วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กระทรวงการต่างประเทศยืนยันสัมพันธ์ไทย - สหรัฐฯแน่นแฟ้น


กระทรวงการต่างประเทศยืนยันสัมพันธ์ไทย - สหรัฐฯแน่นแฟ้น


นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ


            นายกรัฐมนตรียืนยันที่จะนำกรณีที่องค์การนาซ่าขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเข้าหารือในที่ประชุมร่วมรัฐสภา ขณะที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศปฏิเสธข่าวลือจากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลว่าสหรัฐอเมริกาจะลดระดับความสัมพันธ์ของไทย

            30 มิถุนายน 2555 go6TV - นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศปฏิเสธการยกเลิกกำหนดการเยือนไทยของนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่าคงเป็นการเข้าใจผิด และเป็นการรายงานที่คลาดเคลื่อน ซึ่งการเยือนไทยของนายโอบามานั้นอยู่ระหว่างการประสานงานในช่วงเวลาที่เหมาะสม

           ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างไทย และสหรัฐอเมริกายังคงแน่นแฟ้นเหมือนเดิม เนื่องจากสหรัฐฯเคารพ และเข้าใจการตัดสินใจของรัฐบาล และทั้ง 2 ฝ่าย ก็มีความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือในด้านต่างๆ กันต่อไป

              ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าแม้องค์การนาซ่ายกเลิกการขอใช้ สนามบินอู่ตะเภาในการสำรวจชั้นบรรยากาศ แต่รัฐบาลจะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมร่วมรัฐสภาตามมาตรา 179 เพื่อรับฟังความเห็นของ ส.ส. และ ส.ว.

              ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ยอมรับว่าไทยเสียประโยชน์จากการที่องค์การนาซ่ายกเลิกโครงการ พร้อมย้ำว่าฝ่ายความมั่นคงไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร และได้เสนอข้อห่วงใยต่างๆ ไปแล้ว
http://redusala.blogspot.com

"ฟังหูไว้หู"เป็นสุภาษิตที่เหมาะกับคนไทยในยุคไซเบอร์ครับ


"ฟังหูไว้หู"เป็นสุภาษิตที่เหมาะกับคนไทยในยุคไซเบอร์ครับ

ประชาธิปัตย์สะดุ้ง!!! "พานทองแท้" ถาม "ปลาบู่กลับชาติมาเกิด?"

             (29 มิถุนายน 2555 go6TV) - เมื่อช่วงดึกของวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ "โอ๊ค" บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟชบุ๊คส่วนตัวล่าสุด ระบุว่า  "ฟังหูไว้หู"เป็นสุภาษิตที่เหมาะกับคนไทยในยุคไซเบอร์ครับ


ตัวอย่างแรกคือ เหตุการณ์ "คำทำนายของเด็กชาย ปลาบู่" ใครที่จำไม่ได้ก็ตามลิ๊งค์นี้เลยครับ
http://news.mthai.com/headline-news/144420.html


ข่าวลือที่เกิดขึ้นในโลกไซเบอร์ก็คือ ลุงทองใบ คำสี ผู้เป็นพ่อของเด็กชายปลาบู่ ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกโดยจ่าหน้าถึง "ผู้ที่รักผืนแผ่นดินไทย ทุกท่าน" และได้ระบุว่า "เด็กชายปลาบู่ได้พูดไว้เมื่อวันที่ 23-25 มิ.ย. 2517" ก่อนเสียชีวิต15วัน ถึงหลายๆเหตุการณ์ แต่ที่เป็นประเด็นได้แก่เรื่องที่ทำนายว่า ปลาบู่จะชนเขื่อน เอ๊ย... เขื่อนจะแตก ในวันปีใหม่ปี2555 จนตื่นตระหนกกันทั้งประเทศโดยเฉพาะจังหวัดตาก แจ้งว่ารายได้ช่วงปีใหม่หายไปร่วม4-500ล้านบาทเลยนะครับ


ตัวอย่างที่2นั้น ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเป็นอย่างยิ่งที่38ปีผ่านมา ในช่วงที่คาบเกี่ยวกัน(ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าพอดีเป๊ะเลยได้หรือเปล่า) คือในช่วงวันที่เดียวกันคือ 23-25 มิ.ย.2555ก็เกิดเหตุการณ์ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ประเมินเป็นมูลค่ามิได้ ก็คือมีการให้ข่าวว่าโครงการสำรวจภูมิอากาศขององค์การนาซ่านั้น อาจมีการจารกรรมสอดแนมของกองทัพสหรัฐฯ จนกระทั่งเป็น "ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์"ไปทั่วประเทศ ทำให้การอนุมัติโครงการฯนี้ต้องล่าช้าไปจนทำให้ ในที่สุด องค์การนาซ่าต้องยกเลิกโครงการไปเมื่อวันที่ 26มิ.ย.2555


              แน่นอนครับว่าในครั้งนี้ย่อมไม่ใช่ "เด็กชายปลาบู่" ที่ออกมาทำนาย แต่บังเอิญว่าชื่อและสมญานามพ้องกัน และผู้ที่ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวนี้ ก็ไม่ใช่ลุงทองใบ คำสี ที่เขียนถึง "ผู้ที่รักผืนแผ่นดินไทย ทุกท่าน" แต่เป็นหัวหน้าพรรค ปชป.ที่ให้เหตุผลคล้ายกับ ลุงทองใบ ในการคัดค้านตอบโต้ รมว.กห.ว่า "รักประเทศต้องยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก" ส่วนความเสียหายนั้น ก็ไม่ใช่4-500ล้าน เหมือนที่จ.ตากนะครับ ถ้าหากการสำรวจครั้งนี้สามารถ "แก้ปัญหา" หรือ "ผ่อนหนักเป็นเบา" หรือแม้แต่เพียง "แจ้งเตือนได้อย่างแม่นยำ" ในเรื่องของภัยพิบัติที่เกิดในบ้านเราถี่ขึ้นทุกวันๆได้จริง ผมว่า"โอกาสที่เราเสียไปนั้นประเมินเป็นมูลค่ามิได้ครับ"


           กำลังทำข้อมูลเรื่องนี้อยู่ดีๆ ทีมงานเฟสบุ๊คผมนี่ก็ช่าง ขุดคุ้ย สืบค้น กันเหลือเกินครับ โดยทีมงานได้เอาข้อความในจดหมายของลุงทองใบ ตอนหนึ่งที่ระบุว่า "เขียนถึงตรงนี้เด็ก(ชายปลาบู่)อายุเพียง 5 ขวบ 8 เดือน 15วัน บ่นว่า เขื่อนที่สร้างเสร็จแล้วยังไม่สมบูรณ์...ฯลฯ" มาคำนวณกับวันที่เด็กชายปลาบู่พูด คือวันที่23-25 มิ.ย.17 หรือว่า 38ปีที่แล้ว เมื่อหักลบ 8เดือน15วัน จะพบว่าใกล้เคียงกับวันที่10 ต.ค. ซึ่งก็ไปหามาอีกว่า ใกล้เคียงวันเกิดของโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของสมญานาม "ปลาบู่ชนเขื่อน" ซึ่งเกิดหลังจากที่ด.ช.ปลาบู่เสียชีวิตไปเพียง 3เดือนเศษเท่านั้น อะไรมันจะช่างบังเอิญขนาดนั้นครับ ทั้งวันที่พูด, เหตุการณ์, ปี พ.ศ. ฯลฯ ทำให้วันนี้ทั้งวันในออฟฟิตไม่เป็นอันทำอะไรมัวแต่ถกเถียงกันอยู่นั่นแหละว่า "เด็กชายปลาบู่กลับชาติมาเกิดหรือไม่" อะไรมันจะเชื่อกันไปขนาดนั้น !!!!




ในรูปที่ผมแนบมานี้ เป็นบทความจาก สำนักข่าวพระพยอมครับ ท่านบอกว่า คำทำนายของ "เด็กชายปลาบู่" ฟังได้แต่ต้องพิจารณา ความเชื่อเรื่อง"ปลาบู่กลับชาติมาเกิด" รวมถึงเรื่อง "นาซ่ามาไทยเพื่อสอดแนม" นี่ก็ "ฟังได้แต่ต้องพิจารณา" เช่นเดียวกันครับ


ผมถึงว่าไว้ไงครับว่า ต้องฟังหูไว้หูครับ สมัยนี้ต้องฟังหูไว้หู


           ทั้งนี้ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจำนวนมากต่างสังเกตว่าในระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ผู้บริหารและผู้มีตำแหน่งทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี จะมีปฏิกริยาต่อข้อความของนายพานทองแท้ ชินวัตร ทุกครั้ง และเมื่อไม่สามารถตอบโต้เหตุผลของนายพานทองแท้ได้ พรรคประชาธิปัตย์จะส่งผู้อื่นมาทำการตีรวนและเบี่ยงประเด็นแทน ขณะที่ผลสำรวจของเว็บไซท์ go6TV ล่าสุด ระบุว่า ประชาชนร้อยละ 90 ไม่เชื่อพรรคประชาธิปัตย์กรณีองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ นาซา ขอใช้สนามบินอู่ตะเภา
http://redusala.blogspot.com

ประชาชนตะเพิดพ้นปทุมฯ "อภิสิทธิ์" ผวาหนัก เผ่นหนีทิ้งสาวก


ประชาชนตะเพิดพ้นปทุมฯ "อภิสิทธิ์" ผวาหนัก เผ่นหนีทิ้งสาวก

ประชาชนชาวปทุมธานีกว่า 300 คนสุดทน บุกตะเพิดอภิสิทธิ์ กลางเวทีประชาธิปัตย์ ตะโกนสาปแช่งฆาตกรสั่งฆ่าประชาชน ก่อนลุกฮือเหตุมีมือมืดภายในงานแกล้งปาสิ่งของเข้าใส่ประชาชน โชคดีไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ตำรวจหิ้ว "มาร์ค" ออกหลังงานแบบหมดสภาพ ชาวปทุมฯสั่งสอน หากมาเหยียบถิ่นอีกเจอกันแน่



ภาพชาวปทุมธานี ไล่ตะเพิดอภิสิทธิ์ สาปแช่งฆาตกร

(29 มิถุนายน 2555 go6TV) เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. ที่งาน “ราตรีสีฟ้า พรรคประชาธิปัตย์พบประชาชนคนปทุมธานี” ณ โรงเรียนชุมชนประชาธิปัตย์วิทยาคาร ริมคลองเทศบาลนครรังสิต ระหว่างการปราศรัยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้มีประชาชนชาวจังหวัดปทุมธานีและพื้นที่ใกล้เคียงจำนวนประมาณ 300 คน นำโดยนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ และนายศรรัก มาลัยทอง ดีเจวิทยุชื่อดังของจังหวัดปทุมธานี สุดทนพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พร้อมสาปแช่งและชูป้ายขับไล่ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แห่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นฆาตกร สั่งฆ่าประชาชน ระหว่างนั้น ได้มี "มือมืด" ปาขวดน้ำเข้าไปยังกลุ่มประชาชนชาวปทุมธานี ทำให้ประชาชนบางส่วนไม่พอใจและโยนขวดน้ำกลับคืนไปในงาน

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสภอ.ประตูน้ำ จุฬาลงกรณ์ ได้นำกำลังเข้าดูแลพื้นที่ทั้งในและนอกโรงเรียนและปิดประตูโรงเรียน พร้อมนำกระดานดำ มากั้นไม่ให้เกิดเหตุการณ์บานปลาย ล่าสุดหลังจากนายอภิสิทธิ์ เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ได้ยุติการปราศรัย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลากตัวออกทางประตูด้านหลังโรงเรียน เพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า

ด้านประชาชนชาวปทุมธานีเมื่อทราบว่านายอภิสิทธิ์กลับไปแล้ว จึงประกาศให้มวลชนสลายตัว ทำให้กลุ่มคนที่มารอฟังนายอภิสิทธิ์รู้สึกมึนงง และพากันจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆนาๆ ขณะที่ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจำนวนมากระบุ กรณีชาวปทุมธานีไล่ตะเพิดอภิสิทธิ์ เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ พร้อมทั้งแนะว่าคนไทยต้องไม่ยอมรับฆาตกรที่สั่งฆ่าประชาชน



ภาพชาวปทุมธานีร่วมใจสามัคคีตะเพิดอภิสิทธิ์
http://redusala.blogspot.com

'แดงปทุมฯ'บุกเวทีปราศรัยปชป.


'แดงปทุมฯ'บุกเวทีปราศรัยปชป.


'แดงปทุมฯ'บุกเวทีปราศรัยปชป.
เสื้อแดงปทุมธานี 2-3 ร้อยคน บุกเข้าป่วนเวทีปราศรัยพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่ปชป.ชูปทุมธานีเป็นโมเดลสร้างสมานฉันท์


              ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามพรรคประชาธิปัตย์ได้จัดเวทีปราศรัยเคลื่อนที่ไปตามพื้นที่ต่างๆ และวันที่ 29 มิ.ย.นี้เวลา 18.00 น. ได้จัดงานราตรีสีฟ้าพรรคประชาธิปัตย์พบคนปทุมธานี โดยมีการจัดเลี้ยงโต๊ะจีนจำนวน 200 โต๊ะ มีประชาชนมาร่วมงานกว่า 2,000 คน ที่บริเวณสนามภายในโรงเรียนชุมชนประชาธิปัตย์วิทยาคาร ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี

ต่อมาเวลา 19.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคฯ นายกรณ์ จาติกวานิชย์ พร้อมด้วยสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมาร่วมงานและขึ้นเวที ชี้แจงกับประชาชนในเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมและเรื่องการขอใช้สนามบินอู่ตะเภาของนาซ่า

ระหว่างนั้นได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนประมาณกว่า 200-300 คน ได้เดินทางมายังบริเวณหน้าโรงเรียนสถานที่จัดงานพร้อมทั้งใช้เครื่องขยายเสียงตะโกนขับไล่นายอภิสิทธิ์และกล่าวโจมตีด้วยถ้อยคำหยาบคาย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบจำนวนกว่า 50 คนคอยดูแลความสงบเรียบร้อย โดยการปิดประตูรั่วโรงเรียนไม่ยอมให้กลุ่มคนเสื้อแดงเข้าไปในสถานที่จัดงาน และมีรายงานว่าได้พังประตูเข้าไปได้

อย่างไรก็ตามจนกระทั่งเวลาประมาณ 20.30 น. นายอภิสิทธิ์ และคณะได้เดินทางกลับ โดยใช้ประตูทางออกทางด้านหลังโรงเรียน ส่วนกลุ่มเสื้อแดงยังคงปักหลักกล่าวโจมตีอยู่อีกประมาณ 15 นาที ก่อนจะสลายตัวกลับไปโดยไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นแต่อย่างใด


ปชป.ชูปทุมธานีเป็นโมเดลสร้างสมานฉันท์


ทั้งนี้การเปิดเวทีปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ดังกล่าวได้เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 09.00 น. ที่ห้องอารียา โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท ศูนย์การค้าเซียร์รังสิต ชั้น 5 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี โดยมีนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีกล่าวเปิดการประชุม-สัมมนาเชิงปฏิบัติการ “รวมพลังสมัชชา ออกแบบประเทศไทย” โครงการพรรคประชาธิปัตย์พบประชาชนภาคกลาง ครั้งที่ 3/2555 โดยมี นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดร.เกียรติศักดิ์ ส่องแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร(ส.ส)จังหวัดปทุมธานี เขต 5 ผู้อำนวยการสำนักชลประทานที่ 11 ผู้อำนวยการสำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัดปทุมธานี ประธานหอการค้าจังหวัดปทุมธานี นายกสภาอุตสาหกรรมจังหวัดปทุมธานี นายกสมาคมการท่องเที่ยวจังหวัดปทุมธานี และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ในจังหวัดปทุมธานีร่วม 1000 คนสนใจมาร่วมประชุมเสวนาในครั้งนี้ด้วย

นายอลงกรณ์ พลบุตร ได้กล่าวเปิดงานว่า การจัดงานประชุมสัมมนาสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ในจังหวัดปทุมธานีนั้นเพื่อที่จะออกแบบนโยบายของพรรคซึ่งจะมีการปรับปรุงอยู่ตลอดเวลาทางพรรคประชาธิปัตย์จึงได้จัดประชุมสัมมนาตามจังหวัดต่างๆเพื่อนำข้อมูลมาเป็นฐานในการออกแบบพัฒนาประเทศในโอกาสต่อไป โดยการระดมสมองจากพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดปทุมธานีเนื่องจากว่าจังหวัดปทุมธานีเป็นจังหวัดปริมณฑลใกล้กรุงเทพมหานครเพราะฉะนั้นรูปแบบหรือว่าโครงสร้างพื้นฐานถนนหนทางหรือคลองต่างๆก็จะใกล้เคียงกับกรุงเทพมหานคร ซึ่งทางด้านการศึกษา ทางด้านระบบเศรษฐกิจบริบทของจังหวัดปทุมธานีมีโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าพัฒนาให้เป็นเขตพื้นที่เศรษฐกิจอีกเพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองหลวง และปัจจุบันนี้กรุงเทพมหานครก็ค่อนข้างแออัดเพราะฉะนั้นจังหวัดที่อยู่รอบๆกรุงเทพมหานครก็คือจังหวัดปริมณฑลอย่างเช่นจังหวัดปทุมธานีเป็นต้น เพราะฉะนั้นวันนี้จึงมีประเด็นเสวนาขึ้นมาก็คือเรื่องประเด็นเศรษฐกิจกับการพัฒนาพื้นที่ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงกันระหว่างกรุงเทพมหานครกับจังหวัดปทุมธานี

ด้านนายอภิรักษ์ ได้กล่าวบนเวทีเสวนาว่า จังหวัดปทุมธานีถือว่าเป็นจังหวัดโมเดลในเรื่องของการสมานฉันท์เพราะคนปทุมธานีไม่แบ่งสีทุกคนชอบคนทำงานพัฒนาบ้านเมือง ดังนั้นในวันนี้จึงได้มีการจัดประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อร่วมกันระดมสมองในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุก็คือการวางผังเมืองระหว่างอำเภอลำลูกกาจังหวัดปทุมธานีและสายไหม กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรอยต่อ เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นในการแก้ไขปัญหาระยะยาว โดยเฉพาะในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม ถนนหนทาง ไฟฟ้า ประปา รวมไปถึงระบบขนส่งมวลชน และเรื่องมาตรการในการป้องกันน้ำท่วม เพราะฉะนั้นท่าเรามีการวางระบบผังเมืองที่ดีเรารู้ว่าจะมีการพัฒนาเมืองไปตรงไหนพื้นที่ไหนเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ พื้นที่ไหนเป็นพื้นที่เส้นทางน้ำไหลพื้นที่ไหนมีระบบในเรื่องของระบบท่อระบบระบายน้ำเชื่อมโยงกับระบบประตูระบายน้ำของกรมชลประทานระบบประตูระบายน้ำของกรุงเทพมหานครแบบนี้จึงต้องมีการวางแผนร่วมกันในเรื่องของการทำงานแบบบูรณาการร่วมกัน

ส่วนด้าน ดร.เกียรติศักดิ์ ส่องแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปทุมธานี เขต 5 กล่าวว่า ด้วยกรุงเทพกับจังหวัดปทุมธานีควรที่จะเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมในระดับเดียวกัน และควรที่จะเป็นพื้นที่ที่มีโครงสร้างพื้นฐานต่างๆระบบเดียวกัน อย่างเช่น การขนส่งมวลชน ไม่ว่าจะเป็น รถเมล์ รถไฟฟ้า ควรที่จะเป็นเส้นทางที่เชื่อมโยง ขยายเมืองขึ้นมาเพื่อลดความแออัดเพ่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจระดับประเทศ เพราะฉะนั้นจึงมีการสัมมนาขึ้นเนี้ยมันมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนและใช้เวลานานเท่าไรอย่างไรเพื่อรองรับความเจริญเติบโตเพราะอีกไม่นาน 2-3 ปีข้างหน้านี้เราจะมีเสรีอาเซี่ยน เพราะฉะนั้นพื้นที่จังหวัดปทุมธานียังมีพื้นที่ว่างพอที่จะรองรับความเจริญเติบโตและก็รองรับการเปิดตลาดทางด้านอาเซี่ยนต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า โดยการสัมมนาจัดประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการในวันนี้ของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ซึ่งได้แบ่งกิจกรรมเป็น 3 ช่วง คือ ในช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 08.00 น.- 12.00 น. เป็นกิจกรรมการเสวนาวางแผนผังเมือง ช่วงที่ 2 คือ เวลา 13.00น. กิจกรรมการแบ่งกลุ่มย่อยระดมความคิดเห็น ตัวแทนกลุ่มย่อยนำเสนอความคิดเห็นต่อที่ประชุมใหญ่ จากนั้นจึงสรุปประมวลผลการประชุม และช่วงที่ 3 คือ เวลา 18.00 น.ทุกคนร่วมงาน “ราตรีฟ้า พรรคประชาธิปัตย์พบประชาชนคนปทุมธานี” ณ โรงเรียนชุมชนประชาธิปัตย์วิทยาคาร ริมคลองเทศบาลนครรังสิต ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี โดยงานจะมี นายกรณ์ จาติกวณิชย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวคำปราศรัย และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวคำปราศรัยด้วย

รอง.ผบก.ปทุมฯฝึกชุดควบคุมฝูงชนเตรียมรับม็อบ

ขณะเดียวกันพ.ต.อ.วัฒนา วงศ์จันทร์ รอง ผบก.ปทุมธานี ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี จำนวน 500 นาย ร่วมฝึกซ้อมทบทวน การสาธิต การปฏิบัติงาน การเคลื่อนย้ายกำลังพลไปยังจุดที่ผู้ชุมนุมบุกรุกเข้าไปภายในสถานที่ราชการ หรือ สถานที่หวงห้าม ก่อนจัดกำลังตั้งแถวจับเข็มขัดเดี่ยวมือเปล่า ซึ่งจะใช้ในกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ แต่หากสถานการณ์เริ่มมีความรุนแรงขึ้น ก็จะนำโล่มาเป็นเกราะป้องกัน นำรถปราบจลาจลเข้าทำการฉีดน้ำในแรงดันระดับปานกลางใส่กลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อควบคุมสถานการณ์ แต่หากยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จะทำการยิงกระสุนยางใส่บริเวณลำตัวของผู้ชุมนุม ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งและไม่ทำให้เกิดอันตราย ขณะเดียวกัน หากสถานการณ์เริ่มยืดเยื้อและมีความรุนแรงขึ้น ทางเจ้าหน้าที่จะทำการควบคุมโดยการใช้แก๊สน้ำตา ซึ่งขั้นตอนของการใช้แก๊สน้ำตานั้น จะนำมาใช้ก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น

พ.ต.อ.วัฒนา วงศ์จันทร์ รอง ผบก.ปทุมธานี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการฝึกครั้งนี้เพื่อทบทวนในการปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งช่วงหลังนี้ได้เกิดเหตุการณ์ในการปิดถนนบ่อยครั้งมากและได้มีเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ละโรงพักยังไม่มีความพร้อมเท่าที่ควรจึงจำเป็นจะต้องทบทวนในการฝึกใหม่พร้อมเตรียมรับสถานการณ์ได้ทันทีซึ่งต่อไปในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีหรือใกล้เคียงมีการปิดถนนก็จะจัดส่งชุดควบคุมฝูงชนเข้าทำการสลายได้เลย

(หมายเหตุ :ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=JjVTqn0MgJY )
http://redusala.blogspot.com

“ส.ส.ร.40” ชน “ศาลรธน.” ชี้เป็นตัวการก่อวิกฤติรอบใหม่


“ส.ส.ร.40” ชน “ศาลรธน.” ชี้เป็นตัวการก่อวิกฤติรอบใหม่

“ส.ส.ร.40” ชน “ศาลรธน.” ชี้เป็นตัวการก่อวิกฤติรอบใหม่



วันที่ 27 มิ.ย. ที่รัฐสภา กลุ่มสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 40 (ส.ส.ร.40) ประมาณ 20 คน นำโดย นายคณิน บุญสุวรรณ พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง นลฯ ได้หารือร่วมกันถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคแรก พร้อมกับมีคำสั่งให้รัฐสภาชะลอการลงมติในวาระสามของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราช อาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย


จากนั้นกลุ่มส.ส.ร.40 ออกจดหมายเปิดผนึกในนามของกลุ่มส.ส.ร.40 โดยนายคณิน กล่าวว่า เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 50 ส่วนใหญ่ลอกมาจากรัฐธรรมนูญปี 40 โดยเฉพาะมาตรา 68 ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาขณะนี้ ก็ลอกมาจากมาตรา 63 ของปี40 เพียงแต่มีการเพิ่มเติมบทลงโทษไว้ในวรรคสี่ คือยุบพรรคและตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ถือเป็นการจงใจเบี่ยงเบนเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญปี 40 ในการสัมมนาภายหลังการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2543 ได้กำหนดกรอบปฏิบัติของศาลรัฐธรรมนูญเป็นบรรทัดฐานมาเกือบ 9 ปี ว่าทุกเรื่องผู้ร้องจะต้องเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ที่อัยการสูงสุดจะยื่นหรือไม่ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

นายคณิน กล่าวว่า ที่ผ่านมาส.ส.พรรคไทยรักไทยเคยยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้นเรียกร้องขอนายกฯพระราชทานตามมาตรา 7 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2549 ยังปฏิเสธไม่รับคำร้อง โดยให้ไปยื่นผ่านอัยการสูงสุดก่อน การอ้างว่ารัฐธรรมนูญปี 40 ถูกยกเลิกไป ศาลรัฐธรรมนูญชุดใหม่ไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของชุดเดิม ถือว่าไม่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่มีบรรทัดฐานอะไรเลย ขณะที่เจตนารมณ์ดั้งเดิมของรัฐธรรมนูญ 40 คือการบัญญัติการกระทำผิดตามมาตรา 63 ว่าการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือการใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจเท่านั้น

“ดังนั้นการกระทำของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว ถือเป็นการล้มล้างบทบัญญัติ ของรัฐธรรมนูญเสียเอง ถึงขั้นบัญญัติรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่โดยพลการ ไม่ว่าผลการตัดสินจะเป็นอย่างไรย่อมก่อให้เกิดความเสียหายทั้งขึ้นทั้งล่อง เท่ากับว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว”นายคณินกล่าว และว่าจากนี้ไปไม่ว่า ครม. ส.ส. ส.ว. หรือแม้แต่ประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวแตะต้องหรือแม้แต่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกต่อไป เท่ากับว่านอกจากศาลรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจตีความแล้ว ยังมีอำนาจในการควบคุมรัฐสภา ควบคุมครม. และควบคุมประชาชนอีกด้วย ซึ่งจะเป็นชนวนนำไปสู่ความขัดแย้ง และเกิดวิกฤติครั้งร้ายแรงที่สุดจนมิอาจพยากรณ์ได้ว่าสุดท้ายจะเกิดหายนะต่อบ้านเมืองอย่างไร 



นายไชยยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สาเหตุที่จะทำให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อยู่ครบวาระหรือไม่ คือ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหากวินิจฉัยว่าการร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐและส่งผลให้ไม่สามารถลงมติการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 ได้ หรือหากฝืนที่จะลงมติวาระ 3 อาจจะนำไปสู่ปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น การยุบพรรคการเมือง ทำให้กลุ่มมวลชนคนเสื้อแดงไม่ยอมรับคำตัดสิน และมีการขับเคลื่อนมวลชนมาประท้วงขับไล่ศาลรัฐธรรมนูญ จนทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างคนที่ต่อต้านศาลรัฐธรรมนูญและกลุ่มคนที่ต้องการปกป้องศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำให้นำไปสู่สงครามกลางเมือง จนรัฐบาลไม่สามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ได้ นำไปสู่การปฏิวัติ


"สำหรับการยื่นถอนประกันตัวชั่วคราวนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยและแกนนำคนเสื้อแดง ทำให้ต้องถูกจองจำนั้น คงไม่ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวมากนัก เพราะจะเป็นการสร้างปัญหาให้กับรัฐบาล ส่วนการจะปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วจะทำให้รัฐบาลอยู่ครบวาระหรือไม่ คงไม่ใช่ประเด็นที่มีส่วนสำคัญ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวแล้วเห็นว่าควรที่จะต้องมีการปรับ ครม. หากปรับแล้วมีผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ก็จะทำให้รัฐบาลแข็งแกร่งมากขึ้น" นายไชยยันต์กล่าว
ข้อมูลที่มา ข่าวสดออนไลน์ 
 http://www.khaosod.co.th/
& VoiceTV
http://redusala.blogspot.com