วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

องค์การพิทักษ์สยาม‘เพื่อเผด็จการ’แห่งชาติ


 องค์การพิทักษ์สยาม‘เพื่อเผด็จการ’แห่งชาติ
การเคลื่อนไหวระดมมวลชนเพื่อชุมนุมใหญ่ของ กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “องค์การพิทักษ์สยาม” ประกาศเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าต้องการโค่นล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยกเลิกระบบการเมืองแบบรัฐสภาและการเลือกตั้ง แทนที่ด้วยระบอบการปกครองแบบแต่งตั้งเป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี ที่เรียกว่า “แช่แข็งประเทศไทย”

        สื่อมวลชนกระแสหลักก็ช่วยกันประโคมโหมข่าว ทำให้การเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้ดูเหมือนยิ่งใหญ่ ทรงพลัง และน่าหวาดหวั่น ราวกระทั่งว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยคงเหลือเวลาอยู่รอดได้อีกเพียงไม่กี่วัน แม้แต่แกนนำรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็ยังแสดงความวิตกอย่างเห็นได้ชัด

     ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าหลังจากผ่านความขัดแย้งมายาวนาน ทุกฝ่ายทุกคนต่าง “รู้เช่นเห็นชาติ” กันหมดแล้วว่าความขัดแย้งอันยืดเยื้อในวันนี้เป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 พลังหลักในสังคมไทยคือ เผด็จการจารีตนิยม กับพลังประชาธิปไตยเสรีนิยม เป็นการต่อสู้กันระหว่าง 2 ระบอบการเมืองคือ ระบอบจารีตนิยมที่ครอบงำรัฐไทยมาตั้งแต่รัฐประหาร 2500 กับระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง สิ่งที่เหลืออยู่ก็เพียงแต่ว่าใครจะเลือกข้างฝ่ายไหนเท่านั้น

      แต่ทว่าเนื้อในของกลุ่มคนที่เข้าร่วมกับ “องค์การพิทักษ์สยาม” นั้น ไม่มีอะไรใหม่เลย ก็คือบรรดากลุ่มคนที่อยู่เบี้องหลังรัฐประหาร 2549 และการร่างรัฐธรรมนูญ 2550 โค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทยและรัฐบาลพรรคพลังประชาชนมาแล้วนั่นเอง ตั้งแต่กลุ่มสี่เสา กลุ่มประชาธิปัตย์ นักวิชาการ และพวกคนเดือนตุลาที่หันไปรับใช้เผด็จการ กลุ่มผู้นำสหภาพแรงงานขวาจัด กลุ่มลัทธิสันติอโศก ไปจนถึงพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

        การเคลื่อนไหวขององค์การพิทักษ์สยามก็คือการรุกใหญ่ครั้งใหม่ล่าสุดของคน พวกนี้ หลังจากที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อ 3 กรกฎาคม 2554 และหลังจากที่การรุกใหญ่ครั้งสุดท้ายเมื่อมิถุนายน-กรกฎาคม 2555 กรณีศาลรัฐธรรมนูญรับตีความการแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ได้หยุดชะงักกลางคันไปเสียก่อน

        การรุกครั้งนี้ดูเหมือนซ้ำรอยกับการเคลื่อนไหวทุกครั้งในช่วง 6 ปีมานี้ การโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทยปี 2549 และการโค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชนปี 2551 คือการใช้ “สี่ขาหยั่ง” ประสานกันอย่างเป็นขั้นตอน เริ่มต้นจากการใช้มวลชนจัดตั้งออกมาชุมนุมขับไล่ ให้กลุ่มอันธพาลการเมืองติดอาวุธก่อความรุนแรงบนท้องถนน ให้พรรคประชาธิปัตย์ขัดขวาง ก่อความวุ่นวายไร้ระเบียบในสภา ให้องค์กรตามรัฐธรรมนูญใช้กฎหมายทำร้ายนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ท้ายสุดคือใช้ทหารเข้าแทรกแซงทั้งโดยวิธีแฝงเร้นหรือรัฐประหารอย่างเปิดเผย ตามมาด้วยการจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นพียงหุ่นเชิดของพวกจารีตนิยม

        คนพวกนี้เติบโต สั่งสมประสบการณ์ และครองอำนาจอยู่ในยุคเทคโนโลยีอนาล็อกที่มีโครงสร้างเครือข่ายลักษณะศูนย์ เดี่ยว และเป็นเส้นตรง ทำให้รัฐสามารถรวมศูนย์ทรัพยากร ขุมกำลังการเมือง ทหาร เศรษฐกิจ และข้อมูลข่าวสาร แต่โลกในศตวรรษที่ 21 ได้เข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ที่มีลักษณะตรงข้าม คือเป็นเทคโนโลยีดิจิตอลที่มีโครงสร้างเครือข่ายแบบหลายศูนย์ และเป็นวงกลม พวกจารีตนิยมไม่สามารถรวมศูนย์ผูกขาดข่าวสารข้อมูลได้อีกต่อไป และไม่สามารถควบคุมความคิดของประชาชนได้อย่างเบ็ดเสร็จ

       ความพยายามขององค์การพิทักษ์สยามสะท้อน “ภาวะอับจนและร้อนรน” ของพวกจารีตนิยมอย่างชัดเจน ที่ไม่อาจปล่อยให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่บริหารประเทศต่อไปได้ ด้วยตระหนักว่าความเข้มแข็งและภาวะผู้นำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของนายก รัฐมนตรี ตลอดจนความนิยมทั้งในประเทศและประชาคมโลก เกิดขึ้นพร้อมกับความเสื่อมในสถานะครอบงำทางการเมืองและอุดมการณ์ของพวกเขา ความอับจนดังกล่าวสะท้อนออกมาหลายด้าน

       ประการแรก รัฐบาลและตัวนายกรัฐมนตรียังคงได้รับความนิยมอย่างสูงมาก และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายต่อต้านไม่มีความชอบธรรมใดๆในการขับไล่รัฐบาล ทั้งแกนนำและมวลชนจึงมีแต่พวกปฏิกิริยาสุดขั้ว มีสถานะโดดเดี่ยว และไม่ได้รับการสนับสนุนแม้แต่จากคนชั้นกลางในเมืองที่ไม่นิยมพรรคเพื่อไทย

      ประการที่ 2 แกนนำในการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการเปิดเผย “แก่นแกนที่แท้จริง” ของฝ่ายเผด็จการ คนกลุ่มนี้เคย “ซุ่มซ่อน” อยู่ข้างหลังขบวนการล้มรัฐบาลตลอดมา แต่วันนี้ถึงคราวต้องแสดงตนในที่แจ้ง คือ “กลุ่มสี่เสา” หนุนช่วยด้วยแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ และตามด้วยมวลชน 3 ส่วนคือ มวลชนจัดตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มสันติอโศก และกลุ่มเสื้อเหลือง โดยมีกองกำลังติดอาวุธนอกระบบของกลุ่มเหล่านี้สนธิกำลังกัน

     ประการที่ 3 คนพวกนี้ยังคงใช้วิธีการเดิมๆที่เคยได้ผลเลิศทุกครั้ง ซึ่งก็คือการสร้างสถานการณ์ที่ทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้ง แต่มาวันนี้วิธีการนี้กลับไร้ซึ่งพลานุภาพใดๆอีกแล้ว

     ประการที่ 4 เป็นครั้งแรกที่คนพวกนี้ประกาศเป้าหมายทางการเมืองของตนออกมาอย่างเปิดเผย ไม่เป็น “อีแอบ” อีกต่อไป คือต้องการยกเลิกระบบรัฐสภาและการเมืองแบบเลือกตั้งทั้งหมด แทนที่ด้วยระบอบ “คุณธรรมแต่งตั้ง” ซึ่งก็คือระบอบเผด็จการที่ปกครองด้วย “คนดี” ที่แต่งตั้งมาจากพวกจารีตนิยมนั่นเอง

     ประการที่ 5 พวกเขาปฏิเสธการเมืองแบบเลือกตั้งและมุ่งฟื้นการปกครองแบบเผด็จการเต็มรูป นี่เป็นการฝืนกระแสโลกาภิวัตน์และกระแสประชาธิปไตยในสากลโดยสิ้นเชิง ถึงวันนี้ประชาคมโลกได้เรียนรู้แล้วว่าต้นตอแห่งปัญหาความขัดแย้งในประเทศ ไทยคืออะไร ต้นเหตุอยู่ที่ไหน ใครคือผู้บงการที่แท้จริง ในปัจจุบันคนพวกนี้จึงอยู่ในสถานะ “เปลือยล่อนจ้อน” ต่อหน้าสายตาชาวโลก พวกเขาจึงอยู่ในสถานะโดดเดี่ยวจากประชาคมโลก

ทั้งหมดนี้ทำให้การพยายามโค่นล้มรัฐบาลในคราวนี้เป็นการเคลื่อนไหวใน เงื่อนไขแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย และไม่เป็นคุณอย่างยิ่งต่อพวกจารีตนิยม การที่พวกเขาตัดสินใจฝืนกระแสประชาธิปไตยในประเทศและต่างประเทศ ดื้อดึงก่อการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ จึงสะท้อนถึงสถานการณ์อับจนที่แท้จริงของพวกเขา

         ขุมพลังของฝ่ายเผด็จการยังคงเข้มแข็ง พวกเขาอาจโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยลงได้สำเร็จ เหมือน 2 ครั้งที่ผ่านมา แต่ในครั้งนี้พวกเขาจะเผชิญกับการต่อต้านที่รุนแรงและยืดเยื้อยาวนานยิ่ง กว่า ทั้งจากพลังประชาธิปไตยในประเทศและจากประชาคมโลก เขาอาจได้รัฐบาลและอำนาจบริหารกลับคืนไป แต่ก็เพื่อที่จะ “สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี” ในที่สุด
นักปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่เคยกล่าวไว้ว่า “ประวัติศาสตร์เกิดซ้ำสอง เหตุการณ์ครั้งแรกเป็นโศกนาฎกรรม แต่ครั้งที่สองเป็นละครน้ำเน่า” ในแง่นี้ รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ก็เป็นโศกนาฏกรรมอย่างแท้จริง แต่รัฐประหารครั้งที่ 2 ปี 2555-2556 จะเป็นละครน้ำเน่าที่ผู้ชมเบื่อหน่าย สะอิดสะเอียนที่จะนำไปสู่จุดจบของผู้สร้างและผู้เขียนเรื่องทั้งหมด

แช่แข็งประเทศไทย ใครหนาว?

แช่แข็งประเทศไทย ใครหนาว?
         “วันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 วันพิพากษา ขับไล่รัฐบาล เผด็จศึกตระกูลชิน เวลา 09.01 น. ณ ลานพระบรรูปทรงม้า”

สโลแกนของ “องค์กรพิทักษ์สยาม” ที่ติดป้ายเชิญชวน “คนเกลียดทักษิณ” ให้มาร่วมชุมนุม ขณะที่ทวิตเตอร์ของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์กรพิทักษ์สยาม ใช้สโลแกน “มุ่งมั่น แช่แข็ง ประเทศไทย” จึงไม่แปลกที่เสธ.อ้ายจะไม่ยอมรับระบอบประชาธิปไตยขณะนี้ อย่างที่ให้สัมภาษณ์ว่า


      "ผมไม่เคยเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยจะดีตรงไหนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เช่น ถ้าคุณเป็นคนดีของจังหวัด แต่ไม่มีเงิน ลงสมัคร ส.ส.ก็ไม่ได้รับเลือก แล้วมันจะเป็นประชาธิปไตยอย่างไร ลองอธิบายหน่อย.."

 

       การชุมนุมวันที่ 28 ตุลาคมที่สนามม้านางเลิ้ง ภายใต้ชื่อ “รวมพลังหยุดวิกฤตและหายนะชาติ” ที่มีองค์กรพิทักษ์สยามเป็นแกนนำ โดยมีแนวร่วม อาทิ กลุ่มสยามสามัคคี กลุ่มพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน (เสื้อหลากสี) และภาคีเครือข่ายต่างๆ นั้น ส่วนใหญ่เคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยเฉพาะภาคีเครื่อข่ายประชาชน 16 จังหวัดภาคใต้


ครั้งสุดท้ายหรือนับหนึ่ง


       การชุมนุมครั้งแรก พล.อ.บุญเลิศได้แถลงวัตถุประสงค์ชัดเจนว่า ต้องการขับไล่รัฐบาลและล้างระบอบทักษิณ โดยระบุว่า ทนไม่ได้กับการบริหารราชการของรัฐบาลภายใต้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี 3 ประการ คือ 

  1. รัฐบาลปล่อยให้มีการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบัน โดยไม่มีการป้องกัน และยังดูเหมือนจะมีการส่งเสริมด้วยซ้ำ 
  2.  รัฐบาลเป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารและขาดธรรมาภิบาล และ 
  3. รัฐบาลปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น
      อย่างไรก็ตาม การชุมนุมครั้งแรกจะเรียกว่า “น้ำจิ้ม” ก็ไม่ผิด แต่ที่เหนือความคาดหมายคือมีผู้มาร่วมชุมนุมหลายหมื่นคน ไม่ใช่หลักพันคนอย่างที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เย้ยหยันไว้ แต่ผุ้ชุมนุมจะมากหรือน้อยก็ตาม การชุมนุมที่นำโดยเสธ.อ้ายก็สะท้อนชัดเจนว่า กลุ่ม “เกลียดทักษิณ” ยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเสธ.อ้ายที่ระยุว่า ต้องแช่แข็งประเทศ แช่แข็งนักการเมืองเลว 5 ปี เพื่อให้โอกาสคนดีมาบริหารและปฏิรุปการเมืองไทย

       การชุมนุมวันที่ 24 พฤศจิกายน จึงแตกต่างกับครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลที่เหมือน “กระต่ายตื่นตูม” กลัวจะซ้ำรอยม็อบพันธมิตรฯ ที่ถือโอกาสอยู่ยาวและหาเงื่อนไขเพื่อปิดล้อมรัฐบาล เพราะทุกสายข่าวยืนยันว่าจะมีผู้มาชุมนุมหลายหมื่นคน แต่เสธ.อ้ายยังมั่นใจอย่างน้อยก็มีจำนวนแสน แม้ไม่ถึงล้านอย่างที่เคยประกาศว่า จะเป็นครั้งสุดท้าย หากผู้ชุมนุมมาน้อยจะยุติการชุมนุม หากผู้มาชุมนุมมากถึง 1 ล้านคนตามที่วางเป้าหมายไว้ก็จะขับเคลื่อนขับไล่รัฐบาลตามแผน เป็นศึกที่ต้องรบให้ชนะ “ถ้าเขาอยู่ เราต้องไป ถ้าเราอยู่ เขาต้องไป”


“เสธ.อ้าย” คนเพื่อนมาก


        ย้อนกลับมาประวัติความเป็นมาของเสธ.อ้าย ซึ่งศูนย์ข้อมูลการเมืองไทยเว็บไซต์รัฐสภาไทย ระบุว่า พล.อ.บุญเลิศ เป็นนายทหารผู้กว้างขวาง-มากเพื่อน– เปี่ยมบารมี-ใจใหญ่ แต่ชอบเก็บตัวเงียบเชียบ เน้นทำงานอยู่เบื้องหลังเสมอๆ เป็นนายพลที่เรียนเก่งจนเพื่อนให้เป็นประธานนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 1 (ตท.1) และเป็น “ลูกป๋า” ระดับหัวกะทิที่เข้านอกออกในมาตลอด


       ด้วยวัตรปฏิบัติที่น่ารักยิ้มแย้มแจ่มใส พูดหวาน ขานเพราะ จึงเป็นน้องอ้ายที่พี่ๆรัก เป็นพี่อ้ายที่น้องๆ นับถือ เสธ.อ้ายจึงมีทั้งคนรักและคนยำเกรงไม่น้อย  เป็นเพื่อนรัก พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ คนใกล้ชิด พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ แต่ที่สนิทแนบแน่นชนอดแกะไม่ออกคือ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เพื่อนรุ่นพี่ที่ติดคุก “กบฏ 26 มีนา” จึงไม่แปลกที่เสธ.อ้ายได้เป็นเลขาธิการราชตฤณมัยสมาคม (สนามม้านางเลิ้ง) ที่พล.ต.สนั่นเคยนั่งอยู่


      การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามที่เสธ.อ้ายเป็นประธาน จึงไม่ใช่ “ม็อบกระจอก” แม้จะไม่ใช่ “ตัวจริงเสียงจริง” ก็ตาม แต่เป็นการจุดชนวนขบวนการ “ขับไล่รัฐบาล เผด็จศึกตระกูลชิน” อย่างเป็นทางการอีกครั้ง หลังจากหมดยุคพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่แกนนำและกลุ่มทุนที่สนับ สนุนแตกกันจนเย็บไม่ติด


มหากฐินล้ม “ปู”


       กลุ่มเกลียดทักษิณประกาศชัดเจนว่า พร้อมจะโค่นล้มรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตั้งแต่วันแรกที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าหนึ่งในสถานที่เคลื่อนไหวของกลุ่มเกลียดทักษิณคือ บ้านเช่าหลังใหญ่ที่ “ลูกป๋า” หลายคนเป็นสมาชิกสำคัญในการหารือและวางแผนต่างๆ แม้แต่การจัดตั้งมวลชนทั่วประเทศ ซึ่งล้วนเคยเป็นแกนนำสำคัญที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังกลุ่มพันธมิตรฯ


       จึงไม่แปลกที่การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามจะได้การสนุบสนุนจากแกนนำ พันธมิตรฯ โดยเฉพะ พล.ต.จำลอง ศรีเมืองที่ประสานกับกลุ่มสันติอโศกให้เป็นแกนกลางสำคัญในการปักหลักชุมนุม ถ้ายืดเยื้อ ซึ่ง นายชัยวัฒน์ สุรวิชัย หนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯ ระบุว่า  “โพธิรักษ์” เจ้าสำนักสันติอโศกได้ย้ำตลอดเวลาเรื่อง “พลังสามัคคี” โดยเรียกร้องให้พันธมิตรฯ กลุ่มหลากสี และเครือข่ายต่างๆ ร่วมมือกันขจัดสิ่งที่ชั่วร้ายของแผ่นดิน ตือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบของทักษิณที่เป็นระบบทุนสามานย์ทำลายชาติ ทำลายจิตใจและคุณค่าของความเป็นคน


      “ตอนนี้มันเทศกาลกฐิน วันที่ 28 พฤศจิกายนจะเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลกฐิน วันที่ 24-25 พฤศจิกายน หลายคนที่ตั้งกฐินไว้ เขามีความคิดว่ากฐินที่เขาทำไปมันสู้จะนำมาทำมหากฐินที่กู้ชาติกู้แผ่นดิน ไม่ได้ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าคนจะมาทอดมหากฐินกู้ชาติกู้แผ่นดินที่พระรูปร.5 ฤกษ์ชัยคือ 901 (เวลา 09.01 น.) อันนี้จะเป็นการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินอีกครั้งหนึ่ง"


        นายชัยวัฒน์กล่าวและเชื่อว่า มหากฐินกู้ชาติกู้แผ่นดินครั้งนี้จะเป็นประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยอีกครั้งหนึ่ง


กลุ่มทุน-อีแอบ


         เสธ.อ้ายจึงกล้าประกาศว่า การชุมนุมวันที่ 24 พฤศจิกายนจะมีคนชุมนุมเป็นล้าน แม้ต่อมาจะลดเป็นจำนวนแสนก็ตาม แต่ก็ถือเป็นการชุมนุมใหญ่ครั้งแรกของกลุ่มเกลียดทักษิณในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งมีการหารือตลอดเวลา การชุมนุมครั้งนี้จึงไม่ต่างจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่มีกลุ่มสันติอโศก พันธมิตรฯ กลุ่มสหภาพแรงงานของนายสมศักดิ์ โกสัยสุข กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย และเครือข่ายประชาชน 16 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งเป็นฐานะเสียงสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์



       ส่วนกลุ่มทุนที่ประกาศตัวโจ่งแจ้งที่สุดคือ นายสมพจน์ ปิยะอุย  เจ้าสัวเครือโรงแรมดุสิตธานี เพื่อน “กบฏ 26 มีนา” ร่วมกับเสธ.อ้าย และมีความใกล้ชิดอย่างยิ่งกับ น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แกนนำสำคัญในการโค่นล้มพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งนายสมภพจึงป็นหนึ่งในศูนย์กลางการระดมทุนในการชุมนุมครั้งนี้ นอกจากกลุ่มทุน “อีแอบ” อีกหลายกลุ่มที่เป็นศัตรูกับพ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งกลุ่มชนชั้นสูงที่ใกล้ชิดสถาบัน ตุลาการอาวุโสและอดีตข้าราชการระดับสูง


ทหารแก่ไม่มีวันตาย


       แต่ที่ทำให้การชุมนุมของเสธ.อ้ายยิ่งมีสีสันและถูกจับตามองมากขึ้น คือ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตนายทหารคนสนิทของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ที่ประกาศจะร่วมการชุมนุมกับองค์การพิทักษ์สยาม แต่ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับ พล.อ.เปรม เพราะแม้แต่ภรรยาตนยังไม่รู้เลย ซึ่งตนไม่ได้รู้จักกับพล.อ.บุญเลิศเป็นการส่วนตัว หรือไปประชุมวางแผนเรื่องม็อบ แต่ที่ร่วมชุมนุมเพราะความรักชาติและเป็นทหารแก่ที่จะไม่มีวันตายไปจากการ รักชาติบ้านเมือง ห่วงใยกองทัพ ปกป้องสถาบัน ตามที่เคยได้ตั้งปฏิญาณว่า จักรักษามรดกของพระองค์ท่านไว้ด้วยเลือด จึงขอเตือน พ.ต.ท.ทักษิณว่าอย่ามายุ่งกับตนเอง เพราะตนเองจะขอยืนตรงข้ามกับนักการเมืองที่โกงชาติบ้านเมือง


       “ผมเป็นทหารแก่ที่ไม่มีวันตาย จากการต่อสู้รักษาความถูกต้อง ผมจะสู้กับนักการเมืองเลวๆ ถ้าทำให้ผมตาย ญาติพี่น้องผมก็จะลุกขึ้นมาล้างแค้นสู้ต่อไป ผมยังกินเงินเดือนบำนาญจากทหาร ผมจะสู้ จะชุมนุม ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่พวกนักการเมืองชั่วเอาความสุขของผมไป”


นายกฯพระราชทาน



       นายกรหริศ บัวสรวง โหรประจำกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม กล่าวผ่านรายการ "เจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์" ว่า วันที่ 24 พฤศจิกายนจะมาต่ำสุดประมาณ 500,000 คน วันนั้น 24 เดือน 11 ปี 2012 เมื่อนำตัวเลขบวกกัน 2+0+4+7 จะเท่ากับ 13 หมายความว่า Transformation จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หรือผ่าตัดครั้งใหญ่

 
       “ถ้าคนมาหลักแสนหลักล้านจะปิดเกมวันนั้นเลย จะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ จะสแกนทุกอย่างออกมาทุกชั่วโมง แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ จะให้รัฐบาลและคนสำคัญที่มีตำแหน่งสำคัญได้รับทราบทุกระยะว่า มีเหตุการณ์แบบนี้ ประชาชนมีฉันทามติว่าไม่เอาแล้วรัฐบาลชุดนี้ และนำเสนอตัวนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ฉีกรัฐธรรมนูญแน่นอน และไม่ใช่ให้ทหารปฏิวัติ แต่จะให้นายกฯปูลาออก และขอพระราชทานนายกฯตามมาตรา 7”
นายกรหริศกล่าวและขยายความนายกฯพระราชทานนั้นยังไม่ได้คุยกัน แต่จะเร่งรัดคดีความต่างๆ ให้รวดเร็ว จะเป็นใครก็ได้ ไม่ว่าพลเรือนหรือทหาร 

        แต่ความจริงควรเป็นทหาร หรือมีเชื้อสายของทหาร เพราะดวงเมืองเราเป็นอย่างนั้น ซึ่งจะเป็น "น.ต.คนหนึ่ง" หรือไม่ก็ไม่แน่ใจ

“ชงเองกินเอง”ล้มรัฐบาลใน 1 วัน?


        นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่ากรกระทรวงพาณิชย์ แกนนำคนเสื้อแดง ก็ยอมรับว่าการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามจะมีผู้มาร่วมชุมนุมไม่น้อย แต่คงไม่มากจนถึงล้นถึงสะพานผ่านฟ้าตามที่พล.อ.บุญเลิศประกาศ อย่างไรก็ตามสาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่มีคนชุมนุม 50,000 คนหรือล้านคน แต่อยู่ที่สถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะโค่นล้มขับไล่รัฐบาลภายในเวลา 1 วัน แต่ถ้าจะเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่าจะต้องมีสถานการณ์พิเศษเกิดขึ้นมาจริงๆ ในวันที่มีการชุมนุม ไม่ว่าจะเกิดจากกลุ่มผู้ชุมนุมและผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังซึ่งตนก็เป็นห่วง


        “สถานการณ์พิเศษต้องอาศัยคนสร้าง และคนที่จะสร้างก็คือคนที่จัดการชุมนุม และชักใยการเคลื่อนไหวอยู่ เวลานี้มือที่สอง มือที่สามไม่น่ากังวล แต่ที่ต้องจับตามองคือมือที่มองไม่เห็นทั้งหลายว่าได้เตรียมการวางแผนที่จะ แช่แข็งปิดประเทศแบบไหน อย่างไร ซึ่งเป็นคนกลุ่มเดิมที่เคยเคลื่อนไหวโค่นล้มขับไล่รัฐบาลตั้งแต่สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ มาจนถึงยุคนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งปัจจุบันมือที่มองไม่เห็นยังอยู่ครบถ้วน ประกอบไปด้วยนักเคลื่อนไหว นักวิชาการ ข้าราชการเกษียณอายุ และพรรคการเมือง ซึ่งผมมั่นใจว่าตัว พล.อ.บุญเลิศไม่ใช่คนสั่งการ และไม่ใช่คนคุมเกมทั้งหมด ดังนั้นหากมีการชุมนุมแล้วกลุ่มผู้ชักใยต้องการจะให้มีการขับเคลื่อนมวลชน พล.อ.บุญเลิศไม่ได้อยู่ในจุดที่จะตัดสินใจอยู่แล้ว”


       นายณัฐวุฒิ กล่าวและว่า การที่ พล.ร.อ.พะจุณณ์คนสนิท พล.อ.เปรมยังเข้ามาร่วมด้วยนั้น เป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่ถือเป็นเรื่องดีที่พล.ร.อ.พะจุณณ์พูดชัดเจน ตรงไปตรงมา แต่ยังมีอีกหลายคนที่ยังซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ไม่ว่าจะเป็นคนของพรรคการเมืองที่เข้ามาติดต่อประสานงานกับกลุ่มที่เคลื่อน ไหวและบรรดาคนหน้าเดิมที่ยังไม่ปรากฏตัว


       ส่วนคนเสื้อแดงนั้น นายณัฐวุฒิยืนยันว่า ไม่มาเผชิญหน้าแน่ เพราะรู้ทันว่าเรื่องนี้เขาตั้งใจจะชงเองกินเองอยู่แล้ว  แต่ถ้าเลยเถิดจนมีการโค่นล้มรัฐบาลและแช่แข็งประเทศไทย ก็ถึงเวลาและเป็นหน้าที่ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตย เพราะตนอยู่ในประเทศเหมือนที่ พล.อ.บุญเลิศพูดไม่ได้ แต่ขณะนี้ยังมั่นใจคำสัตย์ของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทุกคนที่ลั่นวาจาว่าทหารจะ อยู่ในที่ตั้ง วางตัวเป็นกลางทางการเมือง แต่สถานการณ์ก็ทำให้ประมาทไม่ได้ เพราะ 5-6 ปีที่ผ่านมา อะไรที่คิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น มันก็เกิดได้ในการเมืองไทย


“แช่แข็ง” ใครหนาว?


        การประกาศจะ “แช่แข็งประเทศไทย-แช่แข็งนักการเมือง” ขององค์การพิทักษ์สยาม และให้มีนายกฯ พระราชทานนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับการเมืองไทย เพราะแม้แต่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ยังพยายามใช้วาทกรรมให้คนไทยเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นศูนย์กลางของปัญหาบ้านเมือง โดยใช้ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือ แต่ต้องการให้มีการเมืองแบบพรรคเดียว ไม่ใช่รัฐบาลพรรคเดียว จึงเป็นปัญหาที่ทำให้เกิดความวุ่นวายและความตึงเครียดในสังคมตลอดเวลา



        แต่ นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐที่ถือเป็นผู้นำโลก กลับกล่าวชื่นชมนายกฯยิ่งลักษณ์ว่า  “ผมยินดีที่ได้มายืนเคียงข้างผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งของประเทศไทย เพื่อเน้นย้ำความสำคัญของการยึดถือในประชาธิปไตย ธรรมาภิบาล นิติรัฐและหลักสิทธิมนุษยชนสากล.."


      จึงไม่แปลกที่ผลสำรวจของเอแบคโพลล์จะระบุว่า ประชาชนถึงร้อย 94.5 ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมที่จะนำประเทศไปสู่การปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และเบื่อพฤติกรรมของนักกรเมืองทุกครั้งที่มีการสำรวจความเห็น ทั้งที่ขณะนี้เศรษฐกิจบ้านเมืองกำลังเดินข้างหน้า ผู้นำประเทศมหาอำนาจมาเยือนไทยติดๆ กันถึง 2 คน แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งต้องการ “แช่แข็งประเทศ-แช่แข็งนักการเมือง” ซึ่งไม่ต่างกับพม่าหรือเกาหลีเหนือที่ปิดประเทศ โดยไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะหายนะอย่างไร



      อย่างที่ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ความเห็นในเฟซบุ๊คว่า “..การเมืองไทย การเมืองอาเซียน การเมืองโลก ได้วิ่งเลย ‘คนรุ่นเก่า’ หรือ ‘อำนาจเก่า/บารมีเก่า’ ไปแล้วครับ”


      แต่สังคมไทยกลับจมปลักกับความรุนแรงและความคิดแบบไดโนเสาร์เต่าล้านปี ซึ่ง นายเกษียร เตชะพีระ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศษสตร์ ให้ความเห็นว่าวิธีสู้กับฝ่ายขวาจัดว่า ไม่ใช่ปราบปรามกดขี่ให้พวกนี้เป็นวีรชน แต่ต้องล้อเลียนให้เป็นตัวตลกที่ขวางโลก อย่างที่เสนอให้ “แช่แข็งประเทศ”


แช่แข็งประเทศ..จึงมีคนหนาวแน่ แต่ไม่รู้ใครจะหนาว ?

พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ มาเร็วเคลมเร็ว


         ม็อบ เสธ.อ้าย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ มาเร็วเคลมเร็วอย่างเหลือเชื่อ
จากที่ฮึกเหิมประกาศเผด็จศึกรัฐบาลแบบม้วนเดียวจบ เพื่อให้เสียเลือดเสียเนื้อน้อยที่สุด กลับเป็นการชุมนุมต้องยุติลงอย่างรวดเร็วภายในวันเดียว จนหลายคนงงเป็นไก่ตาแตกไปตามๆกัน
        แม้แต่ผู้มาร่วมชุมนุมเองก็งงทำไมเลิกเร็ว บางคนเพิ่งออกจากบ้าน บางคนยังอยู่ระหว่างเดินทาง บางคนเพิ่งอาบน้ำเสร็จยังไม่ทันแต่งตัวก็ได้ยินแกนนำประกาศเลิกม็อบซะแล้ว  สาเหตุของการเลิกเร็วในเบื้องหน้าแม้ เสธ.อ้ายจะบอกว่าทำเพื่อไม่ให้มีคนต้องตาย จนได้รับการปรบมือถึงความรับผิดชอบต่อชีวิตผู้มาชุมนุม

แต่เบื้องหลังมีอะไรที่มากกว่านั้น

        หากไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นท่าทีของ เสธ.อ้ายคงไม่อ่อนลงเร็วอย่างกะทันหัน ทั้งที่เพิ่งประกาศสู้แบบตายเป็นตาย หลังจากที่เจ้าหน้าที่ใช้แก๊สน้ำตากับผู้ชุมนุมที่พยายามฝ่าแนวกั้นเข้ามา

       เรียกร้องให้คนออกมาร่วมกันให้มากขึ้นอีก เพื่อใช้หมัดเด็ดที่เตรียมไว้ และไม่ลืมเรียกร้องให้ทหารออกมาปกป้องชีวิตผู้ชุมนุม

แต่ไม่กี่ชั่วโมงให้หลังกลับประกาศยุติการชุมนุมหน้าตาเฉย ประกาศวางมือไม่ขอเป็นผู้นำการชุมนุมอีก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ขอหันหน้าเข้าวัดทำบุญทอดกฐิน ทอดผ้าป่าไปตามเรื่อง

บ่งบอกออกอาการน้อยใจสุดๆ

       การปิดฉากลงอย่างรวดเร็วของม็อบไล่รัฐบาลขององค์การพิทักษ์สยาม ถูกประเมินไว้หลายประการ

  • หนึ่ง เพราะแกนนำไม่โดดเด่น ไม่มีประสบการณ์ด้านงานมวลชน นำคนจำนวนมากไม่ได้ ปราศรัยไม่เป็น ไม่อาจดึงคนออกจากบ้านให้มานั่งฟัง
  • สอง ภาพลักษณ์แกนนำไม่ดี ถูกมองว่าเป็นพวกไดโนเสาร์ ล้าหลัง ปฏิเสธระบอบประชาธิปไตย โหยหาอำนาจเผด็จการ
  • สาม จัดชุมนุมในสถานการณ์ที่ยังไม่สุกงอมเพียงพอ ขาดเหตุผลที่จะใช้ขับไล่รัฐบาล
  • สี่ พรรคการเมืองบางพรรคไม่ได้ขนมาเติมม็อบอย่างเพียงพอตามที่ได้ตกลงกันไว้ ทำให้ความฝันอันสูงสุดที่จะมีคนเรือนแสนกลับมาแค่หลักหมื่นต้นๆ
  • ห้า เมื่อจำนวนคนไม่เอื้อ ผู้คุมกำลังที่นัดกันว่าจะเดินทางไกลก็โดดหนี เพราะก่อนประกาศเลิกม็อบมีการโทรศัพท์ไปทวงถามแต่ได้รับคำตอบว่ายกเลิก ภารกิจ
  • หก ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวเพราะอำนาจการสั่งเคลื่อนย้ายกำลังตาม พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเป็นของนายกรัฐมนตรีแต่ผู้เดียว ใครขืนทะลึ่งเคลื่อนย้ายกำลังโดยไม่มีคำสั่งจะถูกจับข้อหากบฏในทันที
  • เจ็ด ตำรวจเด็ดขาดกว่าที่ผ่านมา จุดไหนห้ามเข้า คือห้ามเข้า ฝ่าฝืนเป็นจับ ไม่เล่นชักเย่อดันกันไปดันกันมาแล้วถอนกำลังให้ม็อบได้ใจเหมือนในอดีต

      นั่นคือปัจจัยที่ทำให้ม็อบไล่รัฐบาลของ เสธ.อ้ายมาเร็ว เคลมเร็ว และไปเร็วกว่าที่คิด
แต่ก็อย่าได้คิดว่าฝ่ายต่อต้านรัฐบาลจะยุติปล่อยให้นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บริหารประเทศต่อไปอย่างราบรื่น

       อย่างไรก็ตาม กว่าจะตั้งหลักรวมตัวกันได้ใหม่ฝ่ายต่อต้านคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ โดยเฉพาะโจทย์หินเรื่องแกนนำที่ผู้อยู่เบื้องหลังต้องตีให้แตกว่าจะโปรโม ตใครขึ้นมาเป็นนอมินีรายต่อไป

       กวาดตาไปทั่วสยามประเทศ แม้ยังพอมีคนให้จับมาเชิดเล่น แต่ก็คงไม่ง่าย เพราะหากคนอยู่เบื้องหลังยังไม่เปิดหน้าเล่นอย่างเต็มตัวเพื่อสร้างหลัก ประกันในชัยชนะ ก็คงไม่มีใครอยากเปลืองตัวรับงานเป็นนอมินี เพราะกลัวจะเจ็บช้ำซ้ำรอย เสธ.อ้าย

รัฐบาลจึงน่าจะอยู่อย่างสงบไปได้สักระยะหลังจากนี้

ตะลึง! ปืนทราโว 10 กระบอกใส่กระสอบทิ้งข้างถนนเมืองกาญจน์ คาดลอบเข้ากรุงช่วงม็อบเสธ.อ้าย

ตะลึง! ปืนทราโว 10 กระบอกใส่กระสอบทิ้งข้างถนนเมืองกาญจน์ คาดลอบเข้ากรุงช่วงม็อบเสธ.อ้าย

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2555 (go6TV) เมื่อ 25 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวบ้านพบกระสอบสีดำบรรจุอาวุธสงคราม ทิ้งไว้บริเวณริมถนนสายท่าเรือ-พระแท่น ห่างจากจุดตรวจสกัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าเรือ ประมาณ 500 เมตร จึงรีบโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบ พบว่าภายในมีอาวุธปืนสงครามยี่ห้อ ทราโว 10 กระบอก จึงขนย้ายมาตรวจสอบที่ สภ.ท่าเรือ ก่อนรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ

 ต่อมาจึงมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าเรือ นำอาวุธปืนของกลางดังกล่าวไปที่กองบังคับการตำรวจภูธรภาค 7 จ.นครปฐม อย่างเร่งด่วน ระหว่างนั้นได้มีนายทหารจากกองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เดินทางไปตรวจสอบ พร้อมสอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ไม่ได้รับการเปิดเผยรายละเอียด เพียงแต่บอกว่าอาวุธปืนทั้งหมดได้ส่งไปยังกองบังคับการตำรวจภูธรภาค 7 ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา

 ทั้ง นี้ หลังจากพบอาวุธปืนสงครามดังกล่าว ชาวบ้านต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่า สาเหตุน่ามาจากมีผู้ขนย้ายอาวุธเข้าพื้นที่ กทม.ในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา เนื่องจากมีการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม แต่เมื่อมาถึงจุดดังกล่าวปรากฏว่ามีด่านตรวจตรวจค้นรถยนต์ทุกคันที่มุ่งหน้า เข้ากทม.อย่างเข้มข้น จึงได้ทิ้งของกลางไว้ข้างถนนเนื่องจากกลัวจะถูกจับกุม

ลือสะพัด! "โพธิรักษ์" สาหัส!

ลือสะพัด! "โพธิรักษ์" สาหัส! อาฆาตจองเวร "ยิ่งลักษณ์"


วันที่ 26 พฤศจิกายน 2555 (go6TV) แหล่งข่าวไม่เปิดเผยชื่อจากสันติอโศก ได้รายงานว่า ในการชุมนุมเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา สมณะโพธิรักษ์ ซึ่งเป็นแกนนำหลักของกลุ่มสันติอโศก กองทัพธรรม ต่างตื่นตกใจ  เมื่อสมณะโพธิรักษ์ ได้รับบาดเจ็บการแก๊สน้ำตาเข้าอย่างจัง ดวงตาแดงกล่ำทั้ง 2 ข้าง โดยมีกลิ่นแก๊สน้ำตาติดตัวคลุ้งไปด้วยกลิ่นแก๊สน้ำตาติดตามร่างกาย ของสมณะโพธิรักษ์ ทำให้ ผู้ที่เข้าไปปฐมพยาบาลต่างแสบตา น้ำตาไหลกันเป็นแถวๆ

โดยล่าสุด สมณะโพธิรักษ์ ยังรักษาอาการเจ็บป่วยอยู่ในที่พัก โดยมีการดูแลความปลอดภัยขั้นสูงสุด และเรียกแพทย์เข้ารักษาอาการเจ็บป่วยโดยปิดเป็นความลับขั้นสูงสุด โดยมีคำสั่งเด็ดขาด ห้ามไม่ให้เปิดเผยอาการป่วยใดๆทั้งสิ้น

บุคคลไกล้ชิดระดับสูงแหล่งข่าวได้บอกว่า อาการยังน่าเป็นห่วง เพราะตอนโดนแก๊สน้ำตานั้น  กระป๋องแก๊สน้ำตาตกลงกลางวงอย่างจังและท่านไม่ยอมใส่อุปกรณ์ป้องกัน ด้วยเชื่อว่าตนเป็น “ผู้หลุดพ้น” มีอิทธิฤทธิ์ป้องกันอันตรายใดๆได้นานับประการ 

แหล่งข่าวยังกล่าวต่อว่า ภายหลังพาตัวสมณะโพธิรักษ์กลับมายังสำนักทันทีหลังเลิกชุมนุม ผู้ไกล้ชิดได้พูดคุยถึงแนวทางการต่อสู้ว่า จะไม่ถอยเด็ดขาด เป็นความแค้นฝังลึกที่ไม่อาจลืมได้แล้วจะรอโอกาสกลับมาแก้แค้นอีกครั้ง เมื่อมีจังหวะเหมาะสม

“ปชช – กลุ่มนักศึกษา 4 ภาค กว่า 100 มอบดอกไม้ ให้กำลังใจ “คำรณวิทย์” ผบช.น

“ปชช – กลุ่มนักศึกษา 4 ภาค กว่า 100 มอบดอกไม้ ให้กำลังใจ “คำรณวิทย์” ผบช.น



 26 พฤศจิกายน 2555 (go6TV) - ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) มีกลุ่มประชาชนจำนวนประมาณ 100 คน พร้อมด้วยเครือข่ายนักศึกษา 4 ภาคต่อต้านการแช่แข็งประเทศไทย อีกราว 20 คน เดินทางมามอบช่อดอกไม้และดอกกุหลาบ เพื่อให้กำลังใจ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พร้อมชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ของ ผบช.น.และตำรวจนครบาลในการควบคุมผู้ชุมนุมในม็อบของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธ.อ้าย เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีป้ายข้อความให้กำลังใจต่างๆ อาทิ "ตำรวจทำถูกต้อง ขอให้เด็ดขาดอย่างนี้" "ขอให้ท่าน ผบช.น.ทำเพื่อประชาชนต่อไป" และ "หมดเวลาแล้วสำหรับม็อบถ่อย ถ่อย ตำรวจสู้ สู้" เป็นต้น ซึ่ง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ได้ลงมาจากห้องทำงาน เพื่อมารับช่อดอกไม้ด้วยตนเองด้วยสีหน้าแช่มชื่น

พล.ต.ท.คำรณวิทย์กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกท่านที่มาให้กำลังใจตำรวจในการทำงานที่ผ่านมา ขอย้ำว่าเหตุการณ์การชุมนุมที่ผ่านมาไม่มีคนแพ้หรือชนะ ตำรวจเพียงแต่ปฏิบัติตามหน้าที่และทำตามกฎหมายทุกขั้นตอนทุกประการ เพราะอยากให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ตามระบอบประชาธิปไตยด้วยความสงบ ส่วนจะขัดแย้งในเรื่องใด ขอให้ไปว่ากันในรัฐสภา และยังยืนยันเหมือนเดิมอีกครั้งว่า ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้น ไม่มีอาวุธ และไม่มีเจตนา รวมถึงจิตใจที่คิดร้ายจะเข้าทำร้ายพี่น้องประชาชนทั้งสิ้น

จากนั้นกลุ่มประชาชนที่มาให้กำลังใจได้ทยอยมอบดอกกุหลาบให้กับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ และบรรดารอง ผบช.น. โดยมีประชาชนและกลุ่มนักศึกษาขอถ่ายรูปจำนวนมาก ท่ามกลางบรรยากาศที่ชื่นมื่น

ศาลอาญาสั่ง! "ชาญณรงค์" เสื้อแดงตายเพราะเจ้าหน้าที่ทหารจริง

ศาลอาญาสั่ง! "ชาญณรงค์" เสื้อแดงตายเพราะเจ้าหน้าที่ทหารจริง



26 พ.ย.55 เมื่อเวลา 11.00 น.ที่ศาลอาญา รัชดา ศาลได้อ่านคําสั่งไต่สวนกว่า 1 ชม.ระบุว่า การตายของนายชาญณรงค์ พลศรีลา คนขับรถแท็กซี่เสื้อแดงที่ถูกยิงและเสียชีวิตบริเวณหน้าปั้มเชลล์ ถนนราชปรารภ ช่วงบ่ายวันที่ 15 พ.ค.53 จากการกระชับวงล้อมของเจ้าหน้าที่ทหาร เป็นการเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหารขณะควบคุมสถานการณ์การชุมนุม ตามคําสั่ง ศอฉ. ที่บริเวณถนนราชปรารภ ด้วยกระสุนปืนเล็กกลขนาด. 223 แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นทหารคนใดหรือสังกัดใดที่ทำให้นายชาญณรงค์เสียชีวิต ทั้งนี้ การไต่สวนการตายครั้งนี้นับเป็นลำดับที่ 2 ต่อจากคดีนายพัน คํากอง ซึ่งศาลมีคําสั่งในทำนองเดียวกันไปเมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา

ขอขอบคุณประชาไท