วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความลับสุดยอด’ที่ไม่เคยเปิดเผย!

บรรณานุกรม‘คอป.’ลืมตีพิมพ์‘ความลับสุดยอด’ที่ไม่เคยเปิดเผย!
         เรื่องของ “คนชุดดำ” ยังเป็นปุจฉา เป็นทั้งประวัติศาสตร์และปริศนาลึกลับที่มีผลกระทบทางการเมืองอย่างลึกซึ้ง และหลายฝ่ายต้องการคำตอบว่ามีอยู่จริงหรือไม่ และเป็นใครกันแน่?

        บทความชิ้นนี้เป็นการเฉลยคำตอบและที่มาของ “คนชุดดำ” อย่างตรงไปตรงมา และคาดว่าจะเป็นคำตอบที่ไม่เคยปรากฏอยู่ในเอกสารใดๆมาก่อน แม้กระทั่งเอกสารของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดอง แห่งชาติ (คอป.) ที่ว่าสมบูรณ์ที่สุด


        ล่าสุดมีการถกเถียงและตอบโต้กันไปมาว่าคนชุดดำมาจาก ศอฉ. ในช่วงการชุมนุมเมื่อปี 2553 บางแหล่งข่าวอ้างว่าคนชุดดำเดินเข้าออกจากราบ 11 เข้ามาในม็อบการชุมนุม บางกระแสก็อ้างว่าคนชุดดำเป็นการสร้างเรื่องขึ้นมา โดยตอนแรกให้ปรากฏในข่าวโทรทัศน์บางช่อง ซึ่งน่าจะถ่ายโดยช่างภาพชาวต่างประเทศบางคน จากจุดตรงนั้นก็มีการแพร่ภาพต่อๆกันไป ในที่สุดกลายเป็นข้ออ้างว่ามีคนชุดดำปรากฏอยู่จริงในการชุมนุม และจากการปรากฏในข่าวโทรทัศน์ได้ถูกทำให้สอดคล้องกับหลายกระแสข่าวถึงการ ปรากฏของคนชุดดำและการมีอยู่จริง รวมทั้งในเอกสารของ คอป. ยังช่วยยืนยันว่ามีคนชุดดำอยู่ในที่ชุมนุมจริง


       จึงน่าจะวิสัชนาว่าคนชุดดำคือใคร และมีอยู่จริงหรือไม่ บทความชิ้นนี้ถือเป็นการอ้างอิงเกี่ยวกับคนชุดดำอีกลักษณะหนึ่ง ซึ่งสรุปว่าคนชุดดำไม่มีตัวตนที่เป็นรูปธรรม แต่คนชุดดำเป็นผลที่เกิดขึ้นจากจินตกรรม!


       จินตกรรมหรือจิตนาการเกี่ยวกับลัทธิชาตินิยมเป็นแนวทางที่ถูกใช้เพื่อ สร้างจุดร่วมในสังคมขึ้นมาในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งดูจะใช้ได้ผลดีเสียด้วย จินตกรรมเกี่ยวกับลัทธิชาตินิยมเป็นการปลูกฝังความรักชาติที่ต้องอาศัย อุดมการณ์อันสูงส่ง


        อุดมการณ์ความรักชาติจึงต้องเกี่ยวข้องกับความศักดิ์สิทธิ์ของการรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เมื่ออุดมการณ์กลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์เสียแล้ว สมาชิกของสังคมยังยอมอุทิศชีวิตเพื่อปกป้องอุดมการณ์ดังกล่าวอย่างถึงที่สุด จึงกล่าวได้ว่าจินตกรรมที่เกี่ยวกับชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์อันเกี่ยวข้องกับลัทธิชาตินิยมและลัทธิรักชาติ หรือบางครั้งสุดโต่งกลายไปเป็น “ความคลั่งชาติ” ด้วยซ้ำไป


       จินตกรรมเกี่ยวกับลัทธิชาตินิยมไทยมักวนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านี้มาช้า นาน ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนทางอำนาจเป็นประจำ เมื่อต้องการให้สมาชิกในสังคมอุทิศตนเพื่อปกป้องอุดมการณ์ลัทธิรักชาติ จินตกรรมดังกล่าวจะถูกสร้างและนำมาใช้ปฏิบัติทุกครั้ง โดยเฉพาะการรัฐประหาร จนถึงการปราบปรามทางการเมืองก็ตาม


       ดังจะเห็นว่าในอดีตมีการสลายการชุมนุมทางการเมืองหลายครั้ง ฝ่ายอำนาจรัฐจะใช้ข้ออ้างว่าการชุมนุมทำลายความเป็นชาติและบั่นทอนทำลายความ มั่นคงของประเทศ
จินตกรรมชาตินิยมเหล่านี้จึงจำเป็นต้องอาศัยศัตรู เพราะการมีศัตรูจะกลายเป็นความชอบธรรมของการใช้อำนาจรัฐที่จะปกป้องรัฐด้วย ความรุนแรง และเกิดความชอบธรรมในการปราบปรามประชาชนได้


         อดีตเคยมีจินตกรรมเรื่องคอมมิวนิสต์ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ครั้งที่รัฐบาลทำ
การปราบปรามนักศึกษาวันที่ 6 ตุลาคม 2519 หรือในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 กองกำลังเสือพรานของประเทศลาวในสังกัดของ “เทพ 333” กลายเป็น “แพะรับบาป” ไป เพราะภายหลังมีการปล่อยข่าวว่ากองกำลังเสือพรานดังกล่าวยิงนักศึกษาเสีย ชีวิตข้างวังจิตลดารโหฐาน จากจุดนั้นได้กลายเป็นชนวนบานปลายขยายใหญ่โต เกิดเป็นม็อบประชาชนจำนวนมากมาร่วมขับไล่จอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร
การปฏิวัติเมื่อปี 2516 ยังลึกซึ้งมากกว่านั้น เพราะมิใช่เพียงความสำเร็จของพลังประชาชนในการปฏิวัติประชาธิปไตยเท่านั้น หากมีเหตุผลมาจากความร้าวฉานในกลุ่มทหารด้วยกัน ตลอดจนความขัดแย้งระหว่างอำนาจเบื้องสูงที่ไม่เปิดเผยกับอำนาจของรัฐบาลขณะ นั้น แล้วอำนาจลึกลับเบื้องสูงได้ยืมมือ “เทพ 333” ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ควบคุมกองกำลังไว้ในมือมากที่สุดเข้ามากดดันรัฐบาลให้ ยอมลาออกจากตำแหน่งและลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ ท้ายสุดแล้วรัฐบาลอยู่ไม่ได้ ชนชั้นสูงที่แอบแฝงอยู่เบื้องหลังสามารถควบคุมอำนาจไว้ได้ โดยใช้ขบวนการนักศึกษาเป็นเครื่องมือ พร้อมกับสร้างปริศนาการเปลี่ยนแปลงว่าฝ่ายอำนาจเบื้องสูงไม่ได้เกี่ยวข้อง แต่อย่างใด กลายเป็นความจริงเทียมๆว่า “เทพ 333” คือผู้ที่หักโค่นรัฐบาลร่วมกับขบวนการนักศึกษา


         นี่คือความจริงที่ยังไม่มีใครเปิดเผยออกมาเกี่ยวกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 แต่พอจะสรุปให้เห็นความจริงอย่างหนึ่งได้ว่า ทุกครั้งที่เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย ไม่ใช่เรื่องที่ตรงไปตรงมา ข้อมูลในทางเปิดเผยนั้นจำกัดที่จะอธิบายทั้งหมดได้ แต่มีเบื้องหน้าและเบื้องหลังปะปนกันอยู่ ทั้งเรื่องจริงและเรื่องเสมือนจริงเกี่ยวข้องกัน ตลอดจนมีจินตกรรมและการจัดฉากหลายอย่างเข้ามาเป็นปัจจัยเกี่ยวเนื่องด้วย


        เช่นเดียวกับเรื่องของคนชุดดำเมื่อครั้งการสลายการชุมนุมปี 2553 เป็นสิ่งที่หาความจริงและหลักฐานไม่ได้แน่นอน ป่วยการที่จะตรวจสอบเพื่อสาวไปถึงตัวคนวางแผนและหาคนชุดดำมาเปิดเผยกับสังคม


       เมื่ออธิบายในบรรณานุกรมเช่นนี้ต้องบอกว่าเรื่องของคนชุดดำมีอยู่จริงแน่ นอน แต่เป็นสภาวะนามธรรมที่ถูกสร้างเป็นจินตกรรมขึ้นมา เพื่อเป็นเงื่อนไขให้เกิดความชอบธรรมของรัฐบาลขณะนั้นในการปราบปรามและสลาย การชุมนุมคนเสื้อแดง


       การกล่าวว่าคนชุดดำเข้าๆออกๆที่ราบ 11 จึงมีเหตุผลที่พอเป็นไปได้ ถ้าเราจะเข้าใจคนชุดดำในฐานะที่เกิดจากจินตกรรมของลัทธิคลั่งชาติที่ต้องการ สร้างศัตรูขึ้นมาเป็นเหยื่อ เพื่อให้เกิดความชอบธรรมการในปราบปราม ในนิยามของจินตกรรมแล้ว ศอฉ. ที่ตั้งอยู่ในราบ 11 ขณะนั้นก็ได้รับประโยชน์จากความเชื่อเกี่ยวกับคนชุดดำ

       ในอีกมิติหนึ่งนั้น จินตกรรมของคนชุดดำถูกใช้ขับเคลื่อนทางการเมืองของฝ่ายอำนาจนิยม คนชุดดำจึงคงค้างอยู่ในมันสมองและความคิดของคนเหล่านี้ทั้งสิ้น ตราบใดที่ประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง จินตกรรมเกี่ยวกับคนชุดดำก็จะเป็นบริบทที่เกี่ยวข้องต่อไป เป็นเรื่องที่จะต้องขจัดให้หมดสิ้นต่อไปด้วย


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับ 384 วันที่ 3-9 พฤศจิกายน 2555 หน้า 11 คอลัมน์ กรีดกระบี่บนสายธาร โดย เรืองยศ จันทรคีรี

“ปฏิวัติ”อีกเกิดสงครามกลางเมืองเกิดแน่!

“ปฏิวัติ”อีกเกิดสงครามกลางเมืองเกิดแน่!
         นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช. ได้วิเคราะห์การเมืองปัจจุบันไว้อย่างน่าคิด โดยมองว่าจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น ไม่มีการปฏิวัติรัฐประหาร เพราะเท่ากับนำประเทศไปสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรงจนนำไปสู่สงครามกลางเมือง และหากรัฐบาลเกี๊ยะเซียะกับอำมาตย์โดยลืมประชาชนที่เลือกเขาเข้ามาก็จะอยู่ ไม่ได้เช่นกัน มาฟังการวิเคราะห์ลึกๆได้ดังนี้

                                             +++++++++

สถานการณ์ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์

           ผมคิดว่ารัฐบาลชุดนี้ยังดีอยู่ ยังไปได้ดี ที่ว่าดีในที่นี้ดูจากความนิยมของประชาชน เนื่องจากรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง แล้วเขาแถลงนโยบายไว้ว่าเป็นรัฐบาลแล้วจะทำอะไรบ้าง เมื่อเขาได้เป็นเขาก็ทำ คนก็เห็นอยู่ว่าเขากำลังทำ สังเกตดูประชาชนจะติดใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นพิเศษ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นคนวางตัวดี คือวางตัวนิ่ง ไม่ตอบโต้ ไม่กะเปิ๊บกะป๊าบไปตามกระแสหรือตามการแหย่ของใครก็ตาม บุคลิกอย่างนี้เป็นบุคลิกที่ได้เปรียบ คนเขาชอบคนทำงาน ชอบคนนิ่งมากกว่าคนพูดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสุภาพเรียบร้อย ความอ่อนโยน เหล่านี้ทำให้นายกรัฐมนตรีได้เปรียบ รัฐบาลก็ทำงานไป


         ทีนี้ปัญหาจะเกิดก็คือเรื่องของการเมืองในสภา คือฝ่ายค้านกับรัฐบาล เป็นธรรมดาที่ฝ่ายค้านมีหน้าที่ต้องแซวรัฐบาลเรื่อยไป ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องฟัดเข้าไปก่อน รัฐบาลมีหน้าที่ที่จะต้องแก้ ทีนี้ก็เกิดการตอบโต้กันระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน เป็นข่าวให้เห็นเหมือนกับว่ารัฐบาลนี้กำลังโต้คลื่นโต้ลมอย่างรุนแรง ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ประชาชนทั่วไปก็รับการบริหารของรัฐบาลนี้ได้


        ประเด็นเรื่องทุจริตคอร์รัปชันไม่ใช่ประเด็นที่เปราะบางหรือส่งผลกระทบ ต่อรัฐบาลอย่างแน่นอน เว้นแต่ว่ารัฐบาลไม่เอาใจใส่ ไม่ปราบปราม หรือทำปากว่าตาขยิบ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อยู่ไม่ได้ ถ้ารัฐบาลตั้งใจเข้ามาบริหารเพื่อแสวงหาผลประโยชน์มิชอบต้องถูกโค่นล้มอย่าง แน่นอน ผมเป็นคนหนึ่งที่จะไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุนให้ทำอย่างนี้ แต่ถ้านโยบายใดดีก็ทำไป แต่ถ้ามีทุจริตคอร์รัปชันแล้วรัฐบาลเข้าไปปราบ เขาก็ทำหน้าที่ของเขาสมบูรณ์ ก็ควรให้เขาทำนโยบายนั้นตามที่ได้ประกาศไว้กับประชาชน


เริ่มมีองค์กรออกมาเคลื่อนไหวล้มรัฐบาล



        การที่มีองค์กรบางกลุ่ม เช่น องค์การพิทักษ์สยามออกมาเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาล ถือเป็นเรื่องสิทธิของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย องค์การพิทักษ์สยามพูดว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่พิทักษ์ปกป้องสถาบันเท่าที่ควร ก็ฟังดูว่ายังมีข้อด้อยข้อบกพร่องตรงไหน ผมเชื่อว่าทุกรัฐบาลมีหน้าที่อยู่แล้วที่จะปกป้องสถาบัน แต่ปกป้องอย่างไรอาจจะแตกต่างกัน ส่วนที่บอกว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ประชาชนทั้งประเทศคงจะได้เห็นว่าเป็นหุ่นเชิดจริงหรือ ไม่

           ผมไม่รู้ว่าคนที่ประกอบขึ้นเป็นองค์การพิทักษ์สยามมีใครบ้าง แต่ผมรู้จัก พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ซึ่งเป็นแกนนำหลักของกลุ่มนี้ พล.อ.บุญเลิศเป็นคนที่ไม่ลึกลับซับซ้อน และไม่ใช่คนฝักใฝ่การเมืองประเภทสังกัดพรรคแล้วก็โค่นล้มผู้อื่น สนับสนุนพรรคของตนขึ้นมามีอำนาจแทน ไม่ใช่อย่างนั้น พล.อ.บุญเลิศเป็นคนที่จงรักภักดี ตรงนี้ผมพูดได้ เพราะรู้จักกันมาหลายสิบปีแล้ว เรารู้ความจริงข้อนี้ ไม่มีปัญหาและไม่มีอะไรเคลือบแคลง การเคลื่อนไหวของ พล.อ.บุญเลิศผมคิดว่าเคลื่อนไหวในยามอายุขนาดนี้ ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าข้อมูลที่ได้รับมานั้นเป็นข้อมูลจริงหรือเป็นข้อมูลที่ หลอกลวง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ พล.อ.บุญเลิศจะต้องตรองเอาเอง และผมคิดว่าการเคลื่อนไหวของ พล.อ.บุญเลิศจะไม่ทำให้เกิดความเสียหายใดๆในทางการเมือง


          พล.อ.บุญเลิศเป็นรุ่นเดียวกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี บางคนอาจนึกไปว่ามันซับซ้อนซ่อนเงื่อนโยงใยมาจาก พล.อ.สุรยุทธ์หรือเปล่า ผมพูดแทนได้ว่าไม่มีเรื่องเหล่านี้ ก็แสดงไปตามความคิดเห็นซื่อๆตรงไปตรงมา ผมคิดว่า พล.อ.บุญเลิศมีเจตนาดีต่อบ้านเมือง และไม่คิดจะโค่นล้มทำลายใครโดยอคติส่วนตน
นอกจากกลุ่มพิทักษ์สยามที่ออกมาเคลื่อนไหวแล้ว ยังมีกลุ่มการเมืองต่างๆออกมาเคลื่อนไหวบ้าง แต่การเคลื่อนไหวยังอยู่ในกรอบของการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่น่าวิตก ถ้าไม่มีกลุ่มมวลชนใดๆมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเลยมันเป็นเรื่องที่น่าวิตก คือน่าวิตกว่าประเทศไทยชักจะเป็นอะไรไปแล้วที่คนในระบอบประชาธิปไตยทำไมไม่ มีความเห็นต่าง มันต้องมีความเห็นต่างเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพราะฉะนั้นคนที่เห็นต่างก็แสดงออกมา อย่าปิดบังอำพรางหรือไปแอบแสดงในที่ลับ ซึ่งจะเป็นผลเสียหายมากกว่า ออกมาสู่ที่แจ้งเป็นเรื่องที่ดี


หลายฝ่ายมองว่าหวังปูทางไปสู่การปฏิวัติอีก


         ผมไม่คิดว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้จะเป็นการปูทางไปสู่การรัฐประหาร เหตุผลก็คือว่าทุกคนได้เห็นผลร้ายของการรัฐประหารแล้ว มันเป็นผลร้ายที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติของการรัฐประหาร เสียหายต่อชื่อเสียงประเทศชาติ ภาวะเศรษฐกิจของประชาชน หรือแม้แต่ความมั่นคงของรัฐ เพราะคนที่ทำปฏิวัติรู้ตัวดีว่านานาประเทศที่เคยเป็นมิตรและเคยสนับสนุนกัน ในทางความมั่นคง เช่น สหรัฐ เขาไม่อาจให้ความช่วยเหลืออะไรได้ ในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมาสร้างรอยช้ำให้ประเทศมากกว่าที่คณะปฏิวัติกล่าวหารัฐบาลที่มาจาก การเลือกตั้ง
คือตัวเองกล่าวหาไว้มากมาย ดูแล้วรัฐบาลเลือกตั้งน่าเกลียดน่าชัง แต่เวลาตัวเองเข้ามาแล้วทำในสิ่งที่เลวร้าย เป็นแผลต่อประเทศชาติมากกว่าคำกล่าวหาที่มีต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้น ถ้าหากวันนี้ยังมีคนคิดอยู่ว่าต้องหาทางทำปฏิวัติกันอีกรอบหนึ่ง ผมคิดว่ามันคงจะเป็นตัวตลกที่ประชาชนทั้งประชาชนผลักไสไล่ส่ง เรียกว่าคงไม่มีใครร่วมมือด้วย คือการเปลี่ยนแปลงใดๆถ้าจะเกิดขึ้น ผมเชื่อว่าในระบอบปัจจุบันต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยชอบด้วยวิถีทางของรัฐ ธรรมนูญ อันนั้นทุกฝ่ายรับได้


         ผมขอย้ำว่าความคิดของคนที่คิดจะทำรัฐประหารมันห้ามกันไม่ได้ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะฝ่ายที่เขาเข้าใจหรือพลังของมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมวลชนคนเสื้อแดงประกาศต่อต้านการรัฐประหารตลอด เพราะเห็นภัยร้ายของการรัฐประหาร คนจำนวนนี้กำลังจะเป็นเสียงข้างมากของประเทศหรือเป็นไปแล้วก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นประเทศจะไม่เซไปจนเสียดุล คือกลับไปสู่การยึดอำนาจอีก เป็นไปไม่ได้ เพราะมีประชาชนคอยถ่วงดุลไว้อยู่


ถ้าเกิดปฏิวัติอีกประเทศชาติจะเป็นอย่างไร


         ผมคิดว่า ถ้ามีคนกล้าทำอีก ประเทศก็จะเป็นสงครามกลางเมือง ไม่ต้องอธิบายว่า
ความเสียหายจะเกิดขึ้นใหญ่หลวงอย่างไร คือมีแต่ความยับเยินไปด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ไม่มีใครชนะ มีแต่ผู้แพ้กันทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าปรารถนาจะทำสงครามกลางเมืองกันก็ตามสบาย

ทหารจะกล้าทำปฏิวัติรัฐประหารอีกหรือไม่


        เราอย่าพูดว่าเขาไม่กล้าเลย อาจจะกระทบจิตใจหรือแสลงใจกันเปล่าๆ แต่เราพูดได้ว่าทีท่าของกองทัพภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ดูจะเข้าใจปัญหาที่ผ่านมา และเข้าใจปัญหาของระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นเขาคงไม่ปรารถนาที่จะทำสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย ผมเชื่อว่าเขาเข้าใจอย่างเดียวกับพวกเราที่เข้าใจว่าบ้านเมืองจะไปรอดต้อง เป็นประชาธิปไตยแล้วก็แบ่งหน้าที่กัน ผมดูว่าแนวจะไปทางนั้นมากกว่า


         ผมมั่นใจว่ารัฐบาลชุดนี้จะปลอดจากการยึดอำนาจ แล้วเราอย่าลืมว่าเงื่อนไขภายนอกมันบีบตัวเราเหมือนกัน ปี 2558 เราจะเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ขณะนี้ภาคเอกชน ภาคประชาชนตื่นตัวเตรียมรับสถานการณ์นี้ก็เพื่อความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ความอยู่เย็นเป็นสุข ถ้าหากเรามาก่อกวนกันเสียเอง เอาปัญหาการเมืองนอกระบบ เราก็จะเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของเราขึ้นมาไม่ได้ เพราะเราเป็นศูนย์กลางโดยอัตโนมัติ เงื่อนไขสถานการณ์โลกก็จะบีบเราอีก เศรษฐกิจโลก การเมืองโลกที่ไม่อาจย้อนกลับไปสนับสนุนระบบบ้าๆบอๆกันอีกต่อไปแล้ว


 
       ดังนั้น ผมไม่เป็นห่วงเรื่องการรัฐประหาร แต่เป็นห่วงการใช้ตุลาการภิวัฒน์ทำรัฐประหารมากกว่า เพราะเป็นของจริงที่เราได้ประจักษ์กันมา แต่แนวโน้มที่จะมีการปรับปรุงกฎหมายโดยแรงผลักดันของคนเสื้อแดงยังไม่หยุด หมายความว่าระบอบตุลาการภิวัฒน์จะค่อยๆสลายตัวไปโดยกระแสประชาธิปไตยขึ้นมา เวลานี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ได้ คงมีการยกขึ้นมาแล้วโหวตกัน หรือโหวตแล้วสมมุติเป็นในทางไม่ดี วาระ 3 ก็ตก ผมคิดว่าตกก็ตกไป เพราะสามารถเสนอขึ้นมาใหม่ได้อีก ในการที่จะแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญก็ต้องเปลี่ยนผลิตผลของเผด็จการของ คมช. เช่น พวกองค์กรอิสระต่างๆก็ต้องล้างไป

การแก้รัฐธรรมนูญจะสำเร็จในรัฐบาลชุดนี้


         ผมมั่นใจว่าเราจะได้เห็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จในรัฐบาลชุดนี้ แต่อย่ามองในแง่ดีเกินไป เราลองมองในแง่ร้ายบ้างว่าแก้อะไรก็ไม่เสร็จสักเรื่องหนึ่ง ทำอะไรก็ไม่ได้ เปลี่ยนแปลงกฎหมายให้เป็นกฎหมายที่เป็นนิติรัฐ นิติธรรม ถ้าทำอย่างนี้ไม่ได้ คนที่จะรำคาญรัฐบาลก็ได้แก่คนเสื้อแดง ดังนั้น คนเสื้อแดงจะต้องคอยกระตุ้น คอยจี้คอยไชให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม เกิดนิติรัฐ นิติธรรมให้ได้ รัฐบาลเองจะอยู่ได้หรือไม่ได้คราวนี้ต้องเผชิญกับคนเสื้อแดง ขอย้ำว่าเราจะได้เห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างแน่นอน


          คอยดูปีหน้าเราคงจะได้เห็น ความจริงงานนี้จะต้องต่อเนื่องไป แต่ผลลัพธ์ที่จะเกิดออกมาปีหน้าก็คงชัดเจน อย่างน้อยที่สุดเวลานี้ก็มีโครงการประชาสังคมที่จะทำทั่วประเทศในเรื่องการ ปรองดองและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณมาแล้ว 90 ล้านบาท จะได้ทำความเห็น ความเข้าใจกับมวลชนทั่วประเทศ ถ้าผ่านจากการทำความเห็นเรื่องนี้ ทุกคนจะเดินไปสู่หนทางว่าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องการปรองดองเป็นเรื่องสำคัญ ปีหน้าน่าจะเป็นปีที่เราจะพบกับความน่ายินดี


แนวทางการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น


          หลักกว้างๆมีอยู่ว่า ประเทศต้องเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง จะต้องมีการยอมรับอำนาจของประชาชน ไม่ว่านิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ต้องมีจุดยึดโยงกับประชาชน ถ้าเป็นประชาธิปไตยแบบนี้ก็ปรองดองกันได้ ประการต่อมาเป็นเรื่องความเสมอภาค ถ้าเป็นประชาธิปไตยต้องเสมอภาค คือประชาชนต้องมีความเท่าเทียมกันในกฎหมาย การใช้กฎหมายต้องใช้อย่างมาตรฐานเดียว ไม่ใช่ 2 มาตรฐานหรือหลายมาตรฐานอย่างที่เป็นมา มันก็ปรองดองกันได้ ถ้าหากเราปรารถนาความเป็นเอกภาพแต่ชวนกันปรองดองโดยที่ไม่ปรับเรื่องเหล่า นี้ให้เข้าหลักเกณฑ์จะไปปรองดองอะไร ยังไง


         เรื่องความไม่เสมอภาคคือเรื่องความแตกแยก สังคมไหนไม่มีความเสมอภาค สังคมนั้นต้องแตกแยก สังคมไหนที่ไม่มีประชาธิปไตย สังคมนั้นก็ต้องแตกแยก เพราะจะมีคนดิ้นรนเพื่อเรียกหาประชาธิปไตย ผมจึงคิดว่าเรื่องความปรองดองไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไร
ส่วนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่จะออกมาอยากให้ดูหน้าตากันก่อน ที่เราพูดกันโดยมาก เราคาดหมายอย่างนั้นอย่างนี้ ยังไม่เห็นหน้าตาว่าจริงๆเป็นอย่างไร ผมมั่นใจว่าความคิดของมหาประชาชนจะต้องเป็นของดี ไม่มีทางเป็นของเลวได้ ดังนั้น หน้าตาของกฎหมายที่จะออกมาหลังทำความเข้าใจเรื่องปรองดองกันแล้วไม่น่าวิตก ถ้าไม่ดีจริงคงไม่ผ่านมหาชนแน่นอน


มีคนมองว่ารัฐบาลกำลังปรองดองกับอำมาตย์


         การที่มีนักวิชาการออกมาระบุว่าขณะนี้รัฐบาลกับอำมาตย์กำลังปรองดอง เกี๊ยะเซียะกันอยู่ ผมมองว่าข้อกล่าวหานี้เป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรง แต่ไม่ใช่เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลเสียทีเดียว เป็นข้อกล่าวหาที่ควรเอาใจใส่และติดตาม ผมมีความเห็นว่าถ้าหากรัฐบาลกับอำมาตย์มาปรองดองกันโดยละเลยหลักพื้นฐานที่ ผมพูดข้างต้นนี้แล้ว ทั้งรัฐบาลและอำมาตย์จะอยู่ไม่ได้ ประชาชนส่วนใหญ่จะทิ้งรัฐบาล ไม่เอาด้วย ดังนั้น อย่าไปกังวลเลย รัฐบาลอาจจะมีความจำเป็นในเรื่องเวลาของการบริหาร เขาเข้ามาอยู่ในอำนาจอาจจะก้นหม้อยังไม่ทันดำ ก็ต้องขอเวลาให้เขาบ้าง


         ผมก็เข้าใจในเรื่องนั้น คือเราไม่ได้คิดว่าถ้าได้เข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วจะทำอะไรได้ตามใจชอบ ต้องมีเวลาให้เขาบ้าง เวลาจะทำให้เขาเกิดความมั่นคง ความมั่นใจ แล้วค่อยๆทำอะไรไป รัฐบาลไม่ใช่เอกชนที่จะทำอะไรได้ตามใจชอบ เพราะฉะนั้นข้อกล่าวหาที่ว่ารัฐบาลกับอำมาตย์อาจจะมาฮั้วกันก็เป็นข้อกล่าว หาที่เราจะต้องติดตามดูกันต่อไป แต่ผมเชื่อว่าเขาไม่ทรยศต่อประชาชน


รัฐบาลจะบริหารประเทศครบ 4 ปีหรือไม่


         รัฐบาลชุดนี้อยู่ได้ น่าจะครบ 4 ปี ไม่น่าจะมีเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งหนึ่งที่จะต้องเตือนกันไว้เสมอคือ ถ้าจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญก็ถือว่าเป็นเรื่องปรกติ ที่ทุกคนควรจะรับได้และทำใจได้ หมายความว่าสมมุติรัฐบาลบริหารประเทศมา 2 ปี แล้วรัฐบาลยุบสภาเลือกตั้งใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่วิตกทุกข์ร้อน ขอให้เห็นว่าถ้าเป็นไปตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญแล้วเป็นอันใช้ได้ ลองดูญี่ปุ่น เกาหลี เขาเปลี่ยนรัฐบาลบ่อย ไม่เห็นเป็นปัญหาอะไร เพราะเปลี่ยนตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญ ของเราผมก็ดูว่ารัฐบาลควรจะอยู่ครบเทอม 4 ปี แต่ถ้ามีเหตุรัฐบาลอยากยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปรกติ


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับที่ 384 วันที่ 3-9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 หน้า 16-17  คอลัมน์ ฟังจากปาก โดย กิตติพิชญ์ ยิ่งวรการสุข

จุดติดหรือจุดดับ?

จุดติดหรือจุดดับ?

         “บันไดขั้นแรกคือวันที่ 28 ตุลาคม ส่วนขั้นที่ 2 จะตามมาในไม่กี่วัน จะเอาให้จบ ไม่ยืดเยื้อ คิดว่าจะมี 2 ขั้นเท่านั้น ต้องจบ”

            น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และแกนนำสำคัญในการต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศในการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่าย 30 องค์กร ที่นำโดย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ภายใต้ชื่อ “รวมพลัง คนทนไม่ไหว หยุดวิกฤตและหายนะชาติ” ซึ่งที่ผ่านมา น.ต.ประสงค์อยู่เบื้องหลังการชุมนุมของกลุ่มต่อต้าน พ.ต.ท. ทักษิณ รวมถึงกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ครั้งนี้ต้องออกมาอยู่หน้าเวที ทั้งยังประกาศชัดเจนว่าบันไดขั้นที่ 2 หรือการชุมนุมครั้งต่อไปต้องเผด็จศึก คือขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้ได้


          ขณะที่ พล.อ.บุญเลิศเรียกร้องให้ผู้ที่มาร่วมชุมนุมกลับไปบอกผู้ที่ไม่ได้มาให้มา ร่วมชุม นุมครั้งต่อไป โดย 1 คน ให้ชวนให้ได้ 100 คน หากสรุปยอดผู้ชุมนุมตามที่ พล.อ.บุญเลิศระบุว่ามีประมาณ 30,000 คน มาลงทะเบียน 20,000 คน และอีก 10,000 คนไม่ได้ลงชื่อ การชุมนุมครั้งต่อไปที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 1 เดือนนี้จะมีผู้มาชุมนุมมากถึง 100,000-200,000 คน โดยจะรวมพลในช่วงเช้าแล้วเคลื่อนไปยังทำเนียบ รัฐบาลเพื่อยื่นรายชื่อผู้คัดค้านรัฐบาลต่อ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ซึ่ง พล.อ.บุญเลิศประกาศว่า


“บันไดขั้นที่ 2 จะต้องจบการชุมนุมในวันเดียว จะเป็นการชุมนุมในนามกลุ่มประชาชนคนรักชาติ องค์การพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่าย”


          พล.อ.บุญเลิศระบุว่า หากล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้อาจต้องแช่แข็งไม่มีการเลือกตั้ง 5 ปี หยุดเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ โดยภายใน 5 ปีจะมีคณะบุคคลทำ 4 ภารกิจคือ 1.การแก้รัฐธรรมนูญ 2.การเพิ่มการศึกษา 3.การเพิ่มความรู้ให้กับประชาชนเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และ 4.นำตัว พ.ต.ท. ทักษิณกลับประเทศไทยเพื่อรับโทษตามกฎหมาย


เงื่อนไขจุดไฟติด?


         การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่ายเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมาทำให้เห็นความแตกต่างจากการชุมนุมของกลุ่มเสื้อหลากสีหรือ “สลิ่ม” ที่นำโดย นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ซึ่งไม่ค่อยมีพลังและได้รับความสนใจจากประชาชนนัก แม้จะพยา ยามออกมาเคลื่อนไหวบ่อยครั้งก็ตาม


         ที่น่าสังเกตคือการชุมนุมครั้งนี้แม้จะไม่มีกลุ่มพันธมิตรฯเข้าร่วม แต่บุคคลสำคัญที่ขึ้นเวทีอภิปรายก็เกี่ยวข้องกับกลุ่มพันธมิตรฯและขาประจำ ที่ต่อต้านทักษิณ โดยเฉพาะกองทัพธรรมของสันติอโศกที่ระยะหลังกลายเป็นกำลังหลักในการชุมนุมของ กลุ่มพันธมิตรฯ นอกจากนี้ยังมีนายเสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ กลุ่มกองทัพธรรม นายนิพนธ์ วงษ์ตระหง่าน นักวิชาการที่ใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์ นายสมบูรณ์ ทองบุราณ อดีตสมาชิกวุฒิสภาและแกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิท ยาลัย นายพิเชฐ พัฒนโชติ อดีตสมาชิกวุฒิสภาและรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ฯลฯ
แม้ข้อเรียกร้องของการชุมนุมจะซ้ำซาก คือเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลแก้ไขใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1.ดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับการจาบจ้วงสถาบัน 2.ไม่เป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ 3.หยุดการทุจริตคอร์รัปชัน แต่จำนวนผู้ชุมนุมก็ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เสียหน้าที่ระบุก่อนการชุมนุมว่าจะมีประมาณ 1,000-2,000 คน แน่นอนว่าเป็นตัวเลขที่ได้จากการประเมินของหน่วยงานข่าวต่างๆของรัฐบาล เพราะแม้แต่ศูนย์ปฏิบัติการข่าวด้านความมั่นคง กองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่เกาะติดความเคลื่อนไหวครั้งนี้ยังสรุปว่ามียอดผู้ชุมนุมประมาณ 7,000 กว่าคน


        ประเด็นสำคัญครั้งนี้ไม่ได้อยู่แค่จำนวนผู้ชุมนุม แต่เป็นการเริ่มต้นการขับไล่รัฐบาลที่เป็นรูปธรรม รวมถึงการเรียกร้องให้ทหารทำรัฐ ประหาร แม้กลุ่มพันธมิตรฯอ้างว่าการไม่เข้าร่วม ชุมนุมครั้งนี้เพราะไม่เห็นข้อเรียกร้องที่เป็นการปฏิรูปการเมืองตามที่ กลุ่มพันธมิตรฯต้องการก็ตาม แต่การชุมนุมครั้งนี้มีการตั้งคณะกรรม การองค์การพิทักษ์สยามและคณะทำงานอีก 2 ชุดคือ 1.คณะทำงานตรวจสอบการจาบจ้วงสถาบัน และ 2.คณะทำงานที่ดูเรื่องการทุจริต


      แม้การชุมนุมใหญ่จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หน่วยข่าวด้านความมั่นคงของรัฐบาลก็ประ เมินการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามและภาคี เครือข่ายว่า เสธ.อ้ายและแกนนำการชุมนุมเชื่อว่าม็อบครั้งนี้จุดติด จึงประกาศชุมนุมครั้งที่ 2 แต่ต้องมีทุนและเงื่อนไขที่จะโจมตีรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่าครั้งแรก


จุดยืนกองทัพ


        เงื่อนไขการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม และเครือข่ายจึงอยู่ที่รัฐบาลว่ามีผลงานเข้าตาประชาชนหรือไม่ และต้องไม่สร้างเงื่อนไขใหม่ๆขึ้นมา โดยเฉพาะเรื่องสถาบันที่เป็นประ เด็นอ่อนไหวที่ถูกนำไปบิดเบือนอย่างต่อเนื่อง


       ขณะเดียวกันต้องไม่ประมาทม็อบ เพราะกลุ่มทุนและกลุ่มอำมาตย์ที่เกลียด พ.ต.ท. ทักษิณไม่ได้ล้มหายตายจากไปไหน แต่กลุ่มทุนต้องมั่นใจว่าการลงทุนครั้งนี้จะไม่ทำลายตัวเอง แม้แต่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ถือเป็นเสาหลักของกลุ่มอำมาตย์ ยังเรียกร้องให้คนในชาติกลับมารักกัน การแบ่งฝักฝ่ายเป็นเสื้อสีต่างๆก็ให้ยึดเอาชาติเป็นที่ตั้ง


         แม้การตอกย้ำเรื่องความสามัคคีปรองดองของ พล.อ.เปรมจะมีเบื้องหลังหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ยืนยันว่าไม่เข้าข้างใครทั้งสิ้น แต่จะยึดถือข้อกฎหมายและวิธีปฏิบัติ


        “อย่ามาบอกว่าทหารปล่อยให้ชาติเสียหาย ผมไม่ได้ปล่อยให้ประเทศเสียหาย ถ้าโทษอย่างนั้นต้องโทษคนทั้งประเทศ ถ้าจะช่วยดูแลประเทศชาติ ตอนเลือกตั้งกรุณามาเลือกกันทุกคน ถ้าตัวท่านเองยังไม่เลือกตั้งแล้วอย่ามาโวยวายคนอื่น ต้องทำให้ถูกต้อง เพราะนี่คือการใช้อำนาจที่ถูกต้อง อย่ามาถามผมอีกว่าจะปฏิวัติหรือไม่ปฏิวัติ ใครจะมาชวนผมไปไหน เขาไม่ได้มาชวนผมไปซื้อขนมที่ตลาด ดังนั้น อย่ามาชี้นำผม ผมโตขนาดนี้แล้ว มีวุฒิภาวะพอสมควร และกองทัพต้องเชื่อฟังผม ถ้าไม่อย่างนั้นปกครองกองทัพไม่ได้ ประเทศชาติก็วุ่นวายไปกว่านี้ ต้องไปหาวิธีการที่ถูกต้อง ผมไม่ได้เอาตัวรอด เดี๋ยวจะหาว่าผมเอาตัวรอด ใบปลิวเขียนกันวุ่นวาย อยากให้ความเป็นธรรมกับผมหน่อย ผมทำงานบกพร่องตรงไหนถึงมาว่าผม อย่ามาว่าผมว่าไม่รักชาติ ไม่รักแผ่นดิน วิธีการรักของผมมีอยู่ ผมไม่ให้ใครมาชี้นำผมได้ ไม่อย่างนั้นผมนำไม่ได้”


          ขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ กลับเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่ทหาร แต่เป็นนักการเมือง “เป็นถึงผู้บัญชา การทหารบกแต่ไม่มีองค์ความรู้เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีความฉลาดเฉลียว ไม่ได้ศึกษาสิ่งแวดล้อม ไม่ได้รู้ถึงข่าวสารว่าระหว่างเสื้อแดงกับเสื้อเหลืองนี้ใครทำชั่วให้แผ่น ดินไทย”


พลิกแฟ้ม “เสธ.อ้าย”



       
เมื่อพลิกแฟ้มประวัติ พล.อ.บุญเลิศ ซึ่งนอกจากเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 1 ร่วมกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี แล้ว ยังมีความสัมพันธ์กับ “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และนายวีระ (วีระกานต์) มุสิกพงศ์ เพราะร่วมเหตุการณ์กบฏ 26 มีนาคม 2520 ซึ่งนำโดย พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ ที่ต้องการล้มรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินของ พล.ร.อ. สงัด ชลออยู่ แต่ทำไม่สำเร็จ พล.อ.ฉลาดจึงกลายเป็นผู้นำกบฏและถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า ขณะที่ พล.อ.บุญเลิศที่เป็นนายทหารติดตาม พล.อ.ฉลาดก็ติดคุกพร้อมกับ เสธ.หนั่นและนายวีระ

         เมื่อพ้นโทษ เสธ.อ้ายช่วย เสธ.หนั่นหาเสียงทางการเมืองมาตลอด และได้เป็นหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลา โหมสมัยนายชวน หลีกภัย ซึ่งควบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย เสธ.อ้ายจึงมีความสนิทสนมกับนักการเมืองจำนวนมาก รวมทั้งคนในพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ และนายนิพนธ์ บุญญามณี แต่ เสธ.อ้ายก็ยืนยันว่าไม่ใช่คนของพรรคประชาธิปัตย์


อย่าปรามาส “เสธ.อ้าย”


        อย่างไรก็ตาม การชุมนุมจำเป็นต้องมีเงินทุนสนับสนุน อย่างที่หน่วยข่าวด้านความมั่นคงของรัฐบาลประเมินว่าถ้าไม่มีกลุ่มทุนสนับ สนุนอย่างต่อเนื่อง การชุมนุมก็ทำได้แค่ครั้งสองครั้งและยุติไปเอง เหมือนกลุ่มพันธมิตรฯที่วันนี้อาศัยกองทัพธรรม แต่ น.ต.ประ สงค์และกลุ่มทุนที่อยู่ตรงข้าม พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่ยอมให้ถูกไล่บี้จนไม่มีที่ยืนแน่นอน เหมือนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพที่ขณะนี้ต้องสู้ทุกรูปแบบเพื่อไม่ให้ตกเป็นผู้ต้องหา “ฆ่าคน” ในเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือเล็งหวังผล อย่างที่กรมสอบสวนคดีพิเศษกำลังรวบรวมหลักฐานทั้งหมดในขณะนี้


         การที่ น.ต.ประสงค์ประกาศว่าการชุมนุมครั้งต่อไปจะเป็นการเผด็จศึก ซึ่งต้องมีผู้ชุมนุมเป็นแสนนั้น ก็ต้องมีเงื่อนไขหรือสถานการณ์รุนแรงจนประชาชนไม่พอใจรัฐบาล ซึ่งจะต้องเป็นเงื่อนไขหรือปัจจัยก่อนการชุมนุมใหญ่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ยอมรับว่า ขณะนี้มีกระบวนการจ้องล้มรัฐบาลไม่แตกต่างจากเมื่อครั้งรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ใช้เวลาเพียงเดือนเศษในการปิดเกมเร็ว ขณะนี้มีการข่าวแจ้งมาตลอด เพราะตนอยู่ในซีกฝ่ายความเคลื่อนไหว และเคยมีเพื่อนพ้องในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถาน การณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จึงรับรู้กระบวนการทั้งหมด และได้เตือนมาตลอดว่าอย่าประมาทม็อบที่สนามม้านางเลิ้ง เพราะมาครั้งหน้าอาจมีจำนวนมากกว่าเดิม


         นายจตุพรกล่าวว่า สถานการณ์การเมืองตอนนี้ต้องเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์ในอดีต เพราะที่ผ่านมามีการใช้กระบวนการหลายรูปแบบล้มรัฐบาลถึง 3 ครั้ง ทั้งยังมีองค์กรอิสระในรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่มีอำนาจเหนือรัฐ ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไร และกลุ่มคนพวกนี้จะเลือกใช้วิธีการใดเป็นเครื่องมือ


         เช่นเดียวกับ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า การชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามถือว่าจุดประกายได้แล้ว เพราะมีคนร่วมกว่า 20,000 คน ถ้าการชุมนุมครั้งหน้าที่ให้ชวนคนมาในอัตรา 1 ต่อ 100 นั้นก็มีความเป็นไปได้ ซึ่งโดยส่วนตัวมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับ พล.อ.บุญเลิศตั้งแต่ตอนรับราชการทหาร ถือเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่ง พล.อ.บุญเลิศถือเป็นคนจริงจัง ทำอะไรมีความมุ่งมั่น ชีวิตก็ประสบความสำเร็จ เป็นประธานสนามม้ามานานนับสิบปี เป็นประธานเตรียมทหารรุ่น 1 รุ่นเดียวกับ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นประธานมวยโอลิมปิก ถือเป็นคนไม่ธรรมดา แม้หลายคนที่ขึ้นเวทีปราศรัยจะเป็นคนกลุ่มเก่าๆ แต่ก็เหมือนมีความเชื่อมโยงเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน


         
โดยเฉพาะการขึ้นเวทีปราศรัยของ น.ต.ประสงค์ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นนั้น แม้ พล.อ. พัลลภมองว่าไม่มีสัญญาณพิเศษ แต่ก็เตือนรัฐบาลว่าอย่าประมาท พล.อ.บุญเลิศ เพราะแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯก็ประกาศว่าพร้อมจะทำ “สงครามครั้งสุดท้าย” หากรัฐบาลพยา ยามแก้ไขรัฐธรรมนูญและออกกฎหมายปรองดองเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณพ้นผิด

จุดติดหรือจุดดับ?


        ดังนั้น แม้วันนี้พรรคเพื่อไทยจะมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนส่วนใหญ่ แต่การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างกลุ่มรักทักษิณและกลุ่มเกลียดทักษิณก็ยัง เป็นตัวแปรสำคัญที่ “มือที่มองไม่เห็น” และ “มือที่มองเห็น” จะสร้างเงื่อนไขให้เกิดการปะทะกันจนเกิดเหตุการณ์รุนแรงบานปลาย


       อย่างที่นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกาศพร้อมชนกับกลุ่ม เสธ.อ้ายและพันธมิตรฯหากมีการเคลื่อนไหวก๊อกสองเพื่อขับไล่รัฐบาล


        อย่างไรก็ตาม วันนี้ประชาชนส่วนใหญ่ “ตาสว่าง” และต้องการเห็นบ้านเมืองสงบสุข ไม่ต้องการให้มีม็อบออกมาไม่ว่าจะสีอะไร รวมถึงการทำรัฐประหาร ม็อบไม่ว่าสีอะไรก็ตาม หากทะเล่อทะล่าออกมาอย่างไม่มีเงื่อนไขและเหตุผลก็อาจเป็น “จุดดับ” ของม็อบเอง


      เช่นเดียวกับทหารกลุ่มใดคิดจะทำ “รัฐ ประหาร” หรือ จะแช่แข็งไม่มีการเลือกตั้ง 5 ปี ก็คือ “จุดดับ” และ“จุดจบ” ประชาธิปไตยตลอดกาล!?


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับที่ 384 วันที่ 3-9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 หน้า 18-19 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน

ทำความเข้าใจเรื่องคำร้องไอซีซีกรณีประเทศไทย

ทำความเข้าใจเรื่องคำร้องไอซีซีกรณีประเทศไทย



         วันที่ 2 พฤศจิกายน 2555 (go6TV) นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ได้เขียนบทความลงในเว็บไซต์โรเบิร์ตอัมสเตอร์ดัม แสดงเหตุผลถึงความสำคัญและจำเป็นที่ประเทศไทยควรลงนามประกาศรับรองเขตอำนาจศาลเฉพาะกรณีเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้

          “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุลจะเข้าพบหัวหน้าอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) มาดามฟาทู เบนซูดาในวันนี้ ( 1 พ.ย.) เพื่อพูดคุยเรื่องความเป็นไปได้ในการเปิดการสอบสวนกรณีเหตุการณ์การชุมนุมในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553
รายละเอียดข้างล่างคือคำถามที่มีการถามกันบ่อยครั้งเกี่ยวความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะขยายเขตอำนาจพิจารณาคดีของไอซีซี
คำถามที่ถามบ่อยครั้ง
คำถาม: ไอซีซีคืออะไรและทำไมอัยการถึงมาประเทศไทย?
คำตอบ: ไอซีซีตั้งอยู่ ณ กรุงเฮก และจัดตั้งโดยสนธิสัญญาที่เรียกว่าธรรมนูญแห่งกรุงโรม ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามแต่มิได้ให้สัตยาบัณดังนั้นประเทศไทยจึงมิใช่ภาคีต่อสนธิสัญญาดังกล่าว ทนายความนปช. นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมยื่นคำร้องต่ออัยการไอซีซีเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2554 โดยร้องขอให้ไอซีซีเปิดการสอบสวนเบื้องต้นในกรณีเหตุการณ์ชุมนุมที่เกิดขึ้นในประเทศไทยระหว่างเดือนเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งมีพลเรือน98 รายถูกสังหารและถูกทำร้ายกว่า 2,000 รายโดยกองทัพไทย
คำร้องระบุว่ามีการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติต่อผู้ชุมนุมที่เป็นพลเรือน และะในคำร้องเกี่ยวกับประเทศไทยได้กล่าวถึงการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติเท่านั้น โดยไม่มีหลักพื้นฐานใดที่กล่าวถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธ์หรืออาชญากรรมสงคราม
คำถาม:เมื่อประเทศไทยมิใช่ภาคีของสนธิสัญญาก่อตั้งไอซีซีแล้ว ไอซีซีจะสอบสวนกรณีการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่อ้างถึงและเกิดขึ้นในประเทศไทยได้อย่างไร?
คำตอบ: ในกรณีนี้ อำนาจพิจารณาของไอซีซีสามารถจัดตั้งขึ้นได้สองประการ
ประการแรก ไอซีซีสามารถใช้อำนาจพิจารณาคดีเหนือบุคคลต่อนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะภายใต้มาตรา 12.2(b) ของธรรมนูญโรม เนื่องจากเขาเป็นพลเมืองอังกฤษ ซึ่งเป็นภาคีกับไอซีซี
ประการที่สอง มาตรา 12.3 ได้ ให้อำนาจรัฐที่มิได้เป็นภาคีกับไอซีซี อย่างเช่นประเทศไทย ให้ทำการยอมรับอำนาจพิจารณาคดีของไอซีซีบนหลักการของการยอมรับให้ไอซีซี พิจารณาเป็นเฉพาะคดีไป โดยการประกาศยอมรับอำนาจของไอซีซี ขณะนี้รัฐบาลไทยกำลังพิจารณาว่าจะประกาศยอมรับอำนาจของไอซีซีเพื่อให้ไอซีซี ทำการการสอบสวนกรณีการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่กล่วงอ้างในปี 2553 หรือไม่
คำถาม:คำประกาศดังกล่าวเป็นการกล่าวหาผู้ใดว่ากระทำอาชญากรรมหรือไม่?
คำตอบ: ไม่ใช่ มันเป็นเพียงการอนุญาตให้ไอซีซีเข้ามาพิจารณาว่ามีใครหรือกลุ่มบุคคลใดบ่างที่ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาตินับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2553 หรือไม่เท่านั้น
คำถาม: คำประกาศดังกล่าวเป็นการส่งต่อความรับผิดชอบให้แก่ไอซีซีในการสอบสวนอาชญากรรมต่อมนุษยชาติใช่หรือไม่?
คำตอบ: ไม่ใช่ ประเทศไทยจะยังคงต้องรับผิดชอบเป็นลำดับแรกในการสอบสวน และหากเหมาะสม ต้องดำเนินคดีต่อคนที่ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ไอซีซีสามารถสอบสวนหรือดำเนินคดีหากเจ้าหน้าที่รัฐไทยไม่สามารถหรือไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้นเท่านั้น
คำถาม: แล้วหากเป็นเช่นนั้น เหตุใดจึงต้องยอมรับอำนาจพิจารณาคดีของไอซีซีต่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่กล่าวอ้าง?
คำ ตอบ: คำประกาศดังกล่าวทำให้อัยการไอซีซีสามารถเปิดการตรวจสอบเบื้องต้นได้ การตรวจสอบดังกล่าวทำให้อัยการสามารถเข้าร่วมกับกระบวนการพูดคุยกับเจ้า หน้าที่รัฐไทยเกี่ยวกับความคืบหน้าของการสอบสวนและดำเนินคดีในประเทศไทยหาก อัยการสรุปว่าความยุติธรรมไม่ได้บังเกิดขึ้นในประเทศไทย อัยการสามารถเข้ามาดำเนินการได้
คำถาม: ดังนั้นอัยการสามารถสอบสวนและดำเนินคดีต่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่กล่าวอ้างได้หรือไม่?
คำตอบ: อัยการสามารถเปิดการสอบสวนเต็มขั้นได้ในสองกรณีเท่านั้น
กรณีแรก อัยการต้องแจ้งต่อประเทศไทยถึงเจตจำนงค์ในการเปิดการสอบสวนเบื้องต้น ประเทศไทยมีเวลาหนึ่งในการตอบรับ ประเทศไทยสามารถเลือกที่จะยอมให้อัยการเข้ามาทำการสอบสวน อีกทางเลือกหนึ่งคือ ประเทศไทยสามารถปฏิเสธและยืนยันสิทธิของเจ้าหน้าที่รัฐไทยในการสอบสวนคดีดัง กล่าวก็ได้ ทำให้อัยการไอซีซีไม่มีอำนาจเปิดการสอบสวนแบบเต็มขั้น นอกเสียจากว่า อัยการจะได้รับอนุญาติจากผู้พิพากษาไอซีซี อัยการต้องพิสูจน์ให้ผู้พิพากษาเห็นว่า การสอบสวนในประเทศไทยไม่ได้เป็นไปในแนวทางเพื่อแสวงหาความยุติธรรม ประเทศไทยจะได้รับโอกาสชี้แจงต่อผู้พิพากษาไอซีซีสามคนเพื่อนำเสนอเหตุผลใน การปฏิเสธ หากผู้พิพากษาตัดสินตามคำร้องขอของอัยการไอซีซี ประเทศไทยสามารถอุทธรณ์ต่อองค์คณะของผู้พิพากษาชั้นอุทรณ์ของไอซีซี
กรณีที่สอง แม้ประเทศไทยจะไม่ปฏิเสธ อัยการไอซีซียังไม่สามารถเปิดการสอบสวนแบบเต็มขั้นได้ นอกจากอัยการจะได้รับความเห็นชอบจากองค์คณะผู้พิพากษาไอซีซีสามคนเสียก่อน หากไม่มีความเห็นชอบดังกล่าว อัยการสามารถเปิดทำการตรวจสอบเบื้องต้นได้เท่านั้น
โดยสรุปคือ การประกาศยอมรับอำนาจศาลไอซีซีของรัฐบาลภายใต้มาตรา 12.3 เป็นเพียงการเปิดประตูให้กับกระบวนการการพูดคุยอย่างต่อเนื่องระหว่างประเทศไทยและไอซีซีเท่านั้น มันเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น ไม่ใช่จุดจบ
คำถาม: อะไรคือการตรวจสอบเบื้องต้น?
คำตอบ: การตรวจสอบเบื้องต้นคือก้าวแรกที่ออกแบบมาเพื่อกำหนดว่าอัยการไอซีซีควรขอ ความเห็นชอบจากผู้พิพากษาไอซีซีก่อนว่าจะเปิดการสอบสวนแบบเต็มขั้นหรือไม่ ในการตรวจสอบเบื้องต้น อัยการไอซีซีสามารถพิจารณาติดตามความคืบหน้าการสอบสวนและการดำเนินคดีใน ประเทศไทย อัยการสามารถทำการไต่สวนอย่างจำกัดว่าอาชญากรรมต่อมนุษยชาติเกิดขึ้นจริง หรือไม่ การตรวจสอบเบื้องต้นจะไม่แทรกแซงการสอบสวนหรือดำเนินคดีอาชญากรรมในประเทศ ไทย กระบวนการในไทยสามารถเดินหน้าไปได้ในเวลาเดียวกัน
คำถาม: หากรัฐบาลไทยประกาศยอมรับอำนาจพิจารณาคดีของศาลไอซีซี อัยการจะเปิดการตรวจสอบเบื้องต้นหรือไม่?
คำตอบ: อัยการจะต้องเป็นผู้ตัดสินเอง อย่างไรก็ตาม หากประเทศไทยยอมรับอำนาจพิจารณาคดีของศาลไอซีซี เราเข้าใจว่าอัยการจะเปิดการตรวจสอบเบื้องต้นต่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่กล่าวอ้างอันเกิดขึ้นในปี 2553
คำถาม: อัยการไอซีซีสามารถทำอะไรได้บ้างในการตรวจสอบเบื้องต้น?
คำตอบ: อัยการสามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่ส่งให้อัยการโดยสมัครใจ อัยการสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมบนพื้นฐานของความสมัครใจจากรัฐบาลไทยหรือรัฐบาลต่างชาติ จากองค์กรสหประชาชาติ และจากองค์กรเอกชน หรือองค์กรรัฐบาลสากล นอกจากนี้ อัยการสามารถรับคำให้การที่เสนอให้โดยความสมัตรใจในกรุงเฮก และจากข้อมูลทั้งหมดนี้ อัยการสามารถตัดสินว่ามีหลักพื้นฐานอันสมเหตุสมผลที่จะเปิดการสอบสวนอย่างเต็มขั้นหรือไม่
คำถาม: อัยการไม่มีอำนาจทำอะไรในการตรวจสอบเบื้องต้น?
คำตอบ: ในการตรวจสอบเบื้องต้น อัยการไอซีซีไม่สามารถเรียกร้องให้รัฐบาลส่งตัวพยาน และไม่สามารถสัมภาษณ์หรือทำการสอบสวนในประเทศไทยได้ หากอัยการเชื่อว่า การกระทำดังกล่าวมีความจำเป็น อัยการต้องแจ้งให้ประเทศไทยทราบและขอความเห็นชอบจากผู้พิพากษาไอซีซีให้เปิดการสอบสวนแบบเต็มขั้นตามที่อธิบายในข้างต้น
คำถาม:การตรวจสอบเบื้องต้นใช้เวลานานเท่าไร?
คำตอบ: ไม่มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน อาจใช้เวลาหลายเดือน หากอัยการไอซีซีตัดสินว่าจะให้รัฐไทยทำการสอบสวนดังกล่าวเอง อาจต้องใช้เวลาหลายปี
คำถาม: เป็นไปได้หรือไม่ที่อัยการไอซีซีอาจไม่ร้องขอให้เปิดการสอบสวนแบบเต็มขั้น?
คำตอบ: เป็นไปได้ หากเกิดความยุติธรรมขึ้นในประเทศไทยแล้ว เพราะไม่มีความจำเป็นที่อัยการไอซีซีจะต้องร้องขอให้มีการเปิดการสอบสวนแบบเต็มขั้น
คำถาม: หากอัยการร้องขอให้เปิดการสอบสวนอย่างเต็มขั้น และสรุปว่ามีผู้ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติขึ้น อัยการสามารถแจ้งข้อหาทางอาญาต่อบุคคลเหล่านั้นได้หรือไม่?
คำตอบ: ไม่ได้ ขั้นแรกเลยอัยการต้องขอความเห็นชอบจากผู้พิพากษาไอซีซีเสียก่อน ผู้ที่ถูกกล่าวหาและรัฐบาลไทยจะได้รับโอกาสชี้แจงและปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวต่อศาล หากผู้พิพากษาไอซีซีสามคนตัดสินว่าคำปฏิเสธนั้นฟังไม่ขึ้น พวกเขาสามารถอุทรณ์ต่อองค์คณะผู้พิพากษาอุทรณ์ไอซีซีห้าคนได้
คำถาม: หากผู้พิพาพากษาไอซีซีเห็นชอบให้อัยการแจ้งข้อหาได้ อัยการสามารถสั่งจับกุมบุคคลนั้นได้หรือไม่?
คำตอบ: ไม่ได้ มีเพียงผู้พิพากษาไอซีซีเท่านั้นที่สามารถสั่งให้จับกุมบุคคลที่ถูกกล่าวหาได้
คำถาม: หากผู้พิพากษาไอซีซีออกหมายจับ ประเทศไทยจะต้องจับกุมและส่งตัวบุคคลที่ถูกกล่าวหาให้ไอซีซีใช่หรือไม่?
คำตอบ: ใช่เพราะตามข้อตกลงทางตุลาการ โดยการประกาศว่าจะยอมรับอำนาจพิจารณาคดีของไอซีซีต่อกรณีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ประเทศไทยจึงยอมรับที่จะให้ความร่วมมือกับไอซีซี อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ถูกจับกุมมีสิทธิที่จะโต้แย้งเรื่องความชอบด้วยกฎหมายของการจับกุมนั้นต่อศาลไทยเป็นลำดับแรก และหลังจากนั้นต่อผู้พิพากษาไอซีซี หลังจากที่เขาถูกส่งตัวไปยังกรุงเฮกแล้ว
คำถาม: การดำเนินคดีของไอซีซีจะเป็นไปอย่างยุติธรรมหรือไม่?
คำตอบ: มีความเป็นธรรม เพราะผู้พิพากษาไอซีซีเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระทางกฎหมายอาญาและกฎหมายระหว่างประเทศ เลือกโดยรัฐบาลจากประเทศมากกว่า120 ประเทศที่เป็นภาคีกับไอซีซี ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิที่จะแก้ต่างต่อศาลไอซีซีโดยใช้ทนายของตนเอง และจะได้รับความเป็นธรรมในสิทธิการพิจารณาคดีซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศให้การยอมรับ ผู้ถูกกล่าวหาทุกรายจะถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ พวกเขาจะไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิดได้นอกจากจะมีการพิสูจน์ว่าพวกเขากระทำผิดอย่างแน่แท้ และหากถูกตัดสินว่ามีความผิด ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิที่จะอุทรณ์ต่อองค์คณะผู้พิพากษาอุทรณ์ไอซีซีห้าคน
คำถาม: รัฐบาลไทยต้องได้รับความเห็นชอบจากพระมหากษัตริย์หรือรัฐสภาเพื่อที่จะประกาศยอมรับอำนาจพิจารณาของไอซีซีต่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติในปี 2553 หรือไม่?
คำตอบ: ไม่จำเป็นเพราะภายใต้มาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญไทยระบุว่า การลงนามในสนธิสัญญาทุกอย่างต้องได้รัความเห็นชอบจากพระมหากษัตริย์ และการลงนามในสนธิสัญญาบางประเภทต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภา อย่างไรก็ตาม การประกาศยอมรับอำนาจพิจารณาคดีของรัฐบาลไทยในกรณีชั่วคราวตามมาตรา12.3 แห่งธรรมนูญกรุงโรมไม่ใช่สนธิสัญญา ตามคำนิยามคือ สนธิสัญญาเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับสัญญาสองฝ่ายหรือหลายฝ่ายระหว่างประเทศไทยกับคู่สัญญาหรือคณะสัญญาอื่น สนธิสัญญาจะมีผลทางกฎหมายต่อเมื่อหลังจากที่บุคคลอย่างน้อยสองฝ่ายตกลงที่จะยอมรับข้อผูกพันธ์ทางกฎหมาย
ในทางตรงข้าม การประกาศตามมาตรา 12.3 เป็นการกระทำฝ่ายเดียวโดยประเทศไทย การประกาศมีผลทางกฎหมายทันทีเมื่อประเทศไทยประกาศแจ้งต่อไอซีซี ไม่จำเป็นต้องได้รับการตอบตกลงจากไอซีซีเพื่อให้การกระทำดังกล่าวมีผลทางกฎหมาย คำประกาศไม่ใช่สัญญา แต่เป็นการกระทำใช้อำนาจทางอธิปไตยของประเทศไทย เนื่องจากไม่ใช่สนธิสัญญา จึงไม่ต้องดำเนินตามขั้นตอนในมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญไทย และไม่จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากพระมหากษัตริย์หรือรัฐสภา
คำถาม: การประกาศภายใต้มาตรา 12.3 จะทำให้มีการแก้ไขกฎหมายไทยฉบับใดหรือไม่?
คำตอบ: ยังไม่ต้องในขั้นตอนนี้ และบางทีอาจไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายฉบับใดเลยก็ได้ รัฐบาลสามารถยอมรับคำประกาศตามมาตรา 12.3โดยไม่ต้องออกกฎหมายใหม่ หากอัยการไอซีซีตัดสินใจที่จะเปิดการตรวจสอบเบื้องต้น และเราเชื่อว่าอัยการจะทำเช่นนั้น ในขั้นตอนนี้ยังไม่ต้องมีการออกกฎหมายใหม่เช่นกัน แต่อาจต้องมีการการแก้ไขกฎหมายไทยบางฉบับเท่านั้นหากไอซีซีตัดสินใจที่จะเปิดการสอบสวนแบบเต็มขั้น ซึ่งอย่างอาจต้องใช้เวลาเป็นเดือนหรือหลายปีนับจากนี้ไป
คำถาม: ไอซีซีทำให้พระมหากษัตริย์ตกอยู่ในภัยอันตรายหรือไม่?
คำตอบ: ไม่ ไม่โอกาสที่ไอซีซีจะดำเนินคดีต่อพระมหากษัตริย์ได้เลย

แดงโคราชรณรงค์ต้านการปฏิวัติ ซัด ม็อบ‘เสธ.อ้าย’ตัวการ

แดงโคราชรณรงค์ต้านการปฏิวัติ ซัด ม็อบ‘เสธ.อ้าย’ตัวการ


วันที่ 2 พฤศจิกายน 2555 (go6TV) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวีระชัย สมานจารุวรรณ รองประธานกลุ่มคนเสื้อแดงจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า ขณะนี้เกือบทุกชุมชน/หมู่บ้านใน 32 อำเภอ ของจังหวัดนครราชสีมา มีการติดตั้งป้ายต่อต้านการปฏิวัติและไม่เอาเผด็จการแล้ว ซึ่งป้ายดังกล่าวเป็นการแสดงจุดยืนของกลุ่มคนเสื้อแดงที่กระจายอยู่ในทุกอำเภอว่าเราสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยและรณรงค์ ปลุกกระแสให้ประชาชนตื่นตัวรวมพลังกันต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหารเพราะการ ปฏิวัติคือการดึงให้ประเทศกลับไปสู่ยุคมืดทำให้ชาติเสียโอกาสในการพัฒนาใน ทุกรูปแบบ
 รองประธาน นปช.โคราช กล่าวต่อว่า ถ้าประเทศไทยเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร สามารถหยุดการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ติดต่อกัน 5 ปี ตามที่เสธอ้ายและกลุ่มพิทักษ์สยามออกมาเรียกร้องจริง ตนเชื่อว่าจะเกิดความไม่สงบและเกิดการนองเลือดไปทั่วทั้งแผ่นดินอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นก็หมายถึงการบรรลุสู่เป้าหมายของกลุ่มเสธอ้ายและกลุ่มพิทักษ์สยามหรือกลุ่มพันธมิตรเดิม สาเหตุที่กลุ่มนี้ต้องการให้ชาติเกิดการกลียุคเพราะเพียงแต่ไม่ชอบรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยและเกลียด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ทำให้กลุ่มเสธอ้าย กลุ่มพิทักษ์สยามและผู้ที่อยู่เบื้องหลังสูญเสียประโยชน์ แต่ถ้าประเทศไทยมีรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคฝ่ายตรงกันข้ามกับพรรคเพื่อไทย กลุ่มนี้ก็จะสมหวังและให้การสนับสนุนเต็มที่ 
 เพราะ ฉะนั้นผมขอเรียกร้องให้คนไทยทั้งชาติจงช่วยกันต่อต้านการกระทำของขบวนการดัง กล่าว ที่พยายามจะล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้ถึงที่สุด และขอฝากไปถึงขบวนการดังกล่าวว่าหากต้องการอำนาจก็ควรจะมาต่อสู้กันทางการ เมืองด้วยการลงสู่สนามเลือกตั้งให้เป็นไปตามครรลองระบอบประชาธิปไตยจะดีกว่า ออกมาจุดชนวนเพื่อล้มล้างรัฐบาลและทำลายประเทศชาติดังเช่นที่กำลังกระทำอยู่ ในขณะนี้นายวีระชัยกล่าว

เนชั่น หน้าแหก หมอไม่รับเย็บ

เนชั่นหน้าแหก ! ศาลยกฟ้อง คดีส่งอีเมล์สินบน


วันที่ 2 พฤศจิกายน 2555 (go6TV) เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ศาลจังหวัดพระโขนง ศาลพิพากษายกฟ้องคดีหมายเลขดำที่ อ.4878/2554 ที่ นายปรีชา สะอาดสอน บรรณาธิการข่าวอาชญากรรม (ขณะนั้น) และ นางฐานิตะญาณ์ ธนพิศุทธิ์กุล อดีตบรรณาธิการข่าวการเมือง สำนักข่าวเนชั่น เป็นโจทก์ฟ้องนายวิม รุ่งวัฒนะจินดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (ขณะนั้น) เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กรณี มีการส่งอีเมล์ในชื่อนายวิม รุ่งวัฒนจินดา อ้างมีการจ่ายเงินให้สื่อ เพื่อช่วยนำเสนอข่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขณะเป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
โดยนายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายจำเลย กล่าวว่า ศาลพิพากษาให้ยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าแม้อีเมล์จะเป็นของจำเลยจริง แต่จำเลยก็ได้ให้อีเมล์และรหัสไว้กับเจ้าหน้าที่ของพรรคและผู้สื่อข่าวที่สนิทสนมกัน ไว้เพื่อติดตามดูข่าวสารการลงพื้นที่หาเสียงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่กำลังหาเสียงเลือกตั้งอยู่ ดังนั้นอีเมล์ของนายวิม จึงมีผู้ใช้เป็นจำนวนมาก แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันว่าจำเลยเลยเป็นผู้ส่งอีเมล์ อีกทั้งกรณีนี้เคยมีการร้องเรียนไปที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ซึ่งได้สอบสวนแล้วให้ยกคำร้อง*

ลงนาม ICC ไม่ต้องเข้าสภา

สุรพงษ์ ชี้ ลงนาม ICC เป็นผลดีต่อไทย ไม่ต้องเข้าสภา


วันที่ 2 พฤศจิกายน 2555 (go6TV)  นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงความคืบหน้าการลงนามรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) ว่าจะแถลงอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง เพราะได้ให้กรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศสรุปประเด็นต่างๆ ที่เขามาพูดให้เราฟังทั้งหมดแล้ว ได้สอบถามทุกข้อสงสัยว่าถ้าเราจะรับเขตอำนาจศาลจะมีผลกระทบอะไรหรือไม่ แล้วเขาจะมีขอบเขตในการทำงานอะไรบ้าง

ถามว่า ความเห็นส่วนตัวมองว่าเราควรลงนามหรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ถ้าเป็นมุมมองส่วนตัวตน เท่าที่ได้ฟังคร่าวๆ แล้ว สามารถรับรองเขตอำนาจศาลได้ เพราะไม่ส่งผลกระทบ แต่เพื่อให้เกิดความถูกต้องและแม่นยำในข้อกฎหมาย ขอให้กรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศอีกนิด แล้วจะคุยกับกระทรวงยุติธรรม

ถามว่า แสดงว่ายังไม่ได้แจ้งต่อไอซีซีอย่างเป็นทางการ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ยัง เพราะการที่เราจะยอมรับเขตอำนาจศาล เราต้องออกปฏิญญารับรองเขตอำนาจศาล เมื่อประกาศเขาก็สามารถเข้ามาตรวจสอบเบื้องต้นได้ คิดว่าน่าจะเป็นผลดีต่อประเทศไทย ในอดีตมีข้อห่วงใยจากศาลอาจไม่เข้าใจ แต่ได้ข้อมูลชัดเจนแล้ว ก็คิดว่าจะเป็นประโยชน์

ถามว่า หากมีการลงนามจะต้องให้รัฐสภารับรองตามมาตรา 190 หรือไม่ นายสุรพงษ์กล่าวว่า ที่ได้คุยกับเขา เบื้องต้นเป็นการประกาศฝ่ายเดียว ไม่ได้มีการลงนามเป็นสนธิสัญญา ฉะนั้นไม่ต้องเข้าสภา

เอกสารลับ ห่อลูกชิ้นปิ้ง

เอกสาร "ลับมาก" กองทัพบก หลุดเป็นถุงกระดาษห่อลูกชิ้น


3 พฤศจิกายน 2555 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นข่าวฮือฮาในออนไลน์ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากแฟนเพจ "ชุมชนผู้เล่น Facebook ระหว่างทำงาน" ได้โพสต์ภาพถุงกระดาษห่อลูกชิ้นที่มาจากเอกสาร "ลับมาก" ของกองทัพบกขึ้นเผยแพร่ โดย ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจำนวนมาก ต่างวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของกองทัพว่า มีความบกพร่องเป็นอย่างมาก เพราะเอกสารดังกล่าวเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของไทย 

ทั้ง นี้เอกสารดังกล่าวมีตราประทับ "ลับมาก" เป็นเอกสาร "แผนพัฒนากองทัพบก ปี 2555 - 2559" โดยเป็นหน้าที่ 28 ของเอกสาร ซึ่งมีการจัดพิมพ์จำนวนกว่า 1,000 ชุด 

ทั้ง นี้ แผนพัฒนากองทัพบก ปี 2555 - 2559 ถูกจัดทำขึ้นในปี 2554 เพื่อใช้เป็นแผนเชิงนโยบายในการกำหนดแนวทางการเตรียมกำลังและการใช้กำลังของ กองทัพบกให้สามารถนำไปสู่การปฏิบัติจริงได้ รวมถึงมีการพัฒนาสอดคล้องกับแผนของหน่วยเหนือ ซึ่งแผนนี้จะมีองค์ประกอบคือ ด้านการพัฒนาหน่วย การพัฒนาคน และการพัฒนายุธโปกรณ์ แผนนี้ได้จัดทำเสร็จเรียบร้อยและแจกจ่ายหน่วยงานต่าง ๆ ของกองทัพบกนำไปยึดถือปฏิบัติต่อไป 

แผน นี้อยู่ในชั้นความลับ "ลับมาก" ซึ่งตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. 2544 ส่วนที่ 2 ประเภทชั้นความลับ ได้กำหนดชั้นความลับของเอกสารทางราชการไว้ 3 ระดับคือ ลับ ลับมาก และลับที่สุด โดยชั้นความลับ "ลับมาก" นั้น ในข้อ 15 ของระเบียบได้วางหลักไว้ว่าว่า ชั้นความลับ ลับมาก หมายถึง ข้อมูลข่าวสารลับซึ่งหากเปิดเผยทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนจะก่อให้เกิดความ เสียหายแก่ประโยชน์ของรัฐอย่างร้ายแรง

แฉ แผนชั่ว อพส.(องค์กรพิทักษ์สยาม)

แฉ  แผนชั่ว อพส.(องค์กรพิทักษ์สยาม)
โดย...สอาด จันทร์ดี

ผมกำลังจะแฉแผนชั่วของ “อพส.” ภายใต้การนำของ “พลเอก บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์”
        เปิดเผยต่อพ่อแม่พี่น้องให้ได้รับทราบ แต่ก่อนจะแฉแผนชั่ว ผมขอเขียนเกริ่นด้วยการขึ้นต้นว่า 
        “นึกว่าอำมาตย์” จะมีใจร่วมมือกับประชาชน ช่วยกันแก้ปัญหาของชาติให้รอดพ้นสันดอนปาก อ่าวไปได้ ผมเข้าใจผิดถนัด เพราะว่าเอาเข้าจริง กลับมีแต่เสียงกู่ก้องจะ “โค่นล้ม” รัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยกล่าวหาว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลโจร  เป็น “หุ่นเชิด” ของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แล้วจะพากัน “ขย่ม” เอาให้พังไปเลย ดังที่ได้ตกเป็นข่าวไปทั่วประเทศ
ผมเกริ่นอย่างนี้ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าเอาเข้าจริงนั้นพวกอำมาตย์ไม่ได้มีใจอยากปรองดองและไม่มีใจที่จะนำความสงบกลับมาสู่ประเทศไทย เหตุที่เชื่ออย่างนี้ก็เพราะว่าพวกเขาได้พากัน “เป่า นกหวีด” อีกแล้วโดยได้เริ่มทดสอบฝีมือกันเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ บริเวณสนามม้านางเลิ้ง ซึ่งก็ได้ผลสมใจนึกเขาละ เพราะว่าได้มีจำนวนมวลชนแห่กันมาหลายหมื่นคน คน ที่มาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน มีแต่พวกเสื้อเหลือง บวกกับพวกสันติอโศก และ “สลิ่ม” พากันแห่มาร่วมชุมนุมด้วยอาการกระเหี้ยนกระหือรือ ทำให้ “เจ้าภาพ”  ถึงกับหน้าบาน เต็มปลื้มไปเลย แล้วก็พากันให้สัมภาษณ์อย่างเปิดเผยต่อสื่อทั้งหลายด้วยอาการปลื้มจิตปลื้ม ใจ
ปลื้มใจที่สามารถระดมคนให้เข้าร่วมได้หลายหมื่นคน
เจ้าภาพตัวจริงคือใคร...ไผเป็นไผกันหนอ ? เดี๋ยวจะเขียนถามแล้วตอบ
  คำ ตอบก็คือ “อพส.” หรือในชื่อเต็มว่า “องค์กรพิทักษ์สยาม” ซึ่งมีพลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เป็นประธาน  องค์กรนี้เป็นองค์กรตั้งขึ้นใหม่ เรียกเสียโก้หรูว่า “องค์กรพิทักษ์สยาม” อันหมายถึงการปกป้องคุ้มครองประเทศสยาม (ประเทศไทย) ให้รอดปลอดภัย โดยมีเครือข่ายแวดล้อมมากหน้าหลายตา ประกอบด้วย “หมอตุลย์ สิทธิสมวงศ์”  หัวหน้าสลิ่ม  ร้อยตรีแซมดิน เลิศบุศย์ ผู้ประสานงานของสันติอโศก(ตัวแทนโพธิรักษ์) นายนิพนธ์ วงษ์ตระหง่าน  ตัวแทนโรงสีข้าวแห่งประเทศไทย นายสมบูรณ์ ทองบุราณ  ตัวแทนอาจารย์มหาวิทยาลัยจุฬาฯ
และยังมีตัวแทนอีกหลายเครือข่าย เช่น นายพิเชษฐ์ พัฒนโชติ คนสนิทของพล.ต. มนูญ รูปขจร  ดร.เสรี วงษ์มณฑา พลเอกปฐมพงษ์ เกสรศุกร์ สามีของท่านสุพัตรา มาศดิตถ์ ในฐานะตัวแทนของพรรคประชาธิปัตย์  น.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ เจ้าของสมยานาม “หน้าแหลมฟันดำ” ผู้ทรงอิทธิพลในกลุ่มอำมาตย์ใหญ่ 
ในงานนี้ ยังมีอีกหลายเครือข่ายที่ยังไม่เปิดเผยตัว
ผม ว่าเอาเพียงเท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว เพราะว่าที่ได้เอ่ยนามมานี้ก็นับว่า “ใหญ่คับฟ้า” น่าตื่นเต้นมิใช่น้อยโดยเฉพาะได้แก่เจ้าของสมยานาม“หน้าแหลมฟันดำ” มีความน่าประทับใจในหลายเรื่องหลายกรณี  
ก่อน จะมีการชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้ง  ผมได้เฝ้าหาข่าวความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้มาก่อน ด้วยการติดตามดูการประชุมในที่ต่างๆบ้าง  รับฟังจากรายงานของเครือข่ายที่เป็นศูนย์ข่าว พีเพิ่ลแชนเนิ่ลบ้าง รวมทั้งรับฟังและรับชมข่าวจากโทรทัศน์ดาวเทียม ASTV บ้าง ทำให้ผมได้รู้ว่าคนกลุ่มนี้จะไม่ยอมสงบศึกกับคนเสื้อแดง ไม่ว่ากรณีใดๆ กล่าวโดยสรุปพวกเขายังคงตั้งหน้าตั้งตาที่จะเข่นฆ่าราวีคนเสื้อแดง เพื่อจะหาทางเอาชนะให้ได้ 
เรื่องมันแปลกตรงที่ว่าพวกเขาไม่คิดหวังที่จะใช้แนวทาง “เลือกตั้ง” เพื่อจะเอาชนะทางการเมือง หากแต่ได้ตั้งหน้าตั้งตาที่จะเอาชนะด้วยการใช้กำลังบังคับขู่เข็น แต่ว่าการบังคับขู่เข็นที่ว่านั้น พวกเขา “จะไม่เอาทหาร” มาทำ เพราะพวกเขาเชื่อว่าถ้าทหารทำ จะทำให้เกิดการต่อต้านไปทั่วโลก
ตรงนี้แหละครับที่ผมกำลังเขียนแฉแผนชั่วให้พ่อแม่พี่น้องไทยได้อ่าน
ขอให้อ่านแล้วช่วยกันทำความเข้าใจกับเรื่องนี้โดยด่วน อย่าได้ชักช้า  เพราะว่าหากแต่มัวไม่ยอมทำความเข้าใจ หรือว่าไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้  แล้วพากัน “ชักช้าอยู่” นั้นแหละจะเป็นเหตุทำให้เกิดความวิบัติย่อยยับกับประเทศไทย
เรื่อง มีอยู่ว่าคนกลุ่มนี้ได้สรุปปัญหาความพ่ายแพ้ของพวกเขา พบทางตันไม่มีช่องทางไหนที่จะกู้คืนได้  มีอยู่เพียงทางเดียวคือต้องใช้กำลัง “ทหาร” ทำการยึดอำนาจคืนด้วยปลายกระบอกปืน ?
แต่พวกเขาก็ตระหนักแก่ใจว่าถ้าจะใช้กำลังทหาร ทำรัฐประหาร ก็จะถูกชาวโลกรุมสวดประณาม และยังจะถูก “บอยคอต” อย่างร้ายแรงอีกด้วย  ดังนั้น พวกเขาจึงคิดหาช่องทางใหม่โดยได้หยิบยกเอา “สถาบัน” ขึ้นมาเป็นเครื่องปลุกระดม โดยหวังเอาไว้ว่า ถ้าปลุกให้ประชาชนทั้งประเทศตื่นขึ้นมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการ “โค่นล้ม” พรรคเพื่อไทย แล้วทำการกวาดล้างคนเสื้อแดง  ก็จะเป็นทางออกที่สวยสดงดงาม เพราะจะเป็นการใช้มวลชนปฏิวัติ ถ้าทำสำเร็จ จะได้อำนาจกลับคืนมาสมความปรารถนา
ด้วย เหตุนี้ พวกเขาจึงไปจัดประชุมขึ้น ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง ใกล้เขาใหญ่ ปากช่อง แล้วเลยไปจัดม็อบที่อำเภอสะตึก จังหวัดบุรีรัมย์ และสุดท้าย ได้ไปจัดม็อบที่จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่  ๒๓ กันยายน ๒๕๕๕  ประกาศจะใช้กำลังมวลชน ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน  ถือไม้กวาดคนละอัน ไปกวาดล้าง “รัฐบาลโจร” (รัฐบาลยิ่งลักษณ์) ให้กระเด็นออกจากประเทศไทย
สุดท้ายของสุดท้าย ได้ทดสอบความสามารถเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ บริเวณสนามม้านางเลิ้ง  ได้ผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ
จาก ผลสำเร็จตรงนี้  คณะบุคคลกลุ่มนี้ได้กำหนดยุทธศาสตร์ “ม้วนเดียวจบ” ประมาณวันพุธที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ หรืออาจเป็นวันจันทร์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๕  จะเป่านกหวีด “ปรี๊ด-ปรี๊ด” ระดมมวลชนจากทุกสัดส่วนที่ได้เตรียมเอาไว้


        ผู้คนทั้งหมดที่ถูกนำมา  จะกลายเป็น “กองทัพปฏิวัติ” ทำหน้าที่ปฏิวัติสังคม ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ปลอดภัย  โดยไม่มีอาวุธอยู่ในมือ ไม่ว่ากรณีใดๆ
แต่ช้าแต่...ในห้วงเวลาเดียวกันนี้ จะมี “กองกำลังนักรบศรีวิชัย” และกองกำลังปฏิวัติเพื่อ พิทักษ์สยามเกิดขึ้น (มีอาวุธครบ)โดยจะทำงานให้แล้วเสร็จภายใน ๖ ชั่วโมง แล้วประกาศจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ  ให้คนเสื้อแดง “มอบตัว” หรือถวายตัวเพื่อความมั่นคงของสถาบันต่อไป
ผู้ใดขัดขืน ...จัดการอย่างเด็ดขาด  ใครสวามิภักดิ์ จะรอด
ปัญหา มีอยู่ว่าคณะปฏิวัติจะวางแผนเอาไว้ตามที่ผมรายงานให้ท่านทราบนี้จริงหรือไม่ หรือว่ามันเป็นเพียงการ “ปั้นน้ำให้เป็นตัว” เขียนเสือให้วัวกลัว อะไรทำนองนั้น ?
ท่านผู้อ่านจะมีความคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไรมิทราบ ?
แต่ สำหรับผม...ผมเชื่อว่าเขาทำของเขาแน่ ? ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ถ้าพวกเขาทำจริงก็อาจจะเกิดสงครามนองเลือดระหว่างคนเสื้อเหลืองกับคนเสื้อ แดง  ปัญหามีอยู่ว่าคนเสื้อแดงจะยอมเชื่อในข้อเขียนของผมหรือไม่ ? 

“สอาด จันทร์ดี”