเหตุการณ์ พยายามเชิญบุคคลมา 1,000 กว่าคน ได้มา 184 คน เป็นคนในพื้นที่ พยานเหล่านี้ยืนยันว่าเห็นชายชุดดำ มีอาวุธ และไม่ใช่พยานคนเดียวด้วย จึงกล้าเขียนว่ามีการใช้อาวุธและมีชายชุดดำ รวมถึงที่ศาลาแดง พยานก็จะบอกว่ามีอาวุธและมีชายชุดดำ
       ขณะที่ น.ส.ขวัญระวี ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่รัฐใช้อาวุธกับผู้ชุมนุมก่อน โดยระบุว่าดูลำดับเวลาของการชุมนุม โดยในวันที่ 10 เม.ย. ที่รัฐบาลเคลื่อนกำลังแต่เช้า มีรายงานตั้งแต่ช่วงกลางวันว่ามีผู้ถูกยิงด้วยกระสุนจริงที่บริเวณสะพานมัฆวาน โดยเป็นคนเกาหลีใต้ถูกยิงที่ไหล่ ทั้งนี้ผู้ชุมนุมหลายคนถูกยิง มีกระสุนในตัว รัฐบาลบุกโดยไม่แจ้งล่วงหน้าว่าจะใช้กำลัง เพราะฉะนั้น ผู้ชุมนุม จึงไม่มีอาวุธในมือ
        เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า สรุปเร็วไปหรือไม่ น.ส.ขวัญระวี ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะนักวิจัยให้กับศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม หรือ ศปช. กล่าวว่า ที่ผ่านมา ศปช. มีการจัดสัมมนา และทบทวนข้อมูลหลายครั้ง จนถึงปัจจุบัน และยืนยันว่าไม่คลาดเคลื่อน โดยเฉพาะเรื่องชายชุดดำ ซึ่งในรายงานของ ศปช. ก็สรุปว่า มี แต่ก็มีกรณีที่รัฐใช้กำลังกับผู้ชุมนุมก่อน ในวันที่ 10 เม.ย. มีผู้เสียชีวิตตั้งแต่ช่วงกลางวัน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่มีการยิงในระดับที่เหนือกว่าระดับเข่า มีคนถูกยิงด้วยกระสุนยางจนตาบอด มีการโปรยแก๊สน้ำตามาจากเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งทำให้คนไม่เกี่ยวได้รับผลกระทบด้วย ทั้งนี้มีผู้ชุมนุมเสียชีวิตจากแก๊สน้ำตาด้วย และไม่ปรากฏในรายงานของ กสม.
         ด้าน นางอมรา กล่าวว่า ไม่ทราบว่าฝ่ายรัฐใช้อาวุธก่อน ที่ผ่านมามีการคุยกับเจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่บอกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ และเจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นการป้องกันตัว ก็มีความชอบธรรม
       ต่อมาพิธีกรถามว่า ศปช. พบว่า ผู้ชุมนุมใช้อาวุธไหม น.ส.ขวัญระวี ตอบว่า มี แต่ไม่พบกรณีที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
       ผู้ดำเนินรายการถามว่าการใช้แก๊สน้ำตา ควรเริ่มใช้อย่างไร นางอมราตอบว่า ตามกฎการใช้กำลังมันก็มีเจ็ดขั้นตอน แต่ขั้นตอนนี้อยู่ขั้นไหนจำไม่ได้ มันน่าจะประมาณกลางๆ หลังจากขั้นตอนหนึ่ง สอง สาม มาแล้ว และจริงๆ มันควรทำอยู่บนพื้นราบ การใช้เฮลิคอปเตอร์ทำให้ผู้ที่อยู่ข้างล่างได้รับผลกระทบมาก ได้ติงไปแล้วว่าไม่เหมาะสม
       ส่วน น.ส.ขวัญระวี ตอบว่า ในวันที่ 10 เม.ย. มีการใช้แก๊สน้ำตา 200 ลูก ซึ่งกฎการใช้กำลังของกองทัพบอกว่าไม่ควรใกล้เกิน ต้องเว้นระยะ 2.5 เมตร ไม่กว้างเกินไป แต่นี่กินพื้นที่กว้างมาก และตกใส่ร้านอาหารศรแดงด้วย

000

ชายชุดดำ 10 เมษา

       ส่วนเรื่องชายชุดดำนั้น ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า ที่เห็นชัดคือเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. ที่สี่แยกคอกวัว มีรายงานว่ามีคนเห็นชายชุดดำ แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าฝ่ายไหน จากนั้นมีเรื่อยๆ หลายเหตุการณ์ โดยข้อมูลนี้ได้จากผู้ได้รับผลกระทบ แล้วจึงไปสอบถามเจ้าหน้าที่
       ส่วน น.ส.ขวัญระวี กล่าวว่า ผู้ชุมนุมให้การว่าเห็นชายชุดดำ ไปไล่ดูคลิปวันที่ 10 เม.ย. พบว่ามีชายชุดดำ ที่ลงจากรถตู้ บริเวณสี่แยกคอกวัว เวลาสองทุ่ม แป๊บเดียว แล้วก็หายตัวไป และไม่พบชายชุดดำอีกหลังจากนั้น ซึ่งเราไม่รู้ว่าใคร เป็นฝ่ายไหน ผู้ชุมนุมบางคนมีความเชื่อว่า ชายชุดดำมาช่วยเขา ส่วนตัวมองว่า การใช้กำลังเป็นสิ่งที่ไม่สมควร เพราะสร้างความสับสน แต่ก็ไม่ใช่เงื่อนไข ให้รัฐใช้กำลังยิงใครก็ได้ อย่างที่เป็นอยู่
        ด้านนางอมรากล่าวว่า จากรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติสื่อว่า มีความหลากหลายในการชุมนุม จะมีผู้ชุมนุมและฝ่ายรัฐ หรือใครก็ได้แทรกบริเวณนั้น การปรักปรำใครจึงทำได้ไม่ง่ายนัก ส่วน น.ส.ขวัญระวีตอบว่า การโยนความผิดไปที่ชายชุดดำนั้นไม่ถูกต้อง เพราะมีการยิงก่อนที่ชายชุดดำจะปรากฏ และมีเหตุการณ์อื่นที่ไม่ได้มีชายชุดดำและมีการยิงเจ้าหน้าที่รัฐ
000

กรณีวัดปทุมวนาราม

          ต่อมาผู้ดำเนินรายการสอบถามเรื่องกรณี 6 ศพวัดปทุมวนารามเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53 นั้น นางอมรากล่าวว่า ไม่มีชายชุดดำที่วัดปทุม จากรายงานได้คำตอบว่ามีการยิงโต้ตอบกันใต้สะพาน ก็คงเป็นผู้ชุมนุมกับฝ่ายรัฐ นอกจากนี้ มีพยานบอกว่าในวัดปทุมวนารามมีอาวุธ และกรณีหกศพวัดปทุมฯ นั้น ไม่ใช่สภาพที่เกิดขึ้นจริง และได้ข้อมูลว่ามีคนตายข้างนอกแล้วลากเข้าไป ศพมีการเคลื่อนย้ายแล้วนำมาเรียงไว้
        ด้าน น.ส.ขวัญระวี กล่าวว่า ถ้าดูสภาพการตาย ผู้เสียชีวิตทั้งหกราย ไม่มีอาวุธในมือ ตรงกับคำสั่งศาลไต่สวนการตาย ที่ว่าผู้เสียชีวิตทั้งหกไม่มีอาวุธในมือ แสดงว่า คนที่ตายไม่ได้ยิงต่อสู้จนทำให้เจ้าหน้าที่ต้องป้องกันตัวหรือยิงกราด ทั้งนี้ศพของกมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสา หนึ่งในผู้เสียชีวิตมีกระสุนในร่างกาย 11 นัด นี่ไม่ใช่การยิงป้องกันตัว แต่เป็นการยิงกราด
       โดยพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของกมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิต บอกว่า ศอฉ. พูดทุกวันว่าลูกเสียชีวิตนอกวัด ช่วงต้น พญ.พรทิพย์ โรจนสุนันท์ บอกว่ามีกระสุน 2 นัด และเธอยังพบจากคลิปว่าลูกเสียชีวิตในวัด การบิดเบือนข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นสาเหตุให้แม่ของกมนเกดซึ่งไม่ใช่เสื้อแดงเลย ผันตัวเองออกมาต่อสู้ให้ลูก
000

เด็กและสตรีในการชุมนุม

         ต่อมาผู้ดำเนินรายการถามส่วนที่รายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติระบุถึงการที่ผู้ชุมนุมใช้เด็กและสตรีเป็นโล่มนุษย์นั้น นางอมรา กล่าวว่า ปรากฏในคลิปชัดเจน แต่ดิฉันไม่อยากประณามมาก เพราะคนไทยอาจไม่เข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชน เขามาชุมนุมแล้วเอาเด็กขี่คอยืนดู อาจไม่ได้รู้สึกว่าละเมิดสิทธิเด็ก คือชาวบ้านไม่รู้จักเรื่องสิทธิเด็ก เป็นไปได้ว่าทำไปด้วยความไม่รู้ ทั้งตามอนุสัญญาสิทธิเด็ก เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่ควรอยู่ในพื้นที่นั้น
        ส่วน น.ส.ขวัญระวี กล่าวว่า การชุมนุมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ผู้หญิงก็ต้องการออกมาเช่นกัน การมองว่าเอาเขามาเป็นโล่ อาจไม่ใช่ เพราะมีเหตุการณ์ช่วงวันที่ 10 เม.ย.ที่ราชประสงค์ ที่มีการเคลื่อนตำรวจเข้ามา ก็มีผู้ชุมนุมที่เป็นผู้หญิงอาสาเข้าไปเจรจา เป็นยุทธศาสตร์ ทั้งนี้ผู้ชุมนุมเสื้อเหลืองก็มีกรณีแบบนี้ ถือเป็นเจตจำนงของผู้ชุมนุม ส่วนกรณีที่ผู้ชุมนุมมีเด็กมาด้วยนั้น บางครอบครัวก็มาจากต่างจังหวัด หากเขาไม่พามาด้วยแล้วเด็กจะอยู่กับใคร ทั้งนี้ ภาพจากบางจุดนั้น เหมือนว่าเด็กอยู่ในที่ปะทะ แต่เมื่อดูภาพมุมกว้างแล้ว จะเห็นว่า เด็กไม่ได้อยู่ในด่านหน้า
000

การเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า

        ส่วนการเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรมนั้น นางอมรากล่าวว่า ในวันดังกล่าวมีแสงเลเซอร์นำมาก่อนจะที่ พล.อ.ร่มเกล้าจะถูกยิงตาย สะท้อนว่ามีการวางแผน ซึ่งคงระบุฝ่ายไม่ได้ แต่ทหารคงไม่ได้ยิงกันเอง ด้าน น.ส.ขวัญระวี กล่าวว่า เราไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นแผนฆาตกรรม แต่บอกได้ว่า ผู้ลงมือมีความชำนาญ และยังไม่ตัดสมมติฐานว่าอาจเป็นทหารทำกันเอง เพราะไม่มีข้อมูลส่วนนั้น
000

กรณีบุกโรงพยาบาลจุฬา

        ต่อมาผู้ดำเนินรายงานถามในกรณีที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนมีรายงานว่า นปช. บุกค้นโรงพยาบาลเป็นการใช้สิทธิเกินขอบเขต รบกวน และก่ออันตรายกับผู้ป่วยนั้น นางอมรากล่าวว่า เครื่องหมายกาชาดเป็นสัญลักษณ์ของการแพทย์และความปลอดภัย เพราะฉะนั้น การบุกไม่น่าเกิดขึ้นเลย หน้าตึกสิริกิติ์ และตึก ภปร. มีการเดินเข้าออกกันสะดวกทั้งที่อยู่ในรั้วโรงพยาบาลผู้ชุมนุมก็ชุมนุมไป ไม่ได้มีความเข้าใจเรื่องความแตกต่างว่าโรงพยาบาลควรถูกแยกเด็ดขาดจากสถานที่ชุมนุม ความไม่เข้าใจตรงนี้ทำให้เกิดการกระทำบางอย่างที่ไม่ควรเกิด
       หลังจากนั้นผู้ดำเนินรายการถามต่อไปว่า ที่มีข้อมูลว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐซุ่มอยู่ ผู้ชุมนุมเลยเข้าไปตรวจ นางอมรากล่าวว่า ขึ้นกับว่ามีการคุยกับผู้บริหารอย่างไร และนี่เป็นสมมติฐานของผู้ชุมนุม ไม่สามารถบอกได้ แต่ รปภ. ของ โรงพยาบาลจุฬาฯ หลายคน เวลาเลิกงานก็ไปชุมนุมกับเสื้อแดง ก็มีความอะลุ้มอล่วยกันมาก
       ด้าน น.ส.ขวัญระวี กล่าวว่า สาเหตุที่มีการบุกโรงพยาบาล เพราะเขาได้ข่าวลือมาแบบนั้น ซึ่งเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามมีการขอโทษแล้ว และไม่ควรทำอีก ขณะเดียวกัน ควรต้องดูท่าทีของบุคลากรในโรงพยาบาล ซึ่งมีฐานคิดมาก่อนว่าว่าคนเสื้อแดงน่ากลัว ตั้งใจใช้ความรุนแรง ถ่อยเถื่อนและล้มเจ้า และก่อนหน้านี้ฝ่ายรัฐก็มีการสร้างภาพทางลบ สร้างความตื่นตระหนก ขณะที่โรงพยาบาลตำรวจก็อยู่ได้ไม่มีปัญหาอะไร อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ไม่ว่ารัฐหรือผู้ชุมนุมก็ไม่ควรเข้าไปในโรงพยาบาล
000

กรณีเผาห้าง-เผาศาลากลาง

       ส่วนกรณีเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์และศาลากลางจังหวัดนั้น ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  กล่าวว่าการเผาเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อย่างน้อย กรณีเผาศาลากลาง เกิดจากการที่แกนนำพูดยั่วยุบนเวทีให้ประชาชนมาพร้อมน้ำมัน การยั่วยุตรงนั้นทำให้บางคนฮึกเหิมและเผา แม้ นปช. จะอ้างว่าไม่ใช่ ซึ่งไม่มีทางพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นใคร
       ขณะที่กรณีเซ็นทรัลเวิลด์ พยานแวดล้อมมีไม่มากแล้ว เพราะ 19 พ.ค. รัฐบาลให้เลิกชุมนุม แต่ข้อมูลที่ได้มาคือ มีกลุ่มผู้ชุมนุมหรือกลุ่มคนไปทะเลาะกับ รปภ. ทำให้มีความสับสนและมีการเผา
        ขณะที่ น.ส.ขวัญระวี กล่าวว่า ศปช. ได้สัมภาษณ์พยานแวดล้อม ได้ตามคดีที่มีเยาวชนถูกฟ้อง ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมเผาเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งคดีเหล่านั้น ต่อมาได้ยกฟ้องหมด และในชั้นศาลหัวหน้า รปภ. ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ให้การว่า มีคนแต่งกายคล้ายทหารอยู่ข้างใน ขณะที่รายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนบอกว่าแต่งกายคล้ายการ์ด ส่วนรายงานของ คอป. บอกว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเราระบุแบบนั้นไม่ได้ เพราะหลังยุติการชุมนุม ทหารเข้ายึดพื้นที่หมดแล้ว
        หลังจากนั้นผู้ดำเนินรายการถามว่า การปราศรัยของแกนนำบนเวทีเป็นปัจจัยไหม น.ส.ขวัญระวีตอบว่า การพูดยั่วยุมีในทุกการชุมนุม แม้แต่ในการชุมนุมของชาวบ้านในประเด็นอื่น ตามหลักสากล การใช้ความรุนแรงทางวาจา ต้องเป็นลักษณะที่จะนำไปสู่ความรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กรณีที่ คอป. และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพูดโยงเรื่องคลิปของแกนนำเรื่องการเผา เท่าที่ดูทั้งสามคลิป เป็นการพูดคนละบริบท เพราะคลิปของอริสมันต์ที่บอกว่า ถ้าทหารมาให้เตรียมน้ำมันมา หมายถึงถ้ามีรถถังมาให้ใช้น้ำมัน เพราะน้ำมันจะทำให้รถถังเคลื่อนลำบาก ดังนั้น ต้องดูให้เป็นระบบมากกว่านี้ ไม่ใช่โยงทั้งหมดมา
       ส่วนการชุมนุมไม่สงบนั้น ตามหลักสากล ไม่สามารตีความอย่างแคบได้ การชุมนุมไม่ใช่นั่งสวดมนต์ เป็นธรรมชาติที่ต้องปลุกใจ ถ้ามีคำหยาบคาย ในเบื้องต้น อย่างน้อยที่สุดต้องเป็นความรับผิดชอบทางศีลธรรมของแกนนำ
000

ทิ้งท้าย ประธาน กสม.หวังทุกฝ่ายจะช่วยระวังไม่ให้เกิดขึ้นอีก ส่วนนักวิจัย ศปช. หวังให้คืนความยุติธรรมแก่ผู้สูญเสีย


          ในช่วงท้ายรายการ ผู้ดำเนินรายการถามว่า สามปีผ่านไป สังคมได้อะไร ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า จากบทเรียนคือทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าไม่ควรเกิดอีกอย่างแน่นอน ต้องช่วยกันระมัดระวังไม่ให้เกิดขึ้นอีก คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติสรุปบทเรียนไว้ว่า ผู้จัดการชุมนุมต้องรับผิดชอบมากกว่านี้ รวมคนให้ไม่แตกแยกแล้วคุมไม่ได้ เน้นที่บทบาทผู้จัดการชุมนุม ให้คุมคนได้ ไม่ให้เอาอาวุธเข้ามา ส่วนรัฐบาลก็ต้องดูแลการชุมนุมให้เรียบร้อย หลีกเลี่ยงการใช้กฎหมายพิเศษ และเสนอให้ตั้งหน่วยงานดูแลการชุมนุม เพื่อฝึกคนให้มีทักษะในการดูแลการชุมนุม
         ส่วน น.ส.ขวัญระวี กล่าวว่าหวังว่าสังคมจะเรียนรู้มากขึ้น โดยเฉพาะคนที่มีอำนาจรัฐ ว่าไม่ใช่คำนึงเฉพาะความมั่นคง สงบเรียบร้อยอย่างเดียว ต้องสร้างสมดุลเรื่องสิทธิเสรีภาพด้วย นอกจากนี้ ยังต้องมีการค้นหาความจริงต่อ เพราะหลายเรื่องยังคลุมเครือ ความจริงคือการคืนความยุติธรรมให้กับผู้ที่สูญเสีย
 

ฟังคำสั่งไต่สวนการตาย ‘อากง’ 30 ต.ค.- ภรรยาฟ้องยื่นศาลปกครองฟ้องราชทัณฑ์

ฟังคำสั่งไต่สวนการตาย ‘อากง’ 30 ต.ค.- ภรรยาฟ้องยื่นศาลปกครองฟ้องราชทัณฑ์

               8 ส.ค.56  ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ มีการไต่สวนคำร้องชันสูตรพลิกศพ คดีหมายเลขดำ อช. 10/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ ยื่นคำร้องไต่สวนการเสียชีวิตของนายอำพล ตั้งนพกุล หรืออากง อายุ 61 ปี ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ซึ่งเสียชีวิตในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ เมื่อวันที่ 8 พ.ค.55 โดยในวันนี้มี นพ.กิติภูมิ จุฑาสมิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ  ซึ่งเป็นแพทย์ที่ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์การตรวจชันสูตรพลิกศพนายอำพลที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์  เบิกความเป็นปากสุดท้าย ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งวันที่ 30 ต.ค.นี้ เวลา 9.00 น. เพื่อระบุว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน เมื่อใด รวมถึงสาเหตุและพฤติการณ์การตายตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150
          ทั้งนี้ นายอำพล ถูกจับกุมฐานดูหมิ่น หมิ่นประมาทและแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ตั้งแต่กลางปี2553  จากกรณีส่ง SMS จำนวน 4 ข้อความให้เลขานุการอดีตนายกรัฐมนตรี ศาลพิพากษาจำคุก 20 ปี ระหว่างถูกคุมขังยื่นประกัน 8 ครั้งแต่ศาลปฏิเสธ จนกระทั่งจำเลยเกิดอาการปวดท้องและถูกนำส่งโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในวันที่ 4 พ.ค.55 และต่อมาเสียชีวิตลงในวันที่ 8 พ.ค.55
           น.ส.พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความนายอำพล กล่าวถึงคำเบิกความของ นพ.กิติภูมิโดยสรุปว่า  สภาพศพของนายอำพลนั้นมีท้องโต หน้าท้องตึงใส เมื่อผ่าพบน้ำในช่องท้องจำนวนมากราว 2 ลิตร ไม่พบมะเร็งที่ลิ้น แต่พบมะเร็งที่จุดใหม่คือบริเวณตับ และปรากฏจุดมะเร็งตามผนังช่องท้อง มีความเห็นว่า นายอำพลเป็นมะเร็งในระยะลุกลาม แต่ไม่ได้เสียชีวิตจากมะเร็ง หากแต่เพราะหัวใจล้มเหลว เนื่องจากมีน้ำในช่องท้องจำนวนมาก  และตามประวัติการรักษาในเวชระเบียน พบว่าไม่มีการเจาะน้ำในช่องท้องออก ส่งผลให้หัวใจเต้นผิดจังหวะเนื่องจากน้ำไปดันกระบังลม มีผลต่อการสูบฉีดหัวใจ ซึ่งพบว่ามีการให้ยาขับปัสสาวะ ให้ยาลดการบีบตัวของหัวใจ แต่ไม่ได้มีการตรวจสอบคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
           นพ.กิติภูมิกล่าวอีกว่า ในวันที่ 8 พ.ค.ซึ่งเป็นวันที่นายอำพลเสียชีวิตนั้น ตามเวชระเบียนพบว่ามีเพียงพยาบาลที่ให้ความช่วยเหลือกู้ชีพเบื้องต้นโดยการปั๊มหัวใจด้วยมือและเครื่องมือพื้นฐาน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยในทุกแห่งต้องมีแพทย์ประจำการเพื่อร่วมปฏิบัติการกู้ชีพฉุกเฉิน มีการใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ มีการให้ยากระตุ้นหัวใจด้วย แต่ปรากฏว่าไม่มีแพทย์อยู่ที่เกิดเหตุและไม่มีอุปกรณ์ดังกล่าว
           ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 พ.ค.56 นางรสมาลิน  ภรรยานายอำพล ได้มอบอำนาจให้ทนายความยื่นฟ้องกรมราชทัณฑ์ต่อศาลปกครอง เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีเป็นผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายในการรักษาพยาบาลผู้ต้องขังป่วย แต่เจ้าหน้าที่ภายใต้สังกัดของผู้ฟ้องคดีได้ละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร หรือประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่จนเป็นเหตุให้นายอำพลถึงแก่ความตาย ให้กำหนดให้กรมราชทัณฑ์ชำระค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 2,225,250 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าผู้ถูกฟ้องคดีจะชำระเสร็จสิ้น
ในคำฟ้องระบุถึงความยากลำบากและความล่าช้ากว่าที่นายอำพลจะได้รับการรักษาตัวในโรงพยาบาล แม้จะปรากฏอาการของโรคมาระยะหนึ่งแล้วก็ตาม
          “นอกจากนี้ เมื่อผู้ตายได้ร้องขอไปรักษาที่ทัณฑ์สถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวตรงกลับวันหยุดสามวัน หน่วยงานในสังกัดผู้ฟ้องคดีกลับหยุดทำการใดๆ เพื่อวินิจฉัยหรือหาสาเหตุของโรค มีเพียงรักษาเพื่อประคองอาการเท่านั้น การไม่มีมาตรการรักษาโรคเชิงเฝ้าระวังต้องรอให้ผู้ต้องขังเจ็บป่วยใกล้ตายเสียก่อนจึงจะได้รับการรักษา ความไม่พร้อมของอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือและบุคคลากรทางการแพทย์ การหยุดการดำเนินการใดๆ เพื่อวินิจฉัยโรคในช่วงวันหยุด เป็นเหตุโดยตรงให้นำมาสู่ความตายของผู้ตาย” ตอนหนึ่งของคำฟ้องระบุ

กรรมการสิทธิฯ เปิดรายงานสลายชุมนุม ปี 53 แล้ว

กรรมการสิทธิฯ เปิดรายงานสลายชุมนุม ปี 53 แล้ว

เว็บไซต์คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เผยแพร่ "รายงานผลการตรวจสอบเพื่อมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย กรณีเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ระหว่างวันที่ 12 มีนาคม 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553" จำนวน 92 หน้า แล้ว ที่ http://www.nhrc.or.th/2012/wb/img_contentpage_attachment/692_file_name_9897.pdf
        ท้ายรายงานฉบับดังกล่าว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สรุปบทเรียนต่อกลุ่มต่างๆ ดังนี้
ผู้ชุมนุม
  • 1. ผู้จัดการชุมนุมต้องสร้างเจตจำนงร่วมกันในการชุมนุมโดยสงบและสันติ ตลอดจนดูแลให้มีอุดมการณ์ที่ถูกต้องในการรักษาระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
  • 2. ผู้จัดการชุมนุมและผู้ร่วมชุมนุมต้องมีหน้าที่ร่วมกัน ทำให้การชุมนุมเป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ ยึดแนวทางสันติวิธีและเจรจาไกล่เกลี่ย ไม่ปลุกระดม อีกทั้งการชุมนุมนั้นต้องปราศจากอาวุธหรือสิ่งเทียมอาวุธทุกชนิดในพื้นที่การชุมนุม รวมถึงไม่แสดงออกเชิงสัญลักษณ์หรือยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทุกประเภท
  • 3. ผู้จัดการชุมนุมและผู้ร่วมชุมนุมต้องชุมนุมในลักษณะที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนทั่วไป หรือให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น และต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมด้วย

ภาครัฐ
  • 1. รัฐต้องดูแลการชุมนุมให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย เพื่อป้องกันมิให้กระทบต่อสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพของประชาชนทุกฝ่าย โดยคำนึงถึงกรอบแห่งกฎหมาย มาตรฐานสากล รวมถึงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ
  • 2. ควรหลีกเลี่ยงการประกาศใช้กฎหมายพิเศษเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยในการชุมนุม เพราะไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการดูแลสถานการณ์การชุมนุมได้อย่างมีประสทิธิภาพ รัฐจึงจำเป็นต้องมีมาตรการกฎหมายที่เหมาะสมหรือกลไกเฉพาะเพื่อดูแลและรักษาความสงบเรียบร้อยในการชุมนุม
  • 3. การดูแลสถานการณ์การชุมนุมโดยรัฐ ต้องมีหน่วยงานรับผิดชอบเป็นการเฉพาะ ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวต้องมีแผนปฏิบัติการและขั้นตอนที่ชัดเจน มีเจ้าหน้าที่ที่มีทักษะในการทำงานด้านมวลชน รวมถึงเครื่องมือที่เหมาะสม

         อ่านความเห็นและข้อเสนอในรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ที่นี่

          อนึ่ง ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 8 ก.ค.2554 หน้า 3 ได้เปิดเผย “ผลการตรวจสอบ กรณีเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.-19 พ.ค.2553” ของคณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งต่อมา น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิฯ และประธานอนุกรรมการสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ยอมรับว่า ฉบับร่างดังกล่าวเป็นของ กสม.จริง แต่เป็นเพียงร่างรายงานของ “คณะทำงาน” ซึ่งได้สำรวจ เก็บข้อมูล เบื้องต้นและยังต้องผ่านการพิจารณาของอนุกรรมการเฉพาะกิจอีก 3 ชุด และกรรมการสิทธิชุดใหญ่อีกจึงจะเป็นรายงานที่พร้อมเผยแพร่  นอกจากนี้ กสม. ยังชี้แจงกับพะเยาว์ อัคฮาค มารดาของพยาบาลอาสา กมนเกด อัคฮาด ซึ่งหนึ่งในหกผู้เสียชีวิตที่วัดปทุมฯ เมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 ด้วยว่าร่างรายงานที่หลุดออกไปยังมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อน และรับปากว่าจะแถลงความคืบหน้าทุกเดือน โดยจะแจ้งข่าวให้ผู้เสียหายทราบและร่วมเข้าฟังด้วย