วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


ประจานไทยเหนือท้องฟ้าแอลเอ

ประจานไทยเหนือท้องฟ้าแอลเอ


 คนเสื้อแดงในแอลเอร่วมลงขันจ้างเครื่องบินเล็ก ลากแบนเนอร์ประจานไทยเหนือท้องฟ้าแอลเอ

เรียกร้องให้ปล่อยนักโทษการเมืองในประเทศไทยทุกคน 

ภาพที่เห็นในคลิปถ่ายจากวัดไทยแอลเอเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมาในเขตเมือง North Hollywood ขณะที่พุทธศาสนิกชน กำลังทำกิจกรรมบุญเนื่องในวันวิสาขบูชาเสียงปี่พาทย์มโหรีกึกก้องไปทั้งวัดไทยกลบเสียงเครื่องบินเล็ก ที่กำลังลากแบนเนอร์ Free Political Prisoners In Thailand ฉวัดเฉวียนประจานประเทศไทยอยู่บนท้องฟ้า ผู้มาร่วมทำบุญจำนวนหนึ่งแหงนมองท้องฟ้าว่าเกิดอะไรขึ้น

ขณะที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยยังสาละวนอยู่กับกิจกรรมบุญ คนต่างชาตินับหมื่นในแอลเอได้เห็นและวิจารณ์ ป้ายประจานประเทศไทยเหนือท้องฟ้ามหานครลอสแองเจลิส กันอย่างคึกคักสะใจ บางประโยคที่ได้ยินและยังติดหูอยู่

ผู้รู้ช่วยแปลให้ด้วย

“ Son Of A Bitch. It's About Time !!! ”

ชาวต่างชาตินับพันนับหมื่นในสหรัฐอเมริกา  ติดตามความเป็นไปในประเทศไทยอย่างใกล้ชิดบุคคลเหล่านี้รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นในประเทศไทย ทั้งด้านกว้างและด้านลึกมากกว่าคนไทยจำนวนมาก โลกกำลังโอบล้อมประเทศไทย และผู้ยิ่งใหญ่ที่กุมชะตากรรมของประเทศไทย พึงรู้ไว้ว่าวันล่มสลายของอำนาจนอกระบบและอิทธิพลเถื่อน ได้เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจแล้ว

*จะรอวันนั้น วันเผด็จศึก ใจมันฮึกไม่นึกหวาดหวั่น วันเดียวนั้นวันเผด็จศึก วันจารึกอันแสนยาวนาน (แปลงจากเพลงวันเผด็จศึก)

เหตุเกิดที่ลอส แองเจลีส

ชายคนที่หนึ่ง    เฮ้ยดูนั่นเครื่องบินดึงป้ายอะไรว่ะ

ชายคนที่สอง      ยังมองไม่ชัดว่ะ

ชายคนที่หนึ่ง    FREE POLITICAL PRISONERS IN THAILAND

ชายคนที่สอง      ปล่อยนักโทษการเมืองในประเทศไทย

ชายคนที่หนึ่ง    อ๋อ คงป้ายการเมืองของพวกเสื้อแดง ขอให้ปล่อยนักโทษการเมือง

ชายคนที่สอง      เฮ้ย แบบนี้ฝรั่งเห็นขายหน้าเขาตายห่า

ชายคนที่หนึ่ง    กูว่าสมควรแล้ว แม่งฆ่าคนไม่มีอาวุธกลางเมือง แล้วยังจับพวกเขาไปขังคุกอีก

ชายคนที่สอง      เออ กูเห็นด้วย ให้ฝรั่งเขาด่ามั่ง ใครพูดอะไรหน่อยแม่งก็จับเขาไปขังคุก

ประเทศเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ แล้วเสือกบอกว่าเป็นประชาธิปไตย

เมื่อเวลาหลังเที่ยงวันอาทิตย์ที่ ๖ พฤษภาคม ที่ผ่านมา ในบริเวณลานกว้างกลางวัดไทยลอส แองเจลีส ณ ท้องที่น้อร์ธ ฮอลลีวูด ของมหานครใหญ่ แห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนียภาคใต้ บรรดาชาวไทยซึ่งมักจะไปทำบุญทำทานในวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นนิจสิน ต่างชี้ชวนกันให้ดูเครื่องบินเล็กบนท้องฟ้า บินผ่านไปไม่เร็วนักพอที่จะอ่านข้อความบนแผ่นผ้าขนาดใหญ่ที่กำลังลากนั้นได้

            “Free Political Prisoners in Thailand”

 ข้อความภาษาอังกฤษสั้นๆ แต่กินความหมายยาวไกลแก่ผู้พบเห็นทั้งไทย และเทศ

 สำหรับคนไทยในบริเวณวัดไทยที่ส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพไปทำมาหากินด้วยแรงงาน หรือชนรากหญ้า หลายคนรู้ลึก และรู้ละเอียดว่ามีนักโทษการเมืองถูกจองจำอยู่ในคุกของประเทศไทยจำนวนมาก อย่างน้อยๆ กว่า ๕๐ รายในข้อกล่าวหาฝ่าฝืนพระราชบัญญัติก่อการร้ายฯ ซึ่งถูกจับกุมระหว่างการเข้าสลายการชุมนุมของประชาชนเสื้อแดงเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน และ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ด้วยกำลังทหาร รถถัง และพลแม่นปืน

โดยคำสั่งรัฐบาลอันมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เป็นผลให้มีผู้ร่วมชุมนุม นักข่าวทั้งไทย และต่างชาติ รวมทั้งอาสาสมัครบรรเทาสาธารณะภัย เสียชีวิตไม่น้อยกว่า ๙๑ ราย บาดเจ็บราวสองพันคน และสูญหายเป็นร้อย

อีกหลายคนได้รับทราบสถานการณ์ของผู้ถูกกักขัง และปฏิเสธการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างดำเนินคดี โดยศาลอ้างว่าเป็นคดีที่มีโทษร้ายแรง ในข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ซึ่งกำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ และเรียกร้องกันอย่างกว้างขวาง ในหมู่องค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติ และแหล่งข่าวสารการเมืองบนอินเตอร์เน็ต แต่ถูกละเลยโดยสื่อมวลชนสายหลัก ทั้งในทางสิ่งพิมพ์ และไซเบอร์ ภายในประเทศไทย

ไม่ว่าจะเป็นความอึงอื้ออันเนื่องจากการตัดสินความผิดของนายอำพล  ตั้งนพคุณ หรือ อากง ในข้อหาส่งข้อความทางโทรศัพท์หมิ่นประมาทพระราชินี และสถาบันกษัตริย์ ให้จำคุก ๒๐ ปี หรือคดีที่นายเลอพงษ์  วิไชยคำมาตย์ (โจ กอรดอน) ถูกตัดสินความผิดตามมาตรา ๑๑๒ จำคุก ๕ ปี ลดโทษเหลือกึ่งหนึ่งที่รับสารภาพ ในข้อหาแปลหนังสือต้องห้าม “The King Never Smiles” และคดีของนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ซึ่งกล่าวกันว่าผู้ต้องหายอมรับสารภาพเนื่องจากมีสัญญามาจาก วัง ว่าถ้ายอมรับผิดไปเสียก่อนแล้วจะได้รับพระราชทานอภัยโทษในภายหลัง ซึ่งศาลก็ตัดสินจำคุกนายสุรชัยสองคดีรวมกัน ๑๐ ปีกว่า

แต่สำหรับคดีของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ซึ่งถูกจับกุม กักขัง และดำเนินคดี เนื่องจากเป็นบรรณาธิการหนังสือซึ่งตีพิมพ์บทความสองชิ้นอันเจ้าหน้าที่อัยการอ้างว่า หมิ่นสถาบันฯ แม้ว่าผู้เขียนบทความนั้นจะได้รับการสั่งไม่ฟ้องในข้อหาความผิดมาตราเดียวกันแต่ต่างกรรมต่างวาระไปแล้วก็ตาม ผู้ต้องหาไม่รับสารภาพแต่ขอสู้คดีเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างต่อไปถึงการนำเอากฏหมายหมิ่นฯ มาใช้ทำลายล้าง และกำหลาบผู้เห็นต่างทางการเมืองซึ่งใช้สิทธิในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี

ผลจากการที่องค์กรแรงงานนานาชาติ และสิทธิมนุษยชนสากล ในต่างประเทศจำนวนมาก ออกมาเรียกร้องร้องให้ปล่อยตัวชั่วคราวนายสมยศระหว่างรอคำพิพากษา แต่ศาลกลับปฏิเสธคำร้องขอประกันตัวถึง ๙ ครั้ง อีกทั้งลากยาวคดี เลื่อนการพิพากษาคดีออกไปถึงปลายเดือนกันยายน ศกนี้ อันจะทำให้นายสมยศติดคุกต่อเนื่องไปอีกเป็นเวลาทั้งสิ้นกว่าหนึ่งปี

ยังมีคดีตามความผิดมาตรา ๑๑๒ อันเกี่ยวเนื่องกับพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ ซึ่งนางสาวจีรนุช เปรมไชยพร ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ออนไลน์ ประชาไท ถูกฟ้องฐานปล่อยให้มีข้อความ หมิ่นสถาบันฯ ปรากฏบนเว็บไซ้ท์ที่เธอดำเนินการ อันประชาคมสื่อนานาชาติ และองค์กรสิทธิมนุษยชนสากลเห็นว่ามีลักษณะจับแพะบูชายัญทางการเมืองโดยละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงได้มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิด แต่อนิจจาที่สื่อทั้งหลายภายในประเทศกลับพากันปิดปากตนเอง ปิดตาผู้อ่านผู้ชมเช่นกัน ถึงกระนั้นศาลก็ยังปัดสวะไว้ใต้พรมชั่วคราวด้วยการเลื่อนการพิพากษาออกไปเป็นสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้

จึงไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าชาวอเมริกันในบริเวณรายรอบที่ตั้งวัดไทย ลอส แองเจลีส ที่ได้เห็นเครื่องบินลากแผ่นผ้าข้อความเรียกร้องให้ปลดปล่อยนักโทษการเมืองจะต้องรำลึกถึงภาพ และข่าวน่าเกลียดเกี่ยวกับการเข่นฆ่าประชาชนในประเทศไทยเมื่อปี ๒๕๕๓ แล้วเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นเช่นเดียวกับคนไทยทั้งหลาย ต่อสภาพป่าเถื่อนทางการเมืองจากกฏหมายซึ่งจัดเป็น Draconian Laws ของไทย อันเกี่ยวเนื่องกับการปกปักรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ถูกนำมาใช้อย่างปู้ยี่ปู้ยำโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบอันทำให้เกิดภาพพจน์อันน่าสพรึงกลัวลุกล้ำเข้าไปในสถาบันที่กฏหมายนั้นพยายามปกป้อง

ยังไม่ทันที่ข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับกฏหมายโหด และความอำมหิตของศาลที่พิพากษาคดี ม.๑๑๒ อย่างหื่นกระหายเลือดเกือบทุกครั้งทุกคดีจะจางลงไป เช้าวันรุ่งขึ้น (ตามเวลาท้องที่) หลายคนได้รับข่าวทางอินเตอร์เน็ตว่า อากง ชายชราวัย ๖๑ ปี นักโทษคดี ม. ๑๑๒ ที่ถูกพิพากษาจำคุก ๒๐ ปี ได้เสียชีวิตลงระหว่างการจองจำ ผู้ตายมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงตั้งแต่วันศุกร์ แต่เนื่องจากระบบการดูแลผู้ต้องโทษของทัณฑสถานไทยนั้นไร้มาตรฐานมนุษยธรรมสากล นายอำพลจึงไม่ได้รับการดูแลตลอดสุดสัปดาห์จนกว่าจะถึงวันจันทร์ ซึ่งก่อนตายปรากฏว่าท้องของนายอำพลพองป่องเหมือนดั่งขึ้นอืดแล้ว

คดีอากงเป็นตัวอย่างให้เห็นการบังคับใช้กฏหมายอำมหิตในประเทศไทยอย่างชัดแจ้งทีเดียว คดีนี้ทั้งๆ ที่อัยการโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้งว่าผู้ต้องหากระทำการส่งข้อความด้วยตนเองจากโทรศัพท์มือถือของตน ผู้ต้องหาปฏิเสธว่าขณะเกิดเหตุตามคำฟ้องนั้นได้นำโทรศัพท์ไปให้ช่างซ่อม เพียงแต่ไม่สามารถชี้ชัดว่าเป็นร้านไหน แต่ผู้พิพากษา คือนายชนาธิป เหมือนพะวงศ์ กลับอ้างเหตุผลในการตัดสินว่า ผู้ต้องหามีเจตนากระทำผิดอยู่แล้วจึงไม่ยอมให้การครบถ้วน และใช้หลักฐานรายล้อมตามที่โจทก์กล่าวหาตัดสินว่าผู้ต้องหาผิด

นี่คือวิธีพิจารณาคดีหมิ่นสถาบันกษัตริย์ของศาลไทย ที่ไร้ซึ่งหลักนิติธรรมสากลอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากไม่มีการนำเอาหลักมนุษยธรรมเข้ามาใช้เลยแม้แต่น้อย ทนายจำเลยได้พยายามยื่นประกันขอให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราวถึง 8 ครั้ง ด้วยเหตุผลว่าผู้ต้องหามีโรคร้ายเป็นมะเร็งที่ตับและช่องปาก จำเป็นต้องได้รับการดูแดจากแพทย์ภายนอกคุกอย่างใกล้ชิด แต่ผู้พิพากษาก็ปฏิเสธทุกครั้งด้วยข้ออ้างว่าเป็นคดีที่มีความผิดร้ายแรงเกรงผู้ต้องหาหลบหนี แถมผู้พิพากษายังทำตัวเป็นแพทย์เสียเองวินิจฉัยว่า อาการของนายอำพลจะไม่ร้ายแรงเกินกว่าโรงพยาบาลของคุกจะรักษาได้

ผลก็คือท้ายที่สุด อากง ต้องตายคาคุก สมดังเจตนาของกฏหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ จริงๆ
http://redusala.blogspot.com