วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สาวไส้ ปชป. แฉเบื้องหลังปั่นกระแส พระวิหาร …พรรค-มี-ปม !!

พระนครสาส์น


สาวไส้ ปชป. แฉเบื้องหลังปั่นกระแส พระวิหาร …พรรค-มี-ปม !!
ข่าวพาดหัว เม้าท์แมลงสาป — 19 April 2013



       “ชาญวิทย์ เกษตรศิริ” อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ให้สัมภาษณ์กับ “ประชาชาติธุรกิจ” เอาไว้เมื่อ 4 ก.พ.2556 โดยในตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ มีการ วิเคราะห์ถึงประวัติศาสตร์ของ “พรรคประชาธิปัตย์” อย่างน่าสนใจ

       “พระนครสาส์น” ขอนำบทสัมภาษณ์ส่วนนั้น มาเผยแพร่อีกครั้ง …

     … ดร.ชาญวิทย์ ยังฉายภาพการเมืองในอดีตของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ผูกมัดให้พรรคประชาธิปัตย์ในยุคปัจจุบันต้องออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เอาจริงเอาจังกับการสู้คดีในศาลโลกว่า เป็นเพราะคนระดับตำนานของพรรคประชาธิปัตย์ 2 คน คือ “ควง อภัยวงศ์” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนแรก และ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช” อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เกี่ยวข้องกับความพ่ายแพ้บนศาลโลก เมื่อปี 2505

       “ควง คือส่วนหนึ่งของการยึดดินแดนเสียมราฐและพระตะบอง แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นจังหวัดพิบูลสงคราม เพราะควงเป็นลูกของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) เป็นเจ้าเมืองพระตะบองคนสุดท้าย ก่อนยกดินแดนให้กับฝรั่งเศส ทำให้เรื่องนี้พรรคประชาธิปัตย์ยอมไม่ได้ และถ้ายอมก็แปลว่าเป็นความผิดของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่ตอน พ.ศ. 2505 ทำหน้าที่เป็นทนายความ เขาบอกคนไทยว่าจะชนะ 500 เปอร์เซ็นต์”

       อย่างไรก็ตาม หากมองย้อนไปในประวัติศาสตร์ถึงที่มา-ที่ไปทั้งหมด เกิดขึ้นในยุคที่ฝรั่งเศสเข้ามาล่าอาณานิคมแถบอินโดจีน ยึดฝ่ายซ้ายของไทย คือ ลาว กัมพูชา เวียดนาม ในปัจจุบันให้เป็น “อินโดจีนฝรั่งเศส”






        วันหนึ่งในปีรัตนโกสินทร์ศก 112 ชาติฝรั่งเศสส่งเรือรบ 2 ลำ ฝ่าป้อมพระจุลที่เมืองปากน้ำ หันปากกระบอกปืนขู่จะยิง “วังหลวง” พร้อมทั้งส่งกองกำลังทหารยึดเมืองจันทบุรีและเมืองด่านซ้าย (จ.เลย) ไว้ในครอบครอง

        จนกระทั่ง พ.ศ. 2450 รัชกาลที่ 5 จึงได้ยินยอมลงนามสัญญากับประธานาธิบดีฝรั่งเศส ยกดินแดนเสียมเรียบ พระตะบอง และศรีโสภณให้กับฝรั่งเศส เพื่อให้คืนเมืองจันทบุรีในปี 2447 รวมถึงแลกตราดและด่านซ้ายกลับคืนมา

      ซึ่งในสัญญาดังกล่าวกำหนดให้มีการปักปันเส้นเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศส ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมปักปันฝ่ายฝรั่งเศส นำโดย “พันตรีแบร์นาร์ด” ขณะที่ “ฝ่ายสยาม” ส่งบุคคลระดับพระน้ำพระยาเข้าเป็นคณะกรรมการ เช่น พลตรีหม่อมชาติเดชอุดมกับพลเอกเจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์

        ต่อมาฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งขีดเส้นตัวปราสาทพระวิหารว่าเป็นส่วนหนึ่งของกัมพูชาให้แก่ฝ่ายสยาม แต่ยังไม่ทันที่แผนที่ดังกล่าวได้รับการรับรอง คณะกรรมการดังกล่าวกลับสลายตัวไปก่อนที่แผนที่ชุดดังกล่าวจะจัดพิมพ์เสร็จ การปักปันเขตแดนจึงยังเป็นเรื่อง “ค้างคา”

        แม้การปักปันเขตแดนยังไม่จบสิ้นอย่างเป็นทางการ แต่ “สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ” ซึ่งเป็นอภิรัฐมนตรีในรัชกาลที่ 7 ได้ทรงขออนุญาตฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ เพื่อขึ้นไปทอดพระเนตรปราสาทพระวิหาร ที่อยู่ภายใต้ธงฝรั่งเศส จึงเท่ากับเป็นการยอมรับว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของฝรั่งเศสแล้ว

ชาญวิทย์

       สถานการณ์ล่วงเลยถึงยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 กระทั่งการเมืองเข้าสู่ยุคจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2482 มีการชูลัทธิ “ชาตินิยม” เปลี่ยนชื่อจากประเทศสยาม เป็นประเทศไทย พร้อมกับจุดกระแสเรียกร้องดินแดน “มณฑลบูรพา” และ “ดินแดนฝ่ายซ้ายของแม่น้ำโขง” คืนจากฝรั่งเศส

      ชนวนดังกล่าวก่อให้เกิดการรบพุ่งระหว่างฝรั่งเศสกับไทย ในปี พ.ศ. 2483
อันเป็นเวลาเดียวกับที่สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มปะทุในสมรภูมิยุโรป


      ฝรั่งเศสเวลานั้นอยู่ในสภาพสะบักสะบอม เพราะถูกเยอรมนีภายใต้การนำของ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” ยกทัพนาซีเข้ายึดครองกรุงปารีสได้สำเร็จ

        ขณะที่ไทยก็ฉวยโอกาสส่งกองกำลังทหารรุกข้ามพรมแดนไปยังกัมพูชาและลาว ในวันที่ 5 มกราคม 2483 สุดท้ายสงครามยุติลงด้วยการไกล่เกลี่ยของประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 28 มกราคม ปีเดียวกัน โดยฝรั่งเศสและไทยลงนามสงบศึกในสนธิสัญญาโตกิโอ ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้ไทยได้ดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงคืน คือเสียมเรียบ จำปาศักดิ์ ศรีโสภณ พระตะบอง และดินแดนในกัมพูชาคืน จากฝรั่งเศส

       รัฐบาลจอมพล ป.นำดินแดนที่ได้รับคืนมาแบ่งเป็น 4 จังหวัด คือจังหวัดพระตะบอง จังหวัดพิบูลสงคราม จังหวัดนครจำปาศักดิ์ และจังหวัดลานช้าง

       แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง “ญี่ปุ่น” กลายเป็นฝ่ายปราชัย พ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วน “จอมพล ป.” ถูกจับข้อหาเป็นอาชญากรสงคราม ทำให้รัฐบาล “ปรีดี พนมยงค์” ที่เข้ามาบริหารประเทศในช่วงหลังสงครามยุติ ได้คืนดินแดนที่รัฐบาลจอมพล ป.ยึดมาทั้งหมดคืนให้แก่ฝรั่งเศส ตามสนธิสัญญาวอชิงตัน เพื่อแลกกับไทยไม่ต้องตกเป็นฝ่ายแพ้สงคราม

      แต่การเมืองไทยพลิกผันอีกครั้งในปี พ.ศ. 2490 คณะรัฐประหารภายใต้การนำของ “พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ” ได้ยึดอำนาจรัฐบาล “พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาสวัสดิ์” พร้อมกับเชิญ “ควง อภัยวงศ์” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

       แม้ไทยจะคืนดินแดนและตัวปราสาทพระวิหารคืนให้แก่ฝรั่งเศสไปตั้งแต่รัฐบาลปรีดีเข้าบริหารประเทศ แต่หลังการยึดอำนาจ 2490 รัฐบาล “ควง” และ “พล.ท.ผิณ” ได้ลักลอบส่งทหารไทยขึ้นไปปักธงชาติไทยอยู่ในบริเวณดังกล่าวอีกครั้ง

       6 ปีต่อมาหลังจากฝรั่งเศสคืนเอกราชให้กัมพูชา ในปี 2496 “พระเจ้านโรดมสีหนุ” ก็ยื่นฟ้องต่อศาลโลก ในปี พ.ศ. 2502 ให้ตีความว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาหรือไทย ที่สุดศาลโลกมีมติ 9 ต่อ 3 ให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา เป็นปฐมบทของข้อพิพาทไทย-กัมพูชา อันกินเวลามา 51 ปี…
มี
“ปม” นี่เอง !!!

เมื่อคุณหญิง CTX พูดถึงคดีเอกยุทธ อัญชัญบุตร


         วันที่ 13 มิ.ย. จากกรณีที่ได้มีการพบศพของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดัง และได้มีการส่งศพมาตรวจพิสูจน์ที่โรงพยาบาลตำรวจซึ่งได้มีการแถลงข่าวถึงสาเหตุการตายไปแล้วนั้น


        ล่าสุดพญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันทน์ ผู้ตรวจราชการสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม และอดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบลูสกาย เผยถึงกรณีดังกล่าวว่า คดีของนายเอกยุทธไม่ได้แตกต่างจากคดีของนายสมชาย นีละไพจิตรเพราะยังไม่รู้ประเด็นว่าคืออะไรและผู้ตายไม่ใช่ประชาชนธรรมดาที่ไม่เคยมีเรื่องกับอำนาจรัฐ

        โดยเจ้าหน้าที่รัฐและการเมืองต้องระวังต่อการเข้าไปก้าวก่ายและการทำให้เห็นว่ามันมีการดำเนินการไม่สุด เนื่องจาก นายเอกยุทธถือเป็นตัวอย่างของคนที่สู้กับอำนาจรัฐ โดยในต่างประเทศมีหลักการในการเคารพหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มที่จะไม่มีการผูกขาดอำนาจอย่างในประเทศไทย ผู้ตรวจเก็บพยานหลักฐาน ผู้ตรวจพิสูจน์ และผู้ทำสำนวนต้องไม่เป็นหน่วยงานเดียวกันแต่ของไทยทุกองค์กรในการพิสูจน์เกี่ยวเนื่องกับตำรวจและอำนาจรัฐทั้งหมดจึงทำให้ประชาชนครหาได้

        คุณหญิงพรทิพย์ เผยต่อว่า  ตนรู้สึกเป็นห่วง เพราะเท่าที่เห็นจากสื่อคดีนี้ถือเป็นฆาตกรรมอำพรางเพราะขาดความน่าเชื่อถือของข้อมูลและหลักฐาน นอกจากนี้ยังมีหลักฐานอื่นที่ยังไม่ปรากฎออกมาอีกเช่น ข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของผู้ต้องหาทางเจ้าหน้าที่กลับไม่ทำให้ปรากฎออกมา โดยได้มีการติดต่อจากทางญาติของผู้เสียชีวิตอยากให้ตนเข้าไปตรวจสอบคดีนี้ แต่ตนก็คงทำไม่ได้เนื่องจากบทบาทของตนเองในปัจจุบันคือผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม

  •  ข้อแรก....หลักสิทธิมนุษยชน...เมื่อ 19 พค. 53 หมอหายไปไหนมาคะ? 96 ศพ ของประชาชน หมอทำอะไรอยู่? เปรียบเทียบกับกรณีออกมาให้สัมภาษณ์ผลชันสูตรศพของ นายเอกยุทธ หมอกลับนำคำนี้ ออกมาใช้??? หรือหมอมีคำว่า สิทธิมนุษยชน สำหรับพวกพ้องที่เป็นฝั่งฝ่ายเดียวกันกับตนเองเท่านั้น!! 

  • ข้อสอง....ดูหมอจะสรุปคำสัมภาษณ์แบบ พูดเอง เออเองหมดนำคะ หมอนำคดีนายสมชายมาอ้าง โดยพยายามจะสื่อโยงถึงฝ่ายรัฐบาล เหมือนที่ครั้งหนึ่งเคยมีคนกลุ่มหนึ่งใส่ร้ายนายกทักษิณ ว่าเกี่ยวโยงกับคดีนายสมชาย หมอจะสื่อเพื่ออะไรคะ? ทั้งๆที่ หมอแค่เป็นคนหนึ่ง ที่ดูข่าวเช่นเดียวกับประชาชนคนอื่น  (หมอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบ) ฉะนั้น เมื่อหมอเองก็นั่งเทียนดู อย่าทำให้ขวัญและกำลังใจของจนท.ที่ทำงานกับคดีนี้เค้าเสียความรู้สึกเลยค่ะ..เพราะจนท.ตำรวจเค้าไปรับคำชื่นชม และคำขอบคุณจากน้องสาว และลูกของนายเอกยุทธกันแล้วว่า ดำเนินคดีได้ชัดเจน สมเหตุสมผล โดยไม่ติดใจใดๆทั้งสิ้น  

          ดิฉันคิดว่า เวลาที่ผ่านมา จะทำให้หมอทำตัวเหมาะสมกับการเป็นผู้ทรงวุฒิและวัยวุฒิ แต่ผลปรากฎว่า..หมอกลับไม่สำนึกพยายามโยงใยให้เรื่องนี้ เกี่ยวพันกับรัฐบาลฝ่ายที่หมอไม่ชอบ ให้ได้.... 

         เพราะจากข่าวสารที่ดิฉันติดตาม..ญาติ คือน้องสาวของนายเอกยุทธ กับบุตรชาย ไม่มีข้อสงสัยแถมยังกล่าวให้อภัย อโหสิกับผู้ต้องหาทั้งหมดอีก! แต่หมอก็ดึง ญาติ..มาเกี่ยวอีก ญาติฝ่ายไหนคะ? 

        บ่องตง...ดิฉันว่ายิ่งนานวัน อาการของหมอเหลืองเข้าเส้น ชัดเจนมากจนคนที่ติดตามข่าวธรรมดาอย่างดิฉันเห็นว่า...ร่วมแก๊งซ์กับแมงสาบ, พันธมิตร ไปเรียบร้อยแบบเต็มตัวแล้วค่ะ

สส.เพื่อไทยสับแกนนำไทยปริง ยับเยิน..!!


         ส.ส.พรรคพท.สับแกนนำไทยสปริงโดยเฉพาะนายแก้วสรรยับเยิน หลังนายแก้วสรรและน้องชายนายชวัญสรวง อติโพธิ พร้อมด้วย พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ เครือข่ายกลุ่มไทยสปริง ใช้ห้องแถลงข่าวรัฐสภา แถลงข่าวเปิดตัว การประกาศการชุมนุมทางออนไลน์ ภายใต้ชื่อ “ไทยสปริง 2 ชุมนุมออนไลน์ แข็งข้อพวกทรยศ” 
ซึ่งได้มีการเปิดเพจทางเฟซบุ๊ก โดยจะเริ่มกิจกรรมในวันที่ 23 มิ.ย.

        ส.ส.พท.แถลงการโต้การเคลื่่อนไหวครั้งนี้ ไม่สอดคล้องระบอบประชาธิปไตย
ชี้แกนนำไทยสปริงบางคนรับใช้เผด็จการรัฐประหาร เคลื่อนไหวชุมนุมการเมืองหวังผลทางอ้อม เผยแกนนำนายก.บางคนหวังผลเงินรางวันสินไหม 25 %




         นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ แถลงข่าวร่วมตอบโต้ ภายหลังกลุ่มไทยสปริงใช้เวทีห้องแถลงข่าวสภาฯกล่าวหารัฐบาลและสมาชิกรัฐสภาทรยศบ้านเมือง และเรียกร้องให้มีการต่อต้านระบบภายใต้ครอบงำทักษิณอย่างถึงที่สุด โดยนายสุนัย กล่าวว่า การดำเนินการของกลุ่มไทยสปริงไม่สอดคล้องกับประชาธิปไตย เพราะรัฐบาลเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ถ้าจะเปลี่ยนรัฐบาลก็ต้องดำเนินการตามกรอบกฎหมาย ไม่ใช่มาใช้ระบบนอกสภา ส่วนการใช้ห้องแถลงข่าวรัฐสภาตามปกติแล้วอดีตสมาชิกรัฐสภา ยังสามารถแถลงข่าวได้แต่ต้องเป็นเรื่องที่สร้างสรรค์ ไม่ใช่ใช้เวทีกล่าวหาและสร้างความหนักใจแก่เจ้าหน้าที่ข้าราชการ ตนจึงขอฝากไปยัง นายแก้วสรร อติโพธิ นายขวัญสรวง อติโพธิ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อายุก็มากแล้ว การดำเนินการล้มรัฐบาลที่ถือว่าไม่เคารพกติกาใหญ่ ถ้ามากล่าวหาแบบนี้อีกก็เท่ากับกติกาเล็กๆ ไม่มีความหมาย
       
       นายชวลิต กล่าวว่า การที่กลุ่มไทยสปริงออกมากล่าวหาว่าผู้อื่นทรยศต่อชาติบ้านเมือง ตนขอให้ย้อนกลับไปดูตัวเองว่าทรยศต่อชาติบ้านเมืองหรือนักวิชาชีพ นักวิชาการของตัวเองหรือไม่ เพราะการรับใช้เผด็จการด้วยการเป็นคณะกรรมการใน คตส.ที่ตั้งขึ้นโดยคณะปฏิวัติที่นานาอารยประเทศไม่ให้การยอมรับ ซึ่งใครกันแน่ที่ทรยศต่อบ้านเมือง เนื่องจากการรัฐประหาร ปี 2549 ทำให้ประเทศชาติถดถอย สร้างความเสียหายจนประเมินค่ามิได้ และส่งผลถึงปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองมาจนทุกวันนี้ การกระทำของนายแก้วสรร จึงเป็นการบ่อนทำลายรัฐบาล สะท้อนให้เห็นอำนาจนิยม รับใช้เผด็จการ ทั้งนี้ ยืนยันว่าหากจะมีการแก้กฎหมายหรือเสนอกฎหมายใดก็เป็นไปเพื่อการสร้างสรรค์ตามระบอบประชาธิปไตยทั้งสิ้น
       
       นายสงวน กล่าวว่า การที่นายแก้วสรร ออกมาดำเนินการครั้งนี้เป็นเพราะได้ประโยชน์จากการล้มรัฐบาล เพราะหากรัฐบาลสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้สำเร็จ โดยเฉพาะ มาตรา 309 ที่ได้รับรองการกระทำในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวไว้ นั่นหมายถึง การเป็นคณะกรรมการ คตส.ของนายแก้วสรร เมื่อปี 2549 ที่ดำเนินการตามคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครอง โดยมีเป้าหมายยึดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งตามระเบียบคณะกรรมการตรวจสอบว่าด้วยการจ่ายสินบนในการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ พ.ศ. 2549 ก็ระบุชัดเจนว่า จะให้เงินสินบนแก่ผู้แจ้งเบาะแส ร้อยละ 25 ของมูลค่าทรัพย์สินด้วย ขณะเดียวกันในเว็บไซต์ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อหลายวันที่ผ่านมา ก็มีอักษรย่อ ก.เขียนในเว็บไซต์ดังกล่าวว่าจะฟ้องร้อง ป.ป.ช.เช่นกันหากไม่จ่ายเงินสินบนให้ตามระเบียบ ซึ่งเป็นเหตุให้นายแก้วสรร ออกมาต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญในทางอ้อม เพื่อปกป้องพฤติกรรมการทำผิดดังกล่าวเอาไว้

เอกยุทธ อัญชันบุตร ดินที่ถูกปั้นให้เป็นดาวแล้วก็กลายเป็นธุลี



         


          ลองอ่านดูประวัติเอกยุทธ์ เราจะเห็นได้ว่า เขาไม่ได้มีฝีมือความเก่งในด้านธุรกิจ หรือ ตลาดหุ้นอะไรเลย ก็แค่พวกต้มตุ๋นเท่านั้นเอง 

คนตายแล้วเราอาจให้อโหสิกรรมได้ แต่การกระทำของเขาเราย่อมพูดถึงเพื่อเตือนสติคนทั่วไปได้ ดังนั้นการให้ความรู้คนเกี่ยวกับการทำเลวของคน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีเป็นการเตือนสติ ไม่ให้ประชาชนลืมง่ายๆ กับการทำเหี้ยๆ ของคน


--------------------
เอกยุทธ อัญชันบุตร ดินที่ถูกปั้นให้เป็นดาวแล้วก็กลายเป็นธุลี


          เรื่องเอกยุทธ อัญชันบุตร นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาหลายปีพอสมควร เมื่อครั้งสมัยแชร์ชาร์เตอร์นั้น ก็เป็นครั้งที่ทุกคนพากันงงงวยว่า คนชื่อเอกยุทธ นั้นเริ่มต้น มาอย่างไร? และมีฤทธิ์เดชหรืออิทธิฤทธิ์ประการใด ถึงสามารถหมุนเงินได้ถึงพันกว่าล้านบาท เพียงแค่อายุ 29 ปีเท่านั้น

        เรื่องของเอกยุทธนั้น เป็นอีกบทเรียนหนึ่ง ให้เห็นถึงช่องว่างของสังคมไทย ที่มี และชี้ให้เห็นถึงความไม่มีจรรยาบรรณของคนไทย ทั้งผู้ใหญ่หัวหงอกและเด็กหัวดำๆ ในด้านธุรกิจ ตลอดจนความโลภของมนุษย์ซึ่งเป็นสันดาน และเป็นจุดอ่อนที่ทำให้เกิด เรื่องชาร์เตอร์ เลยไปถึงความไม่เอาถ่านของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย

เอกยุทธ อัญชันบุตร และสหายเป็นเพียงรูปธรรมหนึ่ง ในอีกมากมาย ที่เกิดขึ้นในยุคของสังคมที่มองไม่เห็นอนาคตของประเทศนี้

"ถ้าคนไทยยอมรับสภาพให้คนหนุ่มที่มีความ รู้ความสามารถเข้ามาบริหารเสียบ้างก็ดี... "

เอกยุทธ อัญชันบุตร ให้สัมภาษณ์นิตยสารไฮคลาส ฉบับเดือนธันวาคม 2527

29 ปี ถ้าเป็นต้นไม้ก็ต้องถือว่าอายุมากพอสมควร

ถ้าเป็นคนก็ต้องนับว่า น่าจะบวชเรียน มีครอบครัวได้แล้ว

แต่ถ้าเป็นการทำงานก็ต้องนับว่าวัยอยู่ในระหว่างการเริ่มต้น

สำหรับเอกยุทธ อัญชันบุตร นั้นในวัย 29 ปีก็ต้องยอมรับว่าสังคมไทยได้ให้โอกาสทำงานอย่างเต็มที่แล้ว

ในวัย 29 ปีของคนหนุ่มทั่วๆ ไปไม่ว่าจะมีการศึกษาสูงแค่ไหนก็ตามโอกาสที่จะได้จับเงินพันกว่าล้านบาทนั้นคงมีไม่กี่คน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินนั้นเป็นเงินของประชาชนทั้งหมด!

แต่เอกยุทธและสหายก็พลาดไปอีกเหมือนกับหลายๆ คนที่พลาดไปก่อน หน้านี้!

หรืออาจจะเป็นเพราะว่า เอกยุทธ และสหายต่างก็รู้ว่าจุดจบของตัวเอง จะต้องเป็น เช่นไรอยู่แล้ว แต่เรื่องข้างหน้าไม่สำคัญหรอกขอเล่นไปก่อนก็แล้วกัน ถ้าพลาดก็พลาด ไปติดคุกไม่กี่ปีก็ออกมา

คนไทยเป็นคนลืมง่ายอยู่แล้ว ไม่กี่ปีหรอกเรื่องมันก็คงเงียบไป ถึงตอนนั้นขอให้มีเงินติดตัวเสียอย่าง เกียรติยศและศักดิ์ศรีมันก็เข้ามาเอง

เพราะสังคมไทยมันเป็นสังคมที่วัดค่านิยมกันที่ใครมีเงินเท่าไรอยู่แล้ว คุณงาม ความดีนั้นไม่มีใครเขาพูดกันหรอก

เรื่องของเอกยุทธ อัญชันบุตร และสหายกับประชาชนจึงเกิดขึ้น !

เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างความโลภกับความฉลาดเฉลียวในการโกงประชาชนของคนกลุ่มหนึ่ง

เมื่อสังคมมีคนโลภอยากได้ผลประโยชน์มากๆ สังคมนั้นมันก็ต้องมีคนที่คิดหาวิธีให้ผลประโยชน์โดยไม่ยอมรับผิดชอบกับผลที่เกิดขึ้น


เรื่องราวของเอกยุทธ อัญชันบุตร และสหายที่มาในนามของ "แชร์ชาร์เตอร์ " จึงไม่ใช่ของใหม่ในสังคมไทยและก็คงจะไม่ใช่รายสุดท้ายเช่นกัน ตราบใดที่สังคมเรายังคงเป็นสังคมคนกินคนและสังคมที่เทิดทูนผลประโยชน์อยู่เหนือสิ่งอื่นใด

ทศวรรษนี้เป็นยุคที่สร้างคนหนุ่มหลายคนให้เกิดขึ้นในวงการธุรกิจระดับต่างๆ มากหน้าหลายตา ภาวะการครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นตามดรรชนีรายได้ของผู้ผลิตรายใหญ่ เป็นตัวกำหนดให้ผู้ที่ไร้สวัสดิการจากรัฐดิ้นรนเพื่อแสวงหาเสาหลักแห่งชีวิตของตนเองด้วยกำลังที่มีอยู่ทั้งหมด คนหนุ่มคนหนึ่งในวัยเพียง 29 ปีถีบทะยานตัวเองขึ้นมาอยู่บนผิววงการนักเล่นเงินระดับชาติได้ ด้วยความสามารถ และโอกาสอันน่าทึ่งสำหรับสายตาของนักธุรกิจระดับอาวุโสอีกหลายคน เขาถูกเฝ้าจับตามองเส้นทางเดินที่นับวันก็โลดแล่นไปข้างหน้าบนโค้งถนนธุรกิจการเงินและโครงการระดับใหญ่ที่ใช้ระบบบริหารระดับชาติ พร้อมกับความฉงนฉงายในที่มาและโอกาสที่ผู้แข่งขันอีกหลายๆ คนพลาด

คำถามนั้นคือ "เขาเป็นใคร? ก้าวมาจากไหน? "

       นิตยสารไฮคลาส ฉบับเดียวกัน  เอกยุทธ เป็นใครมาจากไหนนั้นเป็นเรื่องที่มีแนวทางหลายกระแส แต่โดยสรุปจากหลายๆ แห่งแล้ว ตระกูลเอกยุทธเป็นคนชั้นกลางที่ไม่ได้มีมรดกตกทอดหรือเกี่ยวดองกับบรรดาเจ้าสัว ใดๆ ทั้งสิ้น พ่อของเอกยุทธหรือร้อยตรีแปลก อัญชันบุตร ซึ่งเอกยุทธเคยให้สัมภาษณ์ว่าเป็นทหารคนสนิทของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

เอกยุทธจบแค่ ม.ศ.5 ธรรมดา แล้วก็ไปเรียนราม

       จากการที่ตัวเองเป็นคนมีบุคลิกดีและเข้าผู้หลักผู้ใหญ่เก่งก็มีข่าวว่าได้เข้าไปสนิทสนมกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นนักการเมือง เช่น ประยูร สุรนิวงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชื่อพรรคชาติประชาธิปไตยของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์

        เอกยุทธเคยอ้างว่าช่วงนั้นตัวเองเป็นเลขาคณะกรรมาธิการงบประมาณที่ประยูร สุรนิวงศ์ เป็นประธาน แต่ประยูรเองกลับพูดว่า "ผมเป็นเพื่อนกับพ่อเขา เขาไม่ได้ทำอะไรให้หรอกนอกจากเวลาขาดเงินก็มาขอที 300 บาท 500 บาท ผมก็ให้มันไป พอรู้ว่า ตอนหลังนี้หมุนเงินเป็นพันล้านบาทผมเองก็ยังตกใจเลย " ประยูรพูดกับ "ผู้จัดกา " ที่สภาฯ เมื่อถูกถามถึงเรื่องเอกยุทธ

       จากคำพูดของเอกยุทธเอง "ตอนปี 21-22 ผมไปเรียนบริหารธุรกิจต่อที่เนบรัสก้า ตอนไปมีเงินอยู่ 1,000 กว่าเหรียญ แต่ก็ทำงานหาเงินตลอด ทำทุกอย่างตั้งแต่ขายไอศกรีมจนถึงทำงานกับนักธุรกิจเป็นการฝึกงานพวกบัญชี พอกลับเมืองไทยมีเงินเหลืออยู่ประมาณ 100,000 บาท เจอ เพื่อนทำงานเป็นลูกจ้างคอมมอดิตี้ ผมถามว่าทำไมไม่ทำเอง เขาก็ว่าทำยาก ผมเลยลองศึกษาอยู่ 2-3 เดือน ลองไปเป็นลูกค้า พอศึกษาดูก็เห็นว่าไม่ยาก จะลองเปิดดู เปิดครั้งแรกที่ธนาคารเอเชีย ชื่ออินเวสเตอร์เป็นบริษัทที่ผมซื้อต่อเขามา 1 ล้าน เพราะกลุ่มบริหารเดิมเขาขัดแย้งกัน ผมลองเสี่ยงซื้อดู วันเจรจาซื้อผมไม่มีเงินเลยนะ ภายใน 7 วันจะต้องจ่าย 3 แสน ผมไม่รู้จะทำยังไงก็เลยจ่ายเช็คล่วงหน้า 7 วัน พอเข้าไปบริหารวันแรกก็เริ่มดึงคนรู้จักมาเป็นลูกค้า... "

        แต่ในวงการยืนยันว่าเอกยุทธมาเริ่มทำงานเป็นพนักงานขายคอมมอดิตี้ให้กับบริษัทแฮลเบอรี่ และก็วนเวียนอยู่ในวงการคอมมอดิตี้ (อ่านล้อมกรอบ "เอกยุทธ เริ่มจากจุดนี้ ")

ชะตาชีวิตในวงการคอมมอดิตี้ทำให้เอกยุทธได้เข้ามารู้จักมักจี่กับคนหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันอีกสองคนในวงการคอมมอดิตี้

       คนหนึ่งชื่อ อภิชาติ ศิริโชติบัณฑิต อายุ 26 ปี  อีกคนหนึ่งชื่อเสริมชีพ เจริญชน อายุ 26 ปี เช่นกัน  อภิชาตินั้นเป็นพ่อค้าขายเครื่องบินแต่พ่อมีหุ้นใหญ่ในกิจการคอมมอดิตี้แถวๆ โชคชัย ธุรกิจของตระกูลอภิชาตินั้น ทำพวกโรงงานอาหารสัตว์สยามโภคภัณฑ์แถวๆ บางแค พ่ออภิชาติเลยให้อภิชาติมาเป็นตัวแทนดูแล ส่วนเอกยุทธก็เข้ามาทำงานด้วย

        เสริมชีพ เจริญชน บ้านอยู่แถวๆ ซอยปิยะวัตร สุขุมวิท 48 จบวิทยาลัยกรุงเทพ คร่ำหวอดอยู่ในวงการคอมมอดิตี้พอสมควร ก็เข้ามาร่วมด้วย

      คนหนุ่มทั้งสามคนที่มีไหวพริบปฏิภาณสูง รวมทั้งคร่ำหวอดในวงการคอมมอดิตี้และมองเห็นว่าจุดอ่อนของคนคอมมอดิตี้คือ "ความโลภ " ประกอบกับวงการคอมมอดิตี้โดยเนื้อแท้แล้วก็ไม่ต่างกว่าการพนันเท่าใด

       การล้มของคอมมอดิตี้โดยฝีมือของคนจีนใน ฮ่องกงที่เชิดเงินเป็นสิบๆ หรือร้อยๆ ล้านนั้นมันไม่ยากสำหรับคนหนุ่มสามคนนี้ที่จะมองเห็นหรอก เพียงแต่ว่าจังหวะมันไม่ให้และขาดบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้มันลงตัวเท่านั้นเอง

        เพิ่มศักดิ์ จริตงาม อายุ 53 ปี บ้านในกรุงเทพฯ อยู่แถวๆ ซอยพร้อมพรรณ ถนนประชาสงเคราะห์ ดินแดง  
       เพิ่มศักดิ์เป็นคนใต้ เมื่อไม่กี่ปีมานี้เขาเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครศรีธรรมราช สังกัดพรรคประชาธิปัตย์เมื่อมีเลือกตั้งใหม่เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาเพิ่มศักดิ์สังกัดพรรคชาติประชาธิปไตยของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ลงเลือกตั้งที่นครศรีธรรมราช แต่เพิ่มศักดิ์สอบตก  เผอิญเพิ่มศักดิ์ จริตงาม กับ ร.ต.แปลก อัญชันบุตร เป็นเพื่อนรักกันมาก่อน

เอกยุทธเรียกเพิ่มศักดิ์ว่า อาเพิ่ม

      และก็จากสายสัมพันธ์ระหว่างหลานเอกยุทธกับอาเพิ่มนี่แหละก็คือประตูทางการเมืองที่เปิดให้เอกยุทธได้เดินเข้าไปหานักการเมืองหลายคน  อาเพิ่มเป็นคนพาเอกยุทธเข้าพบหัวหน้าพรรคการเมืองคนหนึ่งซึ่งเห็นแววการค้าของเอกยุทธ และเมื่อฟังความคิดเรื่องการตั้งบริษัทคอมมอดิตี้แล้ว ก็ให้การสนับสนุนโดยให้ลูกพรรคที่เป็นรัฐมนตรีว่าการคนหนึ่งให้เอาเงินแม่ชม้อยมา 10 ล้านบาทให้เอกยุทธยืมเพื่อเริ่มกิจการ (เงินก้อนนี้รัฐมนตรีผู้นั้นเป็นคนค้ำประกันและเอกยุทธก็ได้คืนเงินก้อนนั้นไปเรียบร้อยแล้ว) และแล้วขบวนการสนองตัณหาคนโลภก็เริ่มขึ้นเมื่อกลางปี 2526 นี้เอง

       บริษัทชาร์เตอร์อินเวสเม้นท์ จำกัด ก็เปิดขึ้นอย่างโอ่อ่าโดยมีอดีตพลเอก นอกราชการเป็นประธานที่ปรึกษาซึ่งพิมพ์อยู่บนบัตรเชิญอย่างโก้หรู ทุกคนที่อยู่ในระ- ดับมังกรเหินฟ้าเข้ามาร่วมสำนักกันหมด ตั้งแต่เอกยุทธ อัญชันบุตร เพิ่มศักดิ์ จริตงาม อภิชาติ ศิริโชติบัณฑิต เสริมชีพ เจริญชน และอัครเดช อัญชันบุตร ผู้เป็นน้องชายเอกยุทธ

       ขบวนการนี้เดิมทีแรกเริ่มได้มือค้าคอมมอดิตี้ ตัวฉกาจในวงการเป็นผู้หญิงชื่อระพีพรรณ พรหมนิตย์ เข้ามาร่วมด้วยโดยให้เป็นกรรมการ (แต่ระพีพรรณ พรหมนิตย์ ลาออกจากกรรมการ หลังจากที่ชาร์เตอร์อินเวสเม้นท์ ได้เปลี่ยนเข็มจากคอมมอดิตี้มาเล่นแชร์แทน)

       สิบล้านบาทที่เป็นเงินยืมจากแม่ชม้อย โครงการค้ำประกันของรัฐมนตรีว่าการของพรรคการเมืองแห่งหนึ่งคือทุนจดทะเบียนที่ขบวนการมังกรเหินฟ้านี้เริ่ม โดย มีเอกยุทธ อัญชันบุตร เป็นผู้มีอำนาจในการเซ็นเช็คแต่ผู้เดียว

       จะเป็นโชคของเอกยุทธ หรือเป็นกรรมของกนกวรรณ พุ่มสำเนียง หรือคุณนายแดงก็ไม่สามารถจะตัดสินได้ที่ทั้งคู่เกิดถูกชะตากันอย่างมากๆ "คุณนายแดงเป็น ลูกค้าเล่นคอมมอดิตี้รายใหญ่ของเอกยุทธมา 7- 8 ปีแล้ว สมัยเมื่อเอกยุทธยังเป็นเซลส์ ขายคอมมอดิตี้และเอกยุทธมักจะเรียกให้ทุกคนได้ยินว่า แม่แดง " คนเก่าแก่ในวงการ คอมมอดิตี้พูดให้ "ผู้จัดการ" ฟัง
       นอกจากนั้นแล้ว แม่แดงของเอกยุทธยังเป็นหัวหน้าสายของแม่ชม้อยอีกด้วย!  แม่แดงเลยเป็นคนผันเงินลูกสายมาเล่นแชร์ชาร์เตอร์!

       ตั้งแต่กลางปี 2526 เป็นต้นมาธุรกิจเงินทุนกำลังประสบภาวการณ์ซวดเซ แต่ธุรกิจเงินนอกระบบเช่น ชม้อยหรือนกแก้ว กลับดีวันดีคืน

          "จุดจุดหนึ่งที่ทำให้ทุกอย่างมันกู่ไม่กลับคือความแข็งแกร่งของชม้อย อาจจะเป็น เพราะว่า ประการแรก ประชาชนที่มีเงินเล่นแชร์ คิดว่าถ้าบริษัทเงินทุนล้มแต่ชม้อย ไม่ล้ม ก็คงจะเชื่อได้ และประการต่อมาความลี้ลับซับซ้อนของแชร์ชม้อยทำให้คนคาดการณ์ไปต่างๆ นานา ว่าชม้อยคงมีธุรกิจอภิสิทธิ์หลายอย่างที่ทำรายได้ให้ดีมากๆ จนสามารถจะให้ดอกเบี้ยสูงๆ " แหล่งข่าวในธนาคารชาติออกความเห็น

         การประโคมข่าวของหนังสือพิมพ์ก็หาได้สั่นสะเทือนธุรกิจแชร์ไม่ จนในที่สุดมันเกือบจะเป็นความเชื่อมั่นไปโดยปริยายแล้วว่า เล่นแชร์ได้เงินดีกว่าและมั่นคงกว่าเอาเงินไปหาดอกหาผลจากระบบการเงินในระบบเสียอีก

        จากเจตนาที่จะตั้งบริษัทมาเพื่อเล่นคอมมอดิตี้ ขบวนการมังกรเหินฟ้าชุดนี้เริ่มเห็นแล้วว่า ขุมทองมันมีอยู่มากกว่าคอมมอดิตี้ มันเพียงแต่รอให้เข้าไปขุดและการขุดก็ไม่ยากเย็นอะไรเพียงใช้เครื่องมือที่เรียกว่า "ผลประโยชน์ " เข้าไปล่อเท่านั้นเอง

       จากวันที่ขบวนการมังกรเหินฟ้าเห็นสัจธรรมระหว่าง "ผลประโยชน์ " กับ "ความโลภ " เท่านั้น เงินตราต่างๆ ก็เข้าแถวเดินหน้าเข้าไปหาบริษัทชาร์เตอร์อินเวสเม้นท์อย่างชนิดที่เรียกว่า ก้มหน้านับเงินกันไม่ทัน

       10 ล้านบาทที่เอามาจากชม้อยเมื่อไม่กี่เดือนมานั้นกลายเป็นเศษเงินที่คืนไปได้ทันทีอย่างไม่สะดุ้งสะเทือน

       สำหรับคนหนุ่มๆ ในวัยไม่ถึง 30 อย่างเช่น เอกยุทธ อัญชันบุตร, เสริมชีพ เจริญชน, อภิชาติ ศิริโชติบัณฑิต, อัครเดช อัญชันบุตร และผู้ร่วมอีก 2-3 คน มันเป็น ช่วงความสุขในชีวิตที่คนหนุ่มทุกคนใฝ่ฝันหา

       จากที่เคยยืมเงินประยูร สุรนิวงศ์ ใช้ 300 บาท 500 บาทบ้าง เอกยุทธไม่รู้จักความลำบากอีกต่อไปแล้ว รถพอร์ชคันละเป็นล้านๆ แล่นกันฉวัดเฉวียนโดยมีคนขับชื่อเอกยุทธ ชื่อเสริมชีพ ชื่ออภิชาติ ขบวนการมังกรที่มีประชาชนที่โลภเข้ามาอุปถัมภ์พวกเขาได้ใช้เงินกันอย่างสนุกมือและสบายใจที่ไม่ใช่เงินของตัวเอง

      ตามสถานที่โก้หรูจะเจอคนกลุ่มนี้ประกวดประชันกันด้วยรถสปอร์ตแรงม้าสูงที่วิ่งโฉบเฉี่ยวไปให้ผู้หญิงมองกันตาละห้อย ให้ไอ้หนุ่มทั้งหลายพากันอิจฉาตาร้อนว่าไอ้พวกนี้ทำบุญกันมาแต่ปางไหนถึงมีพ่อแม่รวยนักรวยหนา

      ต้นปี 2527 ขณะที่วงการไฟแนนซ์กำลังวุ่นวายปั่นป่วนกันขนาดหนัก คนที่เคยใหญ่คับฟ้าก็ต้องมาล้มคว่ำอย่างไม่เข้าท่าก็หลายคน แต่ที่ชาร์เตอร์อินเตอร์เรคชั่น (เปลี่ยนจากชาร์เตอร์อินเวสเม้นท์เพราะธนาคารชาติห้ามบริษัทที่ไม่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการเงินทุนเรียกตัวเองในชื่อต่างๆ ที่ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดและคำว่า "อินเวสเม้นท์ " ก็อยู่ในข่ายนั้นด้วย ก็ต้องเปลี่ยนจากชาร์เตอร์อินเวสเม้นท์เป็นชาร์-เตอร์อินเตอร์เรคชั่น) แต่สำหรับวงการแชร์นั้นกลับเจริญงอกงามมีแต่คนเอาเงินเข้ามาลงทุนกันเป็นแถว

       "คุณต้องเข้าใจว่าถึงปี 2527 แล้วถึงแม้รัฐบาลจะพยายามออกข่าวห้ามเล่นแชร์ตลอดจนหนังสือพิมพ์พยายามตีพวกนี้อย่างหนักก็ตาม แต่มันก็ไม่มีผลเลยแม้แต่น้อย เพราะดอกเบี้ยก็ยังจ่ายตามปกติและข่าวนี้มันสะพัดไปถึงต่างจังหวัดและก็ลงไปถึงประชาชนทั่วไปเสียแล้ว " เจ้าหน้าที่ธนาคารชาติคนเดิมให้ความเห็นต่อไป  หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเศรษฐกิจบ้านเราในปีสองปีที่ผ่านมาเลวร้ายมาก ทำให้คนชั้นกลางมีรายได้ไม่พอจ่ายก็เลยต้องหาทางออกด้วยวิธีการเล่นแชร์ก็เป็นไปได้

ปริมาณเงินที่ลงในแชร์ต่าง ก็มีแต่จะเพิ่มพูน

สำหรับชาร์เตอร์แล้ว 2527 คือสวรรค์ในขุมนรกจริงๆ!

       ที่เป็นสวรรค ์เพราะว่าจากการที่ชม้อยให้ 6.5% แต่ชาร์เตอร์ 9% ในตอนแรกทำให้สายชม้อยหลายสายเอาเงินมาลงชาร์เตอร์แล้วได้กำไรฟรีๆ ไป 2.5% บวกกับคอมมิชชั่นจากชาร์เตอร์อีก 0.5% ทำให้ได้ 3%

       สำหรับสายบางสายที่รับมาครั้งละ 10 ล้านต่อเดือนก็ย่อมหมายถึงเงินลอยมา 3 แสนบาทต่อเดือน ส่วนคนที่รับมามากกว่านั้นจะได้สักแค่ไหนก็ลองคำนวณเอาง่ายๆ ก็แล้วกัน

        พีระมิดรูปเงินของชาร์เตอร์กำลังอยู่ในระดับกลางพีระมิด ที่เป็นรูปพีระมิดแต่ฐานอยู่ข้างบนและยอดแหลมพีระมิดอยู่ข้างล่าง

       ในช่วงมีนาคม 2527 เป็นต้นไปเผอิญเป็นช่วงที่ชม้อยเองกำลังถูกทางการเพ่งเล็งหนัก จึงมีอยู่ระยะหนึ่งที่ชม้อยหยุดรับเงินชั่วคราวเพื่อเตรียมตัวยักย้ายถ่ายเทและจัดภายในให้รัดกุมเสียก่อน และก็เป็นช่วงนี้เองแหละที่เงินเริ่มไหลเช้าชาร์เตอร์เหมือนทำนบเขื่อนกั้นน้ำแตกพังทลาย เอกยุทธและสหายก็คงจะนึกไม่ออกเหมือนกันว่าถ้ามีเงินมากๆ อยู่ในมือขนาดนั้นแล้วจะทำอะไรดี รถยนต์ราคาแพงๆ เอกยุทธก็มีแล้วตั้ง 34 คัน! บ้านก็มีหลายหลัง แฟนๆ ก็มีหลายคน

        บางคนเอกยุทธทั้งให้เงินเลี้ยงไว้ ให้รถใช้เล่นหนึ่งคัน เช่น คนชื่อ ชลธิรัตน์ หรือน้องมดของเอกยุทธ ซึ่งพักอยู่แฟลตลิเบอร์ตี้ สุขุมวิท 22 ที่ทุกๆ วันตอนสายๆ เธอจะออกมาทำผมที่ร้านชื่ออรวรรณ แล้วบ่ายๆ เธอก็ฉุยฉายกรีดกรายอยู่บนรถบีเอ็มดับบลิว 316 สีขาว หมายเลขทะเบียน 4 จ-2776 ที่เอกยุทธเอาเงินประชาชนซื้อให้เธอ  หรือผู้หญิงสองคนที่คนหนึ่งชื่ออรวินทร์ และอีกคนหนึ่งชื่อศศิกาญจน์ ที่เอกยุทธออกบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสให้เธอทั้งสองใช้กันอย่างสบอารมณ์เต็มที่ แล้วทุกเดือนเอกยุทธก็จะเซ็นเช็คซึ่งเป็นเงินของประชาชนจ่ายไป

       เงินก็มีใช้ไม่หมด!  มันก็มีถึงคราวจะต้องลงทุนแล้ว

       "ความจริงแล้วกุนซือจริงๆ ของเอกยุทธคือเพิ่มศักดิ์ จริตงาม ที่เป็นคนวางแผนให้มาตลอด แต่ตอนหลังนี้ก็เป็นอนุสรณ์ อัญชันบุต " คนวงในชาร์เตอร์เล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง
อนุสรณ์ อัญชันบุตร คือลูกพี่ลูกน้องของเอกยุทธ ซึ่งว่ากันว่าครั้งหนึ่งอนุสรณ์เคยแจ้งความจับพ่อเอกยุทธในฐานเขียนเช็คไม่มีเงินให้จำนวน 20,000 (สองหมื่นบาท) อนุสรณ์มาสนิทกับเอกยุทธในงานศพพ่อเอกยุทธ เมื่อสิงหาคม 2527 "เอกยุทธจะเซ็นเช็คไว้เป็นเล่มแล้วให้อนุสรณ์กรอกจำนวนเงินเพื่อเอาไปใช้จ่ายในด้านการซื้อทรัพย์สินเก็บเอาไว้ คนที่สบายขณะนี้คืออนุสรณ์ ตอนนี้หนีไปอยู่ออสเตรเลียแล้ว " คนวงในชาร์เตอร์เล่าต่อ

         การลงทุนก็มองในแง่ของทรัพย์สิน  แต่ระยะเวลามันให้พิจารณามีไม่มาก อะไรที่ใกล้มือเอาเข้ามาก่อน ก็ต้องคว้าไว้ก่อน ที่ดินชิ้นแรกที่เอกยุทธไปจับคือที่ดินแถวๆ อำเภอสารภี จังหวัดลำพูน ซึ่งเอกยุทธซื้อในราคา 11 ล้านบาท แต่ลงบัญชีว่า 22 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้กำลังมีเรื่องฟ้องร้องอยู่ โดยทำเป็นโครงการชื่อสารภีวิลล่า  เอกยุทธเคยพูดถึงเรื่องที่แถวสารภีนี้ในหนังสือไฮคลาสว่า

       "ผมมีที่ดินริมดอย 30 ไร่ ประมาณ 100 ล้านบาท อยู่ถึงอำเภอสารภี ที่ทำเป็นสารภีวิลล่า 100 กว่าไร่ เกือบ 200 ล้านบาท... "

      ต่อจากนั้นเอกยุทธ และที่ปรึกษาได้ทราบว่าบริษัทไทยเศรษฐกิจชุมชน ซึ่งประมูลที่รถไฟตรงมักกะสันได้กำลังมีปัญหาเรื่องการเงินก็เลยเข้าไปซื้อหุ้นส่วนใหญ่โดยซื้อเงินสด 48 ล้านบาท ใช้ธนาคารกรุงเทพแถวสุขุมวิทค้ำอยู่ 18 ล้านบาท

       "โครงการมักกะสันคอมเพล็กซ์นี้ความจริงเอกยุทธคิดว่าถ้าได้เงินนอกมา สนับสนุนเขาคงไปรอดและเขาตั้งใจจะเอากำไรโครงการนี้มาคืนเงินคนเล่นแชร์ ในที่สุด เขาก็จะมีเงินเป็นพันล้าน โดยตัวเองไม่มีอะไรมาเลย และทุกคนก็จะมีความสุขและเขาก็จะกลายเป็นวีรบุรุษไป " คนวงในชาร์เตอร์พยายามชี้ให้เห็นถึงความในใจจริงๆ ของ เอกยุทธ

         ในขณะเดียวกันเอกยุทธก็เอาเงินไปซื้อที่แถวพัทยาตรงทางไปหาดจอมเทียน อยู่ใกล้โรงแรมเอเชียพัทยา โดยทำเป็นคอนโดมิเนียมชื่อพัทยาเพลซ คอนโดมิเนียม เป็นเนื้อที่ 10 กว่าไร่ และสร้างไปแล้ว 7 ชั้น

        ทรัพย์สินชิ้นต่อไปที่เอกยุทธเอาเงินประชาชนไปซื้อคือบริษัท เร่งพัฒนาประกันภัย จำกัด โดยซื้อในราคา 105 ล้านบาท "ความจริงเจ้าของเขาตั้งไว้ 105 ล้าน แต่ถ้าต่อสัก 85 ล้านเขาก็ขายแล้ว เอกยุทธไม่ต่อสักคำ " คนเก่าชาร์เตอร์พูด

       ก็น่าจะต่อได้เพราะตัวตึกและที่ดินทั้งหมด 555 ตารางวา ราคาประมาณ 45 ล้านบาท ใบอนุญาตประมาณ 25 ล้านบาท ก็เป็น 70 ล้านบาท บริษัทเร่งพัฒนาประกันภัยนั้น เมื่อสิ้นปี 2526 ขาดทุนสุทธิประมาณ 2 ล้านบาท และมีขาดทุนสะสมทั้งสิ้นเกือบ 6 ล้านบาท หรือขาดทุนต่อหุ้น 94.43 บาท บริษัทนี้ถ้าขายในราคา 85 ล้านบาท ก็ยังนับว่าแพง เพราะเบี้ยประกันรับสุทธิในปี 2526 เพียงแค่ 10 ล้านบาทเท่านั้น แต่มูลค่าอาคารและที่ดินที่ลงบัญชีไว้เพียงประมาณ 22 ล้านบาทเท่านั้น ฉะนั้นการขายใน ราคา 85 ล้านบาทก็เรียกได้ว่าเจ้าของเดิมกำไรประมาณ 3 เท่าตัวได้ แต่ก็นั่นแหละสำหรับเอกยุทธแล้ว เงิน 105 ล้านบาท เขาสามารถหามันได้ในเวลาไม่ถึงเดือนเสียด้วยซ้ำ

        และหลังจากมีเรื่องแชร์ชาร์เตอร์ ผู้บริหารของเร่งพัฒนาก็ออกมาบอกว่าพวกเอกยุทธไม่เกี่ยวอะไรทั้งสิ้น สั่งปลดออกจากกรรมการหมด ซึ่งข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า คนทั้งหมดที่ถือหุ้นถ้าไม่ใช่ตระกูลของเอกยุทธแล้วก็เป็นคนถือแทนทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเร่งพัฒนาประกันภัยคือบริษัทประกันภัยของประชาชนที่เอาเงินมาลงในชาร์เตอร์อย่างเต็มที่

      ในช่วงตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2527 เป็นช่วงที่เงินเข้าชาร์เตอร์ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 200-300 ล้านบาท และก็เป็นช่วงนี้แหละที่เสริมชีพ เจริญชน เริ่มปลีกตัวออกห่างจากเอกยุทธ อัญชันบุตร และสหาย "ที่เสริมชีพเริ่มแยกตัวออกไปนั้น เป็นเพราะว่าการแบ่งสันปันส่วนของกลุ่มเอกยุทธนั้นมาถึงเสริมชีพน้อยมาก ทั้งๆ ที่เสริมชีพเองเป็นคนทำงานให้เอกยุทธจริงๆ รวมทั้งการวางแผนในครั้งแรกสุด " คนเก่าชาร์เตอร์พูดต่อ

        ในเมื่อมีชาร์เตอร์ได้ก็ต้องมีอันอื่นได้ ประชาชนไม่สนใจแล้วในตอนนั้นว่าจะเป็นชาร์เตอร์ ชม้อย นกแก้ว หรืออะไรก็ตาม ในช่วงนั้นชาร์เตอร์เริ่มลดดอกจาก 9% มาเป็น 8% และก็ 7% ในที่สุด เสริมชีพก็ได้แยกตัวออกมาตั้งแต่บริษัทแชร์แห่งใหม่ชื่อเสริมกิจอินเตอร์ ซินดิเคชั่น โดยดึงเอาหัวหน้าสายชาร์เตอร์คนสำคัญคือคุณนายแดงหรือกนกวรรณ พุ่มสำเนียง เป็นคนหาเงินลูกสายมาให้ เสริมกิจอินเตอร์ซินดิเคชั่นก็เริ่มด้วยทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท โดยมีเสริมชีพ เจริญชน เป็นผู้มีอำนาจแต่ผู้เดียว และที่ตั้งของเสริมกิจฯ ก็อยู่ตึกเดียวกับชาร์เตอร์คืออาคารสยามธนาการ ซอยอโศก

        หนึ่งในผู้ถือหุ้นของเสริมกิจฯ คือวรรณี หาญวารี ภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนของเสริมชีพ ที่อดีตเคยเป็นประชาสัมพันธ์อยู่เดอะมอลล์ แล้วเสริมชีพไปพบเข้าก็ชวนไปทำงานโดยเริ่มเป็นเลขาของเอกยุทธ อัญชันบุตร และต่อมาก็มาอยู่กับเสริมชีพ  วรรณี หาญวารี ทำหน้าที่เป็นตัวแทนไปรับเงินจากลูกสายมาเข้าบัญชีเสริมกิจฯ อยู่เป็นจำนวนมาก

          ในช่วงปลายปี 2527 เป็นช่วงที่เอกยุทธ อัญชันบุตร เพิ่มศักดิ์ จริตงาม อภิชาติ ศิริโชติบัณฑิต เสริมชีพ เจริญชน มันมือกับการเล่นเงินของประชาชนอย่างมากๆ โดยไม่มีใครสนใจเลยว่าจุดจบมันจะเป็นอย่างไร? เพราะมันเป็นสวรรค์ในนรกจริงๆ

       และนรกนั้นมันก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว!

      จากความเป็นหนุ่มทั้งกลุ่มยกเว้นเพิ่มศักดิ์ การลงทุนทางด้านการบันเทิงก็เป็นอีกด้านหนึ่งที่กลุ่มนี้จับตามองอย่างเขม็งมานาน ซุปเปอร์สเก็ตข้างๆ ปาป้าฯ ฝั่งธน ก็เกิดขึ้นโดยการเช่าที่เดือนละ 50,000 บาท และลงทุนสร้างไป 7 ล้านบาท


      นอกจากซุปเปอร์สเก็ตแล้ว ชาร์เตอร์ดิสโก้เธคก็เกิดขึ้นอีกแห่ง บนถนนรัชดาตรงแยกอ.ส.ม.ท. โดยกลุ่มเอกยุทธเช่าที่ของประวิทย์ รุจิรวงศ์ บนเนื้อที่ 6 ไร่ในราคา เดือนละ 180,000 บาท สัญญาเช่า 4 ปี และใช้เงินสร้างประมาณ 15 ล้านบาท

      ส่วนใบอนุญาตนั้นก็ซื้อมาจากสตาร์ดัสท์ไนท์คลับ ในวงเงิน 2 ล้านบาท ในชื่อของสุเทพ ชมภูนุช คนสนิทของเอกยุทธ

       ส่วนการบริหารนั้นก็ใช้ในนามของชาร์เตอร์เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ โดยผู้มีอำนาจต้องเซ็นร่วมกันสองในสามคนในระหว่างเอกยุทธ เพิ่มศักดิ์ และอภิชาติ  ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้ดี สวรรค์นี้มันช่างสุขสมอารมณ์หมาย  เมื่อมีเงินเสียอย่าง ไม่สำคัญว่าเงินของใครเวลาพูดจาอะไรมันก็น่ารักไปหมด แม้แต่หนังสือไฮคลาสก็ยังอุตส่าห์เอาเอกยุทธมาตีแผ่ความยิ่งใหญ่ถึงกับครั้งหนึ่งมีการอ้างว่าหนังสือไฮคลาสนั้นกลุ่มเอกยุทธเป็นคนไฟแนนซ์ให้ (แต่หุ้นทางสาย เอกยุทธ ถูก ปกรณ์ พงศ์วราภา ซื้อคืนไปหมดแล้ว)

         ในไฮคลาสฉบับเดือนธันวาคม 2527 ลงบทสัมภาษณ์เอกยุทธ อัญชันบุตร ในคอลัมน์ผู้ชายวันนี้ซึ่งเป็นคอลัมน์มีเป้าหมายที่จะเผยแพร่บทบาทของนักธุรกิจรุ่นหนุ่มที่ประสบผลสำเร็จ คอลัมน์นี้จัดทำโดยคนของอุทัย วงศ์ไชยศยวรรณ เพื่อเชียร์เอกยุทธโดยเฉพาะ (อุทัย วงศ์ไชยศยวรรณ เป็นคนเล่นคอมมอดิตี้คนหนึ่ง เคยเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ของโรงหนังไดเร็คเตอร์ซึ่งขณะนั้นเป็นของ สุระ จันทร์ศรีชวาลา กลายเป็นอาร์พีเอ็ม ดิสโก้เธค

        อุทัยอยู่ก๊วนเดียวกันกับเอกยุทธในการเล่นคอมมอดิตี้ โดยอุทัยมีบริษัทคอมมอดิตี้ชื่ออัพล็อตฟิวเจอร์เทรดดิ้ง อุทัยเคยร่วมหุ้นกับปกรณ์ พงศ์วราภา เจ้าของหนังสือหนุ่มสาว ออกหนังสือไฮคลาส) และแล้วยมบาลในขุมนรกคงเห็นว่าพวกเอกยุทธเสวยสุขมานานพอสมควรก็เลยเริ่มปรากฏตัวออกมาให้เห็นราง ๆ นั่นคือพระราชกำหนดบทลงโทษการเล่นแชร์

         โดยข้อเท็จจริงแล้วทางรัฐบาลกำลังจับตาดูชม้อยและนกแก้วกันอย่างขะมักเขม้น สำหรับชาร์เตอร์นั้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ค่อยสนใจเท่าใด เพราะขนาดของมันเมื่อเทียบกับชม้อยและนกแก้วแล้วก็ยังเล็กกว่ากันมาก แต่เวลานั้นเอกยุทธไม่เห็นแม้กระทั่งเงาของตัวเองเสียแล้ว!  บางทีการมีเงินในมือมากๆ ก็ทำให้คนเราคิดว่าตัวเองคือเจ้าแผ่นดิน เอกยุทธก็เผอิญเป็นคนประเภทนั้นด้วย!

       เอกยุทธก็เลยทำในสิ่งที่ขนาดพรรคการเมืองอย่างชาติไทยยังไม่กล้าทำ คือการยื่นฟ้องเปรมและรัฐบาล! เท่านั้นเองแหละ ขบวนการกินโต๊ะจีนก็เริ่มขึ้นทันที!คำสั่งด่วนด้วยวาจาถูกถ่ายทอดลงมาตามลำดับชั้นว่าไก่ตัวแรกที่ต้องเชือดสังเวยพระราชกำหนด นี้คือแชร์ชาร์เตอร์

       จากการใช้อำนาจทางกฎหมายผ่านทางกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทยมายังธนาคารพาณิชย์ทำให้เอกยุทธเริ่มรู้แล้วว่าสวรรค์นั้นมันชักจะร้อนขึ้นทุกวันแล้ว

         พระราชกำหนดนี้ทำให้วงแชร์ปั่นป่วนอย่างมากๆ เงินใหม่ที่จะเข้าก็หยุดชะงักรอดูเหตุการณ์ก่อน ส่วนเงินเก่านั้นก็ถึงคิวต้องจ่ายดอกเบี้ย เมื่อเงินใหม่ไม่เข้ามาแล้วเงินเก่าจะได้ดอกเบี้ยอย่างใดเล่า? และก็อย่างไม่มีใครนึกถึงเอกยุทธก็เลยเล่นบทขอมดำดิน ปล่อยให้วงแตกกันหมดเมื่อตำรวจออกหมายจับฐานออกเช็คไม่มีเงินเจ็ดล้านกว่าบาท

        เสริมชีพ เจริญชน กับวรรณี หาญวารี ก็คงรู้ชะตากรรมดีว่าหวยคงจะออกกับตัวไม่ช้าก็เร็ว ก็หอบหิ้วกันไปไต้หวัน (ปัจจุบันทั้งคู่หลบอยู่ในเมืองไทยแล้ว) อนุสรณ์ อัญชันบุตร ก็เกิดอยากไปเที่ยวออสเตรเลียขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่วัยก็ 40 กว่าปีไปแล้ว  มีก็อภิชาติ ศิริโชติบัณฑิต กับเพิ่มศักดิ์ จริตงาม ที่ยังนั่งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากชาร์เตอร์ดิสโก้เธคซึ่งให้รายได้วันละแสนกว่าบาทอย่างทองไม่รู้ร้อน บรรดาสาธุชนที่โลภทั้งหลายก็เฝ้ารอว่าเมื่อไรเอกยุทธจะทำตนเป็นพระโพธิสัตว์ปรากฏตัวขึ้นมาปลดเปลื้องกรรมเสียที ที่รอไม่ได้ก็หันไปพึ่งพากองปราบปรามสามยอด

      แล้ววันหนึ่งในเดือนมีนาคม อภิชาติ ศิริโชติบัณฑิต ก็โดนจับข้อหาออกเช็คไม่มีเงิน แต่อภิชาติก็หาเงินมาคืนได้ ก็ถูกปล่อยตัวไป และแล้วอภิชาติก็เดินทางไปฮ่องกงทันที ก็น่าจะเหลือแค่เพิ่มศักดิ์ จริตงาม แต่เพิ่มศักดิ์ก็ทำอะไรกับชาร์เตอร์ดิสโก้เธคตัวเงินตัวทองไม่ได้ เพราะต้องเซ็นชื่อ 2 คน ในที่สุดอภิชาติ ศิริโชติบัณฑิต ก็บินกลับมาอย่างเงียบๆ เพื่อมาเซ็นชื่อทำนิติกรรมกับเพิ่มศักดิ์ในต้นเดือนแมษายน เช้าของวันที่ 8 อภิชาติ ศิริโชติบัณฑิต กับเพิ่มศักดิ์ จริตงาม มาที่ชาร์เตอร์ดิสโก้เธคเพื่อดูแลกิจการ แต่คนที่มารอต้อนรับแทนที่จะเป็นพนักงานดิสโก้เช่นเคย กลับเป็น พ.ต.อ.อดิศร จันตนะพัฒน์ ผู้กำกับประจำกองปราบ ร.ต.อ.ฉัตรชัย สกุลพร หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจ และร.ต.อ.ประสาท ทรัพย์พิพัฒนา กับตำรวจกองปราบอีกจำนวนหนึ่ง รอต้อนรับพร้อมกับควบคุมตัวไปที่กองปราบ

        1 ปีกับ 6 เดือนที่เอกยุทธ อัญชันบุตร และสหายได้เริ่มตั้งชาร์เตอร์ขึ้นมาด้วยเงิน 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินยืมจากชม้อยก่อนจะพบจุดจบ 18 เดือนที่ผ่านมาคนหนุ่มกลุ่มนี้ได้ใช้ชั้นเชิงและความสามารถหมุนเงินของชาวบ้าน (ที่ค่อนข้างจะโลภ) เอามาจับจ่ายใช้สอยอย่างมันมือโดยออกมาในหลายรูปแบบ ตั้งแต่มีรถยนต์ 34 คัน จนถึงทรัพย์สินที่แอบซื้อเก็บไว้ ประวัติศาสตร์ทางการเงินบทนี้น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจคนสองประเภท

       ประเภทแรก คือเจ้าที่รัฐที่มักจะทำอะไรงุ่มง่ามไม่ทันการ จนกระทั่งทุกอย่างมันเริ่มสายไปเสียแล้วถึงจะเข้ามา หรือเพราะว่าผู้หลักผู้ใหญ่ก็ร่วมด้วยแต่ยังไม่ได้เงินคืน ต้องรอให้ได้คืนครบเสียก่อนถึงค่อยฟาดฟันมันเข้าไป ซึ่งในที่สุดแล้วประวัติศาสตร์ทุก ยุคทุกสมัยมันก็มีบทพิสูจน์ว่าในตอนจบนั้นประชาชนระดับตัวเล็กๆ เท่านั้นแหละที่จะเป็นผู้รับเคราะห์ในทุกเรื่อง

       ประเภทที่สอง คือการที่ประชาชนควรจะได้รับการศึกษาว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ทำแล้วรวยเร็วนอกจากของที่ไม่ชอบมาพากล และคำสอนของพระพุทธองค์ก็ยังคงเป็น สัจธรรมที่ว่า "ความโลภคือการนำไปสู่หายนะ "

         คนประเภทหลังนี้ต่างหากที่น่าสงสาร เพราะการเล่นแชร์ของคนประเภทหลังนี้ น่าจะบ่งบอกบทบาทของการส่งเสริมให้คนทำมาหากินให้ได้ดีของรัฐบาลชุดนี้ได้พอสมควรว่าล้มเหลวแค่ไหน และล้มเหลวประการใด

ส่วนเอกยุทธ อัญชันบุตร และสหายนั้นทั้งๆ ที่รู้ว่าผลมันต้องออกมาเป็นเช่นนี้ก็ยังทำ โทษทัณฑ์เช่นนี้มันน่าจะจับมายิงเป้าเสีย เพราะการฉ้อโกงประชาชนเช่นนี้มันเลวยิ่งกว่าเดรัจฉานสี่เท้าที่กินอาจมเสียอีก

          "ผมถือหลักกล้าพูดกล้าทำกล้ารับผิดชอบเป็นจุดใหญ่ และอีกอย่างผมจะไม่โกงใคร คิดไว้ว่าถ้าโกงใครก็ขอให้ผมเจ๊ง... "

เอกยุทธ อัญชันบุตร หนังสือไฮคลาส ธันวาคม 2527

http://www.gotomanager.com/news/printnews.aspx?id=33741

ผมคิดว่าใครได้อ่านประวัตินายเอกยุทธ์ อัญชันบุตร ข้างบนแล้ว คนดีมีศีลธรรมที่ไหนเขาก็คงไม่คบกับคนพาลเช่นนี้ ต่อให้ทักทายปราศรัย ก็คงไม่ยอมทำ ยกเว้นเป็นคนมีศีลธรรมในระดับเดียวกับนายเอกยุทธ์ เท่านั้น (คือไม่มีศีลธรรมแม้แต่น้อย)

-------
อันนี้เป็นประวัตินายกรณ์ 
นายกรณ์ จาติกวณิช เคยดำรงตำแหน่งประธาน บริษัทเจพี มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัดพ.ศ. 2544 – พ.ศ. 2547 ประธานบริษัทหลักทรัพย์เจเอฟ ธนาคม จำกัด พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2543 เอส จี วอร์เบิร์ก ลอนดอน ประเทศอังกฤษ พ.ศ. 2528 – พ.ศ. 2530

    พ.ศ. 2528 : เริ่มงานด้วยตำแหน่งผู้จัดการกองทุน บริษัท เอส จี วอร์เบิร์ก (S.G. Warburg & Co.) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ (พ.ศ. 2528-2530)
    พ.ศ. 2531 : กลับประเทศไทย ร่วมก่อตั้งและเป็นประธาน บริษัทหลักทรัพย์ เจเอฟ ธนาคม จำกัด ด้วยวัยเพียง 24 ปี (พ.ศ. 2531-2535)
    พ.ศ. 2535 : กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เจเอฟ ธนาคม จำกัด ด้วยวัย 28 ปี (พ.ศ. 2535-2543)
    พ.ศ. 2544 :
        ขายหุ้น เจเอฟ ธนาคม ในมือทั้งหมดให้กับ JP Morgan Chase และตั้งใจจะวางมือ เพราะแผนธุรกิจบรรลุผล ได้ผ่านงานในวงการการเงินครบแล้ว
        ตัดสินใจรับข้อเสนอเป็นประธาน บริษัทเจพี มอร์แกน ประเทศไทย โดยทำงานในฐานะผู้บริหารมืออาชีพแบบเต็มตัว (พ.ศ. 2544-2548)
------------

       นายกรณ์ จากิจติวณิชย์ อาชีพก่อนเป็นนักการเมืองคือทำงานเกี่ยวกับโปรกเกอร์ นายหน้าค้าขายหุ้น ซึ่งก็เป็นธุรกิจด้านที่เกี่ยวกับเงิน ซึ่งกองทุนรวม หรือ Mutual Fund ทั้งหลายที่เอาเงินชาวบ้านมาลงทุน ก็ไม่ได้ต่างจากแชร์มากมายนัก ก็เป็นธุรกิจในแวดวงเดียวกัน นายกรณ์ เขียนถึงการตายของเอกยุทธ์ดังนี้




จริงหรือไม่จริง แม่ปลากระทิงหอยเสียบ! . . 
เจ๊กตายลอยน้ำมา ไม่นุ่งผ้ากะฮอแหลมเปียบบบบบ!! . . ฮา!


ล้มละลายตามด้วยฉ้อโกง โดย"คนดี้ดี" ไทกร พลสุวรรณ แกนนำขบวนการอีสานกู้ชาติ

ล้มละลายตามด้วยฉ้อโกง โดย"คนดี้ดี" 
ไทกร พลสุวรรณ แกนนำขบวนการอีสานกู้ชาติ
อีกหนึ่งของคนดี
FB กระปุก ออมสิน ๑๔ มิ.ย.๒๕๕๖ เวลา ๑๒๕๐ น.
"ลายออกซะแล้ว นักเคลื่อนไหวต้านนายกทักษิณ 5555555"

นายไทกร พลสุวรรณ แกนนำขบวนการอีสานกู้ชาติ
ได้ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ข้อหา หลอกลวงและโกงเงิน 5 ล้านบาท
คดีที่ 1987/2555 ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ รัชดาฯ เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.56 ที่ผ่านมา


----
รายละเอียดคดี 
หมายเลขคดีดำที่ อ ๑๙๘๗/๒๕๕๕
ข้อมูลรับฟ้อง
ความ- อาญา
พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายศาลแขวง - โจทก์
นายไทกร พลสุวรรณ - จำเลย
ข้อหา- ความผิดฐานฉ้อโกง
หมายเลขแดง- อด ๗๒๓/๒๕๕๖
ใจความฟ้อง- ฉ้อโกง จำเลยได้บังอาจแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ปกปิดความจริงอันควรบอก หลอกลวงผู้เสียหาย ได้เงินไปจำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท เหตุเกิดเมื่อระหว่างวันใดไม่ปรากฏชัดต้นเดือน ต.ค.๒๕๕๒ ถึงวันที่ ๔ ธ.ค.๒๕๕๒
คำพิพากษา- พิพากษาจำคุก ๒ ปี, คืนเงิน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท
-----
ภาพจากพันทิป
http://pantip.com/topic/30606189
http://f.ptcdn.info/198/006/000/1371205377-1462556171-o.png


พฤติกรรมมิบันเบา ดูประวัติเก่าก่อนย้อนหลัง สัก ๑ ตัวอย่าง จากมติชน

อ้างถึง
ศาลล้มละลายสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด"ไทกร พลสุวรรณ" พยานสำคัญยุบไทยรักไทย-เด็ก"เทพเทือก"?
วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552 เวลา 23:03:32 น.
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิพทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด"ไทกร พลสุวรรณ" มือพิฆาตพรรคไทยรักไทย เป็นพยานปากสำคัญในการพิจารณาคดีของตุลาการรัฐธรรมนูญ ถูกกล่าวครหาเป็นเด็ก"สุเทพ เทือกสุบรรณ"


ผู้สื่อข่าว"มติชนออนไลน์"รายงานว่า  มีประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์เด็ดขาด นายทัยกร หรือไทกร พลสุวรรณ(คดีหมายเลขแดงที่ ล. 7150/2551) ลงเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษาลงวันที่ 13 มกราคม 2552  เนื่องจาก ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้เป็นโจทก์ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2551 ให้พิทักษ์ทรัพย์ของ นายทัยกรลูกหนี้ เด็ดขาด ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พุทธศักราช 2483 แล้ว

ลูกหนี้เลขประจำตัวประชาชน 3-4099-00364-88-1 อาชีพ ไม่ปรากฏแน่ชัด เกิดเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2511  มีภูมิลำเนาอยู่เลขที่ 139/2 หมู่ที่ 14  ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น

นับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดเป็นต้นไป เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจดังต่อไปนี้
(1) จัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ หรือกระทำการที่จำเป็นเพื่อให้กิจการของลูกหนี้ที่ค้างอยู่เสร็จสิ้นไป
(2) เก็บรวบรวมและรับเงินหรือทรัพย์สิน ซึ่งจะตกได้แก่ลูกหนี้ หรือซึ่งลูกหนี้มีสิทธิจะได้รับจากผู้อื่น
(3) ประนีประนอมยอมความ หรือฟ้องร้อง หรือต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้

อนึ่ง เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายเรื่องนี้ จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ฝ่ายคำคู่ความ สำนักงานเลขานุการกรมกรมบังคับคดี ถนนบางขุนนนท์ แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร หรือสำนักงานบังคับคดีซึ่งลูกหนี้มีภูมิลำเนาอยู่ ภายในกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งนี้ แต่ถ้าเจ้าหนี้อยู่นอกราชอาณาจักร เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อาจขยายกำหนดเวลาให้อีกไม่เกิน 2 เดือน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายไทกร อ้างตัวเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวอีสานเคยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2538 โดยระบุว่า เพราะศรัทธาและประทับใจ นายชวน หลีกภัย ซึ่งสมัยนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  ต่อมาได้ลาออกและได้จัดตั้งพรรคการเมืองของตนเองขึ้น ชื่อ "พรรคประชาชนไทย" แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

จากนั้นจึงก่อตั้งขบวนการประชาชนขึ้นมา ชื่อว่า ขบวนการอีสานกู้ชาติ เพื่อทำการต่อต้านระบอบทักษิณโดยเฉพาะ นายไทกรเป็นที่รู้จักขึ้นมา จากการเป็นผู้เปิดโปงการทุจริตและประพฤติมิชอบต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างในรัฐบาลชุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์และไทยรักไทย หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นายไทกรเป็นผู้มีบทบาทอย่างมากในการสืบหาหลักฐานที่พรรคไทยรักไทยจ้างวานพรรคเล็กเพื่อให้ลงเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 และเป็นพยานสำคัญในการพิจารณาคดีของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ  แต่ทางพรรคไทยรักไทยโต้กลับมาว่า นายไทกรใส่ความพรรคไทยรักไทยและสนิทสนมกับทางนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์

ปัจจุบัน นายไทกรยังคงดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอยู่ในลักษณะการเคลื่อนไหวภาคประชาชน โดยมักจะเคลื่อนไหวออกมาเป็นระยะ ๆ และได้เข้าเป็นสมาชิกพรรคมัชฌิมาธิปไตย และลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ในจังหวัดขอนแก่น ปลายปี พ.ศ. 2550 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง
----
ตามรอยหลายๆ คนเช่นแม่ ส.ส.พรรคแมงสาบ, ลิ้ม โกตั้บ

‘เล็ก บ้านดอน’ ออก กวป. ตั้งภาคีพลังประชาชนจัดเวที 'พิทักษ์รัฐบาล ต้านกบฏ' เย็นวันนี้

‘เล็ก บ้านดอน’ ออก กวป. ตั้งภาคีพลังประชาชนจัดเวที 'พิทักษ์รัฐบาล ต้านกบฏ' เย็นวันนี้

ตั้ง “ภาคีพลังประชาชน”  พิทักษ์รัฐบาล ต่อต้านกบฏ ชุมนุม 5 โมงเย็นวันนี้ที่อนุสาวรีย์ปราบกบฏ เล็ก บ้านดอน นั่งประธาน ยันออกจาก กวป. ระบุแนวทางไม่ตรงกัน แต่จุดยืนเดียวกัน ชี้หน้ากากขาวมีสิทธิชุมนุมได้ตามระบอบประชาธิปไตย ปมปัญหาใหญ่คือ รธน.50 ระดมพลังประชาชนหนุนสภาแก้
แถลงเปิดตัวกลุ่มภาคีพลังประชาชน ภาพโดย หนุ่ม เสลภูมิ
นายพงษ์พิสิษฐ์ คงเสนา หรือ เล็ก บ้านดอน อดีตประธานกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) ในฐานะประธานกลุ่มภาคีพลังประชาชน (ภปช.) แถลงยืนยันลาออกจาก กลุ่ม กวป. และเปิดตั้วกลุ่มกลุ่มภาคีพลังประชาชน พร้อมด้วยแกนนำอีกกว่า 10 คน เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา ณ ชั้น 6 ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว
โดยเล็ก บ้านดอน แถลงด้วยว่าเนื่องจากปัจจุบันระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยถูกคุกคามจากหลายฝ่ายที่แสดงตัวเป็นผู้ต่อต้านหลักการประชาธิปไตย ทั้งภาคการเมือง ภาคประชาชนจัดตั้งและองค์กรต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ 50  ซึ่งเป็นปัญหาที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย พร้อมทั้งกลุ่มเครือขายที่แสดงท่าทีรับใช้ฝ่ายอำมาตยาธิปไตยยังขัดขวางถ่วงความเจริญของประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง จึงตนเองและพวกจึงรวมตัวกันเพื่อตั้งกลุ่มภาคีพลังประชาชน เพื่อดำเนินการในการพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตยและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเสียงข้างมาก เรียกร้องให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคมและประเทศ
ทั้งนี้จะมีการจัดชุมนุมและเวทีปราศรัย ชื่อ "ภาคีพลังประชาชน พิทักษ์รัฐบาล ต่อต้านกบฏ" ที่อนุสาวรีย์ปราบกบฏ (วงเวียนบางเขน) ในวันที่ 14 มิ.ย.เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป เพื่อป้องปรามกลุ่มที่มีความพยายามรัฐประหารล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มหน้ากากขาวที่มีการเรียกร้องให้ทหารและองค์กรอิสระตาม รัฐธรรมนูญ 50 ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลในขณะนี้ รวมทั้งเวทีนี้จะเป็นการนำข้อมูลมาเผยแพร่ให้กับประชาชนให้รับรู้และตื่นตัวต่ออันจะนำไปสู่การป้องกันไม่ให้เกิดการล้มรัฐบาลต่อไป
สำหรับการเคลื่อนไหวของกลุ่มหน้ากากขาวและกลุ่มคนไทยรักชาติรักแผ่นดินที่ชุมนุมที่สนามหลวงนั้น ประธานกลุ่มภาคีพลังประชาชน ยืนยันว่าไม่ว่ากลุ่มใดย่อมมีสิทธิในการชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตย แต่ที่กลุ่มตนจะชุมนุมนี้ก็เพื่อป้องปรามความพยายามที่ทำลายระบอบประชาธิปไตย เรียกร้องให้ทหารหรือองค์กรอิสระที่ไม่มีการยึดโยงกับประชาชนมาล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และเรียกร้องกลุ่มเหล่านั้นมาสู้กันในระบอบนี้ที่ประชาชนจะเป็นคนตัดสินดีกว่า
“ในระบอบประชาธิปไตยที่ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน เราสามารถตรวจสอบได้ แต่การรัฐประหารเราไม่สามารถตรวจสอบได้เลย” เล็ก บ้านดอน กล่าว
สำหรับเหตุผลที่แยกจาก กวป. นั้น เล็ก บ้านดอน กล่าวว่า เกิดจากแนวทางยุทธศาสตร์บางเรื่องที่ไม่ตรงกัน แต่จุดยืนยังคงตรงกัน คือต้องการให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย อำนาจเป็นของประชาชนโดยแท้เหมือนกัน ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน แต่เพื่อความสบายใจกันจึงได้แยกมาเคลื่อนในส่วนของกลุ่มที่มีแนวทางตรงกัน และยังคงมีการติดต่อกันกับ กวป. อยู่
เล็ก บ้านดอน กล่าวว่า กลุ่มภาคีพลังประชาชน ต้องการที่จะเห็นบ้านเมืองนี้เปลี่ยนแปลง จากต้นทางของปัญหาความขัดแย้งที่เกิดมาจากการรัฐประหารปี 49 คนกลุ่มหนึ่งก็ออกรัฐธรรมนูญ 50 เพื่อสถาปนาอำนาจกลุ่มตนเอง เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญต่างๆ และรัฐธรรมนูญ 50 ก็มีเงื่อนไขที่ถูกออกแบบไว้เพื่อป้องกันผลประโยชน์ของคนกลุ่มดังกล่าวไว้ ทำให้การบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนี้ถูกแทรกแซงตลอด ทั้งที่บางกรณีก็ไม่มีความจำเป็น ดังนั้นทางกลุ่มจะเคลื่อนไหวตรวจสอบองค์กรอิสระทุกองค์กรที่ไม่ได้มีการยึดโยงกับอำนาจของประชาชน
ประธานกลุ่มภาคีพลังประชาชน มองว่าสิ่งที่ต้องแก้ไขที่สำคัญที่สุด คือรัฐธรรมนูญปี 50 หากแก้ตรงนี้ ทุกอย่างมันก็ไปโดยอัตโนมัติ โดยทางกลุ่มจะพยายามใช้พลังอำนาจของประชาชนในการผลักดันช่องทางของรัฐสภาเพื่อให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยใช้เหตุใช้ผลและชาติกับประชาชนเป็นหลัก
ล่าสุดช่วงบ่ายวันนี้ ภปช. นำโดยเล็ก บ้านดอนและแกนนำ ภปช.ร่วมกับ พันตรีพุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา ลูกชายคนที่ 4 ของ พลเอกพระยาพหลฯ สักการะอัฐิของคณะราษฎร 2475 10 วันก่อน 81 ปี 2475 ที่ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร
เล็ก บ้านดอนและแกนนำ ภปช.ร่วมกับ พันตรีพุทธินาถ สักการะอัฐิของคณะราษฎร ภาพโดย @anuthee

กวป.แจ้งความเอาผิด 9 ตุลาการ ม.112-ม.157


กวป.แจ้งความเอาผิด 9 ตุลาการ ม.112-ม.157

Fri, 2013-06-14 16:51

           กลุ่ม กวป.นำหลักฐานแจ้งความอาผิดคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน ผิดฐานดูหมิ่นสถาบัน ตามมาตรา 112 และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

         14 มิ.ย. 56 - สำนักข่าวไทยรายงานว่ากลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) นำหลักฐานแจ้งความอาผิดคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีรับคำร้องระงับการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 จากผู้ร้องเรียนไว้เองโดยไม่ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริง

         นายศรรักษ์ มาลัยทอง โฆษกของกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) พร้อมทีมทนายความ เข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปราม แจ้งความดำเนินคดีกับคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทั้ง 9 คน ในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบัน ตามมาตรา 112 และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยนำเอกสารคำร้องทุกข์กล่าวโทษมอบไว้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาดำเนินคดี หลังเมื่อวานนี้ คณะตุลาการทั้ง 9 คน ได้ร่วมกันมีมติรับคำร้อง ระงับการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพวก 6 คน รวมทั้งคำร้องของนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ โดยไม่เสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนนำเสนอศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งในคดีกบฏ อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญได้วางหลักปฏิบัติ ขั้นตอนให้ยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุดก่อน ซึ่งถือว่าการกระทำดังกล่าว เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เท่ากับเป็นการใช้อำนาจล้มล้างระบบปกครองระบอบประชาธิปไตย ขณะที่พนักงานสอบสวนรับเรื่องไว้ตรวจสอบข้อเท็จจริง

ส่งตัว'อภิสิทธิ์-สุเทพ'ให้อัยการ 26 มิ.ย.นี้

‘ธาริต’แถลง ส่งตัว'อภิสิทธิ์-สุเทพ' ให้อัยการ 26 มิ.ย.นี้-ไม่ฟ้องทหาร

อธิบดีดีเอสไอสั่งฟ้อง ‘อภิสิทธิ์-สุเทพ’ สั่งการฆ่าโดยเจตนาเล็งเห็นผล คดีชุมนุมทางการเมืองปี 53 นัดส่งตัวให้อัยการ 26 มิ.ย.นี้ แต่สั่งไม่ฟ้องทหารผู้ปฏิบัติการ ชี้ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่สั่งการโดยมิชอบ
14 มิ.ย.56  กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รายงาน นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ แถลงสรุปสำนวนคดีการเสียชีวิตของประชาชนในเหตุชุมนุมทางการเมือง ปี 2553 ว่า ที่ประชุมประกอบด้วย อัยการคดีพิเศษ ตำรวจ และดีเอสไอ ทั้ง 3 ฝ่ายเห็นพ้องกันว่า การสอบสวนในคดีนี้ได้เสร็จสิ้นแล้ว ส่วนอีก 2 ความเห็น เป็นความเห็นของพนักงานสอบสวน คือตำรวจและดีเอสไอ เห็นว่า เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า การตายของนายพัน คำกอง ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ และการบาดเจ็บสาหัสของนายสมร ไหมทอง เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารภายใต้คำสั่งของ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ซึ่งมีผู้ต้องหา คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้กำหนดนโยบายและตัดสินใจในการออกคำสั่ง พฤติการณ์จึงเป็นการก่อให้เจ้าหน้าที่ภายใต้การบังคับบัญชาไปปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะที่ผู้ต้องหาและบุคคลทั่วไปย่อมคาดหมายหรือเล็งเห็นได้อยู่แล้วว่า จะเกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บของผู้ชุมนุม เมื่อมีการตายเกิดขึ้น การกระทำของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ จึงเข้าลักษณะเป็นความผิดอาญา ฐานร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าคนตาย โดยเจตนาเล็งเห็นผลโดยพยานหลักฐานที่ได้รวบรวมมา มีน้ำหนักพอฟ้อง เห็นสมควรสั่งฟ้อง
นายธาริต กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีเจ้าพนักงานทหาร ผู้ลงมือกระทำแม้ข้อเท็จจริง ฟังเป็นข้อยุติว่า สาเหตุการตาย เกิดจากเจ้าหน้าที่ทหารขณะปฏิบัติหน้าที่ แต่การสอบสวนยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า เป็นการกระทำของทหารรายใด เนื่องจากสภาพพื้นที่และข้อจำกัดขณะเกิดเหตุที่เกิดความไม่เรียบร้อยของบ้านเมือง อยู่ในขณะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ทหารกำหนดเขตพื้นที่ห้ามเข้า พนักงานสอบสวนจึงไม่อาจเข้าไปเก็บพยานหลักฐาน ยึดอาวุธปืนของกลาง หรือตรวจหาพยานวัตถุต่างๆ อันจะสามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้อย่างกรณีปกติทั่วไป อีกทั้งพฤติการณ์ของเจ้าพนักงานเป็นการปฏิบัติตามคำสั่ง ศอฉ. อาจเข้าลักษณะเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่สั่งการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารเชื่อไปโดยสุจริตใจว่าเป็นคำสั่งโดยชอบและมีหน้าที่ต้องปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ทหารจึงได้รับการยกเว้นโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 70 ในชั้นนี้เห็นสมควรสั่งไม่ฟ้อง
นายธาริต กล่าวด้วยว่า ดีเอสไอ กำหนดวันเรียกนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ มาพบพนักงานสอบสวน เพื่อส่งตัวให้อัยการฝ่ายคดีพิเศษ ในวันที่ 26 มิ.ย.เวลา 10.00 น.

"กาแฟปฏิรูป" บ.ก.ลายจุด บุกจิบกาแฟคุยกับ "ภูมิธรรม เวชยชัย"

"กาแฟปฏิรูป" บ.ก.ลายจุด บุกจิบกาแฟคุยกับ "ภูมิธรรม เวชยชัย"




หมายเหตุ - นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทยร่วมสนทนา "กาแฟปฏิรูป" กับนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ "บ.ก.ลายจุด" ที่ห้องสมุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ทำการพรรคเพื่อไทย (พท.) เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ซึ่งเป็นการสนทนาถึงแนวทางปฏิรูปพรรคการเมือง มีสาระสำคัญดังนี้

นายภูมิธรรม : ผมได้แสดงท่าทีในทวิตเตอร์ให้ความคิดนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อยากให้ความฝันนายอลงกรณ์ประสบความสำเร็จ ถ้าประชาธิปัตย์ปฏิรูปพรรคได้จริง เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น หันมาสนใจการเมืองที่มีสาระ มีเรื่องนโยบายการทำงานที่สร้างสรรค์ ผมคิดว่าโดยรวมประชาธิปไตยประเทศไทยจะได้ประโยชน์ เมื่อนายสมบัตินัดจิบกาแฟ ผมก็ดีใจ ก็ยินดี จริงๆ ไม่ได้กังวลใจ เป็นเรื่องปกติ พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคของประชาชน ยินดีพร้อมรับการตรวจสอบ ทั้งนี้ จะพูดเรื่องปฏิรูปพรรคเพื่อไทยจะไม่เข้าใจสาระการเมืองและปัญหาประชาธิปไตย แต่ต้องพูดปมปัญหาที่ทำให้พรรคการเมืองเกิดปัญหาด้วย 

ถ้าพูดปฏิรูปพรรค ต้องพูดสภาพบรรยากาศการเมืองด้วย ถ้าจะเริ่มต้นการคุย ต้องยอมรับและเข้าใจว่าประเทศไทยมีปัญหาอุปสรรคโครงสร้างกลไกที่ขวางการเป็นประชาธิปไตย ถ้าฟันธงง่ายๆ คิดว่ารัฐธรรมนูญ 2550 เป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตย กฎหมายพรรคการเมืองปัจจุบันเป็นอุปสรรคทำให้พรรคการเมืองเติบโตไดยาก ถ้าประชาชนไม่ออกมา การบีบคั้นให้พรรคการเมืองเป็นประชาธิปไตยก็เป็นได้ยาก

วันนี้โครงสร้างพรรคเพื่อไทย แม้ตัวนายกรัฐมนตรี ปาร์ตี้ลิสต์หมายเลข 1 ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค ถ้าพูดจากความจริง เราเป็นพรรคที่เติบโตมาจากพรรคไทยรักไทย 15 ปีแล้ว เป็น 15 ปี ที่ถูกยุบพรรค ทำให้แกนนำพรรคถูกตัดสิทธิคนละ 5 ปี 2 รอบ และมีข่าวจะมีรอบที่ 3 อีก ผมเพิ่งพ้นโทษมา เหมือนพรรคจริงๆ เล่นๆ ไม่เหมือนประชาธิปไตยตามที่ต่างๆ แต่กรรมการบริหารพรรคก็มีความรู้ความสามารถ ดังนั้น วันนี้ต้องอยู่รอดภายใต้ประชาธิปไตยที่พิกลพิการ กลไกขัดขวางประชาธิปไตยยังทำหน้าที่อยู่ 

เมื่อวานนี้ (11 มิ.ย.) หลายเรื่องมีการปฏิบัติไม่ตรงตามกฎหมาย ถ้าเกิดกับพรรคเพื่อไทยก็ถูกยุบพรรคไปแล้ว แม้ผมถูกตัดสิทธิ 5 ปี ผิดหรือไม่ผิดยังไม่รู้ ตอนเหตุการณ์ที่คาดว่าจะผิดก็ยังไม่มีกฎหมายยุบพรรค ก็สามารถสร้างกติกามาตัดสิทธิได้ 

พวกผมถูกตัดสิทธิ เรื่องในโลกประชาธิปไตยทันสมัยไม่เป็นกัน ถ้าอยากพัฒนาพรรคการเมืองต้องปลดกติกาให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น วันนี้มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยส่วนร่วมประชาชนกับอุดมการณ์อนุรักษนิยมที่อยากเห็นโครงสร้างเดิม หรือพูดสวยหรูเป็นประชาธิปไตยภายใต้คนดีต้องการการชี้นำ ต้องให้สังคมร่วมถกเถียงว่า เราต้องการประชาธิปไตยแบบไหนกันแน่ 

วันนี้อยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง อย่างหน้ากากขาวแสดงความเห็นได้เต็มที่ ยังไม่ทันเปิดหน้ากากก็บอกว่าเชิญทหารมาปฏิวัติก็ไม่ได้แล้ว

เราประคับประคองพรรคเพื่อไทยให้อยู่ได้ จริงๆ การทำพรรคมวลชน หรือพรรคมีประชาชนส่วนใหญ่ คิดว่าไม่ได้เป็นอย่างที่นายอลงกรณ์คิดว่าเป็นพรรคเถ้าแก่ พรรคบริษัทจำกัดมหาชน จริงๆ เราคิดไพรมารี่โหวตก่อนนายอลงกรณ์คิดมาตั้งแต่พรรคไทยรักไทย เรามีสมาชิกพรรค 14 ล้านคน แต่วันนี้เหลือ 3 หมื่นคน การจะเอาคนมาเป็นสมาชิกพรรคก็ยากมาก กลไกไม่พัฒนาให้เป็นพรรคมหาชนได้ง่ายๆ 

นายสมบัติ : บริบททางการเมืองไม่เอื้อให้พรรคการเมืองพัฒนาตัวเองได้ แต่คำถามแม้ภายใต้ข้อจำกัดดังกล่าวการปฏิรูปเกิดขึ้นไม่ได้เลยหรือ ให้มองสภาพการณ์ของพรรคภายในที่พอแก้ไขได้ที่อยากจะเห็นรัฐธรรมนูญอกกันไปจะแก้ไข แม้รัฐธรรมนูญและบรรยากาศแบบนี้พรรคเพื่อไทยมีการขับเคลื่อนจะทำอะไร

นายภูมิธรรม : ถ้าดูโครงสร้างพรรคเพื่อไทยขณะนี้ไม่ใช่อย่างที่หลายคนมองจากภายนอก เรื่องคนคนเดียว ผมคิดว่าไม่ใช่ พรรคเพื่อไทยไม่เคยปิดกั้นการยอมรับจากผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบุคลาการบ้านเลขที่ 111 ไทยรักไทยก็มีบทบาท ไม่ปฏิเสธว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย ดังนั้น การหาเสียงเลือกตั้งคิดชัดเจนว่า "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" 

ดังนั้น เรื่องโครงสร้างพรรคมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ เป็นผู้รวมบุคลากรทางการเมืองช่วยมองทิศทางการทำงานการเมืองของพรรค มีคณะกรรมการประสานภารกิจ มีผู้บริหารพรรคจาก 19 โซน ซึ่งประธานโซน 19 โซน มาจากรัฐมนตรี เพื่อให้นักการเมืองภายใต้ 19 โซน ได้ดูแลบริหารจัดการกัน คณะกรรมการยุทธศาสตร์จะประชุมในวาระที่มีเรื่องสำคัญทางการเมือง ส่วนการประชุมคณะกรรมการประสานภารกิจเป็นการประชุมระหว่างคณะกรรมการยุทธศาสตร์

ดังนั้น ข้อคิดเห็นเชิงยุทธศาสตร์และแนวนโยบายของพรรคการเมืองจะถูกถ่ายทอดลงสู่กรรมการโซน ถ้าเห็นด้วยก็คุยเรื่องรายละเอียด และประชุม ส.ส.พรรค ซึ่งผ่านการประชุมถกเถียงในแต่ละโซน และไม่เคยตื่นเต้นเมื่อที่ประชุม ส.ส.วิจารณ์แต่รู้สึกปกติในระบอบประชาธิปไตย

ผมเข้ามาฟื้นพรรคเพื่อให้ทุกคนเป็นสมาชิก กฎเกณฑ์กติกาไม่สามารถทำให้ผมสมัครสมาชิกพรรคได้ง่าย ผมก็ให้จัดตั้งหน่วยอาสาสมัครพัฒนาประชาธิปไตย ให้คุยพี่น้องประชาชนไม่ต้องมีบัตรสมาชิก แต่เป็นสมาชิกอาสาพัฒนาประชาธิปไตย ผมยกตัวอย่าง ปิดสมัยประชุมรัฐสภา ถ้าเป็นพรรคการเมืองไม่ปฏิรูปทุกคนก็หยุด วันนี้เราชี้แนะเสนอไปว่า ส.ส.มีหน้าที่ลงไปหาประชาชน พรรคจัดรายการ พรรคเพื่อไทยพบประชาชน คือการรายงานประชาชนว่ารัฐบาลกำลังทำอะไรบ้าง

นายสมบัติ : ทำไมเวลา ส.ส.พบปะชาวบ้านอยู่ไม่กี่งาน ไม่มีกระบวนการสร้างนโยบายจากข้างล่างขึ้นมา ทำให้ไปเพียงได้แต่งานบวชเท่านั้น

นายภูมิธรรม : ต้องทบทวนตัวเอง ประชาสัมพันธ์ได้ไม่มากพอ ตั้งแต่เป็นไทยรักไทย พลังประชาชน จนถึงเพื่อไทย ทำให้พรรคการเมืองพูดถึงปฏิรูปพรรคการเมืองมีสาระแข่งขันต่อสู้ทางนโยบาย เราใช้กลไก ส.ส.ที่แนบแน่นกับประชาชน รู้ดีว่าประชาชนมีปัญหาอะไร ที่ประชุม ส.ส.จะมาสะท้อนว่านโยบายเรื่องนี้มีปัญหา ประชาชนไม่เข้าใจ 

นายสมบัติ : นายอลงกรณ์เสนอในพรรคประชาธิปัตย์ให้มีสถาบันนโยบาย แทนที่จะผ่านกลไกบุคลากร เลือกตั้งก็เตรียมการไว้ก่อน ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยทำนโยบายใหญ่ๆ แต่มีนโยบายเล็กๆ น้อยๆ ไม่สามารถปรากฏในการเลือกตั้ง 

นายภูมิธรรม : ไม่ได้คิดนโยบายเรื่องการเลือกตั้ง แต่คิดเพื่อสังคมจะต้องแก้ไขอะไร ตอนทำพรรคไทยรักไทย ผมออกหนังสือเล่มหนึ่งทำให้พรรคเป็นสถาบัน ไพรมารี่โหวตก็พูดมาก่อน ในช่วงปลายรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เตรียมซื้อที่ดินที่แยกหลักสี่ ทำเป็นหอพักให้ ส.ส.มีที่พัก เป็นศูนย์ฝึกอบรมพัฒนา เพื่อสร้างเครือข่ายประชาชนทุกมิติ แต่ทุกอย่างพังทลายไปหมด และจะสร้างสถาบันทางวิชาการ แต่ปฏิวัติ อุปกรณ์ หนังสือถูกยึดหมด ผมต้องทำทุกอย่างคู่ขนานกันไป พรรคการเมืองมีหน้าที่สนับสนุนรัฐบาล 

นายสมบัติ : เวลาพูดถึงการเมืองเฉพาะหน้านัวเนีย พอฟังนายอลงกรณ์เสนอ พรรคการเมืองไม่มองเรื่องสำคัญปฏิรูปพรรคการเมือง

นายภูมิธรรม : มีหลายเรื่องที่ไม่ออกหน้าสื่อ แต่สื่อสนใจบางเรื่อง บางเรื่องสื่อไม่สนใจรายงาน เรื่องนี้สำคัญมาก เมื่อวานนี้ (11 มิ.ย.) คณะกรรมการประสานภารกิจได้เสนอให้สำนักเลขาธิการพรรค เชิญกลุ่มประชาชนที่ประสบปัญหาทุกด้านมาพูดคุยในสถานะของพรรค บรรยากาศจะลดการเผชิญหน้าน้อยลง พอประชาชนไปเจอรัฐบาลผู้ปฏิบัติก็ยากลำบาก เขายกตัวอย่าง ยังไม่ได้สรุป เช่น กลุ่มหมอ กลุ่มพีมูฟ (กลุ่มขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม) กลุ่มประชาชนต่างๆ ซึ่งพรรคน่าจะสร้างโฟกัสกรุ๊ป ถ้ามีบรรยากาศที่เราได้คุย และเห็นว่าผมได้สัมพันธ์กับกลุ่มต่างๆ ได้บ้าง ในฐานะเป็นแม่บ้าน เราต้องทำหน้าที่และเชื่อมกับรัฐบาล สำนักเลขาธิการพรรคก็รับงานมา จึงบอกทีมงานให้คิดให้คุยกับกลุ่มหมอ กลุ่มพีมูฟ คุยโดยอาจจะคุยไม่ใช่ความต้องการเราฝ่ายเดียว เพราะบางทีไม่อยากคุยต่อหน้าสื่อ อยู่ที่ความสบายใจของคู่สนทนา แต่ปัญหาเราต้องการสื่อให้ตรงกันว่าปัญหาอยู่ตรงไหน และพูดด้วยว่าการใช้สื่อทันสมัยเราคิดน้อยไป จึงรับว่ายังอ่อนอยู่ สมัยก่อนกลไกที่ผมใช้มากที่สุด ที่ประชุมพรรคก็เห็นชอบ ถ้าสื่อสารกับคน 14 ล้านคนได้ดีจะเป็นตัวแปรสะท้อนขึ้นสะท้อนลงได้ดี ผมเข้ามาจึงเร่งขยายฐาน