วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

ชาวนาจำชื่อนี้ไว้! 

"อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา" 

  ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ล้ม "จำนำข้าว"


อาจารย์จากสถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จำนวน 146 คน ลงรายชื่อพร้อมทำหนังสือถึงประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคัดค้านโครงการรับจำนำข้าว เพราะเห็นว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐบาลกลายเป็นผู้ผูกขาดตลาดเป็นผู้รับซื้อแต่เพียงผู้เดียว และสร้างความหายนะต่ออนาคตข้าวไทย
http://www.matichon.co.th/online/2011/09/13166065651316606599l.jpgนายอดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดี คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า เข้ายื่นหนังสือร้องเรียน พร้อมรายชื่ออาจารย์จากคณะต่าง ๆ ของ นิด้าจำนวน  61 คน อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  27  คน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป 58 คน รวมเป็น 146 รายชื่อ เสนอต่อประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผ่านนายชวลิต ศรีโฉมงาม ผู้อำนวยการสำนักคดี 5 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ  เพื่อยับยั้งหรือยุติโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล
เนื่องจากเห็นว่าการดำเนินโครงการเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ.2550 มาตรา84  วงเล็บ 1 ที่ว่าถึงการสนับสนุนระบบเศรษฐกิจระบบเสรีและเป็นธรรม และต้องไม่ประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชน  ซึ่งโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลชุดนี้ ทำให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ผูกขาด การรับซื้อข้าวเปลือกรายใหญ่ของประเทศเป็นการทำลายกลไกตลาดการค้าเสรี สร้างหายนะอนาคตข้าวไทยหลายด้าน อาทิ  คุณภาพข้าวลดลงเนื่องจากการเก็บสต็อกข้าวจำนวนมาก และไม่มีการระบายออกสู่ตลาด , การกำหนดราคาจำนำที่สูงเกินราคาตลาด นำไปสู่การบิดเบือนโครงสร้างการผลิตในภาคเกษตร , โครง สร้างอุตสาหกรรมข้าวไทยที่พัฒนามาเป็นอย่างดีถูกทำลายและการประกาศราคาข้าว ที่สูงขึ้นทำให้ประเทศไทยขาดความสามารถในการแข่งขันในตลาดการค้าข้าวโลกและ ทำให้มูลค่าการส่งออกข้าวของประเทศลดลง 46 %  นอกจากนี้การระบายข้าว ระหว่างรัฐต่อรัฐ ยังเป็นการขายในราคาขาดทุนอีกด้วย
คณบดี คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้หากมีช่องทางอื่นๆ ก็จะรวบรวมหลักฐาน ไปฟ้องร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป แต่ขอย้ำว่าการดำเนินการครั้งนี้ไม่ต้องการให้ล้มโครงการรับจำนำข้าว แต่ต้องการให้มีการปรับปรุงแก้ไข เช่น ลดราคาจำนำให้ใกล้เคียงกับราคาตลาด และจำกัดปริมาณรับจำนำที่ครัวเรือนละ 25 ตัน หรือวงเงิน 3 แสน 5 หมื่นล้านบาท เพื่อไม่ให้เกษตรกรรายใหญ่ได้เปรียบ อย่างไรก็ตามยอมรับว่าการดำเนินการในครั้งไม่ได้มีการรับฟังความเห็นจากเกษตรกร

สาบานได้! "กทม." ลอกท่อแล้ว?

สาบานได้! "กทม." ลอกท่อแล้ว?


เมื่อวันที่ 27 ก.ย. พล.ต.ต.มานิต วงศ์สมบูรณ์ รอง ผบช.น. ปรท.ผบช.น. ทำบันทึกข้อความถึง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. รายงานผลการดำเนินการขุดลอกท่อระบายน้ำในพื้นที่กทม. ตามคำสั่งการผบช.น.ภายหลังประชุมร่วมกับกรมราชทัณฑ์ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ขังในพื้นที่ กทม.ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้

 โดยบันทึกดัง กล่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ ผู้ต้องโทษ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการร่วมกันขุดลอกท่อระบายน้ำ ตามจุดที่มีน้ำท่วมขัง ระหว่างวันที่ 22-24 ก.ย. จำนวน 10 จุด ได้แก่ ถ.ศรีอยุธยา ถ.พิษณุโลก และ ถ.พระราม 6 บริเวณทางลงด่วนดินแดง ถ.วิภาวดีรังสิต ถ.พหลโยธิน ก.ม.62 แยกมีนบุรี บริเวณแยกลำสาลี ถ.ศรีนครินทร์-ถ.กรุงเทพกรีฑา ซอยสุขุมวิท 62 7.ถ.พิพิธตัดถนนสนามไชย ถ.ศิรินธรขาเข้า เชิงสะพานต่างระดับ ถ.กำนันแม้น และ ถ.รัชดาภิเษก ตั้งแต่แยกรัชโยธินถึง ถ.ลาดพร้าว (หน้าศาลอาญา)

 โดยมีเจ้าหน้าที่ ตำรวจในการรักษาความปลอดภัย และมี ผกก.สน., รอง ผกก.ป. และรอง ผกก.จร. ควบคุมการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจราจร การเดินทางเข้าพื้นที่ รวมทั้งจุดจอดรถระหว่างปฏิบัติหน้าที่ และมีการติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ พร้อมจัดพื้นที่เหมาะสม สำหรับเป็นที่ทิ้งขยะสิ่งปฏิกูล เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับประชาชนทั่วไป และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรพร้อมรถจักรยานยนต์นำรถไปยังจุดทิ้งสิ่งปฏิกูล ซึ่งแต่ละ บก.ได้จัดเตรียมน้ำดื่มสนับสนุนผู้ต้องโทษ จุดละ 30 โหล

 จากการดำเนินงาน พบว่า ส่วนมากในท่อระบายน้ำหลักมีเศษหิน ดิน โคลน และทรายจำนวนมาก ทำให้น้ำไหลช้า การตักโคลนทรายขึ้นมาน่าจะช่วยระบายน้ำได้เร็วขึ้น ในถนนใหญ่ เช่น ถ.รัชดาภิเษก ถ.ศรีนครินทร์ ท่อระบายน้ำมีขนาดใหญ่มาก แม้จะมีเศษดินทรายปูนอยู่ในท่อ ก็ยังไม่กีดขวางทางเดินน้ำมากนัก แต่ช่องทางเดินน้ำจนถึงช่องตะแกรงเหล็กข้างทางเท้าลงสู่ท่อระบายน้ำ มีเศษดินทรายอุดตัน ทำให้น้ำจากถนนลงในท่อระบายน้ำไม่ได้ หรือระบายน้ำได้ช้ามาก จึงได้ดำเนินการขุดลอกเรียบร้อยแล้ว หากมีฝนตกจะทำให้น้ำบนผิวการจราจรสามารถลงสู่ท่อระบายน้ำได้สะดวก และรวดเร็วมากขึ้น

 นอกจากนี้ บางแห่งยังเป็นไปตามสภาพทางกายภาพของถนนที่มีระดับต่ำ เช่น ถ.กำนันแม้น มีระดับต่ำกว่า ถ.กัลปพฤกษ์ และ ถ.เอกชัย ทำให้การระบายน้ำไม่สะดวก ภายหลังดำเนินการทุกจุดเสร็จสิ้นแล้วจึงได้ร่วมหารือในการแก้ไขปัญหาจุดน้ำ ท่วมขังว่าจุดใดควรแก้ไขเร่งด่วนหรือเพิ่มเติม ซึ่งในที่ประชุมได้สั่งการให้ดำเนินการขุดลอกท่อระบายน้ำเพิ่มเติม 26 จุด โดยจะดำเนินการจนถึงวันที่ 3 ต.ค.

ไม่เคยคุยเรื่อง "ยงยุทธลาออก"

"พงศ์เทพ" ยัน 

"กก.ยุทธศาสตร์พท." ไม่เคยคุยเรื่อง "ยงยุทธลาออก"

นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ
go6TV (28 กันยายน 2555) - นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา กรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย กล่าวใน รายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยเเลนด์ เอฟเอ็ม 97 เมกะเฮริทซ์  กรณี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีเเละรมว.มหาดไทย จะลาออกจากตำเเหน่งในวันนี้จากกรณีสนามกอลฟ์อัลไพน์ว่า ที่ผ่านมาตั้งเเต่กระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งเรื่องนี้กับนายยงยุทธ  กรรมการยุทธศาสตร์พรรคไม่เคยประชุมเลย เเละเพิ่งนัดประชุมวันนี้ เเปลกใจว่ามีข่าวว่ากรรมการยุทธศาสตร์พรรคนัดคุยในเรื่อง นายยงยุทธ ในช่วงที่ผ่านมาได้เช่นใด  เพราะตนไม่เคยได้ยิน  รวมทั้งไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ในการประชุมวงเล็กของบางกลุ่มในพรรคเช่นกัน 

ส่วน สถานการณ์วันนี้กับผลกระทบทางการเมืองนั้น  นายยงยุทธ ควรลาออกหรือไม่  นายพงศ์เทพ กล่าวว่า รัฐบาลมอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเเละกพ.พิจารณาเเล้ว รวมทั้ง นายยงยุทธ ส่งตัวเเทนไปยื่นเรื่องนี้กับ กกต.ให้ตีความ ตรงนี้เป็นการเดินเเบบโปร่งใส หากมีหรือไม่มีปัญหา กกต.ต้องเเจ้งกลับมาหรือส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ เรื่องนี้ไม่มีใครชี้ขาดได้เพราะเเต่ละฝ่ายให้ความเห็นเเตกต่างกันไป   เเต่รัฐบาลต้องยึดถือความเห็นของกฤษฎีกา ในอดีตที่ผ่านมารัฐบาลชุดต่างๆจะยึดเเนวทางความเห็นของกฤษฎีกากับอัยการสูง สุด   เเต่หากเรื่องไปถึงศาลเเล้วศาลมีความเห็นไปอีกอย่างนั้นก็เป็นอีกเรื่อง หนึ่ง

"กรณีหวยบนดินกฤษฎีกาบอกทำได้ รัฐบาลพรรคไทยรักไทยก็ทำตาม  เเต่หากศาลไม่เห็นด้วยก็เป็นอีกเรื่อง เเต่รัฐบาลก็ยึดถือตามความเห็นของศาล   จะตำหนิรัฐบาลไม่ได้ว่าทำไมไปเชื่อกฤษฎีกา"นายพงศ์เทพ กล่าว

เมื่อถามว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นายยงยุทธ ขาดคุณสมบัตินั้น นายยงยุทธ ต้องพ้นจากตำเเหน่งทางการเมืองจะเป็นเช่นใด นายพงศ์เทพ กล่าวว่า สิ่งที่นายยงยุทธปฏิบัติมาก่อนศาลมีคำวินิจฉัยจะไม่เสียไป เเละไม่เข้าเงื่อนไขว่าสิ่งที่ นายยงยุทธ กระทำไปในการเป็นรองนายกฯเเละหัวหน้าพรรคเพื่อไทยนั้น จะกระทบพรรคเพื่อไทยเเละเข้าข่ายยุบพรรคได้เลย

เมื่อถามว่า สถานการณ์เเบบนี้นายยงยุทธควรลาออกเพื่อรักษาพรรคเเละรัฐบาล  นายพงศ์เทพ กล่าวว่า ตนจะพูดเเบบนั้นไม่ได้ เรื่องนี้มันต้องเเล้วเเต่การตัดสินใจของ นายยงยุทธ  เมื่อถามว่า เเสดงว่าพรรคไม่ควรกังวลเรื่องนี้ นายพงศ์เทพ กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าข่าวออกมาเป็นเช่นใด เเต่หลักกฎหมายมันเป็นเเบบนี้  การคาดผลทางการเมืองในเรื่องนี้ในช่วงนี้ตนคาดอะไรไม่ได้ เพราะข้ออ้างทางกฎหมายในหลายกรณีเริ่มมีอะไรเเปลกๆในวันนี้เเล้ว กฎหมายนั้นมีความเห็นเเตกต่างกันได้หากนักกฎหมายใช้หลักวิชากฎหมายก็จะมองคล้ายๆกัน

สายล่อฟ้า" คันปากไม่เลิก

"สายล่อฟ้า" คันปากไม่เลิกกัดนายกฯ 

“ทับรอย ได้อย่างไร...เค้าซักแล้ว!"

พิธีกรรายการสายล่อฟ้า ขณะไปมอบตัวคดีหมิ่นประมาท
        go6TV ( 28 กันยายน 2555) เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2555 ที่ผ่านมาในรายการสาย ล่อฟ้าทางสถานีบลูสกาย พิธีกรสายล่อฟ้าทั้งสามคนได้แก่ นายศิริโชค โสภา  นายชวนนท์ อินทรโกมารสุตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ ได้กล่าวอธิบายในรายการถึงกรณีการจัดเลี้ยงอาหารสังสรรค์ของพรรคประชา ธิปัตย์ที่โรงแรมโฟร์ซีซัน  ในขณะเดียวกัน ได้กล่าวพาดพิงถึงบุคคลภายนอก กระทบกระเทียบถึงกรณี “โฟร์ซีซัน” ใช้คำพูดส่อเสียดในทางลบ ดังมีคำพูดในรายการดังต่อไปนี้


เทพไท:  คือที่เขาไม่พอใจ... ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก คุณศิริโชค คุณนะไม่รู้ คือคุณไปจัดที่โฟซีซันไง เค้าเรียกว่าไป “ทับรอย”
ชวนนท์ : หัวเราะหึหึ
เทพไท: คุณอย่าไปทับรอยเค้า....คือคุณไปทับรอยที่โฟซีซัน เค้าก็ไม่พอใจ
ชวนนท์:  คือผมก็ไม่ได้ขึ้นไปดูชั้น 7 เมือวานเค้าไม่ได้เปิดห้อง เค้าไม่ให้ขึ้น
ศิริโชค: คือคุณจะว่าเค้า “ทับรอย” ได้อย่างไร...เค้าซักแล้ว!  
เทพไท: ก็รอยเดิมไง...ไม่เป็นไร
ศิริโชคซักแล้ว...
เทพไทซักแล้วก็คือกัน.... เค้าไม่ได้เปลี่ยนที่นอนนิ!
ศิริโชค:  เค้าพูดถึงพรมปู 
เทพไท:  ก็ผมพูดถึงเตียงไมได้ต่างอะไร ไม่เป็นไร เอ้า..ว่าต่อ!

!


"คนเสื้อแดง" งดออกกำลังกาย 29 ตุลาคม

"ธิดา" สั่ง "คนเสื้อแดง" งดออกกำลังกาย 29 ตุลาคม

go6TV 29 กันยายน 2555 - นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ออกแถลงการณ์ที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียลลาดพร้าว สั่ง ห้ามกลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางไปชุมนุมที่กองปราบปรามในวันที่ 29 ต.ค.นี้ เพื่อเป็นการป้องกันการปะทะ และกระทบกระทั่งกันระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงและกลุ่มพันธมิตร ที่จะเดินทางไปให้กำลังใจ น.ส.มนัสนันท์ หนูคำ ที่ด่าผิดตัว และจะ ต้องเดินทางไปรับทราบข้อความหา ในคดีหมิ่นประมาทฯ หลังบุกด่านางดารุณี กฤตบัญญาลัย แกนนำคนเสื้อแดงกลางศูนย์การค้าสยามพารากอน เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา

ซึ่งนางธิดาเผยว่า เข้าใจว่ากลุ่มมวลชนเสื้อเเดงต้องการให้กำลังใจนางดารณีเช่นกัน เพราะนางดารณีเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่ไม่ต้องการให้มวลชนเกิดการปะทะและเข้าสู่ความขัดแย้งอีก จึงได้ออกมาสั่งห้ามดังกล่าว ขณะเดียวกันก็อยากเรียกร้องไปยังพรรค ประชาธิปัตย์ ให้ออกมารับผิดชอบถึงกรณีที่พิธีกรสถานีโทรทัศน์ช่องบลูสกาย ปลุกระดมคนและยุแยงจนทำให้เกิดเหตุปะทะกันระหว่างคนเสื้อแดง และกลุ่มพันธมิตร เมื่อวันที่ 25ก.ย. ที่ผ่านมาด้วย

สัญญาณบอกเหตุ ดังแล้ว



         ขณะสถานการณ์ของอำมาตย์ใหญ่ค่อนข้างจะขมึงเกลียว ดังที่ทุกท่านได้ยินเสียงร่ำลือกระฉ่อนไปทั่วปฐพี
         มีสัญญาณหลายอย่างที่สอดคล้องกันว่า...ต้องขจัดฝ่ายประชาธิปไตยให้ได้โดยเร็ววันนี้

         ประการหนึ่ง...  กลุ่มพธม.ทั้งสายASTV และสันติอโศก ได้เชิญนักวิชาการเหลือง วางแผนเดินสายไปเหนือ อิสาน ตะวันออก ตะวันตก ยันใต้  ด้วยจุดประสงค์คือ 

         (หนึ่ง)  เพื่อปลุกระดมให้มวลชนของตนให้ฟื้นคืนขึ้นอีกครั้งหลังจากที่แผ่วไป ด้วยการจุดประเด็นน้ำมันซึ่งเป็นพลังงานของชาติ  ปลุกระดมว่ามีการโกงกินคอรัปชั่นกันในปตท. โดยมีรัฐบาลทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่เบื้องหลังการคอรัปชั่นนี้(เว้นข้ามรัฐบาลสุรยุทธ์และรัฐบาลอภิสิทธิ์) ปลุกปั่นให้เกิดความหวงแหนต่อสมบัติของชาติ  เกิดอาการคลุ้มคลั่งเช่นเดียวกับความรักที่มีต่อxxx
         (สอง) เพื่อยั่วยุให้คนเสื้อแดงให้มาปะทะ ไม่ว่าจะที่ใดขอให้จุดชนวนได้จนเกิดความรุนแรง ถือเป็นการเข้าทางอำมาตย์  มีข้ออ้างอันจะนำมาสู่การรัฐประหารโดยคนเสื้อเขียว

         ประการสอง...  สัญญาณจากแกนนำพธม. หลายคน เป็นต้นว่า...นายสนธิ... ที่โฟนอินเข้ามาที่เวทีสัมนาจังหวัดอุบลราชธานี  โดยประกาศว่า นี่คือการต่อสู้ครั้งสุดท้าย  นายสุวัฒน์  ทนายพธม.ที่ยั่วยุว่า "นี่คือสงครามครั้งสุดท้าย "ให้มวลชนฝ่ายตนใช้ความรุนแรง  โดยนัดวันที่ 29 ต.ค.55 นี้ให้มวลชนพธม.ต่อสู้กับมวลชนเสื้อแดง

          ประการสาม...  สัญญาณจากนักกฎหมายอำมาตย์ที่ตัดสินลงโทษคน สร้างสองมาตรฐานอย่างชัดเจน ทำให้สังคมเห็นว่า  ต่อไปนี้ถ้าฝ่ายหนึ่งทำ...จะต้องถูกลงโทษ  และอีกฝ่ายทำจะได้รับการยกเว้น และบรรทัดฐานนี้จะเป็นสองมาตรฐานตลอดเพื่อสร้างแรงกดดันให้ฝ่ายที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมทนไม่ได้ หากมวลชนคนเสื้อแดงทนไม่ได้เมื่อใด  ก็อาจสร้างความรุนแรงได้  จนเป็นเหตุให้มีการอ้างความไม่สงบในการทำรัฐประหาร 

           หากแม้ว่า....มวลชนคนเสื้อแดงจะสามารถอดทน อดกลั้นต่อสถานการ์ที่สร้างขึ้นมาไว้ได้ แต่...ฝ่ายอำมาตย์ก็อาจจะเอามวลชนฝ่ายตนเองเป็นเหยื่อเพื่อสร้างสถานการณ์ก็ได้ ดังกรณีเช่น 7 ตุลาคม 51  ที่ต้องสังเวยมวลชนตนเองไป 2 ศพ หากท่านยังจำข่าวนี้ได้จากนสพ.มติชน เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553  ลงข่าวของวิกิลีคส์ไว้ว่า...

            "เมื่อไม่นานมานี้ วิกิลีกส์ได้เผยแพร่เอกสารรายงานของนายอีริค จี. จอห์น อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ว่า เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2551 หนึ่งเดือนหลังเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 นายจอห์นรายงานถึงการสนทนากับสมาชิกตระกูลมหาเศรษฐีของไทยคนหนึ่งที่มีเส้น สายกว้างขวาง ซึ่งวิกิลีกส์ลบชื่อออก (ใช้ชื่อ สมมุติว่า นาย ก.) มีการสนทนากันหลายเรื่อง และในตอนหนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 โดยระบุถึงการวางแผนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

            “นาย ก.เชื่อว่าพันธมิตรยังวางแผนจะให้เกิดการนองเลือดระหว่างประชาชนกับเจ้า หน้าที่จนทำให้ทหารออกมายึดอำนาจ นาย ก.เสริมคำพูดของเขาด้วยข้อมูลที่ว่า เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม เขาร่วมทานอาหารเย็นกับผู้นำพันธมิตรคนหนึ่ง ซึ่งผู้นำพันธมิตรคนนั้นบอกเขาว่าพันธมิตรเตรียมยั่วยุให้รัฐใช้ความรุนแรง ในระหว่างการประท้วงหน้ารัฐสภาในวันรุ่งขึ้น คือ 7 ตุลาคม ผู้นำพันธมิตรคนนั้นได้คาดการณ์ว่า ทหารจะออกมายึดอำนาจในคืนวันที่ 7 ตุลาคม นาย ก.ยังยืนยันว่า แม้จนขณะที่พูดกันอยู่ พันธมิตรยังหวังจะสร้างสถานการณ์ปะทะขึ้นใหม่เพื่อให้คนตายอีกสักกว่า 20 ศพ อันจะทำให้การที่ทหารออกมายึดอำนาจสมเหตุผล”"

            แต่ 2 ศพน้อยเกินไปที่จะอ้างในการทำรัฐประหารด้วยการลากรถถัง  แต่กระนั้น... แผนจึงเปลี่ยนไปเป็นรัฐประหารโดยการใช้นักกฎหมายที่แต่งตั้งโดยคมช.

            ฝ่ายอำมาตย์อาจจะใช้แผนการนี้อีก หากยั่วยุคนเสื้อแดงให้มาปะทะไม่สำเร็จ
           
            จึงขอให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่าได้ประมาท  เตรียมแผนรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ด้วย 

...พิณ  ลำโขง.....

‘คนดี’ ตามอุดมการณ์ราชาชาตินิยมกับความรับผิดชอบต่อ ‘รัฐประหาร’

 ‘คนดี’ ตามอุดมการณ์ราชาชาตินิยมกับความรับผิดชอบต่อ ‘รัฐประหาร’
 
"คนดีก็มีที่ยืนเยอะ คนไม่ดีก็ยังมีที่ยืนอยู่ หน้า​ที่ของเราก็คือสร้างคนดี
เบียดคนไม่ดีให้ไม่มีที่ยืน ในชาติบ้านเมืองของเรา"
 
            นี่คือ “วรรคทอง” ของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กล่าวให้โอวาทในพิธีมอบทุน "มูลนิธิเปรม ติณสูลานนท์” เมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่า “..สาเหตุที่ กระผม ต้องนำเรื่องนี้มาพูด เนื่องจากต้องการให้ผู้ที่เป็นแบบอย่างแก่เยาวชนของชาติ ได้ตระหนักและหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างคนดี หากเราที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองช่วยกันพยายามสร้าง จิตสำนึกให้เยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ บังเกิดความเข้าใจคุณธรรมจริยธรรมอย่างถ่องแท้ ชาติบ้านเมืองของเราจะไม่มีคนโกง...” (คม ชัด ลึก 16 ก.ย.55)
 
            แม้จะเป็นไปได้ว่าผู้พูดมีเจตนาดีต่อชาติบ้านเมือง (ไม่มีวาระทางการเมืองแอบแฝง?) แต่ในทางข้อเท็จจริงและเหตุผล เราก็ควรตั้งคำถามกับ “วาทกรรมสร้างคนดี-ขจัดคนเลว” อย่างยิ่งว่า ในที่สุดแล้วมันเป็นวาทกรรมที่สร้างปัญหา หรือแก้ปัญหาของระบบสังคมการเมืองตามที่เป็นอยู่กันแน่
 
            ประการแรก พลเอกเปรมถูกยกย่องว่าเป็น “เสาหลักทางจริยธรรม” ของชาติ แต่ “จริยธรรมของชาติ” ตามนิยามของเขาเป็นจริยธรรมตาม “อุดมการณ์ราชาชาตินิยม” ที่ถือว่า “ความดี/การเป็นคนดี หมาย ถึงการซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ชาติตามนิยามนี้ คือภาวะนามธรรมบางอย่างที่เป็นของศักดิ์สิทธิ์ (ดังที่พลเอกเปรมมักพูดเสมอๆ ว่า “ชาติบ้านเมืองเป็นของศักดิ์สิทธิ์”) ซึ่งความ ศักดิ์สิทธิ์นั้นอิงอยู่กับความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันกษัตริย์ที่อยู่เหนือ การตรวจสอบ ไม่ใช่ชาติตามนิยามของรัฐประชาธิปไตยสมัยใหม่ที่ถือว่า “ชาติคือประชาชน” ที่มาร่วมกันทำข้อตกลงแบ่งปันสิทธิประโยชน์ต่างๆ ภายใต้กติกาที่สร้างขึ้นบน “หลักความยุติธรรม” ที่ถือว่าทุกคนมีเสรีภาพและมีความเป็นคนเท่ากัน
 
             ฉะนั้น “จริยธรรมของชาติ” ตามอุดมการณ์ราชาชาตินิยมจึงเรียกร้อง “ความจงรักภักดี” ต่อชนชั้นปกครองที่อยู่เหนือการตรวจสอบ ซึ่งตรงกันข้ามกับจริยธรรมของชาติตาม “อุดมการณ์ประชาธิปไตย” 

             ที่เรียกร้อง “การตรวจสอบ” บุคคลที่มีบทบาทสาธารณะทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ตามหลักเสรีภาพ ความเสมอภาค จริยธรรมแห่งสังคมประชาธิปไตยจึงหมายถึงการมีจิตสำนึกและความกล้าหาญในการปกป้องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ภราดรภาพ ซึ่งเป็นจริยธรรมที่ “เสาหลักทางจริยธรรม” ของประเทศนี้ไม่เคยพูดถึงเลย
 
             ประการที่สอง  ฉะนั้นเมื่อพลเอกเปรมพูดถึง “ความซื่อสัตย์ ไม่โกง”  เขาจึงเน้นไปที่ความซื่อสัตย์ต่ออุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไม่ใช่ซื่อสัตย์ต่อ “อำนาจของประชาชน” และ “คนโกง” ก็มักจะหมาย เฉพาะนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเป็นหลัก ไม่ใช่เครือข่ายอำมาตย์ที่เป็นคนดีมีคุณธรรมตามมาตรฐานจริยธรรมที่ยึด อุดมการณ์ราชาชาตินิยม
 
             เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่มีการตั้งคำถามว่า พลเอกเปรมและบรรดาเครือข่ายอำมาตย์ที่เป็นคนดีมีคุณธรรมตามมาตรฐานดังกล่าว ซื่อสัตย์ต่อประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญหรือไม่ เมื่อรัฐธรรมนูญห้ามทหาร เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ผู้นำกองทัพกลับให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นทางการเมืองผ่านสื่อมวลชนอย่าง เป็นปกติ เมื่อรัฐธรรมนูญห้ามองคมนตรีเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ประธานองคมนตรี กลับ สนับสนุนให้องคมนตรีมาเป็นนายกฯ ของคณะรัฐประหาร 19 กันยา 49 (สุรยุทธ์เป็นคนดีที่สุด) และกล่าวสนับสนุนหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นนายกฯ ของรัฐบาลที่ตั้งในค่ายทหาร (ประเทศไทยโชคดีที่ได้อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ) เหล่านี้เป็นต้น ล้วนแสดงให้เห็น ปัญหา “ความไม่ซื่อสัตย์” ต่อ “รัฐธรรมนูญ” และ “ประชาธิปไตย”
 
              จริงอยู่ การที่นักการเมืองโกงงบประมาณแผ่นดินหรือโกงอะไรต่างๆ นั้น ก็เป็นการกระทำที่ผิดหลักจริยธรรมทางการเมือง ผิดหลักการประชาธิปไตย และผิดกฎหมาย แต่การกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว นี้ก็เหมือนกับการทำผิดกฎหมายในกรณีอื่นๆ เช่น ทำผิดกฎจราจร ปล้นทรัพย์ ฆ่าคน ฯลฯ ซึ่งด้องแก้ไขด้วยการเอาผิดทางกฎหมายตามกระบวนการยุติธรรมในระบอบ ประชาธิปไตย ไม่ใช่เรื่องที่บรรดาคนดีมีคุณธรรมตามมาตรฐานอุดมการณ์ราชาชาตินิยมจะถืออภิสิทธิ์เข้ามาทำรัฐประหารเพื่อปราบคนโกง เพราะ
             1) ประชาชนไม่ได้มีฉันทามติให้ทำเช่นนั้น
             2) รัฐประหารเป็น
การปล้นอำนาจประชาชน เป็นความไม่ซื่อสัตย์ คดโกงฉ้อฉลอำนาจ สิทธิ เสรีภาพของประชาชน เท่ากับอกตัญญูต่อชาติคือ “ประชาชน” และ
             3) ไม่มีหลักประกันใดๆ ว่าบรรดาคนดีมีคุณธรรมที่รวม
หัวกันทำรัฐประหารจะไม่โกง เพราะตรวจสอบไม่ได้
 
            ประการสุดท้าย เมื่อมาตรฐานจริยธรรมแห่งชาติตามอุดมการณ์ราชาชาตินิยมขัดแย้งกับมาตรฐาน จริยธรรมประชาธิปไตยใน “ระดับรากฐาน” จึงทำให้บรรดาคนดีมีคุณธรรมตามมาตรฐานดังกล่าวอ้าง คุณธรรมความดีละเมิดหลักการประชาธิปไตย เช่น รัฐธรรมนูญห้ามยุ่งการเมือง ก็แสดงความเห็นทางการเมือง สนับสนุนฝ่ายการเมืองอย่างเปิดเผย (และไม่เปิดเผย?) กระทั่งทำรัฐประหารในนาม ของการอ้าง “คุณธรรมความดี” เพื่อชาติบ้านเมืองอันศักดิ์สิทธิ์ จึงทำให้ “ที่ยืน” ของ “บรรดาคนดี” อยู่ตรงข้ามกับประชาธิปไตยเสมอ เช่น
 
            - ที่ยืนในตำแหน่งนายกฯ แห่งคณะรัฐประหาร 19 กันยา และบนเขายายเที่ยง (ตามวาทะว่า “สุรยุทธ์เป็นคนดีที่สุด”)
            - ที่ยืนในตำแหน่งนายกฯ อำมาตย์อุ้ม และบนกองศพประชาชน (ตามวาทะว่า “ประเทศไทยโชคดีที่ได้อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ”)
               ฯลฯ
 
              แน่นอนว่า ความเสียหายของชาติบ้านเมืองส่วนหนึ่งเกิดจากนักการเมืองโกงงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นจะต้องถูกตรวจสอบ และถูกดำเนินการตามกฎหมายด้วยกระบวนการยุติธรรมภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
 
              แต่คำถามที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ แล้วบรรดาคนดีมีคุณธรรมที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อรัฐธรรมนูญ ปล้นอำนาจของประชาชน ทำรัฐประหารล้มล้างประชาธิปไตยครั้งแล้วครั้งเล่าล่ะ จะต้องรับผิดชอบทางกฎหมายอย่าง ไร? สังคมควรยอมรับการอ้างความเป็นคนดีมีคุณธรรมเพื่ออยู่เหนือ/ละเมิดรัฐ ธรรมนูญ และฉีกรัฐธรรม ล้มประชาธิปไตยซ้ำซากเช่นนี้ ตลอดไปหรือ?

              ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล 
คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV 
หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คอป.หรือ คณะอุ้มอภิสิทธิ์ปกปิดความจริง?



คอป.หรือ คณะอุ้มอภิสิทธิ์ปกปิดความจริง?

 คอป.หรือ คณะอุ้มอภิสิทธิ์ปกปิดความจริง?             ในที่สุด คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ก็ได้นำเสนอรายงานขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับเหตุการณ์สังหารหมู่ประชาชนเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 ซึ่งผลก็เป็นไปตามความคาดหมาย คือ เต็มไปด้วยเรื่องปกปิดบิดเบือนความจริงที่เกิดขึ้น ฟอกขาวให้กับทั้งฝ่ายทหารและรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
              คนที่เจ็บปวดกับผลงานของ คอป.ในครั้งนี้ก็คือ ครอบครัวและบรรดาญาติพี่น้องของผู้ที่เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายพันคนในเหตุการณ์ รวมไปถึงประชาชนที่เข้าร่วมต่อสู้ที่ถือว่า บรรดาผู้สูญเสียเหล่านั้นคือพี่น้องร่วมอุดมการณ์ที่เสี่ยงตายมาด้วยกัน
ผลงานอัปยศของ คอป.ในครั้งนี้ ทำให้สมควรได้รับขนานนามใหม่ว่า คณะอุ้มอภิสิทธิ์ปกปิดบิดเบือนความจริงเพื่อความแตกแยกแห่งชาติ โดยแท้!
              ผู้ที่ติดตามการทำงานของ คอป.มาโดยตลอดจะไม่แปลกใจเลย เพราะคณะกรรมการชุดนี้แต่งตั้งโดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ตัวบุคคลทั้งระดับกรรมการ อนุกรรมการ คณะทำงาน และที่ปรึกษา หลายคนเป็นพวกอีแอบพรรคประชาธิปัตย์และ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ที่เป็นศัตรูโดยตรงกับฝ่ายประชาชน
              ใน คอป.จึงมีตั้งแต่คนที่เคยร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรฯอย่างเปิดเผย แล้วมานั่งทำงาน “รวบรวมข้อเท็จจริง” ไปจนถึงกรรมการบางคนที่เป็นเอ็นจีโอ เพียรสร้างภาพเปลือกนอกเป็นนักสิทธิมนุษยชน รณรงค์เรื่องประชาธิปไตยในประเทศเพื่อนบ้าน แต่กลับมีเนื้อแท้เป็นพวกสนับสนุนเผด็จการในประเทศไทย
               รายงานของ คอป.มีเนื้อหาที่ดูถูกสติปัญญาของคนอ่านอย่างยิ่ง เพราะเต็มไปด้วยการเล่านิทานเหตุการณ์ที่ปราศจากพยานหลักฐาน เลี่ยงไม่ตอบคำถามสำคัญๆ ขณะที่อีกหลายคำถามที่จำต้องตอบ ก็โยนไปให้ “ชายชุดดำ” ซึ่งกลายเป็น “หลุมดำ” ที่ คอป. จับเอาบรรดาคำถามที่ไม่อยากตอบ โยนใส่ลงไปเท่านั้น ทั้งหมดนี้ มีจุดประสงค์เดียวคือ ล้างบาปและคราบไคลเลือดออกจากเนื้อตัวของทหารและรัฐบาลอภิสิทธิ์ โยนความผิดทั้งหมดไปให้ “ชายชุดดำ” และประชาชนที่บาดเจ็บล้มตาย
               ทำราวกับว่า คนอ่านไม่มีสติปัญญาพอที่จะรู้เท่าทัน คอป.คนอ่านจึงได้แต่กังขาว่า ถ้าเอายี่ห้อ คอป.ออกไปจากรายงานชุดนี้ คนอ่านอาจเผลอนึกไปว่า กำลังอ่านสกู๊ปรายงานของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีอยู่ก็ได้!
               คำถามสำคัญที่สุดคือ คนเสียชีวิตเฉพาะที่รู้แน่นอนจำนวน 90 กว่าคนนั้น ตายอย่างไร? ในรูปแบบอาการอย่างใด? ใครเป็นคนกระทำ? ทหารนับพันที่ติดอาวุธหนักเบาตั้งแต่หัวถึงเท้าที่อยู่ในบริเวณนั้น กระหน่ำยิงกระสุนไปเป็นแสนนัด มีคลิปวิดีโอภาพการยิงอย่างเมามันนับไม่ถ้วน ทหารเหล่านี้มีส่วนรับผิดชอบแค่ไหน? นี่คือคำถามสำคัญที่สุดที่ รายงานของ คอป.ไม่ได้ตอบอย่างชัดเจนจนไร้ข้อสงสัย
               ส่วนกรณีการเสียชีวิตที่ปฏิเสธไม่ได้ รายงานของ คอป. ก็มี “แพะ” ที่แสนจะสะดวกสบายคือ “ชายชุดดำ” ที่ถูกตั้งธงให้รับผิดชอบการบาดเจ็บเสียชีวิตของประชาชนจำนวนหนึ่ง และมีส่วนในการบาดเจ็บเสียชีวิตของฝ่ายทหาร แค่นั้น? โดยที่ คอป.ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่า ถ้าชายชุดดำเป็นกองกำลังของฝ่ายประชาชนผู้ชุมนุมจริง แล้วทำไมจึงไม่มีหลักฐานการมีอยู่ของคนพวกนี้เลย และก็ไม่มีความพยายามที่จะสืบสวนติดตามจับกุมแต่อย่างใดตลอดสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์?
               ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภาพถ่ายและคลิปวิดีโอจำนวนมากที่ปรากฏเป็นตรงข้ามคือ มี “ชายชุดดำติดอาวุธ” ปฏิบัติการอยู่เคียงข้างฝ่ายทหารที่ปราบปรามประชาชนในขณะนั้น!
               แต่ความเลวร้ายที่ไม่อาจให้อภัยได้และถือว่า เป็นอยุติธรรมอย่างยิ่งก็คือ การที่ คอป. โยนบาปไปให้คนตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีทหารพลแม่นปืนยิงคนตายถึงหกศพในบริเวณวัดปทุมวนารม ซึ่งรายงาน คอป.กลับโยนไปให้ “ชายชุดดำที่ยิ่งต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทหาร” ทั้งที่ไม่มีหลักฐาน ไม่มีพยานใดๆ เกี่ยวกับ “ชายชุดดำ” ในบริเวณนั้นเลย รวมทั้งยังมีหลักฐานทางนิติเวชที่แสดงชัดว่า ผู้ตายทั้งหกศพเสียชีวิตด้วยกระสุนความเร็วสูงที่ยิงจากมุมสูงเข้าที่ศรีษะหรือหน้าอก ทุกศพ!
               คนบาดเจ็บนับพัน ตายอีกร่วมร้อยศพ พวกเขาถูกทหารฆ่าตายยังไม่พอ ยังถูกสื่อมวลชนกระแสหลักสามานย์กระหน่ำซ้ำเติมมาตลอดสองปี แล้วในท้ายสุด ยังมาถูก คอป.กระทืบแล้วแทงซ้ำอีกในวันนี้! คอป.กล้าทำเพราะคนตายไปแล้ว คอป.จะโยนอะไรใส่ก็ได้ เพราะพวกเขาไม่สามารถลุกขึ้นมาโต้แย้งกับ คอป.ได้อีกแล้ว
               คนที่รับผิดชอบสั่งการฆ่าประชาชนนั้น โดยธรรมชาติ ย่อมแก้ตัว เพื่อหลบหลีกความผิด แต่เจ้าหน้าที่ซึ่งเสวยงบประมาณจากภาษีประชาชนจำนวนมหาศาล มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในการแสวงหาความจริงและให้ความยุติธรรม กลับมาปกปิดบิดเบือนความจริงเสียเอง แล้วล้างบาปให้กับฆาตกรตัวจริง เจ้าหน้าที่อย่างนี้ย่อมเลวกว่าคนที่กระทำผิดจริงเสียอีก
               ผลลัพธ์เช่นนี้เป็นความรับผิดชอบโดยตรงของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่แสดง “ความใจกว้าง” ยอมให้ คอป.ทำงานต่อไปทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่า พวกนี้คือ “ไข่ประชาธิปัตย์” เพราะรัฐบาล ต้องการแสดงความจริงใจในการปรองดอง และมองในแง่ดีว่า คนพวกนี้น่าจะมี “จิตสำนึก” มากพอที่จะทำงานอย่างเที่ยงตรง
               รัฐบาลจะต้องแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ปฏิเสธและไม่รับรองรายงานของ คอป.ทั้งหมด ในทางตรงข้าม รัฐบาลจะต้องหันมาสนับสนุนการรวบรวมข้อเท็จจริงที่กระทำโดยประชาชนเอง คือ ศูนย์ข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบเหตุสลายชุมนุม เม.ย.-พ.ค.53 หรือ ศปช.ซึ่งได้ทำหน้าที่รวบรวมความจริงทั้งหมดจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ผู้บาดเจ็บ มิตรสหาย ครอบครัวและญาติผู้เสียชีวิต ละเอียดเป็นรายบุคคล ปัจจุบัน ได้สำเร็จลุล่วงเป็นรายงานหนากว่าหนึ่งพันหน้าออกเผยแพร่แล้ว
สิ่งที่รัฐบาลควรกระทำคือ สนับสนุนการจัดพิมพ์และเผยแพร่รายงานฉบับ ศปช.ให้กว้างขวางที่สุด ไปสู่ห้องสมุดประชาชนและสถานศึกษาทุกแห่งทั่วประเทศ
              ท้ายสุดคือ บทเรียนซ้ำซากที่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยหลับหูหลับตา ปฏิเสธที่จะยอมรับตลอดมาคือ พวกเผด็จการไม่เคยมีความคิดแม้แต่กระผีกริ้นที่จะ “ปรองดอง” กับพวกคุณ พวกเขาจะดิ้นรนต่อต้านประชาธิปไตยไปจนถึงที่สุด ซึ่งหมายความว่า พวกเขาจะหาทางบ่อนทำลายพรรคและรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยทุกวิถีทาง รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยจะต้องเลือกระหว่าง “เพ้อฝันปรองดองไปจนถูกทำลายในที่สุด” หรือจะยืนหยัดอยู่ข้างประชาชนอย่างเหนียวแน่นไปบรรลุประชาธิปไตยที่แท้จริงด้วยกัน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล 
คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV  
หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใส่เสื้อนี้แล้ว ทำ Here อะไรก็ไม่ผิดครับ

แดง ปะทะเหลือง เดือด ! หน้ากองปราบฯ กรณี ให้กำลังใจเจ๊ดา! 

          ผู้ชุมนุมเหลืองและแดง ตีกันเละหน้ากองปราบฯ หลังต่างฝ่ายต่างขนมวลชนเดินทางมาให้กำลังใจพรรคพวก กรณีตำรวจออกหมายเรียก หญิง ที่ด่าทอ "เจ๊ดา" กลางห้างโดยมีนัดหมายวันนี้ ขณะคนเสื้อแดงศีรษะแตก 1 รถพังยับ 2 ด้าน "ธิดา" ปัด ไม่ทราบเรื่อง และไม่ได้เป็นคนสั่งการ


         วันที่ 25 ก.ย. ที่หน้ากองบังคับการตำรวจปราบปราม ถนนพหลโยธิน ภายหลังจากที่ พ.ต.ท.เกรียงไกร ขวัญไตรรัตน์ พงส.(สบ 3) กก.1 บก.ป.ได้ออกหมายเรียกอดีตครูสาวของโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่ง วัย 31 ปี ผู้ต้องหาคดีหมิ่นประมาท จากกรณีที่ไปยืนด่าทอ นางดารุณี กฤตบุญญาลัย หรือเจ๊ดา หนึ่งในแกนนำที่เคยปรากฏตัวบนเวทีคนเสื้อแดงเมื่อครั้งการชุมนุมทางการเมือง ที่ผ่านมา ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง จนมีคลิปภาพปรากฏแพร่หลายทางอินเทอร์เน็ต โดยมีการนัดหมายในวันนี้ (25 ก.ย.) ปรากฏว่าตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา มีกลุ่มคนเสื้อแดง เริ่มทยอยมาให้กำลังใจ นางดารุณี ที่กองปราบปราม โดยมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ความเคลื่อนไหวทางด้านกลุ่มคนเสื้อเหลืองนั้น มีรายงานปรากฏว่ามีการนัดหมายผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่อต้องการมารวมตัว ให้กำลังใจครูสาวรายนี้ด้วยเช่นกัน โดยตั้งแต่ช่วงเช้าของวันนี้ปรากฏกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อเหลืองมารวมตัวที่ หน้ากองปราบปรามด้วยเช่นเดียวกัน

             ขณะที่เมื่อปริมาณผู้ชุมนุมของทั้ง 2 ฝ่าย เริ่มมีจำนวนมากขึ้น โดยคาดการณ์ว่า ปริมาณผู้ชุมนุมของทั้งสองฝ่ายมีไม่ต่ำกว่าฝ่ายละ 400-500 คน เจ้าหน้าที่กองปราบปรามจึงได้จัดกำลังหน่วยคอมมานโด และเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ ลงพื้นที่ด้านหน้าแนวรั้วกองปราบปราม โดยกันพื้นที่ระหว่างผู้ชุมนุมทั้งสองกลุ่ม ให้คนเสื้อแดงอยู่แต่เพียงด้านในรั้ว ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อเหลืองให้อยู่แต่ด้านนอกรั้วเท่านั้น และปิดประตูไม่ให้มีการเข้าออก


             ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. ที่ผ่านมาระหว่างที่กลุ่มคนเสื้อเหลืองที่อยู่ด้านนอกรั้วจะเดินทางกลับนั้น ปรากฏว่า บนถนนพหลโยธิน ฝั่งตรงข้ามกองปราบปราม ที่มุ่งหน้าไปทาง 4 แยกรัชโยธินนั้น มีรถกระจายเสียงที่ติดสติกเกอร์รอบรถระบุว่า เป็นรถกระจายเสียงของสถานีวิทยุชุมชน 96.35 MHz คลื่นชุมชนคนลำลูกกาขับผ่านมา โดยมีการกล่าวผ่านเครื่องขยายเสียงเป็นระยะ


              ส่งผลให้กลุ่มคนเสื้อเหลืองที่ชุมนุมด้านหน้ากองปราบปรามส่วนหนึ่งราว 100 คน เกิดอาการไม่พอใจ วิ่งกรูเข้าทุบรถคันดังกล่าว จนกระจกหน้าแตกยับเยิน พร้อมทั้งมีการขว้างปาสิ่งของเข้าใส่ กระทั่งมีหญิงคนเสื้อแดงรายหนึ่ง ถูกสิ่งของที่ขว้างปา เข้ามาที่บริเวณหน้าผากด้านซ้ายเป็นแผลแตกเลือดอาบหน้า โดยระหว่างที่มีการชุลมุนอยู่นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม และตำรวจนอกเครื่องแบบ ที่ปะปนอยู่กับฝูงชน เข้าควบคุมตัวชายในกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อเหลือง 1 ราย
               เบื้องต้น แจ้งข้อหาพกพาอาวุธ และควบคุมตัวเข้าไปภายในกองปราบปรามแล้ว โดยขณะเจ้าหน้าที่ พาชายดังกล่าวเข้าภายในอาคารกองปราบปรามนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อเหลือง ต่างไม่พอใจการจับกุมของเจ้าหน้าที่ พยายามยื้อยุด ไม่ให้ชายดังกล่าวเข้าไปภายใน แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้โล่ดันจนในที่สุดก็สามารถพาชายคนดังกล่าวเข้าไป ควบคุมตัวภายในได้

             นอกจากนี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบพาตัวชายรายดังกล่าวเข้าไปในกองปราบ ปราม มีรถกระจายเสียงของคนเสื้อแดงที่ระบุว่ามาจากวิทยุชุมชน ดอนเมืองขับมาจากทางด้าน 4 แยกรัชโยธิน โดยมีการประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงเป็นระยะๆ จนมาถึงจุดกลับรถหน้ากองปราบปราม ก็ถูกขว้างปาสิ่งของเข้าใส่อีกจากกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อเหลืองจนรถคันดัง กล่าวต้องกลับรถและวิ่งย้อนออกไปทาง 4 แยกรัชโยธิน ในสภาพยับเยินเช่นเดียวกัน


             ส่งผลให้การจราจรบนถนนพหลโยธิน ฝั่งข้าเข้า จากแยกรัชโยธิน มุ่งหน้า แยกลาดพร้าว การจราจรช่องซ้ายสุดถูกปิดไปจำนวน 1 ช่องทาง รถไม่สามารถผ่านได้ ส่งผลการจราจรติดขัดอย่างหนัก

            ขณะที่ นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ นปช. กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า กรณีการปะทะกันระหว่างกลุ่มคนเสื้อเหลืองกับคนเสื้อแดง จนมีผู้บาดเจ็บ ศีรษะแตกจำนวน 1 ราย ที่บริเวณหน้ากองบังคับการตำรวจปราบปรามนั้น ตนเองไม่รู้เรื่อง และไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง อย่างที่มีกระแสข่าว รวมทั้งไม่ได้เป็นคนสั่งให้กลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางไปหน้ากองปราบปรามวันนี้ เชื่อว่า ผู้ชุมนุมเดินทางไปกันเอง ส่วนตัวเห็นว่า เป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง เพราะต้นเหตุเกิดจากมีผู้หญิง 1 คนไปโจมตี แล้วก็มีคนจงใจพยายามจะขยายให้เป็นเรื่องใหญ่ ก็แค่นั้น

            อย่างไรก็ตามยอมรับว่า ตนเองเพิ่งทางกลับมาจากศาลอาญา กรณียื่นประกันตัว นายยศวริศ ชูกล่อม (เจ๋ง ดอกจิก) แกนนำนปช. ซึ่งศาลอาญาได้เลื่อนให้ไปฟังคำสั่งในวันที่ 28 ก.ย.นี้ ในเวลา 09.00 น.