วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปล่อยไก่ตัวเท่าควาย! "บลูสกาย"

ปล่อยไก่ตัวเท่าควาย! "บลูสกาย" เผยแพร่ข่าว "ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์" ไปร่วมงานรำลึก 113 ปีชาติกาลรัฐบุรุษปรีดี ที่ธรรมศาสตร์

        เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2556 (go6TV) ฮือฮาอย่างมากเมื่อเว็บไซต์สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม บลูสกาย แชลแนล ได้เผยแพร่ข่าว "ธรรมศาสตร์รำลึก 113 ปี ชาติกาล รัฐบุุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์"  http://www.blueskychannel.tv/news/1175944  โดยมีเนื้อข่าวท่านผู้หญิงพูนศุข  ภริยาท่านรัฐบุรุษเข้าร่วมงานรำลึก  โดยมีข้อความเนื้อข่าวระบุว่า  "โดยมีบุคคลสำคัญที่เข้าร่วมงานอาทิ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภรรยา"



        ข้อเท็จจริงคือ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ถึงแก่อนิจกรรมไปแล้วตั้งแต่ปี 2550 แต่สำนักข่าวดังกล่าว ก็เขียนข่าวขึ้นโดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง และข้อมูลการถึงแก่อนิจกรรมของท่านผู้หญิง ก็เป็นเรื่องปกติ ที่คนทั่วไปรับทราบกันแล้วเป็นอย่างดี ดังนั้นการเสนอข่าวของสถานีผ่านดาวเทียม "บลูสกาย" นี้ จึงแสดงออกถึงสติปัญญา ความรู้ ของบุคคลาการของสถานีนี้ได้เป็นอย่างดียิ่ง

       ล่าสุด สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบลูสกาย ได้ลบข้อความผิดพลาดนั้นออกไปแล้วหลังจากขึ้นข่าวทิ้งไว้ถึง 1 วันเต็ม ๆ

อดีตผู้นำกัวเตมาลา ถูกตัดสินจำคุก 80 ปีฐานสังหารหมู่

อดีตผู้นำกัวเตมาลา ถูกตัดสินจำคุก 80 ปีฐานสังหารหมู่

 อีฟราอิน ริออส มอนท์ อดีตผู้นำทหารที่ปกครองกัวเตมาลา

อดีตผู้นำทหาร อีฟราอิน ริออส มอนท์ ที่ปกครองกัวเตมาลาช่วงปี 1982-1983 ถูกตัดสินให้มีความผิดฐานเป็นมีส่วนในการสังหารหมู่ชาวพื้นเมืองอิกซิลช่วง สงครามกลางเมือง โดยมีญาติและเหยื่อผู้อยู่ในเหตุการณ์เข้าร่วมฟังการพิจารณาคดี

11 พ.ค. 2013 - ศาลทางการกัวเตมาลาตัดสินให้อดีตผู้นำทหาร อีฟราอิน ริออส มอนท์ มีความผิดฐานเป็นมีส่วนในการสังหารหมู่ รวมถึงมีความผิดในข้อหาอาชญากรสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ โดยสั่งลงโทษจำคุก 80 ปี

ผู้พิพากษาศาลยุติธรรมของกัวเตมาลา ตัดสินคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 10 พ.ค. ที่ผ่านมา หลังจากพิจารณาคดีผ่านมาเป็นเวลา 2 เดือน มีเหยื่อหลายสิบคนผู้อยู่ในเหตุการณ์เป็นผู้กล่าวให้ปากคำเกี่ยวกับ เหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น

ผู้พิพากษา จัสมิน บาริออส กล่าวว่า จำเลยมีความผิดจากการเป็นผู้สั่งการเบื้องหลังเหตุการสังหารหมู่ และจะต้องถูกลงโทษตามความเหมาะสม ทางด้านอัยการกล่าวว่า ในช่วงที่ ริออส มอนท์ ปกครองประเทศระหว่างเดือน มี.ค. 1982 ถึงเดือน ส.ค. 1983 ซึ่งเหตุการณ์สงครามกลางเมือง 36 ปีระอุถึงจุดสูงสุด เขาเป็นผู้รู้เห็นการสังหารหมู่ของชาวอิกซิล ชนพื้นเมืองที่มีเชื้อสายชาวมายาในประเทศกัวเตมาลา

อัยการเปิดเผยรายละเอียดว่า มีชาวอิกซิลถูกสังหารไป 1,771 ราย ในเมืองซานฮวนคอทซอล, ซานแกสปาร์ชาซูล และซานตามาเรียเนปาจ โดยที่ริออส มอนท์เป็นผู้รู้เห็นจึงถือว่ามีส่วนรับผิดชอบในเหตุการณ์

ในศาลมีเหยื่อและญาติๆ เข้ารับฟังการพิจารณาคดี พวกเขาพากันปรบมือและส่งเสียงแสดงความยินดีเมื่อมีการประกาศผลการตัดสิน

ขณะที่ริออส มอนท์ ให้การยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือออกคำสั่งให้มีการสังหารหมู่ในชณะ ที่เขาอยู่ในอำนาจ เขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ในช่วงที่มีการตัดสินคดี และเมื่อผู้พิพากษากล่าวว่าเขาจะถูกสั่งกักบริเวณในบ้านและจะถูกส่งตัวเข้า เรือนจำในเวลาต่อมา ริออส มอนท์ก็พยักหน้ายอมรับ

ต่อมาริออส มอนท์ก็ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่าเขายังสติดีอยู่และแสดงท่าทีเย้ยหยันต่อคำตัดสิน

"มันเป็นปาหี่ของการเมืองระหว่างประเทศที่จะมาทำร้ายจิตวัญญาณของประชาชน ชาวกัวเตมาลา แต่พวกเราก็อยู่อย่างสันติ เพราะพวกเราไม่เคยหลั่งเลือดหรือทำให้มือตัวเองเปื้อนเลือดพี่น้องประเทศ เดียวกัน" ริออส มอนท์กล่าว

"ผมไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไร เพราะผมแค่ยอมปฏิบัติตามกฏหมาย" ริออส มอนท์ กล่าว เขายินยันว่าเขาทำสิ่งที่ถูกต้องต่อประเทศจากการที่เขาต่อสู้กับกลุ่มกบฏที่ เขาบอกว่า 'เป็นปัยหาของประเทศ'

สงครามระหว่างรัฐบาลและกลุ่มกบฏฝ่ายซ้ายในกัวเตมาลาทำให้มีผู้เสียชีวิต ไปมากกว่า 200,000 คน สงครามจบลงหลังจากที่มีสนธิสัญญาสันติภาพในปี 1996

เบนจามิน เจอโรนิโม ประธานกลุ่มสมาคมเพื่อความยุติธรรมและการปรองดอง หนึ่งในชาวอิกซิล กล่าวให้การในศาลว่า เขาเป็นผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ทำให้ประชาชนในชุมชนเขาเสีย ชีวิตไป 256 คน

"ผมเห็นมากับตาตัวเอง ผมไม่ได้โกหก ทั้งเด็ก หญิงตั้งครรภ์ และคนสูงอายุต่างก็ถูกสังหาร" เจอโรนิโมกล่าว

อีฟราอิน ริออส มอนท์ ปัจจุบันอายุ 86 ปี ถือเป็นอดีตผู้นำคนแรกในละตินอเมริกาที่ถูกตัดสินให้มีความผิดในโทษฐานเป็น ผู้สั่งการสังหารหมู่ อาชญากรสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

เรียบเรียงจาก
Former Guatemala leader guilty of genocide, Aljazeera, 11-05-2013



เรียบเรียงจาก
Former Guatemala leader guilty of genocide, Aljazeera, 11-05-2013

พีมูฟเคลื่อนย้ายการชุมนุมไปบริเวณริมคลอง ข้างกระทรวงศึกษาธิการ

พีมูฟประกาศยอมถอย 2 ก้าว ย้ายไปชุมนุมข้าง ก.ศึกษาฯ แต่ยันปักหลักอยู่จนถึงที่สุด

พีมูฟ ประกาศแถลงการณ์ ฉบับที่ 24 ‘เรายอมถอย 2 ก้าว เพื่อสร้างบรรยากาศการทำงาน และพิสูจน์ความจริงใจของรัฐบาล’ ก่อนเคลื่อนย้ายการชุมนุมไปบริเวณริมคลอง ข้างกระทรวงศึกษาธิการ ด้านกลุ่มขบวนการแรงงานเดินทางมาร่วมให้กำลังใจ




วันที่ 11 พ.ค.56 เวลาประมาณ 9.30 น.ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) หรือพีมูฟ ประกาศแถลงการณ์ ฉบับที่ 24 ‘เรายอมถอย 2 ก้าว เพื่อสร้างบรรยากาศการทำงาน และพิสูจน์ความจริงใจของรัฐบาล’ ก่อนที่จะมีการเก็บข้าวของและเคลื่อนย้ายการชุมนุมไปยังบริเวณริมคลองผดุง กรุงเกษม ข้างกระทรวงศึกษาธิการ
ก่อนหน้านี้ เมื่อช่วงหัวค่ำของวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา ผู้ชุมนุมถูกกดดัน โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สั่งให้รถสุขา และรถน้ำหยุดให้บริการแก่ผู้ชุมนุม แต่ต่อมามีการเจรจาจนรถสุขากลับมาประจำที่ตำแหน่งเดิม

ผู้ชุมนุมกำลังขนย้ายข้าวของไปยังที่ชุมนุมใหม่ 
ภาพโดย: Bee Sangtawan
แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า หลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมได้มารวมตัวกันหน้าทำเนียบตั้งแต่วันที่ 6 พ.ค.56 ตลอดการชุมนุมที่ผ่านมา รัฐบาลได้มอบหมายให้ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ประสานงานในหลายครั้ง และในการเจรจาครั้งหลังสุด เมื่อวันที่ 10 พ.ค.56 แม้ดูเหมือนจะได้ข้อสรุปหลายเรื่อง แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว พบว่ามีการบิดเบือนสาระสำคัญในหลายเรื่อง
นอกจากนี้การแก้ไขปัญหาในกลไกของอนุกรรมการชุดต่างๆ ก็เป็นแค่เพียงได้กำหนดวันประชุมเท่านั้น ซึ่งยังไม่มีหลักประกันได้ว่า ปัญหาความเดือดร้อนของพีมูฟจะได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม
แถลงการณ์ระบุว่า การประกาศยอมถอย 2 ก้าว ในครั้งนี้ เป็นการถอยจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ ก้าวที่ 1 พีมูฟขอเปิดการเจรจากับรัฐบาลโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน แต่รัฐบาลไม่ยอมเปิดการเจรจา กลับเปิดการหารือซึ่งมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
ก้าวที่ 2 พีมูฟยืนยันว่าจะต้องนำกรณีปัญหาทั้ง 4 เรื่องคือ การแก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูล การแก้ไขปัญหาที่ดิน กรณีโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน 5 ชุมชนภาคเหนือ เรื่องผลการเจรจาแก้ปัญหาของเครือข่ายสลัม 4 ภาค และการแก้ไขปัญหาที่ดินพิพาท กรณีพื้นที่ที่ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการประสานจัดการให้มีโฉนดชุมชนแล้ว เรื่องเข้าสู่การพิจารณาในการประชุม ครม.ในวันที่ 14 พ.ค.นี้ แต่สุดท้ายมีเพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้นที่คาดว่าจะสามารถพิจารณาได้ทันใน การประชุม ครม.ครั้งนี้
นอก จากนี้ พีมูฟยังประกาศว่า จะยอมถอยโดยเคลื่อนย้ายการชุมนุมจากบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลไปปักหลักชุมนุม อยู่บริเวณริมคลองข้างกระทรวงศึกษาธิการ เนื่องจากในช่วงวันที่ 12-13 พ.ค.56 เป็นวันพืชมงคล ซึ่งพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญจะมีการใช้ถนนราชดำเนินเป็นเส้นทางของขบวน เสด็จไปยังพระราชพิธี ประกอบกับมีความคืบหน้าในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้านพอสมควร แม้จะเป็นเพียงแค่การตกลงแนวทางการดำเนินงาน ไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมก็ตาม
เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการรักษาความปลอดภัย อีกทั้งยังเป็นการสร้างบรรยากาศในการทำงานและประสานงานร่วมกันให้ลุล่วง ในระหว่างรอฟังผลพิจารณาการประชุมการแก้ไขปัญหา อีกทั้งสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมคณะอนุกรรมการหลายชุดตลอดทั้งสัปดาห์
“อย่างไรก็ตาม พวกเราขอเรียนไปยังผู้เกี่ยวข้องให้ทราบร่วมกันว่า การประกาศถอย 2 ก้าวในครั้งนี้ เป็นการแก้ไขปัญหาภาพพจน์ของรัฐบาล เท่านั้น ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพวกเรา” แถลงการณ์ระบุ และว่าแนวทางที่ถูกต้อง รัฐบาลควรมุ่งมั่นและเร่งรีบแก้ไขปัญหาให้เป็นไปตามข้อสรุปของที่ประชุมตาม ที่ตกลงกันไว้
แถลงการณ์ ของพีมูฟยังระบุถึง ตัวอย่างกรณีปัญหาเร่งด่วนในพื้นที่ซึ่งต้องมีการแก้ไขโดยเร็ว อาทิ การบังคับคดีชาวบ้านโคกโตนด จังหวัดภูเก็ต ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 พ.ค.56 กรณีนายดิเรก กองเงิน ที่อัยการจังหวัดเชียงใหม่ ได้นัดส่งฟ้องในวันที่ 16 พ.ค.56 นอกจากนี้ยังเป็นช่วงที่จะต้องเริ่มเปิดเขื่อนปากมูลในเดือนพฤษภาคม เพื่อให้ปลาเดินทางเข้ามาสู่แม่น้ามูน เพื่อให้คนหาปลาสามารถประกอบอาชีพได้ ซึ่งปัญหาเหล่านี้หากรัฐบาลไม่เร่งแก้ไข ผู้ชุมนุมก็ไม่สามารถเชื่อคำสัญญาของรัฐบาลได้
“พวกเรา ขอยืนยันมาอีกครั้งว่า เราจะยังคงปักหลักชุมนุมอย่างสงบ ต่อไป จนกว่าการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพวกเราจะได้รับการแก้ไขอย่างเป็น รูปธรรม จึงจะพิจารณาว่าจะมีการดำเนินการต่อไป ในรูปแบบใด” แถลงการณ์ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การชุมนุมขอพีมูฟในวันนี้มีบุคคลและกลุ่มเครือข่ายต่างๆ เดินทางมาร่วมให้กำลังใจ อาทิ สุนี ไชยรส คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย สุธี ประศาสน์เศรษฐ อาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภารณี สวัสดิรักษ์ นักผังเมืองอิสระ เครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคม และคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ฯลฯ
นอกจากนี้ คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน ภาคใต้ (กป.อพช.ใต้) ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง 'ขอให้รัฐบาลแสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่ เป็นธรรม' เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลงมาเป็นคนกำกับดูแลการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง รวมทั้งให้กำลังใจและประกาศตัวที่จะสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพีมูฟอย่างเต็ม ที่ ในทุกรูปแบบ จนกว่าข้อเรียกร้องจะบรรลุเป้าหมายถึงที่สุด
"เราเห็นว่า วิธีการ ที่ผ่านมา รัฐบาลใช้วิธีการตั้งคณะกรรมการฯ ซึ่งมักจะนำ นักการเมืองที่ไม่ค่อยมีความรู้ประสบการณ์ปัญหานั้นๆ มาเป็นประธาน แล้วก็แต่งตั้งข้าราชการผู้ใหญ่แต่ละกระทรวงมาเพื่อปกป้องตนเอง ไม่ยอมให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปด้วยดี ถ่วงเวลา โดยมี ตัวแทนประชาชน นักวิชาการเข้าไปบ้าง แต่ก็ยืดเยื้อไปจนหมดเวลารัฐบาล ซึ่ง หากรัฐบาลนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องการ คิดใหม่ ทำใหม่ เอาจริงกับปัญหาที่เกิดขึ้น มีหลายประเด็นปัญหา มีข้อเสนอ และทางออกที่มีการศึกษาการแก้ไขปัญหามาหลายรัฐบาลแล้ว ให้นำข้อมูลตรงนั้นมาใช้ในการตัดสินใจ ซึ่งสิ่งที่เราต้องการ คือการกล้าตัดสินใจที่ถูกต้องของรัฐบาลไม่ใช่ถ่วงเวลา" แถลงการณ์ กป.อพช.ใต้ ระบุ


บรรยากาศการชุมนุมพีมูฟที่ข้างกระทรวงศึกษาธิการ

"ทูตมองโกลเลีย" บอก "ไม่ได้ประหลาดใจออะไรกับจดหมายของพรรคประชาธิปัตย์"

"ทูตมองโกลเลีย" บอก "ไม่ได้ประหลาดใจออะไรกับจดหมายของพรรคประชาธิปัตย์"


       วันที่ 10 พฤษภาคม นายชิมิดดอร์จ บัตทูเมอร์ (H.E. Mr. Chimeddorj Battumur) เอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ กรณีคำแถลงการณ์ตอบโต้ และชี้แจงของพรรคประชาธิปัตย์ ต่อกรณีคำกล่าวสุนทรพจน์ของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายชิมิดดอร์จกล่าวว่า ไม่ได้ประหลาดใจอะไรกับเอกสารชี้แจงดังกล่าวที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ เพราะได้เห็นแล้วจากข่าวว่าจะมีจดหมายมาถึง ทั้งนี้ ได้รับเอกสารแล้วตั้งแต่วานนี้ ซึ่งมีเนื้อความ 2 หน้า โดยในจดหมายดังกล่าว ได้ขอให้ทางสถานทูตส่งต่อไปยังรัฐบาลมองโกเลีย และตนก็ได้ส่งเอกสารไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วานนี้ (9 พ.ค.)

น้ำลายแห่งความจนตรอก ไม่อายแม่ค้าเค้ามั่ง




จากข่าวสด 12 พ.ค.2556

แม่ค้าอาย- นางนวลจันทร์ จันทร์ศรี แม่ค้าขายขนมตลาดยิ่งเจริญ บางเขน เปิดใจกรณีนายกฯปู ถูกด่าด้วยถ้อยคำรุนแรงหยาบคายว่าไม่เหมาะสม เช่นเดียวกับแม่ค้าอีกหลายแห่งที่ต่างอายแทนคนด่า


แม่ค้าร้านตลาดรุมอายแทน รับไม่ได้"นายกฯปู"ถูกด่าเสียๆ หายๆ ด้วยคำไม่สุภาพ ชี้ตำหนิเรื่องทำงานดีกว่าขุดเรื่องส่วนตัวมาโจมตี โดยเฉพาะคนด่าเป็นผู้ชายยิ่งไม่เหมาะสม ภาพลักษณ์ประเทศพลอยเสียหายด้วย แต่คงห้ามยาก ต้องปล่อยให้สูญพันธุ์ไปเอง กระทุ้งนายกฯตอบโต้บ้าง พูดเรื่องประชาธิปไตยมากๆ พวกนี้ทนฟังไม่ได้แน่นอน
จากกรณีการวิพากษ์วิจารณ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ด้วยถ้อยคำหยาบคายรุนแรง เสียๆ หายๆ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการที่นายกฯเดินทางไปแสดงปาฐกถาพิเศษเรื่องประชาธิปไตยที่ประเทศมองโกเลีย เมื่อปลายเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา กระทั่งมีความเคลื่อนไหวของนักการเมืองซีกฝ่ายค้านและกลุ่มต่อต้านรัฐบาลออกมาโจมตีผ่านสื่อและโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กกันอย่างกว้างขวางและต่อเนื่องนั้น

เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ผู้สื่อข่าวเดินทางไปตลาดปากคลองตลาด ถนนจักรเพชร เขตพระนคร กทม. เพื่อสอบถามความคิดเห็นของบรรดาแม่ค้าเกี่ยวกับกรณีการวิพากษ์วิจารณ์นายกฯด้วยถ้อยคำรุนแรง หยาบคาย โดยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว พร้อมแนะนำว่าควรวิพากษ์วิจารณ์ที่เนื้องานจะเหมาะสมและสร้างสรรค์กว่า
นางจรรยา ทรัพย์ธำรงค์ อายุ 45 ปี แม่ค้าขายดอกไม้ กล่าวว่า การโจมตีนายกฯ ในลักษณะนี้เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง ควรวิจารณ์เกี่ยวกับการบริหารประเทศ เช่น ด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ฯลฯ เพราะการโจมตีแบบนี้เหมือนเป็นเกมการเมืองที่ทำให้ภาพลักษณ์นายกฯเสียหาย จนอยู่ในตำแหน่งต่อไปไม่ได้ หากข่าวออกไปผ่านสื่อต่างประเทศจะทำให้ประเทศยิ่งแย่ในสายตาสังคมโลก เพราะการค้าขายหรือติดต่อระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญ ควรหันหน้ามาคุยกันเพื่อหาทางออกให้ประเทศจะดีกว่า

น.ส.รณีเนตร ฟักเล็ก อายุ 50 ปี แม่ค้าขายดอกไม้ กล่าวว่า รู้สึกไม่ดีที่มีการใช้ถ้อยคำหยาบคายกล่าวโจมตีนายกฯ เป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เหมือนคนพาลมากกว่า ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับประเทศ ควรวิจารณ์กันในเรื่องปรับปรุงแก้ไขประเทศมากกว่า การใช้ถ้อยคำหยาบคายกับผู้หญิงก็เป็นเรื่องไม่สมควร รุนแรงเกินไป ยิ่งคนพูดเป็นผู้ชายยิ่งไม่สมควร ไม่ควรทำตัวเหมือนผู้หญิงผู้หญิงด้วยกันยังไม่พูดรุนแรงเท่านี้ และยิ่งเป็นนักการเมืองด้วยแล้วยิ่งไม่เหมาะสมอย่างมาก นักการเมืองควรมีวุฒิภาวะที่ดีกว่านี้ ตนคิดว่านายกฯ พยายามทำดีที่สุดแล้ว บริหารประเทศอย่างดี ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากประ ชาชนให้กลับมาเป็นนายกฯ อีกในสมัยหน้า

นางประยูร ไชยฉิม อายุ 60 ปี แม่ค้าขายดอกไม้ กล่าวว่า คนเราคิดแตกต่างกันได้ คนมีปากสามารถพูดอะไรก็ได้ แต่การกล่าวโจมตีเช่นนี้ถือว่าไม่เหมาะสมและแรงมาก ไม่สมควรทำอย่างนั้น หากสื่อต่างประเทศนำไปเผยแพร่จะเป็นสิ่งน่าอับอาย ควรโจมตีกันอย่างสร้างสรรค์ พูดจากันดีๆ ใช้ถ้อยคำสุภาพ เพราะเป็นคนไทยเหมือนกัน อีกอย่างนายกฯ ก็เป็นผู้หญิง และเพิ่งผ่านสถานการณ์น้ำท่วมมา ควรรอดูการบริหารประเทศต่อไปก่อน ถ้านายกฯบริหารประเทศไม่ดีสมัยหน้าก็ไม่มีใครเลือก เรื่องนี้ประชาชนสามารถตัดสินใจเองได้ ไม่จำเป็นต้องมาด่ากันให้ฟัง

นางสุณีย์ กงสวรรณ อายุ 66 ปี แม่ค้าขายมะเขือเทศ กล่าวว่า การด่านายกฯแบบนี้มารยาทแย่ยิ่งกว่าคนไม่เรียนหนังสือ เรียกว่าไม่มีสมอง ถ้อยคำรุนแรงเกินไป ต่างประเทศก็ว่าเราล้าหลังอยู่แล้ว ยิ่งซ้ำเติมภาพลักษณ์ประเทศให้ดูแย่ลงไปอีก โดยเฉพาะการด่าด้วยคำหยาบคาย ควรปล่อยให้เป็นคำที่ชาวบ้านเขาใช้ด่ากัน การวิจารณ์นายกฯควรเป็นเรื่องงาน แต่ส่วนตัวคิดว่านายกฯทำดีแล้วและควรให้เวลา หากครบ 4 ปีค่อยมาแข่งขันกันใหม่ ถ้าชนะใจประชาชนก็จะได้รับเลือกเข้ามาอีก

ด้านนางสอน ยุติโกมิตร์ อายุ 48 ปี แม่ค้าขายผัก กล่าวว่า คนที่พูดเป็นผู้ชายไม่ควรไปว่าผู้หญิงแบบนี้ ไม่สุภาพ นายกฯทำตัวไม่เหมาะสมอย่างไร ถึงต้องด่ากันขนาดนั้น เท่าที่ดูนายกฯก็สุภาพเรียบร้อย คิดว่านายกฯทำดีที่สุดแล้ว คนเราไม่สามารถทำได้อย่างที่คิดทุกอย่าง บางครั้งต้องมีการอะลุ้มอล่วยกันบ้าง การด่าบางเรื่องก็เป็นเรื่องหยุมหยิมเกินไปและไร้สาระ บางคนที่ด่าหากให้มาเป็น นายกฯ เองก็คงทำไม่ได้เหมือนกัน
ส่วนบรรยากาศที่ตลาดยิ่งเจริญ ถนนพหลโยธิน เขตบางเขน กทม. บรรดาพ่อค้าแม่ค้าต่างไม่เห็นด้วยกับการใช้ถ้อยคำรุน แรงหยาบคายกับนายกฯเช่นกัน นางอารี วุฒิสมบูรณ์ อายุ 48 ปี เจ้าของร้านไข่ปริญญา กล่าวว่า บางคำที่ด่านายกฯได้ยินแล้วขนลุก ไปด่าอย่างนั้นได้อย่างไร เหมือนประจานชาวโลกให้เห็นความน่าสมเพชของตัวคน ด่าเอง ที่สำคัญนายกฯไม่ได้ถูกเลือกโดยทหาร เขาได้รับเลือกตั้งจากประชาชนเข้ามา พวกที่ด่าๆ กันส่วนใหญ่เรียนจบต่างประเทศกันทั้งนั้น แต่พูดจาอย่างกับคนไม่ได้เรียนหนังสือ นักการเมืองผู้ชายบางคนเวลาโดนวิพากษ์วิจารณ์นิดหน่อยก็ดิ้นเป็นไส้เดือน บางคนวันๆ ไม่มีงานอะไรทำที่เป็นประโยชน์ เอาแต่โจมตีนายกฯ โชคดีที่นายกฯใจเย็นไม่โต้ตอบ คงต้องปล่อยให้พวกที่ด่าสูญพันธุ์ไปเอง

นายสัญชัย กระจาดแก้ว อายุ 51 ปี เจ้าของร้านสัญชัยข้าวแกง กล่าวว่า ตอนที่รู้ว่านายกฯโดนด่าด้วยถ้อยคำเหยียดหยาม เสียๆ หายๆ รู้สึกเลือดขึ้นหน้าแทน อยากรู้เบอร์โทร. คนด่า จะโทร.ไปถามว่าใช้อะไรพูด ทำไมถึงหยาบคายขนาดนั้น นายกฯเเป็นผู้หญิง เป็นเพศแม่ เป็นคนดี ทำงานหนักและเก่ง ไปต่างประเทศก็มีแต่คนยอมรับอย่างจริงใจ แล้วก็ไปพูดความจริงว่าภายในประเทศไทยมีการสั่งฆ่าประชาชน คนด่ากลัวพรรคพวกตัวเองจะต้องชดใช้กรรมความผิดที่ทำไว้ใช่หรือไม่ ถึงต้องออกมาต่อต้าน ตั้งแต่เหตุการณ์สลายการชุมนุมปี"53 เป็นต้นมา ตนใส่เสื้อแดงทุกวัน ประกาศให้สังคมรู้อย่างไม่ต้องอายว่า เราเป็นประชาชนที่ต้องการนายกฯมาจากการเลือกตั้ง


นางนวลจันทร์ จันทร์ศรี อายุ 56 ปี เจ้าของร้านจอยขนมหวาน กล่าวว่า คนที่ใช้คำด่าผู้นำประเทศขนาดนั้นยังมีความเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่ ถามตัวเองว่าเกิดมาจาก ผู้หญิงหรือไม่ หลายคนมีการศึกษาสูง แต่เวลาพูดกลับไม่ใช้สมอง ไม่ได้เกรงใจประชาชนเลย ทั้งที่นายกฯวางตัวดี หนักแน่นและ สุขุม เป็นความอ่อนนอกแข็งใน ถ้าเป็นพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ถูกด่าอาจใจร้อนกว่านี้ วันนี้บ้านเมืองกำลังเดินหน้าก็ดันมีคนมาขวางคลอง ไม่รู้จะเปรียบกับตัวอะไร เรียกว่าไดโนเสาร์หรือแมลงสาบก็ยังไม่ตรง
ส่วนที่ตลาดถนอมมิตร ถนนวัชรพล แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กทม. นางนีรนาท คำหงษ์สา เจ้าของร้านขายสับปะรด กล่าวว่า สงสัยพวกที่ด่าคงอิจฉานายกฯทำงานเก่ง ได้รับความยอมรับมากไป ส่วนตัวอยากให้ นายกฯตอบโต้บ้าง แต่ไม่จำเป็นต้องด่า ให้พูดเรื่องประชาธิปไตยแบบที่ไปพูดที่มองโกเลียนั่นแหละ เวลาไปต่างประเทศที่ไหนควรพูดเรื่องดังกล่าวให้มากๆ รับรองพวกนี้ต้องดิ้นพล่าน ทนฟังไม่ได้แน่ๆ

ด้านน.ส.พรเพ็ญ จันทร์พงษ์ อายุ 41 ปี เจ้าของร้านชาและกาแฟ กล่าวว่า ต่อให้เลือกข้างทางการเมืองชัดเจนก็ไม่ควรด่าแบบนี้ ควรทำตัวให้มีวุฒิภาวะสมกับที่ไปเรียนสูงๆ มาหน่อย อย่างไรก็ตาม คนที่เลือกนายกฯได้ยินคนด่าแบบนี้แล้ว คงไม่โมโหนาน เพราะเขารู้ว่าคนด่าไม่ได้ใช้สมอง น่าสมเพชมากกว่าตรงที่การศึกษาไม่ได้ช่วยอะไร ประชาชนรู้ว่าใครของจริงของปลอม เวลาอ้าปากพูดก็ดูออกแล้ว เราไม่ได้ชอบนายกฯอย่างงมงาย มีอะไรที่น่าตำหนิก็ว่าด้วยเหตุผล ถ้าจะให้ด่าจริงๆ ก็ด่าได้ แต่ไม่ทำเพราะเราเป็นคนมีสมอง จะพูดอะไรต้องคิดด้วย อยากให้นายกฯเล่นบทแข็งกว่านี้ ไม่อยากให้ดูเป็นนางเอกที่ถูกกลั่นแกล้งตลอดเวลา มีอำนาจที่ประชาชนมอบให้จงอย่ากลัว