วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2556

บทสรุป สนธิ แมลงสาบ สลิ่ม และพวกคลั่งเจ้า

บทสรุป สนธิ แมลงสาบ สลิ่ม และพวกคลั่งเจ้า
สนธิ ลิ้มทองกุล บอกว่า หมอตุลย์ และ แก้วสรร 
เป็นคนของพรรคประชาธิปปัตย์



แม้แต่สนธิ ยังชมอภิสิทธิ์ว่า "ดีแต่พูด"





สุเทพถามสนธิ ลิ้ม มีอะไรหรือเปล่า 



ผมไม่ค่อยเห็นว่า คุณสนธิ ทำอะไรที่จะเป็นประโยชน์ของส่วนรวม




สนธิ ลิ้มทองกุล จุดธูปสาบแช่ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ





สนธิลิ้ม จัดเต็มๆ แตกหักพรรคปชป. เปิดเผย
พรรคปชป.คือพรรคที่ออกกฏหมายขายชาติ 11 ฉบับ
ขายความหล่อของอภิสิทธิ์ ขายความกะล่อน 

วันนี้เขาไม่ได้รักประชาชนเขารักตัวเขาเอง 
รัฐบาลชุดนี้มีกลุ่มวัยรุ่นเสือใบ 2 แฝงอยู่
ไปทำ XXX กันในค่ายทหาร วันนี้มีซีดีอัดไว้ด้วย 

สนธิ ลิ้มจัดหนักจริงๆ Kaaaaa




สกู๊ปพิเศษ สนธิ แตกหัก ปชป. สนธิ ลิ้มทองกุล
บอกว่า อยากเห็นประชาชนออกมาไล่รัฐบาลชุดนี้
และอยากให้ประเทศปิดเทอม 3 ปี คืนอำนาจให้นายหลวง




ASTV สนธิ เปิดตำนาน ความชั่ว ปชป.  เทวดาทางการเมือง




สนธิ ลิ้มทองกุล จัดหนักประกาศโหวตโน ชูท่ากาโม่ 
บอกผู้ฟังที่มาปราศัย ก่อนกลับบ้านการปราศัยครั้งนี้
เป็นการปราศัยเพื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน
และมิวายการปราศัยครั้งล่าสุด สุรยุทธ์ จุลลานนท์ก็โดนหางเลข
ฟังการปราศัยกระทบช่วงกลางๆ ประมาณนาทีที่ 11
และซ้ำอีกรอบในนาที่ที่ 20 


ยุคส่งของ เกมมหาอำนาจฮุบพลังงานในอ่าวไทย


เหตุใดมรึงยิงผม 
PS คลิปนี้สนธิ ลิ้มพูดมีประเด็นหลักๆ ที่ถูกหลายประเด็น
แต่เนื้อหาบางตอนที่ควรพูดก็ไม่พูดกั๊กในส่วนทีควรพูดไว้ทำไมฟะ
... จับตาข่าวเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร
ที่กำลังดำเนินการอยู่ในต่างประเทศให้ดี
ข่าวนี้เป็นเกมชะตาพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเหมือนกัน


http://narater2010.blogspot.com/

เอาทักษิณกลับบ้าน


สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: เอาทักษิณกลับบ้าน

Sat, 2013-06-01 15:25
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
จากโลกวันนี้วันสุข ฉบับที่ ๔๑๓ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๖

            เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ที่ผ่านมา รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ได้แถลงที่สนามทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุดรธานี อธิบายอย่างชัดเจนว่า สาเหตุสำคัญในการเสนอมพระราชบัญญัติปรองดองแห่งชาติ ก็เพื่อที่จะนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศไทย และยังแสดงการคาดหมายว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะได้กลับบ้านก่อนปีใหม่อย่างแน่นอน ประเด็นอยู่ที่ว่า การนำเอา พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทย คงไม่ใช่เรื่องที่ผิด และเป็นสิ่งที่สมควรด้วยซ้ำ แต่ต้องไม่แลกเปลี่ยนกับการนิรโทษให้กับกลุ่มฆาตกรที่สังหารประชาชน

           พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกโค่นอำนาจโดยการรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ ในระหว่างที่อยู่ต่างประเทศ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการลี้ภัยครั้งแรก จนถึงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๑ พ.ต.ท.ทักษิณได้กลับมาประเทศไทย ในสมัยที่ นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณก็ต้องลี้ภัยจากประเทศไทยอีกครั้งตั้งแต่วันที่ ๑๑ สิงหาคม ปีเดียวกัน เพราะถูกศาลตัดสินคดี มาจนถึงขณะนี้ มีคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ยังค้างอยู่ทั้งสิ้น ๙ คดี แต่เป็นคดีที่ศาลตัดสินแล้ว ๕ คดี นอกนั้นยังอยู่ในชั้นศาล

           อย่างไรก็ตาม คงจะต้องอธิบายว่า คดีทั้งหมดนี้เป็นการดำเนินคดีที่มาจากกระบวนการอันไม่ชอบธรรม และเป็นผลพวงรัฐประหารทั้งสิ้น เพราะหลังจากการยึดอำนาจ คณะรัฐประหารได้ออกประกาศคณะ คปค. ลงวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ ให้จัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เพื่อมุ่งที่จะสอบสวนความผิดในการดำเนินงานของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคณะรัฐมนตรี คณะกรรมชุดนี้มีระยะเวลาการทำงานจนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๑ ปัญหาแรกสุด คือ ตัวบุคคลในคณะ คตส.ที่ได้รับการแต่งตั้งจากฝ่ายรัฐประหาร ล้วนแต่มิได้เป็นคนที่ใจเป็นกลาง แต่เป็นพวกอคติและเป็นศัตรูของ พ.ต.ท.ทักษิณแทบทั้งสิ้น ความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณจึงถูกตั้งไว้ล่วงหน้า

           ถึงกระนั้น คณะกรรมการชุดนี้กลับไม่ประสบความสำเร็จเลยในการพิสูจน์ให้ประชาชนทั่วไปเห็นว่า มีการทุจริตคอรับชั่นอย่างมโหฬารในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะไม่สามารถที่จะหาหลักฐานความผิดที่เป็นจริงมาแสดงต่อสาธารณชน นอกจากนี้ การดำเนินคดีที่เกิดขึ้นก็ขัดหลักการยุติธรรมที่ควรจะเป็น กล่าวคือ การดำเนินคดีโดยทั่วไปจะถือหลักการแยกผู้สอบสวนกับผู้พิจารณาสั่งฟ้อง เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ต้องหา ดังนั้นในคดีทั่วไป ตำรวจเป็นผู้สอบสวน แต่จะไม่มีอำนาจในการยื่นฟ้อง ต้องเสนอให้อัยการเป็นผู้พิจารณาฟ้อง แต่ในกรณีนี้ คตส.เป็นผู้สอบสวนและยื่นฟ้องต่อศาลเองเสีย ๔ คดี และยื่นต่ออัยการสูงสุดให้พิจารณาฟ้อง ๗ คดี แต่ศาลไทยก็ยังอุตส่าห์รับฟ้องทุกคดี

           คดีสำคัญที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกศาลตัดสินลงโทษจนต้องหนีไปต่างประเทศนั้นคือ คดีทุจริตประมูลซื้อที่ดินรัชดาภิเษก ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ ๑ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตรเป็นจำเลยที่ ๒ ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยคดีนี้เริ่มจาก เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๖ คุณหญิงพจมานได้ทำการประมูลซื้อที่ดินริมถนนเทียมร่วมมิตร ย่านถนนรัชดาภิเษก ใกล้กับศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เนื้อที่ประมาณ ๓๓ ไร่ ด้วยราคา ๗๗๒ ล้านบาท จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ร่วมลงนามยินยอมในฐานะคู่สมรส ปรากฏว่าศาลตัดสินว่า การซื้อที่ดินนั้นถือเป็นถือโมฆะให้คุณหญิงพจมานคืนที่ดิน และให้กองทุนคืนเงินแก่คุณหญิงพจมานพร้อมดอกเบี้ย แต่ พ.ต.ท.ทักษิณแต่เพียงผู้เดียวที่ศาลพิพากษาว่ามีความผิดต้องโทษจำคุก ๒ ปี คำตัดสินของศาลในกรณีนี้จึงไม่อาจหาเหตุผลรองรับได้ และเรื่องนี้ก็ไม่สามารถเป็นข้อพิสูจน์ถึงการทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณ


            ต่อมา ในวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๓ องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เริ่มอ่านคำพิพากษาในคดีที่อัยการสูงสุด ยื่นคำร้องขอให้ยึดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในข้อหาร่ำรวยผิดปกติศาลฎีกามีคำวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้อำนาจหน้าที่ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เอื้อประโยชน์ให้แก่ธุรกิจของตน อันมีผลทำให้มูลค่าหุ้นของ บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น สูงขึ้น จึงให้ยึดเงินค่าขายหุ้นส่วนที่เพิ่มขึ้นและเงินปันผลรวม ๔.๖ หมื่นล้านให้ตกเป็นของแผ่นดิน ปัญหาของคดีนี้คือ ศาลไม่อาจพิสูจน์ให้เห็นได้เลยว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้อำนาจหน้าที่ผิดอย่างไร ก็ในเมื่อสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ หุ้นก็ขึ้นทั่วทั้งตลาด

            สำหรับ คดีเลี่ยงภาษีการซื้อขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น มูลค่า ๓๗๘ ล้านบาท ซึ่ง คตส.ได้มอบหมายให้อัยการส่งฟ้อง คุณหญิงพจมาน นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และนางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน โดยศาลอาญาได้พิพากษาให้จำคุกคุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์ คนละ ๓ ปี ส่วนนางกาญจนาภา ๒ ปี ปัญหาของคดีนี้ก็คือ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๐ ก่อน พ.ต.ท.ทักษิณตั้งพรรคเพื่อไทยด้วยซ้ำ จึงไม่อาจโยงกับการทุจริตอันใดได้เลย ยิ่งกว่านั้น ศาลอุทธรณ์ได้ยกฟ้องคดีนี้แล้วตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๔ และอัยการสูงสุดไม่ฏีกา

           ส่วนคดีทุจริตจัดซื้อต้นกล้ายางพารา ๙๐ ล้านต้น ที่มีการยื่นฟ้อง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายเนวิน ชิดชอบ อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ กับพวก รวม ๔๔ คน ศาลฎีกาให้ยกฟ้องจำเลยเนื่องจากพบว่าไม่ได้กระทำความผิด

           คดีทุจริตโครงการออกสลากเลขท้ายพิเศษ ๒ ตัว ๓ ตัว หรือเรียกกันว่า หวยบนดิน ซึ่ง คตส.ยื่นฟ้องคณะรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งคณะและผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ศาลฎีกาฯตัดสินให้จำคุกนายวราเทพ รัตนากร อดีต รมช.คลัง ๒ ปี นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลังและประธานคณะบอร์ดกองสลาก ๒ ปี และ นายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีต ผอ.กองสลาก ๒ ปี แต่เนื่องจากจำเลยทั้งสามไม่เคยทำผิดมาก่อน ให้รอลงอาญา สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เดินทางมารับฟังคำพิพากษา จึงมีการออกหมายจับ ปัญหาของคดีนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน ก็คือไม่อาจจะอธิบายการทุจริตของคณะรัฐบาลได้เลย เพราะการออกหวยบนดินทำให้รัฐได้เงินเพิ่ม การลงโทษของศาลต่อจำเลย ๓ คนเป็นเพียงความผิดทางข้อกฎหมายเท่านั้น

           ส่วนคดีอื่นที่ศาลออกหมายจับ พ.ต.ท.ไว้ ก็เช่น ๑. คดีแจ้งทรัพย์สินเป็นเท็จเพราะไม่ได้แจ้งการครอบครองหุ้นชินคอร์ปฯ ๖ ครั้ง ๒.คดีปล่อยเงินกู้รัฐบาลพม่า ๔,๐๐๐ ล้าน ๓. คดีทุจริตออกพระราชกำหนดแปลงค่าภาษีสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิตเพื่อเอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัทชินคอร์ปฯ ๔. คดีทุจริตธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้บริษัทกฤษดามหานครทั้งหมดล้วนเป็นคดีที่หลักฐานอ่อน และไม่สามารถพิสูจน์การทุจริตหรือฉ้อโกงประเทศชาติของ พ.ต.ท.ทักษิณได้เลยแม้แต่คดีเดียว


          จากตัวอย่างคดีเหล่านี้ จึงสรุปได้ว่า คดีทั้งหลายที่สอบสวนและดำเนินการโดย คตส.จึงเป็นเรื่องเหลวไหล และถือได้ว่าเป็นเรื่องใช้อำนาจศาลมากลั่นแกล้งทางการเมืองต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

          เมื่อเป็นเช่นนี้ การนำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้านด้วยวิถีทางอันเหมาะสม รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ควรที่จะใช้การออกพระราชกำหนดล้มล้างผลพวงคณะรัฐประหาร โดยถือว่า คำสั่งคณะรัฐประหารทั้งหมดเป็นโมฆะ และปราศจากผล แล้วนำคดีทั้งหลายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาพิจารณาใหม่ ในกฎหมายปกติ ภายใต้กระบวนการอันโปร่งใส

          เมื่อเป็นเช่นนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็จะกลับบ้านได้อย่างภาคภูมิ และไม่ต้องไปนิรโทษกรรมฆาตกร

ASTV ขาดทุนทุกปี! "แต่เอาเงินจากไหนมาจ่ายลูกน้อง"

ASTV ขาดทุนทุกปี! "แต่เอาเงินจากไหนมาจ่ายลูกน้อง"


            ถ้าจะดูข้อมูล ฐานธุรกิจ บริษัทใด ห้างหุ้นส่วนจำกัดใด ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ให้ชัด ๆ แบบ ไม่มีอคติ หรือ คิดหรือรู้สึก ไปเอง ต้องตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

     เพราะเป็นข้อมูลทางการ ที่ภาคราชการและภาคเอกชน ให้การยอมรับ
และถ้าจะรู้ว่า ใครถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด หรือ ล้มละลาย ก็ตรวจสอบได้จากกรมบังคับคดี หรือ ตรวจดูจาก ประกาศราชกิจจานุเบกษาที่ออกประกาศโดยศาลล้มละลายกลาง
นี่คือ ข้อมูลที่เปิดเผย และตรวจสอบได้ตลอดเวลา

        เช่น การที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ล้มละลายและพ้นล้มละลาย คนทั้งโลก ต่างทราบกันเป็นอย่างดี

       นับจากล้มละลาย และพ้นล้มละลาย สนธิ ลิ้มทองกุล ในทางกฎหมายแทบไม่ปรากฎชื่อ สนธิ เป็นกรรมการ หรือ บริหารธุรกิจใด ๆ ในบ้านพระอาทิตย์ เลขที่ 102/1 ถนนพระอาทิตย์ แขวง ชนะสงคราม เขตพระนคร เครือข่ายทางธุรกิจถูกบริหารโดย จิตตนาถ ลิ้มทองกุล บุตรชาย และ วริษฐ์ ลิ้มทองกุล หลานชาย

        ในสายของ จิตตนาถ ลิ้มทองกุล จากการตรวจดูข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จะพบว่าธุรกิจที่ จิตตนาถ เป็นกรรมการและถือหุ้น ไม่สดใสเท่าที่ควร

        ไม่ว่าจะเป็น บริษัท เอเอสทีวี เทรดดิ้ง จำกัด บริษัท บ้านพระอาทิตย์ จำกัด ห้างหุ้นส่วน จำกัด บุรพัฒน์ คอมมิค บริษัท เอเอสทีวี โปรดักส์ จำกัด บริษัท ภูเก็ต บูลสกาย จำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ขอนแก่นรังนกไทย บริษัท แอล อินเตอร์เทรด ทุกแห่งล้วนไม่ทำกำไร ผลประกอบการติดลบต่อเนื่อง และยาวนาน

  •  บริษัท เอเอสทีวี เทรดดิ้ง ทำธุรกิจเป็นตัวแทนสินค้าทุกชนิด งบดุลเปิดเผยเพียงปีเดียวคือปี 2554 ....ขาดทุน
  • ห้างหุ้นส่วนจำกัด ขอนแก่นรังนกไทย ตั้งอยู่ในบ้านพระอาทิตย์ ไม่ปรากฏงบดุล ทั้งที่ตั้งมาตั้งแต่ปี 2546 
  • ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรพัฒน์ คอมมิค ผลิตและจำหน่ายหนังสือการ์ตูน ขาดทุนสะสม ตั้งแต่ 10 ล้านบาท ถึง 13 ล้านบาท ต่อเนื่องจากปี 2550 จนถึงปี 2554
  • บริษัท ภูเก็ตบลูสกาย ทำธุรกิจให้เช่าเรือ ขาดทุนต่อเนื่องจากปี 2549 ถึงปี 2554 
  • บริษัท เอเอสทีวี โปรดักส์ จำหน่ายและเป็นตัวแทนสินค้าทุกชนิด ปี 5553 ขาดทุน 4 ล้าน ปี 2554 ขาดทุน 5.5 ล้าน
  • บริษัท แอล อินเตอร์เทรด จำกัด ธุรกิจที่ลงทุนกับ ทราน มินห์ เตียน ชาวเวียดนาม ในการขายสินค้าอุปโภคบริโภค ขาดทุน ติดลบ 10 ล้านต่อเนื่องจากปี 2552 จนถึงปี 2554 
  • บริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด ประกอบธุรกิจ ผลิตรายการทางวิทยุและโทรทัศน์ ออกแบบติดตั้งเว็บไซต์บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ตั้งอยู่บนอาคารสีลมเซ็นเตอร์ ขาดทุนสะสมต่อเนื่อง จากปี 2554 ขาดทุน 177 ล้าน ปี 2553 ขาดทุน 176.5 ล้าน ปี 2552 ขาดทุน 191.6 ล้าน ปี 2551 ขาดทุน 258 ล้าน ปี 2550 ขาดทุน 415 ล้าน ทั้งๆ ที่ทุนจดทะเบียนแค่ 60 ล้านเท่านั้น 
  • ส่วน ห้างหุ้นส่วนจำกัด สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ ธุรกิจในบ้านพระอาทิตย์ เลิกกิจการไปแล้ว 

        ส่วนธุรกิจในสายของ วริษฐ์ ประกอบด้วย บริษัท โฮลดิ้ง 1998 จำกัด บริษัท เถ้าแก่ จำกัด บริษัท แมเนเจอร์จ๊อบ จำกัด บริษัท เอเอสทีวี(ประเทศไทย) จำกัด ขนาดของธุรกิจจะใหญ่กว่าของ จิตตนาถ เพราะทุนจดทะเบียนแตะระดับ 100 ล้าน

        แต่ถ้ามองในแง่ผลประกอบการ ไม่แตกต่างกัน นั่นคือ ขาดทุนมากว่า กำไร
เช่น บริษัท โฮลดิ้ง 1998 ทำธุรกิจซื้อขายที่ดิน ขาดทุนสะสมต่อเนื่อง จากป ปี 2550 ขาดทุน 54 ล้าน ปี 2551 ขาดทุน 54 ล้าน ปี2552 ขาดทุน 74 ล้าน ปี 2553 ขาดทุน 73 ล้าน ปี 2554ขาดทุน 73 ล้าน

       บริษัท แมเนเจอร์จ๊อบ จำกัด ประกอบธุรกิจขายโฆษณา บนอินเตอร์เน็ต ปี2554 ขาดทุน
บริษัท เอเอสทีวี(ประเทศไทย) จำกัด ประกอบ กิจการโทรคมนาคม บริการกระจายเสียง ผลิตรับจ้างพิมพ์ จำหน่ายภาพยนตร์ บันเทิงต่างๆ ทุนจดทะเบียน 250 ล้าน ขาดทุนสะสม ต่อเนื่อง ปี 2553 ขาดทุน 69 ล้าน ปี 2554 ขาดทุน 118 ล้าน

       นอกจากนี้ ยังมีบริษัท ที่ตั้งอยู่ในเลขที่ 102/1 ถนนพระอาทิตย์ ที่เลิกกิจการไปแล้ว ได้แก่ บริษัท เอเชียไทม์ส ออนไลน์ จำกัดอและบริษัท เอเอสทีวีผู้จัดการ จำกัด ประกอบกิจการ ผลิตและจำหน่ายสิ่งพิมพ์ ขาดทุนสะสม ปี 2554 164 ล้าน ปี 2553 ขาดทุนสะสม 90 ล้าน

นี่คือ ข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้ตลอดเวลา

        ประเด็นที่น่าสนใจ ในเชิง ธุรกิจ เครือบริษัทที่มีผลประกอบการ ขาดทุนสะสม ต่อเนื่อง ยาวนาน

ใช้เงินจากไหนมาหล่อเลี้ยง !!?