วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

*82 ปี ลาว คำหอม* ด้วยยึดมั่นอุดมการณ์ประชาธิปไตย


 
*82 ปี ลาว คำหอม* ด้วยยึดมั่นอุดมการณ์ประชาธิปไตย 
โดย เชตวัน เตือประโคน คอลัมน์ แรงบันดาลคน 
ในมติชน ออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เวลา 12:12:12 น. 

      "เราเดินทางออกจากกรุงเทพมหานครตอนบ่ายโมง หากไม่แวะโน่นแวะนี่ พักผ่อนยืดเส้นยืดสายตามจุดต่างๆ บ่อยครั้ง คงใช้เวลาราว 2-3 ชั่วโมงเท่านั้นก็น่าจะถึง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา 
ปลายเดือนธันวาคม อากาศของเมืองท่องเที่ยวตีนเขาใหญ่มรดกโลกเริ่มหนาวเย็น  
ไม่แปลกที่บรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลายจะชื่นชอบ คิดเห็นภาพออกเลยว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กำลังมาเยือนนี้ เขาใหญ่-ปากช่อง ซึ่งมีบ้านพักรีสอร์ตและแหล่งท่องเที่ยวมากมาย คงจะได้ต้อนรับบรรดานักท่องเที่ยวชนิดอุ่นหนาฝาคั่ง
เป็นอย่างนี้ทุกปี และเชื่อว่าจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆ " 

ผมเดินทางไปเยือน อ.ปากช่อง อีกครั้ง  
หากแต่คราวนี้ไม่ใช่ในฐานะท่องเที่ยว แต่ในฐานะนักข่าวที่มีโอกาสได้ไปร่วมงานวันเกิดครบรอบ 82 ปี ของ "ลาว คำหอม" หรือ คำสิงห์ ศรีนอก ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณกรรม พ.ศ.2535 ผู้ฝากงานเขียนอันทรงคุณค่าไว้ให้กับสังคมไทยอย่างนวนิยายเรื่อง "แมว", นิทาน-เรื่องสั้นอย่าง "ลมแล้ง", ทรรศนะเรื่องเมืองและชนบทอย่าง "กำแพงลม" กำแพง (รวมเรื่องสั้นและบทความ)  
รวมถึงรวมเรื่องสั้นที่ทรงพลังอย่าง "ฟ้าบ่กั้น" ซึ่งวันนี้ได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งที่ 22 แล้ว

และแม้วันนี้จะผ่านมาแล้วถึง 54 ปี แต่รวมเรื่องสั้นเล่มนี้ก็ยังคงทันสมัย โดยเฉพาะเหตุบ้านการเมืองที่ยังคงมีความขัดแย้งแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ความไม่เท่าเทียมทางชนชั้น ความไม่เท่าเทียมระหว่างเมืองและชนบท ฯลฯ  
จึงควรอย่างยิ่งที่จะหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านอีกครั้ง

จากประวัติอันน้อยนิดของ คำสิงห์ ที่ปรากฏอยู่ในสารานุกรมอย่างวิกิพีเดีย ระบุว่า เกิด 25 ธันวาคม พ.ศ.2473 ที่่บ้านหนองบัวสะอาด ต.บ้านหนองบัวสะอาด อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา ในครอบครัวชาวนา ต่อมาสำเร็จการศึกษาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยได้รับรางวัลนักเขียนเรื่องสั้นดีเด่น วาระครบ 100 ปี เรื่องสั้นไทย 
"งานของลาว คำหอม นอกจากจะเป็นที่ยอมรับและนิยมยกย่องในวงวรรณกรรมไทยแล้ว ยังได้รับความสนใจจากวงวรรณกรรมต่างประเทศ โดยมีการแปลงานของเขาเป็นภาษาอังกฤษ สวีดิช เดนนิช ดัตช์ ญี่ปุ่น ศรีลังกา มาเลย์ เยอรมัน (จัดพิมพ์ 6 เรื่อง) และภาษาฝรั่งเศส (จัดพิมพ์ 4 เรื่อง) 
สำหรับนามปากกาที่ใช้ "ค.ส.น., ชโย สมภาค (ใช้เขียนร้อยกรอง) ลาว คำหอม"

แค่นี้ สั้นๆ สำหรับประวัตินักเขียนชั้นครูของไทย  
แต่กับคนที่รู้จักกัน ย่อมพูดถึงนักเขียนผู้นี้ได้มากกว่าข้อมูลในอินเตอร์เน็ต

งานวันเกิดครบรอบ 82 ปี ของ คำสิงห์ ศรีนอก ใช้ชื่องานว่า "ฟ้าแดงที่ไร่ธารเกษม" มีหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการจัดงานคือ วัฒน์ วรรลยางกูร นักเขียนรางวัลศรีบูรพา  
เย็นย่ำของวันที่ 25 ธันวาคม จึงถึงดึกดื่นค่ำคืน มีแขกเหรื่อนักคิด นักเขียน นักอ่าน ผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์เดียวกันเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก อาทิ วิสา คัญทัพ, ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์, เรืองรอง รุ่งรัศมี, วรพจน์ พันธุ์พงศ์, ไม้หนึ่ง ก.กุนที ฯลฯ โดยมีการอ่านบทกวี พูดคุยเสวนา และการแสดงดนตรีโดยวงดนตรีไฟเย็น การพูดคุยแลกเปลี่ยนของผู้คนต่างๆ รวมคนเข้าร่วมงานแล้วกว่า 100 คน

วัฒน์ พูดถึงคำสิงห์ ตอนเปิดงานอย่างน่าฟัง  
นักเขียนรางวัลศรีบูรพา บอกว่า เรื่องแต่งที่คำสิงห์ ศรีนอก หรือ "ลาว คำหอม" เขียน หากผู้อ่าน อ่านได้แตกจะพบว่า เหมือนเป็นเรื่องของชนชั้นล่างที่หลอกด่าชนชั้นสูงอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ผิดกาลเทศะที่จะพูดเรื่องการเมืองในงานวันเกิดของคำสิงห์ ศรีนอก ซึ่งเป็นลูกศิษย์สายตรงของ "ศรีบูรพา" 
"การรัฐประหารโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โค่นล้มรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในปี 2500 นั้น มีการกวาดล้างนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ นักคิด พวกหัวเสรีนิยม เป็นจำนวนมาก คำสิงห์ ศรีนอก ก็เช่นกัน เขาเป็นคนที่มีความคิดทางการเมืองยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอย่างมั่นคง เช่นเคยบอกว่า การรัฐประหาร ปี 2549 เป็นการขีดเส้นอย่างชัดเจนว่าใครอยู่ข้างประชาธิปไตยหรือใครเป็นคนปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย  
"การมาสังสรรค์ครั้งนี้เหมือนได้มาพบกับเพื่อนที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยเหมือนกัน" วัฒน์กล่าวเสียงหนักแน่น

อีกตอนหนึ่งบอกว่า งานวันเกิดครั้งนี้ เป็นความลงตัวพอดีระหว่างบรรยากาศทางสังคมการเมือง ของนักเขียนที่มีจุดยืนประชาธิปไตยตลอดมา และความพร้อมเพรียงกันของพี่น้องทุกคนที่มาร่วมงานกัน ความเป็นคำสิงห์ ศรีนอก สำหรับผม เห็นว่าเป็นนักประพันธ์คนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ทั้งตัวตน และตัวหนังสือ  
"อย่างเช่นการร่วมลงชื่อให้มีการแก้ไข กฎหมายอาญา มาตรา 112 คำสิงห์ ศรีนอก ก็ออกมาลงชื่อด้วยโดยไม่มีการอิดออด นี่คือความน่านับถือ ไม่ใช่ว่า เป็นพวกกัน แต่เวลาจะตีกัน เห็นอีกพวกเยอะกว่าแล้วถอย คำสิงห์ ศรีนอก รู้ดีว่าตนเองกำลังเดินอยู่บนทางความถูกต้องเป็นธรรม เลือกเดินบนทางที่มั่นคง แจ่มชัด เข้มข้น เรื่องประชาธิปไตย เหมือน ศรีบูรพา และยาขอบ" วัฒน์กล่าว  
นี่คือสิ่งที่คนที่รู้จัก ตัวตน และตัวหนังสือ พูดถึงศิลปินแห่งชาติ ผู้มีประวัติน้อยนิดบนโลกออนไลน์

ผมนั่งฟังแต่ละคนขึ้นไปพูดถึง หรือแม้แต่อ่านบทกวีสดุดีให้กับ "คำสิงห์ ศรีนอก" ท่ามกลางอากาศเย็นเยียบ  
นี่ถ้านักเขียนผู้นี้ไม่ใช่ผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตย ทั้งตัวตนและผลงาน ไม่ยืนข้างประชาชนทั้งตัวตนและผลงาน ก็คงจะยากที่จะมีผู้คนมาร่วมอวยพรวันเกิดมากมายขนาดนี้  
วิสา คัญทัพ กวีชื่อดังขึ้นอ่านบทกวีสดุดี เสียงดังฟังชัด ตอนหนึ่งว่า...

ลาวคำหอมย่อมย้ำถ้อยคำหอม  
ไม่แปลงปลอมเปลี่ยนลายถ้อยคำหน  
ฟ้าบ่กั้นจิตใจให้มวลชน 
เป็นไม้ใหญ่ยืนต้นยืนตนตัว

ลาวคำหอมหอมร่ำด้วยคำหอม 
ไม่ยินยอมแปรปรวนในยวนยั่ว  
เขียดขาคำมุ่งมั่นไม่หวั่นกลัว  
เป็นร่มกันฝนรั่วและแดดแรง

เป็นหลักปักหมุดตรงจุดแน่น  
เป็นแบบแผนแจ้งชัดไม่กวัดแกว่ง  
ส่องสว่างเหมือนเทียนไม่เปลี่ยนแปลง  
โดยแสดงนิ่มนิ่งและจริงใจ ฯลฯ

อากาศที่ไร่ธารเกษม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นบ้านพักของศิลปินแห่งชาตินาม "คำสิงห์ ศรีนอก" มานานกว่า 50 ปี ค่ำคืนนั้นหนาวแปลก ที่ใครต่อใครกลับรู้สึกอบอุ่น

อบอุ่นเพราะได้มี "นักเขียนชั้นครู" ผู้เป็นหลักยึดมั่นอุดมการณ์ประชาธิปไตยอยู่ใกล้ๆ 

"อภิสิทธิ์" หนาว! หลัง "เรืองไกร" ยื่นกกต.เขี่ยพ้นสภาพสส.


"อภิสิทธิ์" หนาว! หลัง "เรืองไกร" ยื่นกกต.เขี่ยพ้นสภาพสส.

ภาพต้นฉบับ เอกสาร สว.เรืองไกร บางส่วน
3 มกราคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ  อดีตสมาชิกวุฒิสภา ได้ทำหนังสือไปถึงประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง  ขอใช้สิทธิตามรัฐธรรมนุญ มาตรา ๖๒ ได้มีหนังสือที่อ้างถึง ๑. ร้องขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๙๑ วรรคสาม ด้วยการส่งเรื่องให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่า  สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๐๖ (๕) ประกอบมาตรา ๑๐๒ (๖) จากกรณีถูกปลดออกจากราชการตามคำสั่งกระทรวงกลาโหม ที่ ๑๑๖๓/๒๕๕๕  หรือไม่  ซึ่งต่อมา กกต. ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ ลต ๐๖๐๑/๑๘๔๔๐ ลงวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เชิญให้ไปชี้แจงข้อเท็จจริง ดังความควรแจ้งแล้วนั้น
        
ภายหลังจากที่ระยะเวลาได้ล่วงมาร่วม ๕๐ วัน ปรากฎว่า เมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๖ กระทรวงกลาโหมได้มีข่าวออกมาที่เกี่ยวกับกรณีการเพิกถอนคำสั่งกระทรวงกลาโหม ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงในเว็บไซด์ข่าวสด ดังความต่อไปนี้

นายเรืองไกร ได้อ้าง ข่าวสด วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๖ ลงข่าวไว้ดังนี้  "บิ๊กโอ๋" เซ็นปลดออก-ถอดยศ "ว่าที่ร.ต.มาร์ค" หลักฐานชัดขาดคุณสมบัติ

เมื่อวันที่ 2 ม.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม เปิดเผยว่า ตนได้ลงนามในหนังสือคำสั่งเพิกถอนการบรรจุเข้ารับราชการทหาร และเพิกถอนการแต่งตั้งยศว่าที่ร้อยตรี ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แล้ว โดยดำเนินการต่อจากที่เคยทำมาแล้วให้ครบตามกระบวนการเท่านั้น ไม่มีอะไรใหม่ ซึ่งคำสั่งดังกล่าวจะมีผลในทางปฏิบัติทันที จากนี้ไปผู้ถูกเพิกถอนก็ไม่สามารถใช้คำว่า ว่าที่ร.ต. นำหน้าชื่อได้อีก

พล.อ.ชาญ โกมลหิรัญ เจ้ากรมเสมียนตรา กล่าวว่า รมว.กลาโหมลงนามในคำสั่งดังกล่าวเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ซึ่งแบ่งเป็น 2 คำสั่งคือ การเพิกถอนการบรรจุเข้ารับราชการทหาร และการเพิกถอนการแต่งตั้งยศว่าที่ร.ต. ซึ่งกระทรวงกลาโหมออกเป็นคำสั่งไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

แหล่งข่าวระดับสูงกระทรวงกลาโหมระบุว่าวันนี้กระทรวงกลาโหมได้ส่งจดหมายเรื่องเพิกถอนคำสั่งกระทรวงกลาโหมไปยังบ้านของนายอภิสิทธิ์ แล้วเพื่อให้เข้ารับทราบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.อ.สุกำพลได้ลงนามในคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 1/2556 เรื่อง การเพิกถอนคำสั่งกระทรวงกลาโหม ในการบรรจุนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ารับราชการทหารและเพิกถอนคำสั่งการแต่งตั้งว่าที่ร.ต.อภิสิทธิ์ เป็นนายทหารสัญญาบัตร โดยคำสั่งมีใจความว่า จากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเป็นที่ยุติว่า เมื่อวันที่ 9 เม.ย.2530 นายอภิสิทธิ์สมัครเข้ารับราชการในโรงเรียนนายร้อยจปร. โดยขาดคุณสมบัติการบรรจุเข้ารับราชการเป็นนายทหารสัญญาบัตร เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ในวัย 23 ปี เป็นบุคคลที่ไม่ผ่านการรับราชการทหาร ไม่ผ่านการตรวจเลือกทหารกองเกิน ไม่มีเอกสารใบสำคัญทางทหารหรือเอกสารการผ่อนผันที่ถูกต้องตามกฎหมาย ประกอบกับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นนายทหารสัญญาบัตรได้ปกปิดข้อความอันเป็นจริง และหลอกลวงเจ้าหน้าที่ให้ผิดหลงว่า เป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วน
จากการตรวจสอบของคณะกรรมการพิจารณาการขึ้นทะเบียนกองประจำการและการแต่งตั้งยศทหารของนายอภิสิทธิ์เห็นว่าคำสั่งแต่งตั้งให้นายอภิสิทธิ์เป็นนายทหารสัญญาบัตรนั้น เป็นคำสั่งที่ออกด้วยความผิดหลงและมีที่มาจากความไม่สุจริต จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งสิทธิและหน้าที่ประโยชน์ที่ได้รับจากคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย ทำให้รัฐและราชการของกระทรวงกลาโหมเสียหาย จึงจำเป็นให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 แห่งพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 ประกอบกับมาตรา 7 แห่งพ.ร.บ.ยศทหาร พ.ศ.2479 และข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการบรรจุปลดย้าย เลื่อนและลดตำแหน่งข้าราชการกลาโหม พ.ศ.2502 หมวด 1 ข้อ 4(2) จึงให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงกลาโหม ดังนี้

1.คำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 720/30 ลงวันที่ 7 ส.ค.2530 เรื่องบรรจุเข้ารับราชการเฉพาะหมายเลข 1 นายอภิสิทธิ์ หมายเลขประจำตัว 6302030807 เป็นข้าราชการกระทรวงกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตรตำแหน่งรรก.อจ.ส่วนการศึกษารร.จปร. (ชกท.2701) อัตราพ.ต.รับเงินเดือนระดับน.1 ชั้น 3 (2,765 บาท) นอกนั้นคงเดิม 2.คำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 339/31 ลงวันที่ 26 เม.ย.2531 เรื่องการแต่งตั้งข้าราชการกระทรวงกลาโหมพลเรือน เป็นนายทหารสัญญาบัตรเฉพาะในรายหมายเลข 1 ว่าที่ร.ต.อภิสิทธิ์ หมายเลข 6302030807 รรก.อจ.ส่วนการศึกษารร.จปร.(เหล่าสบ.) นอกนั้นคงเดิม

ข้อ ๒. จากความในคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ ๑/๒๕๕๖  ดังกล่าว เห็นได้ชัดว่า กระทรวงกลาโหมได้ยืนยันว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลายเป็นผู้เคยถูกปลดออกจากราชการ ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๐๖ (๕) ประกอบมาตรา ๑๐๒ (๖) แล้วโดยสมบูรณ์ โดยคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ ๑๑๖๓/๒๕๕๕  เรื่อง ให้นายทหารสัญญาบัตรออกจากราชการ  และคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ ๑/๒๕๕๖ เรื่อง เพิกถอนคำสั่งกระทรวงกลาโหม  จึงเป็นกรณีที่ต้องด้วยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา ๙๑ วรรคสาม อย่างชัดแจ้ง และเป็นเรื่องที่ กกต. ควรรีบเร่งทำหน้าที่โดยเร็ว เนื่องจากขณะนี้ได้มีการเปิดสมัยประชุมสภาแล้ว การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านหรือในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ย่อมไม่สง่างามและไม่เหมาะสม จนกว่าจะได้ข้อยุติจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วนที่มิควรปล่อยให้เนิ่นช้านานอีกต่อไป อีกทั้งการอ้างเหตุไปฟ้องคดีต่อศาลปกครองหรือร้องต่อ ป.ป.ช. ก็อาจเข้าลักษณะเป็นการฟ้องหรือร้องต่อองค์กรอื่น ที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหน้าที่ของ กกต. แต่อย่างใด

ข้อ ๓. จึงเรียนมาเพื่อขอยืนยันคำร้องให้ กกต. รีบเร่งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๙๑ วรรคสาม และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๐ (๑๑) โดยการต้องส่งเรื่องไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎร และให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยต่อไปโดยเร็วด้วย 

"สุกำพล" สอนมวย "อภิสิทธิ์" ระบุ ศาลปกครองระงับคำสั่งไม่ได้


"สุกำพล" สอนมวย "อภิสิทธิ์" ระบุ ศาลปกครองระงับคำสั่งไม่ได้

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุ การถอดยศผู้นำฝ่ายค้าน ผ่านขั้นตอนของกระทรวงกลาโหมแล้ว รอโรงเรียนนายร้อย จปร.ทำเรื่องขอถอดยศ และศาลปกครองระงับคำสั่งไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของกฏหมายทหาร

พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการลงนามเพิกถอนคำสั่งการบรรจุเข้ารับราชการทหารของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และเพิกถอนคำสั่งการแต่งตั้งเป็นนายทหารสัญญาบัตร ว่า เกิดจากความไม่สุจริต โดยหลีกเลี่ยง ขัดขืน หลบหนีการเกณฑ์ทหารเมื่อปี 2530 ซึ่งกระทรวงกลาโหมได้ดำเนินการต่อนายอภิสิทธิ์ กรณีนำหลักฐานไม่ถูกต้องรับราชการ ทั้งการบรรจุและแต่งตั้งยศ ซึ่งถือว่าสิ้นสุดและเสร็จสิ้นตามกระบวนการอย่างสมบูรณ์ ขณะนี้ถือว่า ผ่านพ้นขั้นตอนของกระทรวงกลาโหมแล้ว ส่วนการถอดยศร้อยตรี ซึ่งเป็นยศพระราชทาน โรงเรียนนายร้อย จปร.ต้องทำเรื่องขอถอดยศมายังกองทัพบก เพื่อเสนอกระทรวงกลาโหม เสนอสำนักงานราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง ตามขั้นตอนต่อไป ส่วนกรณีนายอภิสิทธิ์ ยื่นเรื่องต่อศาลปกครอง ให้ระงับคำสั่งชั่วคราว ขณะนี้กระทรวงกลาโหม ได้ทำหนังสือยืนยันไปยังศาลปกครองว่า คำสั่งของกระทรวงกลาโหม เป็นคำสั่งปลดในฐานะ ว่าที่ร้อยตรีอภิสิทธิ์ ทำผิดวินัยร้ายแรง จึงต้องชี้แจงให้ทราบว่า เรื่องของวินัยทหาร กฎหมายทหาร กฎหมายระบุชัดเจนว่า เป็นเรื่องภายใน ศาลปกครองไม่มีอำนาจในการรับฟ้องคดี หรือวินิจฉัยชี้ขาด โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับวินัยทหาร

รมต.วราเทพ ยืนยันไม่ได้สั่ง "ถอดละครเหนือเมฆ 2" ไม่เคยแม้แต่จะดู!

รมต.วราเทพ ยืนยันไม่ได้สั่ง "ถอดละครเหนือเมฆ 2" ไม่เคยแม้แต่จะดู!

วันที่ 4 มกราคม 2555 (go6TV) รายการคมชัดลึก ทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นชาแนล จัดรายการในตอน "ถอดละครเหนือเมฆ 2 กลางอากาศ" โดย นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแล อสมท. กล่าวว่า ตนทราบเรื่องดังกล่าวเมื่อ1 ชั่วโมงเศษๆ ที่ผ่านมาซึ่งเมื่อถามไปยัง อสมท. ว่ามีการแจ้งเตือนประเด็นที่เกิดขึ้นหรือไม่ ก็ทราบว่าไม่เคยมีการแจ้งเตือนไปเลย อย่างไรก็ตามส่วนตัวไม่เคยได้ดูละครเรื่องนี้แต่อย่างใด ทั้งนี้การถอดละครเป็น อำนาจ ช่องสาม ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับสัมปทานจากช่อง 9 อสมท. ที่มี ผอ.ช่อง 9 เป็นนายสถานี และมีคณะกรรมการมีตัวแทนจากหลายหน่วยงาน แต่นี่เป็นเรื่องที่คณะกรรมการจะดูเรื่องอื่นๆ ส่วนเนื้อหาสาระเป็นเรื่องที่ทางช่องดูกันเอง ดังนั้นการพิจารณาว่าเหมาะสมหรือไม่ขึ้นกับสถานีเป็นหลัก และมี กสทช. ที่ดูแลในฐานะผู้ที่ให้สัมปทาน

"เรื่องนี้ อสมท. ยืนยันว่าไม่ได้ติดต่อแจ้งช่องสามให้ระงับแต่อย่างใด"นายวราเทพกล่าว

ทั้งนี้เมื่อถามว่ามีสายตรงนักการเมืองติดต่อไปเนื่องจากไม่พอใจหรือไม่ นายวราเทพกล่าวว่า ตนก็พยายามสอบถาม แต่ผู้ที่ดูแลก็บอกว่าช่องสามเป็นผู้รับสัมปทานจากช่อง 9 และคนที่ดูแล อสมท. ก็มีตนเพียงคนเเดียว แต่ตนก็ไม่รู้เรื่องเนื้อหาละครจึงเป็นไปไม่ได้ ตนเคยดูแต่แรงเงา และเท่าที่ทราบคือการชี้แจงของช่องสามก็ไม่ได้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องการเมือง แต่บอกว่าเป็นเรื่องความเหมาะสม อย่างไรก็ตามไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนบอกว่าไม่เหมาะสม ซึ่งเรื่องนี้คงไม่มีใครตอบได้นอกจากช่องสามต้องมาตอบว่าถอดด้วยเหตุผลอะไร เป็นเรื่องที่ช่องสามต้องมาตอบ

ส่วนที่ว่ากรณีการตัดสินใจถอดผังรายการควรแก้ไขอย่างไร นายวราเทพกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน สังคมเรามีการสื่อสารออนไลน์ บ้านเมืองต้องการความสามัคคี พรุ่งนี้ตนจะลองให้ อสมท. หาข้อมูลเพิ่มเติม หากมีความจำเป็นต้องชี้แจงต่อ

"ผมมองว่าเรื่องนี้ละเอียดอ่อนและไม่อยากว่าไปโทษใคร แต่อยากให้เกิดความชัดเจน เนื่องจากเรื่องนี้เกิดขึ้นกระทันหัน ฉะนั้นข้อมูลจึงมีเพียงเท่านี้ว่าไม่มีการเมืองและไม่มีนโยบายใดๆที่จะให้เกิดการระงับละครดังกล่าวขึ้น"นายวราเทพกล่าว

เมื่อถามว่า จะต่อสายถึงช่องสามเลยหรือไม่ว่าควรออกอากาศอีกครั้ง นายวราเทพกล่าวว่า ตนคงใช้วิธีประสานงานผ่าน ผู้อำนวยการ อสมท. ตนเองเพียงกำกับดูแลหากจะพูดอะไรคงผ่านทางช่อง 9 ไปก่อน เแต่เบื้องต้นตนไม่สามารถให้ความกระจ่างได้จริงๆ เพราะไม่เคยดูเรื่องนี้

ทั้งนี้นายวราเทพ ยืนยันว่าการทำละครมีเนื้อหาพาดพิงถึงการเมืองทำได้ เพราะในรัฐธรรมนูญกำหนดให้ทำได้ในเรื่องกาแรสดงความเห็นแต่ก็อยู่บนพื้นฐานกรอบกฎหมาย ดังนั้นขอให้ไปดูในรายละเอียดว่ามีข้อกำหนดกรอบกฎหมายหรือไม่ ดูว่าจะเป็นการสร้างความเสียหายต่อสังคมศีลธรรมหรือไม่ ขอยืนยันว่าการทำเช่นนี้ทำได้แต่หนักเบามากน้อยแค่ไหนก็เป็นเรื่องแต่ละกรณี


TPBS บอก "กสทช" ยืนยันผู้บริหารช่อง 3 แจ้งว่า "แบนเหนือเมฆ 2 กันเอง"


วันที่ 4 มกราคม 2555 (go6TV) หลังจากตัววิ่งระงับละคร เหนือเมฆ 2 เผยแพร่ออกไป ดูเหมือนคนทั้งประเทศจะตกใจ ว่าเกิดอะไรขึ้น จนในที่สุด ทวิตเตอร์ของผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส ได้ยืนยันแล้วว่า "ช่อง 3 แบนละครเหนือเมฆ 2 กันเองตามระบบตรวจสอบภายใน"

ทวิตเตอร์นักข่าวไทยพีบีเอส ยืนยันว่า “พล.ท.พีระพงศ์ มานะกิจ” ได้ยืนยันกับผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอสว่า ผู้บริหารช่อง 3ได้แจ้งให้ทราบแล้วว่า “คณะทำงานช่อง ฝ่ายรายการ เป็นผู้สั่งระงับละคร “เหนือเมฆ เอง เพราะเนื้อหาไม่เหมาะสม โดยทั้งหมดเป็นกระบวนการตรวจสอบภายในของสถานีเอง เหมือนคราวที่เกิดเหตุ “นมระบายสี” ในรายการไทยแลนด์ก็อตทาเล้นท์

"สุรนันทน์" แจงรัฐบาลไม่เกี่ยวข้อง-ช่อง 3 ถอดละคร"เหนือเมฆ2"


วันที่ 4 มกราคม 2555 (go6TV) เมื่อ4 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่มีกระแสข่าว ละครโทรทัศน์เรื่อง "เหนือเมฆ 2" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ทุกวันศุกร์-อาทิตย์ เดิมมีกำหนดจะอวสานในวันอาทิตย์ที่6 ม.ค. นั้น จะถูกตัดตอนให้ฉายตอนจบในวันศุกร์ที่ 4 ม.ค. นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่ดาราสาว มิ้นท์-ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 2 ม.ค. ระบุ ละครเหนือเมฆ 2จะต้องจบภายในวันศุกร์ เพราะเนื้อเรื่องเกี่ยวกับนักการเมือง ก่อนที่ตัวแทนของดาราสาวจะออกมาชี้แจงว่าเป็นการคาดเดาเท่านั้น

 ต่อมา ที่หน้าเพจเฟซบุ๊กของ "ละคร ไทยทีวีสี ช่อง 3 (Ch3s Drama)" ได้ขึ้นข้อความชี้แจงกรณีละครเหนือเมฆ 2ว่า ละครจะฉายตอนอวสานในวันอาทิตย์ที่ 6 ม.ค. ตามปกติ ไม่ได้มีการถูกกดดันให้ต้องจบในวันศุกร์ตามที่มีข่าวปรากฏออกไปในสังคมแต่อย่างใด โดยข้อความระบุว่า "ประกาศนะคะ เหนือเมฆ2 ไม่ได้โดนตัดจบวันศุกร์นี้นะคะ แต่จะจบในวันอาทิตย์นี้ค่ะ :)" ทั้งนี้ มีผู้ถามย้ำเพื่อขอความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ซึ่งทางละครไทยทีวีสีช่อง 3ก็ได้ตอบว่า "ช่องยืนยันมาว่าจบวันอาทิตย์"

 อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 18.50 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางช่อง 3 ได้ขึ้นตัววิ่งประกาศยกเลิกการออกอากาศละครเรื่องเหนือเมฆ 2 แล้ว มีรายละเอียดดังนี้

 "สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ขออภัยท่านผู้ชมที่ต้องงดออกอากาศละครเรื่อง "เหนือเมฆ 2 มือปราบจอมขมังเวทย์" เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่ามีเนื้อหาบางช่วงบางตอนไม่เหมาะสมกับการออกอากาศ และขอเชิญชมละครเรื่องใหม่ "แรงปราถนา" นำแสดงโดย ณเดชน์ คูกิมิยะ และ คิมเบอร์ลี่ แอน เทียมศิริ เสนอคืนนี้ เป็นตอนแรก เวลา20.15 น."

 ขณะเดียวกัน แอดมินเฟซบุ๊กละครช่อง 3 โพสต์ข้อความชี้แจงเช่นเดียวกัน ระบุว่า "ช่องหารือเสร็จเรียบร้อยค่ะ สรุปว่าคืนนี้ แรงปรารถนา เสนอเป็นตอนแรกนะคะ แต่จะด้วยเหตุผลอะไร แอดมินอยากให้รอฟังข่าวสารนะคะ ที่เหนือเมฆโดนตัดจบไป แอดมินไม่ทราบเหตุผลจริงๆค่ะ แอดมินก็ทำหน้าที่รับข่าวสารแล้วมาแจ้งอีกทีเหมือนกัน ไม่ใช่ทีมงานโดยตรง (ช่องเพิ่งสรุปออกมาเมื่อไม่นานนี้เองด้วยค่ะ) เพราะฉะนั้น รอข่าวจากทางทีมงานหรือสำนักข่าวต่างๆอีกครั้งนะคะ ไม่ว่าอย่างไรแอดมินเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้จริงๆ ค่ะ

 วันเดียวกัน นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีการแบนละครเหนือเมฆ 2 ว่า ขอยืนยันว่าไม่มีการสั่งแทรกแซงละครเรื่องดังกล่าวแน่นอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง รัฐมนตรีที่รับผิดชอบก็ไม่เกี่ยวข้องเช่นกัน และไม่มีใครในรัฐบาลรู้เรื่องนี้เลย

 ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยังช่อง 3 โดยนายบริสุทธิ์ บูรณะสัมฤทธิ์ หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ เผยถึงกรณีที่ละครเรื่อง เหนือเมฆ2 ตอน มือปราบจอมขมังเวทย์” ถูกงดออกอากาศ ว่า ตนไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะทางฝ่ายรายการได้ดูละครแล้วมีคำสั่งลงมาว่าให้ยุติการออกอากาศ โดยที่ยังไม่ถึงเซ็นเซอร์ของช่อง ซึ่งตามปกติแล้วหลังละครตัดต่อเสร็จก็จะส่งเทปมาให้ทางฝ่ายรายการดู หลังฝ่ายรายการดูเสร็จว่าออกอากาศได้ ก็ส่งต่อไปให้ฝ่ายเซ็นเซอร์ของช่องพิจารณาดูอีกครั้ง แต่นี่ยังไม่ถึงเซ็นเซอร์ของช่อง ก็ถูกยุติการออกอากาศเสียก่อน
(เฟซบุ๊กละครช่อง 3 http://www.facebook.com/TV3Drama)

ต้นเหตุ! "ภาพรัศมีผู้บารมีสูง" สาเหตุช่อง3 ตัด "เหนือเมฆ 2" กลางอากาศ

ต้นเหตุ! "ภาพรัศมีผู้บารมีสูง" สาเหตุช่อง3 ตัด "เหนือเมฆ 2" กลางอากาศ
ภาพนักแสดง ใส่เอฟเฟ็ครัศมีเรืองรองแสดงถึงบุญบารมี

วันที่ 4 มกราคม 2555 (go6TV) เผยภาพและบทสนทนาต้นเหตุสำคัญที่อาจเป็นสาเหตุการตัดสินใจ “แบนละครเหนือเมฆ 2” ของคณะผู้บริหารช่อง อย่างกะทันหันเมื่อหัวค่ำวันที่ 4 มกราคม 2556 เมื่อมีผู้ใช้ไอดีหนึ่งในทวิตเตอร์ ได้อ้างว่าได้ดูเทปดังกล่าว และทีมงานได้พิจารณาจนนาทีสุดท้าย ก่อนตัดสินใจตัดทิ้งทั้งหมด เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงผิดกฏหมายอาญา มาตรา 112 (หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ)

บุคคลดังกล่าว ได้ทวิตข้อความ มีใจความดังนี้

“หัวข้อ ถอดเหนือเมฆ2 เพราะการเมืองรับไม่ได้กับเนื้อหาบางช่วงกระแทกใจ ทั้งที่เรื่องนี้เน้นการจับคนชั่ว คนทุจริต เป็นหลัก

เทปสุดท้ายที่ส่งให้ช่อง 3 พิจารณาก่อนออนแอร์จริง น่าจะทำให้ตกใจเกินเหตุหรือเปล่า เพราะเรื่องนี้ตัดต่อไป ออกอากาศไป ตรวจเสร็จก็ออนแอร์ทันที

ได้ดูฉากที่ลือว่าเป็นต้นเหตุให้ถอดกลางอากาศนั้น ไม่คิดว่าจะอยู่ที่คำพูดเลย ส่วนคนจิตอคติมุ่งไปหาเรื่องที่คำพูดของสินจัย มันไม่น่าใช่เลย

ลองสมมติตัวเองเป็นคนมีจิตอคติทางการเมืองจะพบบางภาพที่ใช้เทคนิคคล้ายภาพเงาเลือนรางเปล่งรัศมีอยู่เหนือ “คุณนพพล” ซึ่งมีให้เห็นในภาพผู้มีบารมีสูง

ภาพสไตล์นี้จะใช้เสริมส่งการเป็นผู้มีบารมีสูงส่งที่เห็นกันเฉพาะกลุ่มเท่านั้น เหมือนมีรัศมีเปล่งออกรอบคนนั้นแล้วชี้ว่า นี่คือผู้มีบารมีสูงเด่น

ถ้าภาพแบบนี้ออกอากาศไป อาจถูกนำไปตีความหมายให้เข้ากับม.112 ได้ง่ายมาก ช่อง 3 จะมีงานเข้าทันทีรอหน้าตึกมาลีนนท์

ส่วนรมต.กับ อสมท.อาจติดร่างแหผู้สนับสนุนให้ทำผิด ม.112 ด้วย ช่อง 3 ตกใจและกลัวจะหาเรื่องใส่ตัว เลือกตัดทอนภาพนั้นออกจากละคร แต่ทีมละครคงปฏิเสธ

ถามว่าทีมงานอาจไม่ยอมให้ตัดออกเพราะเวลาเหลือน้อยเต็มทีในการตัดต่อภาพเพื่อลบภาพนั้นและแย้งว่าไม่มีใครคิดไปถึง ม.112 หรอก

ทีมงานก็อาจเถียงว่าไม่ได้คิดไปถึง ม.112 กับภาพนั้นเลย แต่ช่อง อาจไม่อยากเสี่ยงให้เกิดเรื่องขึ้นก่อน สื่อเอาไปเล่น ฝ่ายค้านเอาไปใช้ ช่อง ตายแน่

บอกได้เลยว่า คำพูดของสินจัยไม่ใช่ปัญหา แต่น่าจะเป็นภาพเทคนิคที่ใช้กับนพพล น่าจะเป็นที่กลัวของช่อง 3 จะกลายเป็น คดีอากง 2 ไป จึงเลือกทางปลอดภัย

การถอดละครกลางอากาศช่อง ก็เสียหายและกลายเป็นที่ติฉินนินทาและทำให้เสียมิตรสหายที่ดีอย่างฉัตรชัยและสินจัย ถ้าไม่จำเป็น เขาไม่ทำแน่

ถามว่า ช่อง กลัวเกินเหตุหรือไม่ ตอบว่า น่าจะให้กลัวกับการตีความของคนต่างขั้วทางการเมืองแล้วนำไปใช้หาเรื่องกัน ช่อง 3จะโดนคดีอากง2ไปด้วย

ความคลุมเครือที่ช่อง 3กับทีมละครไม่ยอมพูดความจริง จะทำให้รัฐบาลถูกมองว่าเป็นตัวการ ควรหาทางแก้ไขเพื่อมิให้ ปชป.เล่นประเด็นนี้ได้” 

แฉแผน "ดราม่า" ช่อง3 เล่นงานรัฐบาล ที่แท้ "ขัดผลประโยชน์" สัมปทานพันล้าน!

แฉแผน "ดราม่า" ช่อง3 เล่นงานรัฐบาล ที่แท้ "ขัดผลประโยชน์" สัมปทานพันล้าน!
พบแผนตุกติก หลังช่อง3 สร้างเรื่อง "ดราม่า" ให้คนด่ารัฐบาล ที่แท้ ส่งสัญญาณไม่อยากให้ DSI "ขุดคุ้ย" ผลประโยชน์สัมปทานพันล้าน 

หลังจากเกิดเหตุ "ดราม่า" การแบนละคร "เหนือเมฆ2" ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง3 ได้พบว่า เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI รับพิจารณาข้อเท็จจริงกรณีการต่อสัญญาสัมปทานดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สีระหว่างบริษัทอสมท จำกัด (มหาชน) กับบริษัทบางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด หรือช่อง3 ระหว่างเวลา 10 ปี เมื่อปี 2553 โดยไม่มีการเปิดประมูลแข่งขันราคาตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ 2535 และมีการกระทำผิดเงื่อนไขสัญญาสัมปทานฉบันเดิม จึงไม่มีสิทธิ์ต่อสัญญาสัมปทานฉบับใหม่


กรณี อสมท กับช่อง 3 ได้ต่อสัญญาสัมปทานดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สีออกไปอีก 10 ปี เมื่อปี 2535 ซึ่งในการต่อสัญญาดังกล่าวทางชมรมนักกฎหมายพิทักษ์ผลประโยชน์รัฐ ได้พิจารณาแล้วว่ามีพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลหรือไม่โปร่งใส เพราะในการต่อสัญญาสัมปทานฉบับล่าสุดปี 2553 ปรากฏว่าขณะนั้นประธานกรรมการใหญ่อสมท ได้เสนอความเห็นไปทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ว่าการต่อสัญญาสัมปทานระหว่างช่อง 3 กับ อสมทดำเนินการได้หรือไม่ ก่อนที่ สคร.จะมีความเห็นกลับมาว่าควรปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน พ.ศ.2535 ที่กำหนดให้โครงการที่มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาทต้องเปิดประมูลแข่งขันราคา อีกทั้งใน ขณะนั้น อสมท ได้มีการเสนอขอความเห็นไปยังกระทรวงการคลัง ก่อนกระทรวงการคลังจะมีความเห็นตอบกลับมาว่าอสมท ต้องปฏิบัติตามความเห็นของ สคร.

แต่ปรากฏว่าในการต่อสัญญาสัมปทานระหว่าง อสมท กับช่อง 3 เมื่อเดือน มี.ค.53 มีการเสนอเพิ่มผลตอบแทนให้รัฐในการต่อสัญญาสัมปทานระยะเวลา 10 ปี มูลค่า 2,405 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 405 ล้าน เพราะในการต่อสัญญาสัมปทานครั้งที่ 3 ปี 2532 ได้กำหนดออปชั่นไว้ว่า การต่อสัญญาสัมปทานจะต้องจ่ายผลตอบแทนให้รัญไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้าน กรณีที่เพิ่มผลตอบแทนให้รัฐในสัญญาสัมปทานปี 2553 อีก 405 ล้านบาท ถือว่าต่ำมากเพราะยังคิดมูลค่าเงินเมื่อกว่า 20 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งไม่น่าจะกระทำได้


ฉากคนมีรัศมีต้นเหตุให้แบนละครเหนือเมฆ2
ในขณะทำสัญญาสัมปทานปี 2532 ยังไม่มีกฎหมายพ.ร.บ.ร่วมทุน 2535 แต่ระหว่างอายุสัญญามีการประกาศใช้พ.ร.บ.ร่วมทุน 2535 มาแล้ว ของอสมท ในโครงการที่มีมูลค่าโครงการเกิน 1,000 ล้านบาท จะต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน 2535 คือจะต้องมีการตั้งคณะกรรมการประกวดซองราคา เพื่อจะหาผู้รับสัมปทาน ที่เสนอผลประโยชน์ให้แก่รัฐมากที่สุด

ล่าสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ได้มีหนังสือเชิญนายวิชัย  มาลีนนท์ กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ฯ เข้าให้ถ้อยคำในวันที่  16 ม.ค.นี้  เวลา 09.30 น.. และนายสุรพล  นิติไกรพจน์ และอดีตประธานกรรมการ บริษัท อสมท. มาให้ถ้อยคำวันเดียวกัน เวลา 13.30น. 

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับแชมป์ตระกูลเศรษฐีหุ้นไทยปี 2555 ได้แก่ ตระกูลมาลีนนท์ ซึ่งเป็นการครองแชมป์ที่ต่อเนื่องและยาวนานที่สุด โดยยึดตำแหน่งตระกูลเศรษฐีหุ้นไทยติดต่อกันเป็นปีที่ 14 แล้ว โดยเฉพาะในปีนี้ที่ราคาหุ้น บมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC) ปรับเพิ่มขึ้นมาถึง 108.16% ส่งผลให้มูลค่าความมั่งคั่งของตระกูลมาลีนนท์พุ่งขึ้นไปแตะ 70,262.43 ล้านบาท โดยมั่งคั่งเพิ่มขึ้น 36,456.96 ล้านบาท หรือ 107.84%

เปิดปม สัญญาสัมปทาน แบบ “เหนือเมฆ”

เปิดปม สัญญาสัมปทาน แบบ “เหนือเมฆ” ช่อง 3-อสมท. ปริศนา เบื้องหลัง ฉากละคร “เซ็นเซอร์” เพื่อ “ต่อรอง” !!!

กรณีปัญหา ช่อง 3 ประกาศเลิกฉายละคร "เหนือเมฆ 2 มือปราบจอมขมังเวทย์" โดยขึ้นตัววิ่งในช่วงละครเย็น วันที่ 4 มกราคม 2556 โดยอ้างว่าตรวจสอบเนื้อหาไม่เหมาะสม แทนการออกมาแถลงข่าวชี้แจงโดยผู้บริหารนั้น ชัดเจนว่าเป็นความพยายามที่จะทำให้เกิดการเข้าใจผิดว่า เนื้อหาละครเหนือเมฆ 2  ที่เกี่ยวข้องกับการเมือง นั้นถูกฝ่ายการเมือง “สั่งแบน” ไม่ให้ออกอากาศ

นอกจากนี้เมื่อพิจารณาดูจากไทม์ไลน์ในการออกมาปล่อยข่าวเรื่องนี้ของช่อง 3 นั้นจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีจุดเริ่มต้นจากดาราสาว ตัวเอกของเรื่อง ออกมาปล่อยข่าวผ่านเฟสบุ๊ก ระบุว่า “ละครเหนือเมฆ 2 ถูกสั่งให้ตัดให้รีบจบเนื่องจากมีเนื้อหากระทบกับการเมือง”

แม้จะมีความพยายามลบโพสต์และแก้ข่าวในภายหลังว่า “เป็นความเข้าใจผิด”  แต่การโพสต์ทิ้งไว้ 4 ชั่วโมงก่อนที่จะแก้ข่าวนั้นเป็นจุดสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการจุดประกายให้เกิดการพูดคุยในสังคม

จากนั้นในเช้าวันรุ่งขึ้น บรรดา “มวยใหญ่” ของทีมละครเรื่องนี้ ก็แสดงตัวออกมาแอ๊คชั่นหนักๆ เพื่อคอนเฟิร์มข่าวดังกล่าว  และสร้างความต่อเนื่องของเนื้อหา โดยเฉพาะในกลุ่มของ “เจ้าของบทประพันธ์” และ “ดาราใหญ่” ที่เป็นทีมงานเบื้องหลัง

จนกระทั่งจุดเป็นกระแสให้สังคมได้พูดถึงได้ !!

ล่าสุดก็มีความพยายามที่จะปล่อยข่าวให้พาดพิงฝ่ายรัฐบาล โดยอ้างแหล่งข่าวจาก “ผู้บริหารช่อง 3” ระบุว่า“สำนักนายกรัฐมนตรี กำลังพิจารณาดำเนินการกับละครเหนือเมฆ 2  เนื่องจากมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม” !!!

เรื่องทั้งหมด ทีมงานละครเหนือเมฆ 2 และทางช่อง 3 พูดกันเอง ชงกันเอง ตบกันเองทั้งหมด

โดยที่ “ฝ่ายการเมือง” ซึ่งไม่ได้รับรู้เรื่องด้วยตั้งแต่ต้น ก็พูดอะไรไมได้จนอยู่ในอาการใบ้กิน

ที่สำคัญ ในช่วงเย็นวันที่ 4 มกราคม “ฝ่ายการเมือง” แทบทุกคนที่เกี่ยวข้องกับ “สื่อ” ได้ออกมาปฏิเสธการเข้าแทรกแซงละครเรื่องดังกล่าวและยืนยันฝ่ายสื่อสาธารณะ ต่างๆ อย่างชัดเจนว่าละครเรื่องนี้ยังจะมีการนำเสนอต่อไปในช่วงเวลาปกติ เนื่องจากไม่ได้มีการสั่งให้ตัดทอน เปลี่ยนบท หรือสั่งแบน ตามที่เป็นข่าว

แต่ก็ปรากฏว่า เป็นฝ่ายช่อง 3 เองที่ขึ้นตัววิ่ง ว่า “งดฉายละครเหนือเมฆ 2 เนื่องจากเนื้อหาไม่เหมาะสม” !!

กลายเป็น “สตอรี่ย์” ที่ทีมงานละครเหนือเมฆ 2 และช่อง 3 สร้างขึ้นมาเอง เพื่อ “เรียกแขกให้มาโจมตี” ฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะ “สตอรีย์แบนละครเหนือเมฆ 2” ของช่อง 3 ที่กำลังพยายามสร้างกระแสกันอยู่ในขณะนี้ อยู่ในจังหวะเดียวกับที่ “ช่อง 3” กำลังประสบกับวิกฤติอย่างหนัก เกี่ยวกับปมปัญหา ที่ “บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด” ต่อสัญญากับ “บริษัท อสมท จำกัด(มหาชน)” โดยขยายอายุสัมปทานออกไปเป็นระยะเวลา 10 ปี ในสมัยที่ “สุรพล นิติไกรพจน์” นั่งเป็นอดีตประธานกรรมการ บริษัท อสมท. ฯ ในยุคที่ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เรืองอำนาจ

โดยเป็นการต่อสัญญา ที่มีการเล่นแร่แปลธาตุ ปรับเปลี่ยนรายละเอียดเงื่อนไขสัญญาที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน
แต่สุดท้าย บอร์ดอสมท. ยุคนั้นมีมติรับเงินเพียง  405 ล้านบาทให้มีการต่อสัญญาสัมปทานกับช่อง 3 ทั้งๆที่กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจ 

ซึ่งสุ่มเสี่ยงที่จะเป็นการละเว้นการกระทำตามหน้าที่  เนื่องจากเป็นการไม่ทำให้เกิดการแข่งขันราคาอย่างเสรีและหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม แถมยังเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้อื่นได้ไปซึ่งผลประโยชน์ของรัฐ จนอาจจะทำให้ “รัฐ” ต้องสูญเสียรายได้ในสัมปทานไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาท !!

ซึ่งจะกลายเป็นความตามผิดตาม “พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ” !!!

โดยเฉพาะเมื่อย้อนกลับไปดูผลประกอบการของช่อง 3 พบว่าในปี 2548 "บีอีซีเวิลด์" ผู้บริหารช่อง 3 มีรายได้ 2,420 ล้านบาท กำไร 881 ล้าน ,ปี 2549 มีรายได้ 6,951 ล้าน กำไร 1,642 ล้าน , ปี 2550 มีรายได้  7,968 ล้าน กำไร 2,251 ล้าน ,และ ปี 2551 มีรายได้  8,960 ล้าน กำไร 2,875 ล้าน
ซึ่งแน่นอนว่า การยอมตัด “ละคร” เพียง 1-2 ตอน เพื่อสร้างกระแสให้ “ประชาชน” หันมาถล่มฝ่ายการเมือง นั้นคุ้มค่าอย่างยิ่ง หากสามารถสร้างพลังของ “สื่อที่มีอิทธิพล” ว่าสามารถพลิก “สตอรีย์” ขึ้นมา ปลุกมวลชน มาสร้างผลกระทบกับ “รัฐบาล” ได้ด้วยมือเปล่า

เพื่อต่อรองกับ “ปมปัญหาทางกฎหมาย” ที่ “ช่อง 3” ได้สร้างเอาไว้กับ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ย่อมง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ

และจะยิ่งคุ้มค่า หากยอมเสีย “ละครไม่กี่ตอน” เพื่อความอยู่รอดของ “สถานี” และ “รายได้” นับหมื่นล้านบาท”






ดังนั้น “การเซ็นเซอร์ตัวเอง” ของ “ช่อง 3”  ด้วยการ สร้าง “ละคร (การเมือง) นอกจาก” สั่งแบน “ละครเหนือเมฆ 2” ก็เป็นไปได้สูงว่าเป็นการส่งสัญญาณกลายๆ ว่าหาก “ฝ่ายการเมือง” ไม่ช่วยเหลือ “ช่อง 3” ในเรื่อง ปมปัญหา “สัญญาณสัมปทาน”  

และ “สื่อน้ำเน่า” แห่งหนึ่งก็พร้อมที่จะสร้าง “สตอรีย์” ขึ้นมาสั่งสอน “ฝ่ายการเมือง” ได้ง่ายๆแม้จะเป็นเรื่องไร้สาระเหมือนครั้งหนึ่งที่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ใช้สื่อ อย่าง “สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเอเอสทีวี” สร้างสตอรีย์ทางการเมือง ป้ายสี “รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ทั้งกรณี การทำบุญที่วัดพระแก้ว , การไม่จงรักภักดี , การแทรกแซงองค์กรอิสระ หรือแม้แต่ เผด็จการรัฐสภา

จนสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทย ด้วยการ “รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ในท้ายที่สุด