วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ภาพหลักฐาน ทหารยิงคนตายคาเต้นท์

รวมภาพชายชุดดำ ชุดที่ 3





โดยเฉพาะไอ้คนในภาพบนนี้น่าสนใจครับ 
เพราะจับภาพไว้ได้หลายภาพที่เห็นชัด ๆ ว่าไอ้คนนี้แหละ
ยิงเครื่องยิงลูกระเบิด ดูภาพข้างล่างนี้อีกทีว่าคือคนเดียวกัน

 



 


ที่น่าสั่งเกตุคือ ชายคนนี้ มาคนเดียว มีลูกกระสุน และเครื่องยิง
และชำนาญการใช้อาวุธชนิดนี้ และเดินทางไปหลายจุด
และยิ่งเครื่องยิงระเบิดชนิดนี้ 



ส่วนอีกภาพหนึ่งคือกลุ่มคนที่ปล้นตู้เซฟจิมทอมสัน
สังเกตุชายอ้วนกางเกงลายพลางคลึ่งหน้าแข้งทางด้านขวา

Posted Image 

ทุกคนในทีมมีการพลางใบหน้า และไอ้คนกางเกงลายพราง
ไอ้คนนี้คือคนคนเดียวกันกับคนที่เดินไล่ทุบกระจกห้างดัง
ก่อนจะให้พรรคพวกลงมือเผา 

 

นี่อีกภาพที่น่าสนใจ
ไอ้คนลงมือเผาห้างภาพทางซ้ายมือ  
คึิอคนคนเดียวกันกับคนทางขวามือที่อยู่ในการ์ดพันธมิตร 

 
ภาพแรกมันกำลังเผา แล้วหันหน้ากลับมากล้องจับภาพได้พอดี

 

ถ้าจำได้ ภาพนี้คือภาพของมัน ตอนที่โดนตำรวจจับ
ตอนที่ไปป่วนเสื้อแดงที่สีลม แล้วพวกมันโดนจับฐานพกอาวุธ
คนเสื้อสีน้ำเิงินซ้ายสุด
 
ไอ้นี้คนแถว ๆ ตลาดนางเลิ้ง ตรอกวัดโสมรู้จักมันดี
มันชื่อไอ้โต้ง บางทีเค้าก็เรียกมันว่าไอ้เจี๊ยบ
บ้านอยู่หลังร้านขายยาจี่แซตึ้ง นางเลิ้งนี่เอง

[ภาพ: 61955_10150273976375521_1015014181651052...0697_n.jpg]
 

ส่วนภาพทางขวามือคือภาพมันตอนอยู่ในการ์ดพันธมิตร

นี่คือหลาย ๆ ลีลาที่มันลงมือเผา





ไอ้กลุ่มคนที่ลงมือมือ ที่ข้อมือจะมีสัญลักษณ์ ที่คนเสื้อแดงไม่มี








คาดข้อมือแบบนี้ คุ้น ๆ ไหมละ ถ้าไม่คุ้นเชิญชมภาพข้างล่าง


กลุ่มไหนละสัญญลักษณ์นี้ 



หากท่านนึกย้อนเหตุการได้ และ่ช่างสังเกตุซักนิด 
ย้อนกลับไปอีก เหตุการณ์ทุบรถที่มหาดไทย 
ก่อนประกาศภาวะฉุกเฉิน แล้วท่านจะถึงบางอ้อ 

คนเผา มาพร้อมด้วยตระกร้าใส่ สป.3 จำนวนสองขวด

พร้อมเสื้อเกราะกันกระสุน และการพรางหน้า
และแว่นตาชนิดพิเศษยี่ห้อ NEMESIS  ซึ่งเป็นแว่นพิเศษ
สำหรับคนยิงปืนสงครามเค้าใส่กันละครับ

 


Posted Image 


หลักฐาน - ภาพ จากกล้องวงจร ปิด เปิดเผยโฉมหน้าชายแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่บุกเข้าไปในห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งฝ่ายค้านนำมาเปิดเผยกลางสภา อ้างว่าเป็นหนึ่งในทีมเผาห้าง

ภาพ : ภาพ ที่นายวรวัจน์นำมาเปิดเผยนั้นเป็นภาพชายผมสั้นเกรียน แต่งกายชุดดำ คล้ายเจ้าหน้าที่ อยู่ในห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งนายวรวัจน์อ้างว่า เป็นทีมที่ลงมือเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์


ก่อนจะมีการเผาห้างโดยชายชุดดำ กำลังทหารได้เข้าควบคุมพื้่นที่ไว้หมดทุกด้าน และมีชายชุดดำเดินปะปนอยู่กับกลุ่มทหารนี้มากมาย

 
โฉม หน้าคนเผาเซนทัลเวิลด์ ราชประสงค์ 19พ.ค53
(มีแต่ทหารเต็มพื้นที่และพวกนักรบศรีวิชัย คนคุกต่างๆๆในภาคใต้ เด็กพรรคปชป)
และทหารผู้เผาห้างเซนทัลดิ์ ภายในมีทหารเต์มพร้อมอุปกรณ์เผา…

Posted Image 
ไอ้คนนี้โยนถังแก๊สเขาไป




ข้อมือแบบนี้อยู่ในม๊อบไหนจำได้หรือปล่าวครับ ถ้าจำไม่ได้เชิญชมภาพข้างล่างนี้







ถึงบางอ้อหรือยัง











แกะรอยขุมทรัพย์ สุขุมพันธ์

 
        แกะรอยเครือข่ายคอนเนกชัน บ.หุ้นส่วน“สุขุมพันธุ์ บริพัตร”ผู้ว่าฯกทม.คว้างานรับเหมาก่อสร้างของกรุงเทพฯ-หน่วยงานรัฐอื้อหมื่นล้าน เนาวรัตน์ฯ- อิตาเลียนไทย-ช.การช่าง -กรุงธนฯ ชักแถว โยงผู้บริจาคเงินใหญ่ ปชป.

           แม้ ว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์   บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีเงินลงทุน บริษัท พรีเมียร์ เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด  60 หุ้น มูลค่าเพียง 31.20 บาท จากรายการเงินลงทุนทั้งสิ้น 6  รายการ (มูลค่าตอนยื่นบัญชีฯตอนพ้นตำแหน่ง ส.ส.กรุงเทพฯ ครบ 1 ปี 26 พ.ย.2552)    (อ่าน:เปิดธุรกิจ“สุขุมพันธุ์ บริพัตร”10 เดือนเงินฝากพรวด 116.5 ล้าน )


       แต่ถ้าดูเครือข่ายในบริษัท พรีเมียร์ เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด ก็น่าสนใจ  (ถ้าผูกโยงกับโครงการรับเหมาก่อสร้างในกทม.ก็น่าสนใจยิ่งกว่า)

       ทั้งนี้ บริษัท พรีเมียร์ เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 27 ธันวาคม 2517  ทุน 500 ล้านบาท  ประกอบกิจการสั่งสินค้ามาจากต่างประเทศและส่งสินค้าไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ได้แก่ เครื่องอุปโภคบริโภค  นายเสนาะ อูนากูล  นายหิรัญ รดีศรี  นายศุกรีย์ แก้วเจริญ  นายวิโรจน์ ตันตราภรณ์  ร้อยตรี เสรี โอสถานุเคราะห์  นายมานะ กรรณสูต  นายวิเชียร พงศธร นางวิมลทิพย์ พงศธร  นายภาสุรี โอสถานุเคราะห์  นายเผ่าพัชร ชวนะลิขิกร  นายอุดม ชาติยานนท์  เป็นกรรมการ  แปรสภาพ เป็นบริษัท จำกัด มหาชน วันที่ 8 ตุลาคม 2536 ทุนจดทะเบียนปัจจุบัน 1,612,152,709  บาท ที่ตั้งเลขที่ 1 ซอยพรีเมียร์ 2 ถนนศรีนครินทร์ แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานครกลุ่มบริษัท  พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) กลุ่มนายวิเชียร พงศธร  ถือหุ้นใหญ่

       จากการตรวจสอบพบว่าร้อยตรีเสรี โอสถานุเคราะห์  นายมานะ กรรณสูต  นายวิเชียร พงศธร  นางวิมลทิพย์ พงศธร  เป็นทำธุรกิจนับสิบแห่งหนึ่งในนั้นคือ บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ

      บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ จดทะเบียนวันที่  17  กุมภาพันธ์ 2538  ทุนปัจจุบัน  2,217,950,679 บาท ที่ตั้งเลขที่ 2/3 หมู่ที่ 14 อาคารบางนาทาวเวอร์ เอ ชั้น 18 ถนนบางนา-ตราด ตำบลบางแก้ว อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ  นายพลพัฒ กรรณสูต ถือหุ้น 197,000,000 หุ้น หรือ 12.69%  นายสุชาติ อารีกุล  เจ้าของ   บริษัท เอ.เอส.แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) จำกัด 67,000,000 หุ้น หรือ 4.31%  นายอุดม คณาศรีนุวัติ   37,368,600 หุ้น หรือ 2.41%  นายพลพัฒ กรรณสูต   นางวัฒนา สัมมนาวงศ์ นายประเสริฐพันธุ์ พิพัฒนกุล นายนิยม นิยมานุสร นายอภิชาต ธรรมสโรช นายสุข สื่อยรรยงศิริ นายมานะ กรรณสูต  เป็นกรรมการ

      จากการตรวจสอบพบว่า บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์   บมจ. คริสเตียนีและนีลเส็น(ไทย)  และ บริษัท  เอ.เอส.แอสโซซิเอท (1964) จำกัด เคยจดทะเบียนทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียของกรุงเทพมหานครระยะ ที่ 4 ร่วมกัน

        ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมาจนถึงเดือนมกราคม 2555 บมจ.เนาวรัตน์เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างกับหน่วยงานของกรุงเทพฯ 5 โครงการเป็นเงินกว่า 171 ล้านบาท ผลประกอบการปี  2554 มีรายได้ 3,078,032,032 บาท ขาดทุนสุทธิ 127,949,627  บาท สินทรัพย์ปี 2554 จำนวน  3,804,491,020  บาท

        ส่วนบริษัท เอ.เอส.แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) จำกัด จดทะเบียนวันที่ 15 กรกฎาคม 2507 ทุนปัจจุบัน 1,010  ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่  230 ซอยยาสูบ 1 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร   ถือหุ้นใหญ่ 539,960  หุ้น  หรือ  53.46%

        จากการ ตรวจสอบพบว่า บริษัท เอ.เอส.แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) จำกัด เป็นคู่สัญญากับกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรุงเทพฯ และหน่วยงานอื่น ในช่วงปลายปี 2552 จนถึงต้นปี 2554 จำนวน 22 โครงการ มูลค่ารวม 1,033,265,942  บาท  แจ้งผลประกอบการปี 2553 รายได้ 786,159,260.51 บาท ขาดทุนสุทธิ 50,426,712 บาท  ปี2552  รายได้ 1,286,254,085.07 บาท ขาดทุนสุทธิ 35,896,575.07 บาท ปี 2551  รายได้ 1,118,002,669.59   บาท ขาดทุนสุทธิ 340,909,116  บาท

       ขณะที่ บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์   ทุนจดทะเบียน 4,921,678,180  บาท นายเปรมชัย กรรณสูต ถือหุ้นใหญ่ 820,484,470  หุ้น หรือ  19.56%  นางนิจพร จรณะจิตต์  464,593,640  หรือ  11.08%  แจ้งผลประกอบการ  ปี 2554  รายได้ 23,072,202,000  บาท  ขาดทุนสุทธิ 23,072,202,000  บาท ปี 2553  รายได้  20,389,126,000  บาท  กำไรสุทธิ 633,067,000 บาท  จากการตรวจสอบพบว่า ตั้งแต่ปลายปี 2551-2554 ได้รับว่าจ้างจากหน่วยงานของกรุงเทพฯ จำนวน  9 โครงการ วงเงินรวม 2,870,483,570 บาท

       ส่วน บมจ.คริสเตียนีและนีลเส็น(ไทย) บริษัทโกลเบ๊กซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด  ของน.ส. นิชิต้า ชาห์  เจ้งของกลุ่มพรีเชียส ถือหุ้นใหญ่ จากการตรวจสอบ ไม่พบว่า ในช่วง 3  ปีได้งานรับเหมาก่อสร้างใน กทม.แต่เป็นผู้รับเหมาโครงการก่อสร้างของตึกนวัตกรรม มหาวิทยาลัยมหิดลศาลายา  จ้างเหมาก่อสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติเพื่อสถานี NGV จำนวน 4 สถานี (กลุ่ม 10 ) ของ ปตท.และ ก่อสร้างศูนย์กีฬาและนันทนาการ  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  รวม 3 โครงการ วงเงิน 1,501,650,000 บาท

        นอก จากกลุ่มที่เกี่ยวโยงกับบริษัท พรีเมียร์ เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด ยังมีกลุ่มทุนรับเหมารายใหญ่ที่โยงกับผู้บริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์ อีกอย่างน้อย 3  ราย คือ  1.กลุ่ม ช.การช่าง   2.บริษัท กรุงธนเอนยิเนียร์ จำกัด และ 3.บริษัท เสริมสงวนก่อสร้าง จำกัด

        บมจ.ช.การช่างเป็นผู้ รับเหมา 2 โครงการคือ ก่อสร้างโครงการก่อสร้างศูนย์การศึกษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบางซื่อ  วงเงิน 2,546  ล้านบาท  และ โครงการก่อสร้างทางลอดถนนจรัญสนิทวงศ์กับถนนบรมราชชนนีวงเงิน 758.6 ล้านบาท   บริษัท กรุงธนเอนยิเนียร์ จำกัด  เฉพาะกรุงเทพะฯ จำนวน 3 โครงการ วงเงิน 1,476,492,655 บาท (นายนิพนธ์ โกศัยพลกุล ถือหุ้นใหญ่)  บริษัทเสริมสงวนก่อสร้าง จำกัด (นายสงวน-นางสมจิตร ชื่นพาณิชยกุล เจ้าของ) ในช่วงปลายปี 2550 -2554 ทั้งสิ้น 18 โครงการ (กรุงเทพฯและหน่วยงานอื่น)  วงเงินรวม 1,414,579,645 บาท

      และถ้าพลิกข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการ การเลือกตั้ง (กกต.) จะพบว่าทั้ง นายพลพัฒ กรรณสูต หุ้นส่วน  บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ  นายอาภาธร กรรณสูต  บมจ.อิตาเลียนไทย บริษัท กรุงธนเอนยิเนียร์ จำกัด (เดือน มี.ค.54 จำนวน  2 ล้านบาท เดือน เม.ย.54 จำนวน  2  ล้านบาท) บริษัท เสริมสงวนก่อสร้าง จำกัด (ปี 2554 จำนวน  5.1 ล้านบาท )  และ ช.การช่าง  ( ปี 2554 จำนวน 6.5 ล้านบาท) ล้วนเป็นผู้บริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น

     จากข้อมูลเห็นได้ว่า ความมั่งคั่งของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์  บริพัตร มาจาก “กองมรดก” และ“เงินฝาก” หลายร้อยล้านบาท ขณะที่ความมั่งคั่งของเครือข่ายเกี่ยวโยงทางธุรกิจ มาจากโครงการรับเหมา?

บลูตะกาย ASTV สรุป เหี้ยพอกัน

ชำแหละบลูสกาย ชาแนล ทีวีแมลงสาบ



          ถือเป็นการดูถูกสติปัญญาของคนไทยอย่างร้ายกาจทีเดียว สำหรับการที่ทั้ง “พรรคประชาธิปัตย์” และ “สถานีโทรทัศน์บลูสกาย ชาแนล” ปฏิเสธเสียงแข็งว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกัน ทั้งๆ ที่ปรากฏหลักฐานทนโท่ว่า สถานีโทรทัศน์ช่องนี้มีพรรคแมลงสาบยืนทะมึนอยู่เบื้องหลัง
     
       เพราะพิธีกร ผู้ดำเนินรายการ เจ้าของสถานีก็ล้วนแล้วแต่โยงใยและมีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคแมลงสาบทั้งสิ้น
     
       ยิ่งเมื่อ นายวิทเยนทร์ มุตตามระ อดีตเลขานุการของนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมการผู้จัดการบลูสกายแชนเนล ออกมาชี้แจงข้อมูลผ่านเฟซบุ๊ก Vittayen Muttamara” แจงที่มาของเงินที่ใช้ในการดำเนินการสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม Blue Sky Channel ว่า “รายได้ของบลูสกายทุกบาททุกสตางค์นั้นมาจากน้ำพักน้ำแรงและมันสมองของทีมงา นบลูสกายทุกคน เป็นรายได้ที่แลกมาด้วยการทำงานอย่างหนัก” ก็ยิ่งน่าหัวร่อเข้าไปใหญ่
     
       เพราะรายได้ทั้งหลายที่นายวิทเยนทร์แจงสี่เบี้ยว่า มาจาก 5 กลุ่ม ได้แก่ 
  • 1. รายได้จากการขายโฆษณา ประมาณร้อยละ 60 ของรายได้รวม 
  • 2. รายได้จากการรับสมัครสมาชิกข่าวทางข้อความสั้น SMS ประมาณร้อยละ 10 
  • 3. รายได้จากการจัดกิจกรรมต่างๆ กับผู้ชม เช่น การจัดบลูสกายทัวร์เดือนละ 1-2 ครั้ง เป็นต้น คิดเป็นประมาณร้อยละ 15 
  • 4. รายได้จากการขายสินค้าผ่านระบบ Blue Sky Direct เช่น ข้าวสาร กาแฟ ผงซักฟอก จานดาวเทียม ฯลฯ คิดเป็นประมาณร้อยละ 10 ของรายได้รวม 
  • 5.. ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 5 เป็นรายได้อื่นๆ เช่น รายได้จาก SMS ที่ผู้ชมส่งความเห็นมาขึ้นหน้าจอ 
        เป็นเพียงข้อมูลที่ใครๆ ก็ยกเมฆขึ้นมากล่าวอ้างได้ มิได้มีตัวเลขทางบัญชี หรือมีการนำข้อมูลอย่างที่ควรจะเป็น เช่น รายได้ที่ว่านั้นคิดเป็นเม็ดเง็นประมาณเท่าไหร่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง รายได้จากการขายโฆษณา ซึ่งนายวิทเยนทร์ฟุ้งว่ามีประมาณร้อยละ 60 ของรายได้รวม มีบริษัทห้างร้าน เอกชนหรือหน่วยงานราชการใด เป็นผู้ให้การสนับสนุนบ้าง
     
      แต่ที่น่ารังเกียจเสียยิ่งกว่าก็คือ การที่สถานีโทรทัศน์แห่งนี้ประกาศตัวเป็นสื่อสาธารณะ ทั้งๆ ที่เป็นที่ชัดเจนทั้งรูปแบบรายการ พิธีกรรายการว่า มีเป้าประสงค์เพื่อปกป้องพรรคประชาธิปัตย์และตอบโต้คู่แข่งทางการเมืองของ พรรคๆ นี้เป็นสำคัญ
     
      สถานีโทรทัศน์ที่มีความเป็นกลางที่ไหน ที่ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะมีรายการประจำเป็นของตนเองในชื่อ “ฟ้าวันใหม่” ซึ่งออกอากาศเป็นประจำเวลาประมาณ 08.00-09.00 น. ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ แถมยังโผล่หน้ามาออกความเห็นบ่อยๆ ราวกับเป็นยาสามัญประจำสถานี ประมาณว่า คิดอะไรไม่ออกก็ต่อสายขอความคิดเห็นจากนายอภิสิทธิ์
     
       “ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ หลังเคารพธงชาติ 8 นาฬิกา พบกับผมในรายการฟ้าวันใหม่ หลังจากวันที่ 14 พฤศจิกายนเป็นต้นไปทางบลูสกายชาแนลครับ” นายอภิสิทธิ์กล่าวในคลิปวิดีโอประชาสัมพันธ์รายการ
     
      แต่นายอภิสิทธิ์ก็ยังกล้าพูดอย่างไม่อายปากได้อย่างหน้าตาเฉยในที่สถานี โทรทัศน์แห่งนี้เปิดตัวอย่างเป็นทางการว่า “สถานีบลูสกายไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์และผมเป็นเพียงแขกรับเชิญ ในการเข้าร่วมรายการเป็นประจำเท่านั้น”
     
      ถ้าประชาชนคนไทยไร้สติปัญญาอย่างที่นายอภิสิทธิ์ปรารถนาจริง จะมีสถานีโทรทัศน์ที่มีความเป็นกลางที่ไหนที่สมาชิกและ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จะมีรายการเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะ 3 เกลอหัวขวดแห่ง “รายการสายล่อฟ้า” นายเทพไท เสนพงศ์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต และนายศิริโชค โสภา ซึ่งออกอากาศเป็นประจำทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ระหว่างเวลา 19.00-20.00 น. แถมยังมีการ Rerun หรือออกอากาศซ้ำให้ชมตลอดทั้งวัน
     
       ถามว่า นายชวนนท์คือใคร
     
       นายชวนนท์คือ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายกษิต ภิรมย์)

     
       ถามว่า นายเทพไทคือใคร
     
       นายเทพไทคือ อดีตโฆษกประจำตัว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์

     
       ถามว่า นายศิริโชคคือใคร
     
       นายศิริโชคคือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นที่รู้จักดีในฉายา วอลล์เปเปอร์ จากการที่มักปรากฏตัวพร้อมกับนายอภิสิทธิ์ราวกับเป็นเงาตามตัว

     
       นอกจากนี้ ยังปรากฏชื่อผู้จัดรายการอีกหลายต่อหลายคนที่ชัดเจนว่าเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ เช่น นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่เป็นผู้ดำเนินการ “ข้ามขอบฟ้า” ตามต่อด้วย นายถนอม อ่อนเกตุพล อดีตโฆษก กทม. และอดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กับรายการ “อาสาฯประชาชน” หรือ “ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร” กับรายการ “สุขุมพันธ์ซันเดย์”
     
       ไม่นับรวมถึงพิธีกรและนักเล่าข่าวอีก 2 คนที่ชัดเจนว่ามีสายสัมพันธ์กับพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ผู้ดำเนินรายการถอนพิษ ที่ออกอากาศในวันเสาร์-อาทิตย์ ระหว่างเวลา 21.00-22.00 น. และนางสาวอัญชะลี ไพรีรัก ผู้ดำเนินรายการร้อยข่าวยามเย็น ซึ่งทั้ง 2 คนนั้นเคยเป็นผู้ดำเนินรายการในสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี แต่หลังจากที่เอเอสทีวีเปิดฉากวิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์ในหลากหลาย กรณี ทั้ง 2 คนก็ได้ถอนตัวไปและเข้าร่วมงานกับบลูสกาย ชาแนล
     
       โดยเฉพาะ “อีปอง” นั้น เป็นที่ชัดเจนว่า เธอคือสายตรง “เสี่ยไก่” จุติ ไกรฤกษ์ ” แถมเมื่อครั้งที่นายวัฒนา อัศวเหมเดินทางไปประเทศจีน สื่อสารพัดต่างลงข่าวกันอย่างคึกโครมเนื่องเพราะนายวัฒนาคือ นักโทษหนีคดีทุจริตโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านอันอื้อฉาว และถูกพิพากษาจำคุก 10 ปี เจ๊ปองที่จัดรายการร้อยข่าวยามเย็นก็ไม่เคยเอ่ยถึง
     
       ใช่เป็นเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวที่อีปองมีกับนายวัฒนาใช่หรือไม่
     
       แล้วอย่างนี้ บลูสกายฯ จะประกาศตัวว่าเป็นสื่อสาธารณะได้อย่างไร
     
       ขณะที่นายเจิมศักดิ์เอง แม้เอเอสทีวีจะให้จัดรายการฟรี แต่เมื่อเอเอสทีวีเริ่มตรวจสอบรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ นายเจิมศักดิ์ก็ถอนตัวและในที่สุดก็ไม่ร่วมงานกับบลูสกายฯ ซึ่งนั่นเป็นเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวที่มีต่อพรรคๆ นี้อย่างแนบแน่น
     
       กระนั้นก็ดี การที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ยอมรับว่าบลูสกาย ชาแนลเป็นสถานีโทรทัศน์เพื่อใช้ปลุกระดมมวลชนของพรรค ถ้าจะว่าไปแล้วก็เลวชาติไม่ต่างจาก “ASTV” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมและสันดานทางการเมืองที่จัดอยู่ในสิ่งมีชีวิต ประเภทเดียวกันคือ “ทำแต่ไม่กล้ารับ”
     
       นับตั้งแต่บลูสกายก่อตั้งมาก็ไม่เคยปรากฏเลยว่า สื่อเทียมช่องนี้เคยวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ หรือตรวจสอบการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์เลยแม้แต่น้อย
     
       “ทีวีที่เป็นของพรรคการเมืองโดยตรง ทีวีสีเหลือง ก็ต้องบอกให้ชัดว่าเป็นของพรรคไหน ที่ชัดมากๆ แต่ไม่บอกคือทีวีของพวกสีฟ้า ประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมือง แต่ไม่บอกว่าบลูสกายเป็นของประชาธิปัตย์ แต่คนประชาธิปัตย์ก็จัดรายการอยู่ในนั้น ก็บอกมาเลยว่าอยู่ข้างไหน บอกให้ชัดมาเลย”ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล ปรจารย์แห่งวงการสื่อสารมวลชนของไทยวิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์ต่อการทำ ตัวเป็น “สื่อเทียม” ในร่างของสื่อสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา
     
       แต่ นี่คือพรรคแมลงสาบ พรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของราชอาณาจักรไทย ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพรรคการเมืองพรรคนี้ก็ไม่เคยมีความกล้าพอที่จะ แอ่นอกรับความจริง หากถนัดแต่การหลบซ่อนอยู่ตามท่อระบายน้ำ กองขยะและ สถานที่สกปรกโสมม รอจังหวะเพลี่ยงพล้ำของศัตรูทางการเมืองเพื่อเถลิงอำนาจ การปกครองประเทศ
     
       ทั้งนี้ ถ้าหากตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังถึงจุดกำเนิดของบลูสกาย ชาแนล ก็มีความชัดเจนว่า พรรคประชาธิปัตย์ต้องการใช้สถานีโทรทัศน์แห่งนี้เป็นเครื่องมือเพื่อหวังผล ในทางการเมืองหลังกลับมาเป็นฝ่ายค้านเป็นสำคัญ มิได้มีเป้าประสงค์เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือประชาชนแต่ประการใด
     
       หลักฐานที่ชัดเจนก็คือ คำให้สัมภาษณ์ของ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและเลขาธิการพรรคประชา ธิปัตย์ที่ประกาศนโยบายสำคัญออกมาสู่สายตาของสาธารณชน นั่นก็คือ การเตรียมดำเนินการจัดตั้ง “ทีวีสีฟ้า” ผ่านการขับเคลื่อนของมูลนิธิรักประชาธิปัตย์
     
       นาย สุเทพอ้างและให้เหตุผลในการขับเคลื่อนทีวีสีฟ้าว่า "เนื่องจากการเมืองช่วงที่ผ่านมา ฝ่ายเสื้อแดงมีทีวีของเสื้อแดง ฝ่ายเสื้อเหลืองมีเอเอสทีวี ทำให้นายอภิสิทธิ์ ถูกโจมตีหนักอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่พวกผมไม่มีโอกาสได้ชี้แจง"
     
       ชัดเจนจนไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ เพราะหลังจากนั้น ไม่นานนัก ทีวีสีฟ้าก็ถือกำเนิดขึ้นมาในชื่อของ “บลูสกาย ชาแนล” เพียงแต่ พรรค ประชาธิปัตย์และนายสุเทพฉลาดในการเลี่ยงกฎหมายด้วยการกันพรรคมิให้มีส่วน เกี่ยวข้องกับทีวีช่องนี้ โดยจากเดิมที่เคยประกาศไว้ว่าจะมีมูลนิธิรักประชาธิปัตย์เป็นตัวขับเคลื่อน ก็เปลี่ยนเป็นการดำเนินงานในรูปของบริษัทเอกชนเพื่อหลีกเลี่ยงการกระทำผิด กฎหมาย
     
       บริษัท บลูสกาย แชนแนล จำกัด ซึ่งทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ในวันที่จดทะเบียนมีกรรมการ 4 คน คนแรกคือ นายวิทเยนทร์ มุตตามระ ซึ่งไม่เคยประกอบวิชาชีพสื่อมาก่อน แต่เพิ่งมาทำโทรทัศน์ในปี 2554 หลังจากเคยเป็นผู้สมัคร ส.ส.บางเขน พรรคประชาธิปัตย์ และเลขานุการของนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ส่วนกรรมการคนที่ 2 คือ นายเถกิง สมทรัพย์ ซึ่งเป็นสื่อที่มีความใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์มายาวนาน เคยเป็นทีมงานรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” และปัจจุบันเป็น ผอ.ช่องบลูสกาย
     
       ขณะที่กรรมการคนที่ 3 คือ นายบุรฤทธิ์ ศิริวิชัย อดีตยุวประชาธิปัตย์ หน้าห้องของ “กรณ์ จาติกวนิช” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง “และกรรมการคนสุดท้าย คือ นายภูษิต ถ้ำจันทร์ หนึ่งทีมงานรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ เช่นเดียวกับนายเถกิง และนายวิทเยนทร์

     
      นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นของบลูสกายแชนแนลนั้น มีบริษัท เทเลคาสท์ มีเดีย จำกัด มาร่วมถือหุ้นด้วยตั้งแต่ต้น โดยถือหุ้นใหญ่ โดย บริษัท เทเลคาสท์ มีเดีย จำกัด นั้น จดทะเบียนเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2554 ด้วยทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท โดยมีนายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
     
       ทั้งนี้ นายทวีศักดิ์นั้นเป็นนักกฎหมายที่มีความใกล้ชิดกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายทวีศักดิ์จะเป็นผู้ดูแลด้านกฎหมายให้นายสุเทพ นอกจากนี้ นายทวีศักดิ์ยังไปร่วมแถลงข่าวกับนายแทน เทือกสุบรรณ ลูกชายนายสุเทพ กรณีรุกที่เขาแพงที่เกาะสมุย ในฐานะที่ปรึกษาทางกฎหมายของนายแทนด้วย

     
       ที่ น่าสนใจไปกว่านั้นคือ บริษัท เทเลคาสท์ มีเดีย จำกัดนั้น นอกจากควักเงินมาลงทุนในบลูสกายแชนแนล 3 ล้านบาทแล้ว บริษัทแห่งนี้ยังลงทุนในสำนักข่าวทีนิวส์ จำกัด ผู้ผลิตข่าวช่องทีนิวส์ อีก 11 ล้านบาท
     
       นอกจากนั้น ในวันเปิดตัวสถานีโทรทัศน์บลูสกาย ชาแนล เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 25554 ที่อาคารบางกอกทาวเวอร์ ถ.เพชรบุรี ปรากฏว่า บรรยากาศงานเปิดตัวมีนักการเมืองทยอยเดินทางมาแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง โดยส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค โดยมีนายวิทเยนตร์ มุตตามาระ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้อำนวยการสถานี คอยให้การต้อนรับ
     
       และตอกย้ำกับคำให้สัมภาษณ์ของ “เถกิง สมทรัพย์” 1 ใน 4 กรรมการบริษัท เคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเอาไว้ว่า “เราเกิดท่ามกลางความต้องการ หลังเลือกตั้งสีฟ้าว้าเหว่ ต้องการกำลังใจ มันรู้สึกเคว้งๆ พอมีบลูสกาย แชนแนล (Bluesky Channel) มันมีศูนย์รวมใจ ในทางมาร์เก็ตติ้ง ถือเป็นจุดสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มาก พอดึงเบอร์หนึ่งของสีฟ้า อย่างคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาได้ ก็ยิ่งชัดว่านี่คือทีวีของแฟนสีฟ้าจริงๆ”
     
       ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่า ถ้าพรรคแมลงสาบมีความกล้าพอ ไม่ต้องถึงขนาดบอกว่า เป็นเจ้าของเงินทุกบาททุกสตางค์ที่สนับสนุนสถานีโทรทัศน์บลูสกาย ชาแนล เพราะเข้าใจดีว่า จะมีผลต่อการทำผิดตามกฎหมายพรรคการเมือง ซึ่งมีโทษสูงสุดถึงขั้นยุบพรรค และพรรคประชาธิปัตย์ก็พยายามกันตัวเองให้พ้นความผิดอย่างรัดกุม
     
      ทั้งนี้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 48 ระบุว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือ พิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือโทรคมนาคม มิได้ ไม่ว่าในนามของตนเองหรือให้ผู้อื่นเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นแทน หรือจะดำเนินการโดยวิธีการอื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมที่สามารถบริหาร กิจการดังกล่าวได้ในทำนองเดียวกับการเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการ ดังกล่าว
     
       แต่สถานีโทรทัศน์สถานีนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องประกาศจุดยืนหรือ สำแดงตัวตนออกมาให้ชัดเจนว่า เป็นช่องโทรทัศน์ที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ อย่าทำตัวเป็นทีวีแมลงสาบที่มุดวิ่งอยู่ตามท่อระบายน้ำ กองขยะหรือ สถานที่สกปรกโสมมอีกต่อไป
     
       เพราะถ้าบลูสกายฯ กล่าวหาว่า วอยซ์ทีวี หรือเอเชีย อัพเพทคือสื่อของคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย บลูสกายฯ ก็มีพฤติกรรมไม่ต่างกัน เพราะเนื้อหาสาระก็คือการปกป้องพรรคประชาธิปัตย์และให้ร้ายทักษิณ
     
       กระนั้นก็ดี เมื่อตรวจสอบพฤติกรรมของพิธีกร ตลอดรวมถึงผู้ดำเนินรายการของบลูสกายฯ ก็จะพบว่า สวนทางกับสิ่งที่พวกเขาประกาศตัวตนออกมาอย่างน่ารังเกียจ
     
         
       เฉกเช่นเดียวกับตัวหน้าหน้าพรรคประชาธิปัตย์เจ้าของฉายาดีแต่โม้ ซึ่งไล่บี้ให้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรถอดยศ ทักษิณ แต่ในยุคสมัยที่ตนเองมีอำนาจกลับมิได้ดำเนินการใดๆ ให้เห็นเป็นรูปธรรม หรือการที่นายอภิสิทธิ์ออกหนังสือ “ความจริงไม่มีสี” พร้อมทั้งเดินสายปลุกระดมมวลชนตามเวทีต่างๆ เพื่อยืนยันถึงการมีตัวตนของ “ชายชุดดำ”  แต่ในขณะที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีกลับไม่ดำเนินการเรื่องนี้
     
       ดังนั้น คงไม่เกินเลยไปนักที่จะกล่าวว่า สถานีโทรทัศน์ช่องนี้กำลังฉวยโอกาสจากความไม่รู้ของประชาชนบางพวกบางกลุ่ม บิดเบือนข้อมูลว่า เป็นสถานีโทรทัศน์สาธารณะและมีความเป็นกลางทางการเมืองในการนำเสนอข่าวสาร ต่างๆ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงบลูสกายฯ มิใช่โทรทัศน์สาธารณะ หากแต่คือเครื่องมือทางการเมืองที่จัดขึ้นโดยพรรคประชาธิปัตย์ และทำเพื่อพรรคประชาธิปัตย์เป็นสำคัญ
     
       ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ที่ทำตัวเป็นอีแอบในเรื่องดังกล่าว ก็ไม่อาจเป็นที่พึ่งของประชาชนคนไทยได้อีกต่อไป เพราะพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนทั้งในช่วงที่เป็นรัฐบาลและเป็นฝ่ายค้านว่า พรรคประชาธิปัตย์ก็มิได้ต่างอะไรจาก ไอ้หัวเขียง ศรีเมือง ไอ้ยะไส หรือไอ้เจ๊กลิ้ม แห่ง ASTV  คือ เหี้ยยกเล้า

แท้จริง ไอ้เมือกรู้อยู่แล้วว่า ชายชุดดำคือใคร

วันนี้ (15 ต.ค.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.ประเวศน์   มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนกรณีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ  91 ศพ ในเหตุความรุนแรงทางการเมืองปี 2553 กล่าวว่า  วันนี้ได้เชิญ พล.ต.ต.วิชัย  สังข์ประไพ  อดีตรองจเรตำรวจแห่งชาติ เข้าให้ข้อมูลการปฎิบัติงาน

“ดีเอสไอ” สอบ“มือปราบหูดำ” 5 ชม. บอกไม่มีข้อมูลชายชุดดำ

        หลัง ให้ปากคำนาน 5 ชั่วโมง พล.ต.ต.วิชัย ได้อธิบายรายละเอียดและขั้นตอนการปฎิบัติงานอย่างละเอียดทั้งการจัดวางกำลัง ดูแลพื้นที่  แต่ไม่ได้นำหลักฐานอะไรมามอบให้  
 
        โดยพนักงานสอบสวนได้นำคลิปเหตุการณ์ต่างๆที่มีภาพพล.ต.ต.วิชัย ปรากฏอยู่มาให้ตรวจสอบด้วย เช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 14-15 พ.ค.2553 ที่มีผู้ชุมนุมเสื้อแดงคนหนึ่งถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส  บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ  ขณะนั้นพล.ต.ต.วิชัย ได้ไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุ ทราบว่าวิถีกระสุนยิงมาจากตึกชีวาทัย  ใกล้โรงแรมเซ็นจูรี่ พร้อมกันนี้พล.ต.ต.วิชัย  ยังได้อธิบายเหตุการณ์ในวันที่ 20 พ.ค.2553 ขณะที่นำกำลังตำรวจเข้าไปช่วยผู้ชุมนุมออกจากวัดปทุมวนาราม เมื่อสอบถามถึงชายชุดดำ  พล.ต.ต.วิชัย  ระบุว่าไม่มีข้อมูลเรื่องดังกล่าว.

http://www.dailynews.co.th/crime/161110

วันวาน สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ภายใต้การกำกับของเทพเทือก
ส่งเลขานายก กอบศักดิ์/รองนายก สนั่น/ผก.น.1 พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ
รับรองความประพฤติเสื้อแดงที่โดนจับระดับแกนนำ ว่าไม่มีอาวุธสงครามในที่ชุมนุมทำให้ศาลให้ประกันตัวออกมา โดยใช้เงินแผ่นดินในการประกันตัว


วันนี้แต้ม วิชัย เข้าคอกสังกัดพรรคประชาธิปัตย์

      ผลจากการที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ หวังปรองดองแดง กลับลำหักหลัง DSI ที่ทำคดีแดงไว้
ขนเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงวิชัยในฐาะตำรวจชั้นผุ้ใหญ่ ไปรับรองว่าแดงชุมนุมสงบ ไม่มีอาวุธ
ตอนนั้น ธาริตยังไปยื่นค้านประกันแดง

      วันนี้ศรย้อนกลับมาทำลายตัวเอง เทพเืทือก กับ มาร์ค ก็ช่างกล้าตามหาชายชุดดำวันนี้ ขณะที่ธาริต บทเรียนที่ประชาธิปัตย์ฝากไว้ ตายเดี่ยวนะมึง กูเอาตัวรอดก่อน ณ วันนี้เลยเป็นอย่างที่เห็น ย้อนศรประชาธิปัตย์ได้เจ็บปวด

คนที่พยายามบิดเบือนความจริง เอาผลประโยชน์เข้าตัว
สุดท้ายเมื่อยามลำบาก ต้องใช้ความจริงสู้ กรรมที่ทำไว้ ก็ย้อนมามัดตัวเอง
วันนี้เทพเทือก อภิสิทธิ์น่าจะรู้ซึ้ง แต่สำนึกหรือเปล่า?

        ตอนประกัน รับรองแดง ความแค้น ปชป พุ่งปริ๊ดดดดดดดดดดดเลย  สงสารพลเอกร่มเกล้า และทหารที่เสียชีวิต  วันนี้ครอบครัวทหารยังสู้และไม่ยอมรับเงินเยียวยา

       DSI ทำเอกสารไว้แล้ว เกี่ยวกับการตายของพลเอกร่มเกล้า มาร์ค เทพเทือก หักหลังธาริต หักหลังประชาชน หวังปรองดองกับแดงสมัยเป็นรัฐบาล ให้คนในรัฐบาล เจ้าหน้าที่รัฐ ไปรับรองแดงว่าชุมนุมสงบ ไม่มีอาวุธ
ทั้ง ๆ ธาริต พยายานค้านประกันแดงตลอด

        ไอ้เมือก เทือก สุดยอดความเลวเพราะเป็นคนเซ็นเอกสารชุดนี้ด้วยตัวเอง เกี่ยวกับชายชุดดำและการตายของพลเอกร่มเกล้า พอมาวันนี้ เวรกรรมตามทัน สิ่งที่ตัวเองทำไว้ ต้องมาตามหาชายชุดดำ สิ่งที่ธาริตเป็นวันนี้ ส่วนหนึ่งธาริตอาจจะเลวด้วย แต่การเริ่มต้นก็มาจากประชาธิปัตย์เอาตัวรอด

เอกสารของDSIเกี่ยวกับชายชุดดำไว้ และการตายของพลเอกร่มเกล้าเอกสาร 
มีสุเทพเซ็นไว้ด้วย 



โทษประหาร


 
โทษประหาร
โดย คำ ผกา http://th-th.facebook.com/kidlenhentang
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1679 หน้า 89


            "ในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา 31 ประเทศได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตทั้งในทางกฎหมาย หรือทางปฏิบัติ แต่ประเทศ จีน อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอเมริกา และเยเมน ยังคงเป็นประเทศที่มีการประหารชีวิตมากที่สุดในโลก โดยที่หลายกรณีมีความขัดแย้งโดยตรงกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ 


             "จำนวนการประหารชีวิตได้ลดลง ในปี 2553 มีบุคคลถูกประหารชีวิตทั้งหมด 527 คน ในขณะที่ในปี 2552 มีคนถูกประหารชีวิตทั้งหมด 714 คน แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนลเชื่อว่ามีประชาชนจีนหลายพันคนถูกประหารชีวิตใน ปี 2553 ในขณะที่ประเทศจีนได้ปิดบังข้อมูลการใช้โทษประหารชีวิตต่อสาธารณะ 


             "ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศเดียวในทวีปอเมริกาที่ยังมีการประหารชีวิต ในปี 2553 สหรัฐอเมริกามีคำพิพากษาประหารชีวิตทั้งหมด 110 คดี ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขเพียงหนึ่งในสามของคำพิพากษาที่เกิดขึ้นกลางทศวรรษ 2530 ในเดือนมีนาคม 2554 มลรัฐอิลลินอยส์กลายเป็นมลรัฐที่ 16 ในสหรัฐอเมริกาที่ยกเลิกโทษประหารชีวิต"
http://ilaw.or.th/node/954

              การรณรงค์ให้ยกเลิกโทษประหารชีวิตน่าจะเป็นหนึ่งในประเด็นที่สุดทำยากมากใน สังคมไทย (เรื่องที่รณรงค์ง่ายที่สุดในสังคมคือรณรงค์ให้คนเป็นคนดีไง)
              ล่าสุดในอีสานโพลล์ คนยังเห็นด้วยว่าควรลงโทษประหารชีวิตผู้ที่กระทำผิดในคดีทางเพศ เช่น ข่มขืน หรือลงโทษด้วยการตัดอวัยวะเพศ ไม่ต้องพูดถึงคดียาเสพติดที่เรามักได้ยินคำว่า "คนพวกนี้ต้องเอาไปประหารชีวิตให้หมด" 


              และหากมีการทำประชามติในวันนี้ก็น่าจะมีแนวโน้มสูงว่าสังคมไทยน่าจะยังยินดีให้รักษาโทษประหารชีวิตเอาไว้อยู่
              ในโลกนี้มักจะมีอะไรที่ย้อนแย้งอยู่ในตัวเองเสมอ หากเราดูรายชื่อที่ประเทศที่ยังมีโทษประหารชีวิต มักจะเป็นประเทศที่ไม่ได้แยกรัฐออกจากศาสนา และโทษที่หนักและรุนแรงมักเกี่ยวข้องกับการละเมิดศาสนาด้วยความย้อนแย้งในที่นี้คือ เราเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของศาสนาคือความเมตตามิใช่หรือ? 


            ในประเทศไทยก็เช่นกัน เรามักพูดกันว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เนืองนองไปด้วยความรัก มีสโลแกนคนไทยไม่ทิ้งกัน มีความเอื้อเฟื้อ 


            ทว่า พอพูดถึงโทษประหารชีวิต อาการของคนไทยจะเปลี่ยนเป็นการถลึงตาทำหน้าขึงขัง ทั้งเชื่อว่าที่ทางของคนชั่วคือนรกและความตายเท่านั้น ขอเอามือทาบอกตามประสาคนขวัญอ่อน นี่มันความเมตตาชนิดใดกันที่เรามี
          สัปดาห์ที่ผ่านมา Amnesty International หรือองค์กรนิรโทษกรรมสากล ซึ่งเป็นองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนที่รณรงค์เรื่องการยกเลิกโทษประหารชีวิต อย่างต่อเนื่องและเข้มข้นมาโดยตลอด (ยกเว้นในประเทศไทยอีกนั่นแหละที่ประเด็นนี้เจือจางเสียจนฉันคิดว่า มีคนน้อยคนมากที่รู้ว่าประเทศที่ยังมีโทษประหารชีวิตนั้นเป็น "ส่วนน้อย" ของโลก และประเทศยักษ์ใหญ่ทรงอิทธิพลของโลกอย่างจีนและอเมริกายังมีโทษประหารชีวิตอยู่) จัดเทศกาลหนังมีชีวิต 


           และหนึ่งในหนังที่นำมาฉายคือสารคดีเรื่อง Crime after Crime
           สารคดีที่เรียบง่ายนี้เล่าเรื่องของ Deborah Peagler ผู้หญิงผิวดำคนหนึ่งในแอลเอ ที่คบกับแฟนหนุ่ม Oliver Wilson ตั้งแต่อายุ 15 หลังจากนั้น เธอถูกเขาบังคับให้ขายตัว ทำร้ายร่างกาย กักขัง ล่วงละเมิดทางเพศลูกสาวของเธอ 

 
           เหตุการณ์ดำเนินต่อไปหลายปีจนกระทั่งเธอหนีออกมาอยู่กับแม่ของเธอในขณะที่ Wilson ตามมาข่มขู่ ทำร้าย แม้จะแจ้งความกับตำรวจ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเพราะเขาแค่ถูกจับไปอยู่ในคุกหนึ่งคืนแล้วก็ถูกปล่อยออกมาเธอจึงไปขอความช่วยเหลือจากมาเฟียประจำถิ่นโดยบอกว่า ช่วยให้เขาอย่าต้องมายุ่งกับเธออีก และสิ่งที่มาเฟียจัดการคือฆ่า Wilson


 
            Deborah Peagler ถูกจับในข้อหาร่วมวางแผนฆ่าแฟนหนุ่มเพื่อหวังเงินประกันชีวิต (Wilson ทำประกันชีวิตไว้ตอนที่เธอคลอดลูกสาว) อัยการขู่ว่าถ้าเธอไม่สารภาพอาจต้องโทษถึงประหารชีวิต ทำให้เธอตัดสินใจรับสารภาพและรับโทษจำคุกตลอดชีวิต
            ในปีที่ 20 ที่เธอติดอยู่ในคุก ทนายความสองคนคือ Nadia Costa และ Joshua Safran เสนอตัวเข้ามารื้อฟื้นคดีของเธอออกมาใหม่เนื่องจากกฎหมายใหม่ของรัฐลอสแองเจ ลิสออกมาว่าหากผู้ต้องหามีหลักฐานชี้ว่าถูกทำร้ายจากความรุนแรงในครอบครัว มีสิทธิรื้อคดีออกมาพิจารณาใหม่
            จากนั้นมันนำไปสู่การต่อสู้กับ "กระบวนการยุติธรรม" และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักงานอัยการที่ไม่ปรารถนาจะยอมรับข้อผิดพลาดในการ พิจารณาคดีของตนเอง อีกทั้งไม่อยากเปิดเผยการสร้างพยานหลักฐานเท็จเพื่อเอาผิดกับ Deborah Peagler
การสู้กับอำนาจกระบวนการยุติธรรมของรัฐแบบที่ต้องพ่ายแพ้หมดรูปครั้งแล้ว ครั้งเล่าดำเนินต่อเนื่องไปถึง 7 ปี (นั่นแปลว่า Deborah ติดคุกไปแล้ว 27 ปี) จนกระทั่งเธอป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายและอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 6 เดือน
             สิ่งที่ทนายของเธอยืนยันคือ หากเธอมีความผิดจริงในฐานที่ทำให้ Wilson ต้องตาย-โทษของเธอมันรุนแรงถึงกับต้องติดคุกตลอดชีวิตหรือ?
              และ 20 กว่าปีที่เธอต้องติดอยู่ในคุกมันเพียงพอหรือยังกับความผิดที่เธอก่อ?
             ขณะเดียวกัน ไม่มีใครตั้งคำถามว่า ความรุนแรงที่ผู้หญิงได้รับจากครอบครัวไม่ว่าจะเป็นการถูกทำร้าย การล่วงละเมิดทางเพศกับเป็นการกระทำที่กฎหมายไม่อาจ "เอาผิด" ได้ (เรื่องของผัว-เมียตีกัน คนนอกอย่ายุ่ง เดี๋ยวก็กลับมาคืนดีกัน Wilson ที่พกปืนไปขู่ Deborah จึงนอนคุกแค่คืนเดียว)
             ทนายความทั้งคู่ไม่ล้มเลิกที่จะขุดหาพยานหลักฐานมาต่อสู้ในชั้นศาล เจ็ดปีที่ส่งเรื่องไปแล้วถูกตีกลับ ส่งไปแล้วถูกตีกลับ ส่งไปแล้วถูกตีกลับ มีความหวังแล้วถูกดับความหวัง ซ้ำซากวนเวียนอยู่อย่างนี้จนในที่สุดก็ "ชนะ" จากปัจจัยหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของสื่อที่เริ่มเผยแพร่เรื่องของ Deborah และเริ่มตั้งคำถาม ตรวจสอบ เกาะติดการทำงานของคณะอัยการ จนอัยการต้องถูกเพิกถอนสิทธิ์ในการทำคดีนี้ในที่สุด ไปจนถึงกระบวนการยุติธรรมที่อำนาจสุดท้ายมาจากผู้ว่าการรัฐที่มาจากการเลือก ตั้ง
             ในที่สุด Deborah ก็ได้ออกมาสูดลมหายใจนอกกำแพงคุกและได้อิสรภาพของเธอกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงสิบเดือนสุดท้ายของชีวิตเธอ
              สารคดีเล็กๆ นี้ทำให้เราได้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมไม่ได้นำมาซึ่งความยุติธรรมเสมอไป และในหลายกรณีที่ผลของกระบวนการยุติธรรมกลับเป็นอาชญกรรมที่มีต่อตัวอาชญากร เสียเอง ไม่นับว่ามีผู้บริสุทธิ์อีกนับไม่ถ้วนที่ถูกกระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนเขาให้ เป็นอาชญากร ยังไม่นับว่าการทารุณกรรมที่เกิดขึ้นในคุกจะถือเป็นอีกหนึ่งอาชญากรรมที่มา พร้อมกับกระบวนการยุติธรรมได้หรือไม่?
              โทษประหารชีวิตนั้นนอกจากจะขัดต่อบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทาง การเมืองของสหประชาชาติ และกรณีของประเทศไทยประนีประนอมต่อบทบัญญัติดังกล่าวด้วยการเปลี่ยนการลงโทษ จากการยิงเป้ามาเป็นฉีดยา ด้วยเหตุผลว่ามิได้เป็นการกระทำที่โหดร้ายทารุณแต่อย่างใด
แต่อย่าลืมว่าความโหดร้ายของโทษประหารชีวิตนั้นอาจไม่ได้โหดร้ายด้วยวิธีการ "ฆ่า" แต่โหดร้ายด้วยการดำรงอยู่ของมัน

เช่น ถูกใช้เพื่อเป็นเงื่อนไขให้ผู้ต้องสงสัยต้อง "สารภาพ" ยิ่งเมื่อนึกถึงความเป็นจริงของสังคมไทยที่อุดมไปด้วย "แพะ" ความโหดร้ายนี้ยิ่งทบเท่าทวีคูณ จะยอมจำนนรับสารภาพต่อความผิดที่ตนไม่ได้ก่อหรือจะยอมตาย?
             ยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นแพะที่ต้องโทษประหารชีวิต บุคคลผู้นั้นถูกประหารชีวิตไปแล้ว อีกยี่สิบปีต่อมา พบหลักฐานที่เพิ่งจะได้รับการเปิดเผยว่า บุคคลผู้นั้นไม่ได้กระทำความผิด-ถามว่า เราเอาชีวิตของเขากลับมาได้หรือไม่?
เราเอาความสูญเสียของครอบครัว เราเอาความรัก ความอาลัยของคนในครอบครัวเขากลับคืนมาได้หรือไม่? (โปรดนึกถึง "แพะ" ของไทยในหลายต่อหลายคดี)

             การคิดเรื่องโทษประหารชีวิตต่อให้มีความผิดพลาดของการพิจารณาคดีหนึ่งใน ร้อย คำถามของฉันคือ หนึ่งคนในร้อยคนที่ต้องตายเพราะความผิดที่ตนไม่ได้ก่อนั้น เราต้องปกป้องเขาไว้หรือไม่?
การยกเลิกโทษประหารชีวิตจึงยืนอยู่บนฐานคิดว่าไม่ว่าความผิดพลาดจะเกิดขึ้น น้อยเพียงใดเราก็ต้องคิดเผื่อความผิดพลาดนั้นเสมอเพราะมันเป็นเรื่องชีวิต
             ถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะทำความผิดจริง สิ่งที่ต้องคำถามอย่างจริงจังอีกคือ โทษที่เขาได้รับนั้นจำต้องถึงแก่ความตายเท่านั้นหรือ?
            ในโลกที่เรามาไกลกว่ายุคตีหัวลากเข้าถ้ำมาหลายพันปี เราจะยังรักษาวิธีการลงโทษแบบชดใช้ชีวิตด้วยชีวิต ตัดมือตัดเท้าหัวขโมย?
            หรือเราควรจะใส่ใจกับการสร้างความโปร่งใส ตรวจสอบได้ในกระบวนการยุติธรรม เพื่อนำมาซึ่งการ "ยุติ" ความบาดหมางหลังจากความจริงถูกเปิดเผย ก่อนสร้างกระบวนตระหนักในความผิดของตน และการให้อภัยของคู่กรณีก่อนจะนำไปสู่บทลงโทษที่เหมาะสมและไม่ลดทอนกระชาก ทิ้งไปซึ่งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์-อาจจะฟังดูเป็นนางเอก กระแดะไปสักนิด แต่ฉันเชื่อว่านี่คือการยุติความรุนแรงในสังคมระยะยาว
            ตามสถิติระบุชัดเจนว่าการยกเลิกโทษประหารชีวิตไม่ได้มีผลให้คดีอาชญากรรม อุกฉกรรจ์ ปัญหายาเสพติดเพิ่มขึ้นแต่กลับลดลง
            ประเทศที่มีโทษประหารชีวิตต่างหากที่มีความรุนแรงในสังคมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคดีอาชญกรรมก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด
            (ไม่ต้องดูอื่นไกล ดูประเทศไทยเป็นตัวอย่างก็ได้-แต่ก็ต้องมีคนเถียงว่า ขนาดมีโทษประหารชีวิตยังขนาดนี้ ถ้าไม่มีจะขนาดไหน ก็คงต้องบอกให้ไปดูประเทศที่ยกเลิกโทษนี้ไปแล้วเป็นกรณีศึกษา)
            คงอีกหลายก้าวสำหรับสังคมไทยที่ละครหลังข่าวยังมีฉากตบทึ้งกระชากผม แผดเสียง ใส่กันโดยไม่มีเหตุผลรองรับที่น่าเชื่อถือ
ทั้งไม่ต้องพูดถึง Domestic Violence หาก "ชาติ" จะหมายถึงครอบครัวขนาดใหญ่ พลเมืองไทยยังรองรับความรุนแรง "ในครอบครัว" และมีความสุขกับการ "ตบตี" "กักขัง" กันเอง การสังหารหมู่กลางเมืองก็เป็นแค่เรื่อง "ผัว-เมีย ตีกัน"
ทุกนาทีที่ดูสารคดีเรื่องนี้ ฉันคิดถึง ใครต่อหลายคนในคุกไทยทั้งที่ตายไปแล้วและมีชีวิตอยู่
มากกว่าคิดเรื่องของ Deborah